มