เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    Ok ket เลยค่ะ ใช่เลย! ถ้าเราเห็นอย่างนั้นได้ ก็จะทำให้เราเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างล้วนมาจากเหตุที่ได้กระทำไว้ ไม่ใช่ให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ใจเราต้องการจะได้จะเป็น หากสิ่งใดผิดแปลกไปจากที่ควรจะเป็น เกิดการบีบเค้นบีบคั้นทางจิตทำให้เกิดทุกข์ใจหาทางออกไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไม? หากเรานำสิ่งเหล่านี้มาพิจารณาและเข้าใจได้ ใจเราก็ไม่ทุกข์ เพราะรู้แล้วจึงปล่อยวางได้ ถ้าใครเข้าใจการดำเนินชีวิตแบบนี้ได้ ถือว่าเป็นความโชคดีของเขา ที่ได้นำประสบการณ์ในชีวิตที่มีในตนมาพิจารณาเป็นปัญญารักษาตัวเองด้วยการเข้าใจความจริงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น คำว่า "บังเอิญ" จึงไม่มีค่ะ

    อย่างกรณีหนังรัก หรือ ความรักของคนหนุ่มสาว หรือความรักของใคร ๆ ลองมองให้ลึกลงไปในจิตใจของแต่ละคน ทุกคนปราถนาค่ะ อยากสมหวังในรัก...

    เหมือนอยากให้คนอื่นรัก แต่เรากลับรักคนอื่นไม่เป็น

    ข้อความข้างต้นนั้นเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งปัจจัยหนึ่งเท่านั้นที่เรามองอย่างผิวเผินแค่นั้นค่ะ

    ทุกคนอยากได้ความสุข แต่กลับสร้างทุกข์ให้แก่กัน การสร้างทุกข์ให้แก่กัน ถึงไม่อยากได้!....อย่างไรก็ต้องได้! ก็สร้างทุกข์แล้วจะได้สุขไปได้อย่างไร? นี้ก็เป็นเหตุและผลที่ใครก็เข้าใจได้ ว่าทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุ..

    แต่..นอกจากเหตุปัจจุบันแล้ว ยังมีเหตุปัจจัยอดีตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยค่ะ ถ้าไม่สามารถสาวไปหาเหตุได้ เมื่อเราไม่พิจารณาให้เข้าใจ เราเลยมองแค่ปัจจุบัน อ้าว! แล้วถามว่าจะไปมองอดีตทำไมล่ะ เมื่ออดีตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยปัจจุบัน

    เพราะ....แต่ละคนได้สั่งสมนิสัยประสบการณ์เรียนรู้ คือ เจตสิกที่ปรุงแต่งเป็นความคิด ที่มีความปราถนา มีความต้องการของตนเองต่างกันหรือเหมือนกันนะค่ะ นี้ล้วนเป็นปัจจัยของเหตุ ๑

    ทุกคนมีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันมา ต้องมาชดใช้วิบากรรมร่วมกันดี หรือร้าย คือ เจ้าหนี้ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร๑

    ถ้าเราเข้าใจเหตุ เราต้องให้อิสระในการตัดสินใจเพื่อการเรียนรู้แก่ใคร ๆ ที่เราเกี่ยวข้องด้วย โดยไม่ผลักใส ไม่เหนี่ยวรั้ง แต่เราต้องเรียนรู้จักการสร้างเหตุ เพราะไม่มีใครเป็นของใครอย่างแท้จริง เมื่อเรารู้ด้วยความเข้าใจ เราก็จะรู้จักรักเป็นค่ะ

    และกรรมปัจจุบันที่ทำร่วมกันหนึ่ง ไปในแนวทางดีหรือทางร้าย ๑

    คือการพิจารณาเหตุและปัจจัยที่เป็นเกี่ยวเนื่องกัน เข้าใจเหตุ อย่างน้อยก็ทำให้เราฉลาดขึ้น ในการใช้ชีวิตให้เป็นสุขได้ หรือทำให้เราปล่อยวางได้ค่ะ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญาให้เรียนรู้ที่เหตุ จึงจะไม่เสียชาติเกิด ใช่เลยค่ะ

    แต่นอกเหนือจากปัญญาดังกล่าวแล้ว ในชีวิตประจำวัน ๆ หนึ่ง อารมณ์รู้สึกของตนเองมักจะเปลี่ยนแปลงแปรปรวนตลอดเวลา ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุคนรอบข้างเป็นเงื่อนไข ที่เป็นแรงดึงดูดจิตใจเราให้เกี่ยวเนื่องคล้อยตามไปตามแรงอยาก แรงตัณหา ความโกรธ ความเกลียด ความฟุ้งซ่าน โลภอยากได้ ทำให้เรารับพลังงานเหล่านั้นมาเป็นของเราโดยไม่รู้ตัว การมองโลกในแง่บวก เชิงสร้างสรรค์ รู้จักการหยิบมุมมองที่สวยงามออกมาใช้ การฝึกให้ตนเองเป็นคนอารมณ์ดี ก็ทำให้เรามีความสุขในตนเองได้ มอบความสุขให้แก่คนอื่นได้ และเราก็ช่วยเหลือกันให้พ้นทุกข์ร่วมกันในขั้นต้นได้ค่ะ หรือพูดอีกมุมหนึ่งว่า เราสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ฉุดกันไปนิพพานได้ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2018
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เป็นการเห็นในสมาธิเหมือนลืมตามองแบบปกติเลยค่ะ ไม่ใช่เป็นรูปกายค่ะ แต่เป็นพลังงานแสงสว่างจ้า มีลักษณะเป็นดวง ถามว่าสภาวะนี้คล้ายกับพลังงานสุญญตาแห่งความว่างไหม ? ใกล้เคียงค่ะ แต่ความว่างไม่มีขอบเขตค่ะ
     
  3. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    แล้วท่านเห็นตอนทำสมาธิที่กุฏิใช่ไหมครับ? แล้วสีอะไรครับรัศมี เหลืองๆขาวๆใช่ไหมครับ?
     
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ตอนนั่งทำสมาธิค่ะ ที่มาปรากฎล้วนมีเหตุมาจากพิจารณาค่ะ ไม่มีสีเป็นแสงสว่างจ้าค่ะ และในขณะที่ปรากฎ มีความหมายบ่งบอกด้วยว่าสภาวะนั้นคืออะไรค่ะ
     
  5. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    ป้าปวีถามหน่อยดิ ตอนป้านั่งบิ้วชีวิตรันทดอยุ่ ป้าเห็นเป็นลักษณะก้นหอยวนๆ เข้าหาตัวเองก่อนใช่ป่ะ
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ลักษณะก้นหอยวน ๆ ปวีร์สนใจเหรอ! หรือ ปวีร์เคยพบสภาวะนี้มาแล้วจึงสนใจ แต่ถ้าที่ตนเคยพบเจอสภาวะนี้มาในสมาธิ เป็นการบ่งบอกสภาวะของคลื่นความถี่อิสระ หรือคลื่นอนัตตา ซึ่งคลื่นนี้สภาวะนี้บ่งบอกถึง การกำเนิดปัจจัยสังขารา หรือการก่อกำเนิดสรรพสิ่งใหม่ซึ่งเป็นวัตถุมวลหยาบที่เป็นอัตตานั้น คลื่นความถี่อิสระ หรือคลื่นอนัตตา เป็นผู้สร้างอัตตาทั้งสิ้น โดยมีคลื่นอนัตตาเร้นอยู่ภายในที่เป็นแก่นแท้ในเงามายาหรืออัตตาอีกที คลื่นการสั่นสะเทือนจึงเปรียบเป็นจุดเริ่มต้นของการมีพลังอำนาจในตนเองของสรรพสิ่งที่เป็นอัตตา นั่นเอง

    ส่วนการนั่งบิ้วชีวิตรันทด 5555 คงบิ้วไม่ออกแน่เลย หากไม่พิจารณาหาเหตุผลจากประสบการณ์ชีวิตตนเอง และประสบการณ์จากชีวิตผู้อื่น เกิดจากการพิจารณาที่เราเห็นได้จากตนเองและผู้อื่นค่ะ
     
  7. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    ปวีเห็นป้าเขียนสภาวะ ถ้าตัดคำพูดพวก จจว ออกไปนะ

    ป้าเขียนบอก เห็นที่เปนก้นหอย ที่มีลักษณะหมุนวนๆเข้าหาตัวมันเองก่อน ตอนป้ากำลังพิจารณาชีวิตที่ผ่านมามีแต่ทุกข์ไรเบอร์นั้น (ถ้าจำไม่ผิด) แบบนี้คือสมาธิรวมอัปนานะป้า

    จิตจะดิ่งลงเปนเอกัคคตา เหมือนเราโดนน้ำดูดลงไปข้างล่าง แล้วไปโผล่อีกฟาก... ก่อนที่จะเข้าไปในก้นหอย จะมีความรุ้สึกจะขาดใจตาย พอยอมตายก้โดนมันดูด (เพราะธรรมะพระพุทธเจ้าอยุ่ฟากตาย) พอเข้าไปจะได้ยินเหมือนฟ้าดินระเบิดถล่มทลาย ตรงหน้าเราจะเหนแสงสว่างจ้าๆ ไม่มีสีสุดลูกหูลูกตาประมาณไม่ได้(อนุมานเปนสีขาว) มีความสุขกว่าอะไรในโลกนี้ก้เทียบไม่ได้ จิตจะมีพลังมาก ไม่มีเวลา(จิงๆมีคือเวลาปัจจุบันขณะ) ไม่มีจิต รุ้สึกเหมือนหมดกิเลสด้วย จิตที่เข้าอัปนา จิตจะเห็นภาพแบบ full hd ถ้าจิตมองไปข้างหน้า คนเปิดประตูเข้ามาในบ้านเราก้เหน คนข้างบ้านนินทาก้ได้ยิน ถ้าจิตมองมาที่ขันธุ์เรา จะเห็นอวัยวะภายในทั้งหมด ..ถ้าแบบนี้คืออัปนาฯ แล้วแต่จะเข้าฌานไหน จนกว่าจะเข้าออกได้เองจิงๆ คือนั่งเมื่อไรเข้าเองได้ตลอด จึงจะถอยมาเรียนวิปัสสนา ปวีเคยฝึก ตอนอยากให้จิตเดินวิปัสสนาญานเร็วๆ แต่ตอนหลังกลัวพระ อ.ว่า เลยฝึกทางวิปัสนาอย่างเดียว สภาวะแบบที่ปวีเขียนคล้ายๆ ที่ป้าได้ใช่ป่ะ
     
  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2018
  9. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    ใช่ ป้าเข้าอัปนา แต่ฌานไหนปวีไม่รุ้ แต่ตอนปวีฝึก ไม่มีคลื่นอะไรแม้แต่น้อย จิตแน่วแน่ มีพลังมหาศาลมากๆ ก่อนเข้าไปปวีไม่ได้พิจารณาอะไร รุ้แต่จิตมันไม่ค่อยปรุง เพราะวัดมันสัปปายะมากๆ จิตเลยดี รุ้แค่ลมหายใจเบามากเหมือนมีสิบปอด เดวป้าคงไปได้ไกลกว่านี้อีก (ถ้าไม่โลภนึกถึงสภาวะตอนนั้นนะ ถ้านึกแล้วมักเข้าไม่ได้) เพราะ 2500 ปีกว่าๆ ใครๆ ก้คงเคยฝึกจิตมา ได้เร็วหรือช้าคงขึ้นอยุ่กะฐานจิตแต่ละคน แล้วป้าจะเจอของดีกว่านี้อีกรับรอง หลายสภาวะมาก แต่ปวีมาฝึกทางวิปัสสนามากๆตามพระ อ. ละตอนนี้ (เพราะถ้าฝึกเอาแต่จิตรวมอัปนา เกิดทำไม่ได้ชาตินี้ หรือเข้าออกเองไม่ได้จิงๆ แล้วจิตไม่ฝึกพิจารณาพระไตรลักษณ์ไว้ ลพ พุธ บอกคือความประมาท)

    อีก 10 ปีจะไปบวชชีตามพระเพื่อน ตอนนี้ก้ฝึกรอเตรียมไว้ วันละ 10 ชมเกือบปีละ เพื่อพระนิพพานเช่นกัน อิอิ เปนกำลังใจให้ป้า หมายถึงไม่รวม จจว นะ พูดถึงต้องตรงทางพระสมณโคมล้วนๆ นะ.. สู้ๆ
     
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ปวีร์ไม่อยากรับรู้บ้างเหรอ! จจว. เกี่ยวกับจิตวิญญาณเราโดยตรงเลยนะ ล้วนเต็มไปด้วยคำตอบในเรื่องที่ไม่เข้าใจ และล้วนเป็นที่เป็นความรู้ใหม่ที่เหมาะสมกับมนุษย์ปัจจุบันที่มีความคิดแบบวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง โดยไม่ต้องใช้เวลาแสวงหาความรู้ที่เร้นอยู่เบื้องหลังมิติโลกอย่างยาวนาน ความรู้ใหม่นี้เหมือนแสงสว่างทางปัญญา เหมาะสมกับมนุษย์ที่ต้องการเป็นนักรบแสงสว่าง โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญในการทำหน้าที่ร่วมกันกับโลกอย่างถูกต้องตามพันธสัญญาที่จิตวิญญาณของตนถือกำเนิดมาภพชาติแรก และการขจัดพลังงานกรรมทั้งมวลที่สร้างใหม่เพราะความไม่รู้นับแต่ภพชาติแรกถึงปัจจุบันของการมนุษย์ให้หมดสิ้น ตามเส้นทางการรู้แจ้งสู่การหลุดพ้น คือ นิพพาน ด้วยวิธีการปฏิบัติจิตของตนให้เป็นหนี่งเดียวกันกับจิตจักรวาลหรือธรรมชาติแท้จริงให้จงได้

    มนุษย์มากรายมีความคับข้องใจสงสัยว่า "จิตจักรวาล" เกี่ยวข้องกับการมาสู่รูปธรรมมนุษย์ได้อย่างไร?
    และสร้างมนุษย์ไว้รองรับจิตวิญญาณที่เกิดจากการแบ่งภาคพลังงานของจิตจักรวาลเองเพื่อวัตถุประสงค์ใด?

    คำตอบคือ มันเป็นกลไกที่เคลื่อนไหลรูปแบบหนึ่งตามกฎเกณฑ์กายภาพของจักรวาล ซึ่งไม่เคยหยุดนิ่งเลย กฎทางกายภาพของจักรวาลที่สำคัญ

    1.การแผ่ขยายอวกาศออกไปเรื่อย ๆ ไม่รู้สิ้นสุด
    2.การรักษาความเป็นหนึ่งเดียวของทุกสรรพสิ่ง
    3.การจัดระบบองต์กรของเอกภพให้สมดุลไว้เสมอ เพื่อการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง


    ทั้งสามประการ มันมีมานานนับล้าน ๆ ปี ตั้งแต่ระเบิดใหญ่ในกระบวนการบิ๊กแบง จนเกิดเอกภพอันไพศาลที่ต่างลดเลี้ยวเกี่ยวพันกัน ที่จักรวาลจะต้องสร้างกลไกแห่งกระบวนการที่สำคัญขึ้น 3 ประการคือ
    ๑.เพื่อการเปลี่ยนแปลง
    ๒.เพื่อการดำรงอยู่ของระบบ
    ๓.เพื่อการสร้างใหม่ ให้ระบบมีความสมดุลไว้ตลอดไป

    จะเห็นได้ว่าจากกฎเกณฑ์ทางกายภาพของจักรวาล สู่ผลลัพธ์ทั้งสามประการ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมันจะเคลื่อนไหลของมันไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหยุดนิ่งและไม่รู้สิ้นสุด แม้ขณะที่กำลังอ่านอยู่ในขณะนี้ก็ตาม เนื่องจากกฎเกณฑ์ของจักรวาล เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั้งสิ้น ดังนั้นกระบวนการต่าง ๆ ของจักรวาล จึงเป็นเรื่องของกระบวนการทางพลังงานล้วน ๆ

    ไม่ว่าที่ใดภายในเอกภพ เกิด "มายา" และปรากฎการณ์บางสิ่ง ทั้งปรากกฎการณ์และมายา จึงเป็นเสมือน "เงา" ของกระบวนการทางพลังงงานที่เกิดขึ้น เมื่อกระบวนการนั้นสิ้นสุดลง มายาและปรากฎการณ์นั้น ๆ มันก็จะดับหรือหายไปทันที

    ทันทีที่กระบวนการเปลี่ยนถ่ายพลังงานไฟฟ้า จากก้อนเมฆก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งสิ้นสุดลง ปรากฎการณ์ฟ้าแลบฟ้าร้อง มันก็ยุติลง

    ทันทีที่มีการถ่ายเทประจุซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้า จากก้อนเมฆลงสู่พื้นดิน ปรากฎการณ์ฟ้าผ่าก็สิ้นสุดลงตามไปด้วย

    ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของกฎเกณฑ์จักรวาลในเบื้องต้น

    "จิตจักรวาล" เป็นกลุ่มพลังงานที่สมดุล ซึ่งเกิดจากคลื่นพลังงานหลายความถี่มารวมตัวกันเป็นรูปธรรมหนึ่ง ๆ ที่มีอำนาจคิดรู้ได้เองในทุกสรรพสิ่ง ซึ่งดำรงอยู่ในสนามพลังงานจักรวาลสากลจำนวนมากนับไม่ถ้วน หรือจะเรียกว่า "กล่องพลังงานแห่งการคิดรู้" ก็ได้

    ภายในจักรวาลหรืออวกาศที่เป็นสากลหรือภายในจักรวาลย่อย ซึ่งมิติแห่งกาลเวลาถูกแบ่งย่อยออกไป ผู้สร้างกระบวนการนั้น ๆ ก็คือ "จิตจักรวาล" ถ้ากระบวนใด ๆ เกิดการเคลื่อนไหลขึ้นมาได้ รูปธรรมของ"จิตจักรวาล" ต้องมีส่วนเข้าไปร่วมกระบวนการนั้นเสมอ ที่มนุษย์เรียกบรรพบุรุษแห่งร่างกายของเผ่าพันธ์ตนว่า พลียะเดี้ยนส์ จากกลุ่มดาวเจ็ดพี่น้อง หรือ ดาวลูกไก่

    ร่างกายมนุษย์ทั้งระบบ มีตัวแทนของร่างกายผู้ก่อให้เกิดกระบวนการต่าง ๆ ได้ก็คือ จิตใจของแต่ละคนนั่นเอง เครื่องมือของจิตใจก็คือสมอง ทั้งระบบอันรวมเรียกว่า "จิตสำนึก" และผู้ทำหน้าที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ ผู้ให้พลังอำนาจในการขับเคลื่อนกระบวนการต่าง ๆ ทั้งหมดก็คือ "จิตวิญญาณ" อันเป็นตัวแทนของจิตจักรวาลนั่นเอง อันเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มีพลังอำนาจจากต่างมิติเร้นอยู่ภายใน

    มนุษย์แต่ละคนจึงเป็นแค่เงา ซึ่งเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณที่ได้รับให้เข้ามาทำหน้าที่แทนจิตจักรวาล มนุษย์แต่ละคนจึงมีพลังอำนาจและมีสติปัญญา อันเป็นคุณสมบัติในการเป็นมนุษย์ และต้องใช้จิตสำนึกของตนเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนกระบวนการเท่านั้น

    ผลของการกระทำทางจิตทางจิตสำนึก เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนภายในจิตใจและสมอง ก่อให้เกิดอารมณ์รู้สึกคิดรู้ได้เมื่อใด เมื่อนั้นได้สร้างกระบวนการแล้ว และกระบวนการทางพลังงานที่เกิดขึ้นในมิติคู่ขนาน อันเกิดจากการสั่นสะเทือนของจิตสำนึกนั่นเอง

    ขณะที่มนุษย์สั่นสะเทือนทางจิตสำนึก กลไกของจิตใจในรูปของอารมณ์รู้สึกและการคิดรู้ด้วยสมองหรือสติปัญญา มันจะก่อใฟ้เกิดคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กระบบหนึ่ง ซึ่งแผ่ออกมาภายนอกร่างกายสู่จักรวาลโลกได้ โดยจิตวิญญาณ จะใช้พลังอำนาจที่มาจากต่างมิติ ที่เรียกว่า "จิตใต้สำนึก" เป็นผู้ช่วยเหลือในการขับเคลื่อนพลังงานภายในที่เกิดขึ้นออกมาสู่ภายนอกทันที

    พลังที่มนุษย์ควรปลดปล่อยมันออกมา ต้องเป็นพลังงานจากการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกเท่านั้น
    ไม่ใช่พลังงานด้านบวกที่มีพลังงานที่มีคุณสมบัติทางพลังงานจากความคิดความต้องการ อันเป็นมวลหยาบ ๆ เกาะติดมาด้วย หรือพลังงานจากจิตสำนึกด้านลบแต่อย่างใด

    เพื่อให้มนุษย์แต่ละคนได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงได้วางกลไกสำคัญสำหรับมนุษย์ไว้ 2 ประการ


    1.ให้มนุษย์แต่ละคนในภพชาติแรก เริ่มขาดการรู้แจ้ง หรือ "ไม่ฉลาด" ก่อนเสมอ โดยปิดบังสติปัญญาของจิตวิญญาณ ที่เร้นอยู่ในกายมนุษย์เอาไว้ ไม่ให้ล่วงรู้ที่มาที่ไปในเรื่องการมีสองภาคของตน

    2.เปิดโอกาสให้จิตวิญญาณ ย้อนกลับมาสู่มนุษย์ภพชาติใหม่ เพื่อปรับปรุงแก้ไขบทเรียนและบททดสอบของตนเองที่เกิดจากจิตสำนึกที่บกพร่องและผิดพลาด จนกว่าจะสามารถกระทำถูกต้องให้ได้ทั้งหมดไม่ว่าจะผ่านการยกระดับจิตสำนึกกันสักกี่ภพชาติก็ตาม

    วิธีการดังกล่าวนี้เรียกว่าวิทยาศาสตร์ทางจิต โดยต้องผ่านกระบวนการทางจิตวิญญาณ เพื่อการชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ แล้วยกระดับจิตสำนึกให้เข้าถึงพลังอำนาจแห่งสติปัญญาทางวิญญาณ จนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อการหยั่งรู้ขั้นสูงสุดในการตรัสรู้เพื่อการรู้แจ้ง

    น่าสนใจนะ เป็นการเติมเต็มความรู้ในทางพระพุทธศาสนานะค่ะ
     
  11. Unexpected

    Unexpected เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    683
    ค่าพลัง:
    +1,513
    โนเวย์ป้า ปวีมีพระ อ. มีเพื่อนพระ เปนกัลยาณมิตรที่ดีมาก เมื่อมีโอกาสคุยสอบถาม ท่านจะดึงจิตเราสุงขึ้นได้ตลอด ถ้าปวีจะไปทางนั้น ไม่ต้องรอใครบอกหรอก ไปเองตั้งกะอ่าน จจว หลายๆ สำนักแล้ว การฝึกจิตปวีไม่มีถอยหลัง เพราะปวีไม่เชื่อทุกอย่างในสมาธิที่จิตเห็น นอกจากเห็นด้วยตาเนื้อตอนลืมตาถึงจะเชื่อ จะต้องปฎิบัติหนีสงสารในศาสนาพระสมณโคดมให้ได้ จะไม่หลงทางไปทางอื่นเด็ดขาด ชีวิตคนเรามันสั้นมาก ปวีเปนฆราวาสยังหาเวลาปฎิบัติเท่าคนในวัดเลย ป้าโชคดีตรงไม่มีกรรมทางโลก ไปเอาจิต จจว ทำไม ถ้าปวีมีเวลาแบบป้า ไปไกลมากแล้วเพราะชีวิตในวัดค่อนข้างไม่วุ่นวาย (อาจไม่เสมอไป) ยังไงก้เปนกำลังใจให้ป้านะ แต่ไม่รวม จจว นะ
     
  12. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    จริงๆจะบอกหลายครั้งแล้วแต่ขี้เกียจพิมพ์ครับ พระพุทธองค์ยังมีสีฉัพพรรณรังสี. สรุปคำตอบคือคุณจืตยิ้มไม่เห็นแต่สัมผัสได้อย่างเดียวนั่นเองครับ แล้วที่สำคัญ จจว เข้ามาไม่ได้นะครับสภาวะนั้นน่ะ ถ้าท่านคิดเช่นนั้นก็ อาเมนเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าเถิด
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ลาวาฮาวายนับวันยิ่งแย่! กระเซ็นโดนคนเจ็บสาหัส-จ่อไหล
    ลงทะเลสร้างแก๊สพิษ


    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 20 พ.ค. 2561 23:05

    CiHZjUdJ5HPNXJ92GRhFK7bLDs2DO77l6u.jpg

    สำนักสำรวจธรณีวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส) ระบุว่า เมื่อลาวาชนเข้ากับน้ำทะเลจะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่สร้างหมอกอันตรายที่เจือปนกรดไฮโดรคลอริค และอนุภาคแก้วขนาดเล็ก ที่หากสัมผัสแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดการระคายเคียงผิวหนังหรือตา และทำให้เกิดอาการหายใจลำบากได้

    อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1287001

    นี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมสงครามโลกจึงไม่อาจเกิดขึ้น เมื่อใดมีการจุดชนวนสงคราม มนุษย์ก็จะหันมาสู้รบกับภัยธรรมชาติแทน ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลัก ๆ สามอย่างคือ ๑.พายุหมุน ๒.แผ่นดินไหว(รวมถึงคลื่นยักษ์ด้วยเพราะเกิดจากแผ่นดินไหวใต้มหาสมุทร) และ ๓.ภูเขาไฟระเบิด

    หลังจากการกระทำทางเทคนิคเริ่มต้นมาจนถึงบัดนี้ มนุษย์มากรายได้เผชิญกับชะตากรรมปรากฎการณ์ลำดับที่ 1 และ 2 เพียงบางแห่ง และเป็นความรุนแรงในระดับกลางเท่านั้น จากวันนี้ไปมันจะเพิ่มความถี่ในการเกิดมากขึ้นและรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

    ภูเขาไฟระเบิด

    การกระทำทางเทคนิคที่รุนแรงสูงสุดนี้ จะดำเนินการก็ต่อเมื่อต้องการผลการกระทำขั้นสูงสุดเท่านั้น

    จักรวาลจะใช้วิธีสร้างพายุแม่เหล็กอย่างรุนแรงบริเวณใต้พื้นโลกส่วนที่เป็นโลหะร้อน ซึ่งสั่งสมพลังงานไว้อย่างมากมายให้มันคายพลังงานออกมา เพื่อจะผลักดันตนเองให้เคลื่อนย้ายไปในทิศทางที่คำนวณไว้ ซึ่งมนุษย์เรียกว่า การระเบิดของภูเขาไฟที่มันอาจจะเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน พร้อมกับขับดันลาวาให้พุ่งออกมาจากการระเบิดภายในใจกลางนั้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่องหลายวัน การเคลื่อนย้ายแนวของโลหะแข็งแทนที่ของไหลที่ถูกผลักดันออกมาจึงเกิดขึ้น มันเป็นกระบวนการเพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางของแนวแกนแม่เหล็กโลก ให้เบี่ยงเบนไปเพื่อวางโครงข่ายของเส้นแรงแม่เหล็กโลกระบบใหม่ นั่นเอง

    จักรวาลจะไม่กระทำทางเทคนิคต่อโลก ผ่านปรากฎการณ์ทั้ง 3 แบบ ที่กล่าวไว้โดยพร้อมกันเสมอ เพราะมันหมายถึงเคราะห์ภัยของมนุษย์ที่ต้องเผชิญอย่างสาหัสอย่างยิ่ง แต่ทว่าเมื่อถึงเวลานี้แล้ว จะขยับเคลื่อนแนวแกนแม่เหล็กโลกอีกที่เหลือให้สำเร็จตามที่กำหนดให้ได้ ภัยพิบัติหายนะในพื้นที่บางส่วนจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


    จงมีสติและไม่ประมาทเพราะมันอาจเกิดขึ้นได้ แม้ในบางสถานที่ ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์เหล่านี้มาก่อนด้วยซ้ำ ขอเตือนมาด้วยความรักอย่างแท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2018
  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    อนุโมทนาค่ะ แสดงว่ามีใครหลาย ๆ คนที่เข้าถึงและรับรู้ได้ค่ะ
     
  15. เเสงเทียน

    เเสงเทียน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +156
    ความสูญเสียจะทำให้คนกลับใจได้เสมอ ภับพิบัติแค่นี้สงครามแค่นี้คนยังไม่เปลี่ยนหรอก
     
  16. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เรามาดูเรื่องของกระบวนการของใจแบบคร่าว ๆ กันดีกว่าค่ะ

    มนุษย์เกิดความรัก โลภ โกรธ หลงทำให้ยึดติดอยู่กับตัวเอง และโลกอยู่ในขณะนี้ จนแปลความหมายรักตัวกลัวตาย หรือเวทนาอารมณ์ให้วุ่นวายไปหมด เพราะความไม่รู้เท่าทันกลไกแห่งจิตของตนนั่นเอง

    ๑.จิตใจ หมายถึง "จิตที่มีบทบาทด้านความรู้สึก" ตรงกับ"เวทนา" ในทางศาสนา และหมายถึง "จิตที่มีบทบาทในการรู้ตัว หรือ ความมีสติของเรา เช่น การจำได้ การระลึกได้ การรู้ความเป็นไปต่าง ๆ ของตนเอง ตรงกับ "สัญญา" ในทางศาสนา

    ๒.จิตสำนึก หมายถึง "จิตที่มีบทบาทในการคิด ซึ่งเป็นการปรุงแต่งสิ่งต่าง ๆ การคิดเพื่อพูด หรือคิดเพื่อกระทำ ล้วนปรุงแต่งด้วยจิตสำนึกทั้งสิ้น

    ถ้าคิดดี ก็พูดดีและทำดี ถ้าคิดชั่ว ก็พูดชั่วและทำชั่ว

    จิตส่วนนี้ก็สามารถปรุงแต่ง เพื่อสร้างตัวตนที่เป็นรูปธรรมขึ้นมา

    ๓.จิตวิญญาณ จิตที่มีบทบาทในการรับรู้ ผ่านช่องทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย และลึกลงไปถึงใจ การรับรู้สัมผัสใด ๆ ผ่านช่องทางนี้จะเป็นหน้าที่ของจิตวิญญาณโดยตรง

    การหมุนธรรมจักรภายในตนเอง


    ขั้นตอนที่ 1: การรับรู้

    อายตนะทั้ง 6 คือ อายตนะภายนอก 5 และอายตนะภายใน (จิตที่นึกคิดเองได้ตลอดเวลา) 1 ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใช้ เพื่อสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดในทุกขณะจิตของแต่ละคนนั่นเอง วัตถุประสงค์ในการใช้อายตนะ 6 ของตน ก็คือ ใช้เพื่อการเรียนรู้เท่านั้น

    พลันเกิดการสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดเรื่องใดขึ้น ช่องทางหนึ่งก็ตาม กลไกชิ้นนั้นจะทำหน้าที่เพียงแค่ รับเอา คลื่นแสง คลื่นเสียง คลื่นจิต และคลื่นแห่งการสัมผัสรับรู้ หมุนเข้าสู่ภายใน ให้ไปรวมศูนย์ยังจุดเดียว นั่นคือ ถ่ายทอดรหัสนี้ไปสู่ "จิตหยาบ"

    จิตหยาบ คือ ผู้ทำหน้าที่ทั้ง รับ และ รู้ รวมเรียกว่า "รับรู้" จนสามารถบอกได้ว่าตนกำลังสัมผัสรับรู้ดูสิ่งใดหรือ ทำหน้าที่เป็น "ผู้รู้" ที่สามารถบอกมนุษย์ว่า มันคืออะไร? มันเป็นอะไร? และอารมณ์ที่เกิดขึ้นในสภาวะจิต คืออารมณ์สึกแบบใด?

    ขั้นที่ 2: ขั้นรับเอา

    จิตหยาบ หรือ จิตมนุษย์ เมื่อสั่นสะเทือนตนเองเกิดขึ้นเป็นรับรู้ ขึ้นมาแล้ว จิตหยาบมีคุณสมบัติหลักเฉพาะตัว 4 ประการ

    ๑.รู้สึกได้
    ๒.รู้เกิดอารมณ์ได้
    ๓.รู้จำได้หมายรู้อารมณ์รู้สึกนั้น ๆ ของตนได้
    ๔.รู้คิดนึกเองได้


    เมื่อรับรู้แล้ว จะนำเอาสิ่งที่ตนรับรู้มาปรุงแต่ง หรือนำมาสร้างเป็นเงื่อนไขให้จิตตนสั่นสะเทือนไปตามคุณสมบัติในข้อ 1 ถึง ข้อ 4 คือ เกิดอารมณ์รู้สึกนึกคิด เรียกว่า การรับเอา สิ่งที่รู้มาปรุงแต่งให้เกิดเป็นความรู้สึกของตนเอง

    มนุษย์ต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า ตามธรรมชาติของจิตหยาบนั้น ถ้ายามปกติที่มนุษย์มีความสุขสงบในจิต คลื่นอารมณ์ความรู้สึกจะเป็นคลื่นความถี่ด้านบวกเสมอ

    แต่ พอได้รับรู้แล้วเกิดอาการไม่สุขสงบเป็นอย่างเดิมอีก อารมณ์ความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้น มันจะหยุดการสั่นสะเทือนตนเองทางด้านบวก แต่มันจะสะเทือนอารมณ์ไปตามอารมณ์รู้สึกใหม่ที่ไม่สงบสุขแทนทันที

    คลื่นอารมณ์"ด้านบวก"เสมอ คือ ความรักที่นำไปสู่การให้อย่างบริสุทธิ์ใจ เช่น การอดทน อดกลั้น การให้อภัย การมีปีติยินดี ความเบิกบานแจ่มใส ความสุขสงบในจิตใจ ความเวทนาสงสาน และมีความมีเมตตากรุณา เป็นต้น

    คลื่นอารมณ์"ด้านลบ" คือ ความโกรธ๑ คือ ความนึกคิดที่จะตอบโต้ ต่อต้าน ต่อสู้ หรือหลีกเลี่ยง ความโลภ๑ คือ หึงหวง ห่วงแหน อิจฉา ริษยา ความลุ่มหลง-ลังเลใจ๑ เช่น ศรัทธาในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ เชื่อในสิ่งที่ตนอธิบายไม่ได้ การพอใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างไร้เหตุผลเป็นต้น

    ขั้นที่ 3 ขั้นผลิตสร้างพลังงานใหม่

    เมื่อจิตหยาบเกิดการรับรู้แล้วมีอารมณ์รู้สึกเกิดขึ้น ถ้าจิตมนุษย์เกิดเป็นอารมณ์รู้สึกด้านบวก หรือ ด้านลบ หรืออารมณ์บูด หรือกรณีมีกิเลสตัณหา ด้วยการคิดตัดสินจิตมนุษย์ แล้วมีกลไกขนิดหนึ่งที่ติดตั้งอยู่บริเวณก้านสมองใกล้ ๆ กับท้ายทอย (โคนส์) จะมีการคัดแยกชนิดของพลังงาน ว่าเป็นบวก หรือลบ เพื่อจะได้ถ่ายทอดแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นไปยัง

    ขั้นตอนที่ 4 ขั้นการนึกคิดของจิต

    การผลิตสร้างอารมณ์ขึ้นมา หากเป็นคลื่นอารมณ์รู้สึกด้านบวก หรือ ด้านลบ ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานจิต(เป็นคลื่นความถี่ไฟฟ้าแม่เหล็ก) จะมีองค์ประกอบสำคัญสองประการ

    ๑.คลื่นความถี่ทางอารมณ์รู้สึก
    ๒.อนุภาคของคลื่นความถี่ที่มีคุณสมบัติเป็นประจุไฟฟ้าบวกหรือลบ


    กลไกนี้จะสั่นสะเทือนเป็น คลื่นสัญญาณการนึกคิด ถ้าคลื่นรหัสสัญญาณด้านลบ กลไกหนึ่งจะรับรู้ว่า จิตหยาบหรือจิตมนุษย์อยากได้หรืออยาก กลไกต่อมไร้ท่อนี้ จะสั่นสะเทือน เป็นคลื่นสัญญาณการนึกคิด นั่นคือ แค่เพียงวูบเดียว จะเกิดความคิดขึ้นมา หากกระทำใด ๆ ตามความอยาก ที่แสดงออกมิได้ใช้สติปัญญาสมองนึกคิดใคร่ครวญพิจารณาให้รอยคอบก่อนตัดสินใจกระทำแต่อย่างใด ว่ามันถูกต้องเหมาะสมดีงามหรือไม่ เพียงแค่วูบเดียว มนุษย์จะขาดความยับยั้งชั่งใจกระทำทันที

    แต่หากรับมาแล้ว ถ้าเป็นการสั่นสะเทือนด้านบวก ความรู้สึกสงสารและห่วงใย มนุษย์จะผุดคำตอบขึ้นมาในใจว่า ให้กระทำสิ่งที่ดีงามในการกระทำขึ้นมา

    มนุษย์จะต้องรู้ว่า ถ้าจะหมุนเป็นธรรมจักรในตนเองให้ครบวงจรแล้ว จะหยุดหมุนกันที่ขั้นตอนอารมณ์รู้สึกบวกและลบ ขับเคลื่อนพฤติกรรมใด ๆ ของตนเองโดยไม่ใช้สติปัญญาของสมองไตร่ตรองให้ถ่องแท้แยบยลก่อนไม่ได้โดยเด็ดขาด

    มนุษย์ต้องใช้สมองตรึกตรองและสร้างสรรค์ก่อนการแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใด ๆ เสมอ แม้ว่ามันจะเป็นความรู้สึกนึกคิดด้านบวกก็ตาม

    การคิดหาวิธีการที่ถูกต้องที่สุด
    การคิดหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
    การคิดหาวิธีการที่ดีที่สุด


    เพื่อที่จะแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมนั้นแล้ว ไม่เป็นเงื่อนไขด้านลบของผู้อื่น โดยไม่ไปบ่อนทำลายความสงบสุขในจิตใจผู้อื่นด้วย

    คำถามว่า "ต้องทำอย่างไร?" จึงเป็นคำถามสุดท้ายในทุกความคิดต้องการ ที่มนุษย์ต้องแสวงหาคำตอบมาให้ได้ ด้วยสติปัญญาสมองของตน อันเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการหมุนในธรรมจักรในตนเองแล้ว

    การเป็น "คน" บ่งบอกนัยยะ การคนน้ำในถ้วยแก้วให้มันหมุนวนจากภายนอกสุดเข้าสู่จุดศูนย์กลางเสมอ เมื่อหมุนวนเข้าถึงจุดศูนย์กลางได้แล้ว น้ำก็จะม้วนตัววนย้อนกลับออกมาสู่ภายนอกอีกครั้ง

    การที่สามารถเข้าถึงสติปัญญาของจิตวิญญาณได้ ย่อมไม่แตกต่างจากการคนน้ำให้หมุนวนเข้าสู่จุดศูนย์กลาง มนุษย์ต้องนำเอาความรู้สึกนึกคิดที่สร้างสรรค์และดีงามนั้น ออกมาแสดงหรือปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สุขทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นและต่อโลก

    ความดีงามทั้งอารมณ์รู้สึกนึกคิดทั้งหลายของจิตมนุษย์ เปรียบดั่งพระเจ้าในตนเองของแต่ละคน หากใครสามารถค้นพบและเข้าถึงมันได้ รีบนำออกมาแสดงต่อโลกต่อผู้อื่นให้เขาได้มีโอกาสชื่นชมและเอาเยี่ยงอย่าง

    ดั่งคำที่ว่า พุทธโยนิอันประเสริฐมีแล้วในจิตใจเราทุกคน และ สรรพสิ่งที่เป็นอัตตาโดยมีรูปธรรมทางพลังงานสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาเร้นอยู่ข้างใน นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2018
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    นาทีลาวา กระฉูด!ไหลจ่อโรงไฟฟ้า เตือนภูเขาไฟที่ฮาวายปะทุ วิกฤติกว่าเดิม (คลิป)

    อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1288772#cxrecs_s

    images.jpeg

    การดำเนินการทางเทคนิคอยู่ในขณะนี้ มันจะเป็นเพียงแค่ก่อให้เกิดสภาวะวิกฤติทางธรรมชาติที่รุนแรงบนพื้นที่ ๆ ที่ได้กำหนดเป้าหมายล่วงหน้าแล้วเท่านั้น

    ความรุนแรงของภัยพิบัติที่ต้องเผชิญ ตามสัดส่วนของพลังงานกรรมที่มนุษย์บนแผ่นดินนั้นกระทำไว้บนโลก

    ประชากรต้องลดลงอย่างน้อย 1 % ของประชากรโลก ตลอดช่วงระยะเวลาหลายสิบปีในท่ามกลางภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงเกิดขึ้นทั่วโลก


    ขณะที่แผ่นดินต้องหายไป 1 ใน 3 ส่วน จะหายไปจากแผนที่โลก

    เนื่องจากพลังงานส่วนใหญ่ที่มาทดแทนให้กับโลกที่เสียสมดุลไปนั้นส่วนใหญ่มาจากนอกระบบโลก คือ จากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ลดลง 1/3 ส่วน จึงทำให้พื้นที่โลก ลดลง 1/3 ส่วน เหมือนกัน เพื่อความสมดุลเหนี่ยวรั้งในระบบเดียวกัน

    กฎของจักรวาลความสมดุลทางพลังงาน หากที่หนึ่งที่ใดเพิ่มขึ้น อีกที่หนึ่งจะต้องลดลงเสมอ

    นี้เป็นเหตุผลหนึ่งว่า ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นเพราะ โลกเรากำลังอยู่ในระยะคาบเกี่ยว เมื่อกระทำการทั้งหมดเสร็จสิ้นลง ทุกสรรพสิ่งในระบบโลกที่เหลืออยู่จะได้รับโอกาสให้เคลื่อนไหลได้ต่อไป

    ข้อมูลสรุปสำหรับผู้ที่ยังตื่นตระหนกเกินจริงค่ะ แต่ถ้าประเทศของเราคนในประเทศสร้างกรรมไว้แก่โลกมากเท่าไหร่ วิกฤติภัยธรรมชาติก็จะเป็นไปตามกรรมโดยรวมของพื้นที่นั้น ๆ ค่ะ
     
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    หนี่งในเหตุการณ์ของโลก วิกฤติเศรษฐกิจโลกจะพังทลาย

    เป็นเหตุการณ์ที่จะปรากฎขึ้นอันเนื่องมาจากการตัดสินใจผิดพลาดของผู้นำบางประเทศ ที่มีสภาวะจิตใจขาดความสมดุล จะครองสติตนเองได้ยาก อันเนื่องมาจากวิบากรรมที่พกติดตัวมาในอดีตชาติที่เกี่ยวเนื่องจากความกลัวในจิตใจ

    การกระทำทางเทคนิค นอกจากมนุษย์จะมีสติปัญญาสูงขึ้นในครั้งนี้ ต่อตัวมนุษย์ด้านลบก็มีเช่นกัน สำหรับผู้ที่จิตใจขาดความสมดุล (ภัยพิบัติที่เกิดจากจิตใจมนุษย์ ก็เป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่ง)

    ๑.จะเครียดจัด โกรธง่าย หายช้า และปวดหัวรุนแรงผิดปกติ

    ๒.ผู้ที่ขาดความสมดุลทางอารมณ์ จะครองสติตนเองได้ยาก จนตัดสินใจผิดพลาดมากขึ้น

    ๓.ผู้ที่มีจิตใจไร้คุณธรรม จะเผชิญเคราะห์ภัยมากกว่าคนอื่น ๆ

    ๔.จะเผชิญหน้าเพื่อการรู้แจ้งระหว่างกันที่รุนแรงมากขึ้น

    ๕.คนชั่วจะแสดงความชั่วให้ปรากฎ เป็นอุปสรรคต่อผู้อื่น ด้วยการกระทำที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน

    ๖.ถ้ามีกรรมหนักมาก บางคนครองสติไม่ได้อีกต่อไป ร่างกายบางส่วนใช้การไม่ได้ เกิดอุบัติเหตุ และฆ่าตัวตายกันมากขึ้น คนที่อกตัญญูต่อพ่อแม่ผู้มีพระคุณและผู้เป็นสายเลือดเดียวกันไม่ต้องรอผลชาติหน้า

    ๗.จะสร้างความขัดแย้งกันมาขึ้น เพราะมีสติปัญญาเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่ใช่สติปัญญาไม่เป็น เนื่องจากขาดการพัฒนาและทักษะทักษะการใช้ความคิด จนสร้างความขัดแย้งที่รุนแรงได้ง่าย และจะตื่นกลัวใฝ่หาที่พึ่งทางใจ ทั้งเหมาะสมและไม่เหมาสมกันง่ายขึ้น

    นี้เป็นอีกตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงทั้งในสังคมโลก และสังคมไทย เป็นวิกฤติการณ์ที่มนุษย์ต้องต่อสู้และเผชิญความขัดแย้งที่รุนแรงต่อกันทางด้านจิตใจ ส่งผลพิษภัยเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2018
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    บทเรียนแห่งความกลัวตาย

    เป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่จะนำตนเองไปสู่ "การรู้จักรักผู้อื่น" ขึ้นมาให้ได้ เพราะมนุษย์โลกส่วนมาก ไม่รู้จักรัก รักไม่เป็นและไม่รู้ว่าความรักบริสุทธิ์แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร จะเป็นบทเรียนสุดท้าย ที่จะต้องเรียนรู้ให้เกิดการรู้แจ้ง เห็นแจ้งก่อนที่โลกจะเปลี่ยนสู่ยุคใหม่

    เพื่อพิพากษามนุษย์โลกเป็นรายบุคคล ผ่านกระบวนการคิดสินใจว่าจะหมุนธรรมจักรในตนเอง หรือ ตัดสินใจหมุนกรรมจักรในตนเอง ด้วยการประพฤติผิดบาปก่อกรรมทำเข็ญ ตามเคยเคยตัวของตนกันอยู่ต่อไป

    เพื่อปรับสมดุลโลกสองมิติ ชำระจิตสำนึกที่บกพร่อง ยกระดับให้ประพฤติดี ประพฤติชอบให้จงได้ และการกำจัดขยะรกโลกไปจากระบบ คือขยะเทคโนโลยี และ มนุษย์ที่ไม่ประพฤติธรรม ไม่มีปณิธานแห่งนิพพาน

    สร้างจิตสำนึกเป็นหนึ่งเดียวกัน

    จัดระบบองค์กรใหม่ให้เกิดความสมดุลในทุก ๆ ด้าน คือ ทั้ง 3 ภพ คือ นรก สวรรค์ และโลกมนุษย์
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    นี้เป็นเหตุผลหนึ่งในพุทธทำนาย "มหาสมุทรจะชอกช้ำ"


    การทิ้งขยะพลาสติกที่ลอยหมุนวนอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกขณะนี้ นับเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่อเค้าวิกฤติขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีการประเมินว่ามันใหญ่กว่าประเทศฝรั่งเศส

    CiHZjUdJ5HPNXJ92GRi7wSnK6iQ13IhrJQ (1).jpg

    อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1242436#cxrecs_s

    เนื่องจากการปฏิกูลต่าง ๆ จะมีมากกว่าแผ่นดินโลกจะซึมซับโอบอุ้มเอาไว้ คือตัวการก่อมลภาวะทางน้ำ

    อำนาจเงิน ผลประโยชน์ ความบ้าคลั่งทางปัญญาอุตสากรรมหนัก

    ตะลึง! กากขยะพิษทั่วโลก 1 แสนตันแอบขนซุกไทย


    G0DL5oPyrtt5HBAi4AIWPJcWUWmWVNqgxyZh5zhiVHtHcYO0yoJl5u.jpg

    https://news.thaipbs.or.th/content/272390

    มนุษย์เชื่อหรือไม่ว่า สถานการณ์โลกในขณะนี้ปัญหามลภาวะมันหนักหนาจนสุดเยียวยาได้ มหันตภัยกำลังคืบคลานสู่มวลมนุษยชาติแล้ว จงเตรียมตัวกันไว้ให้ดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...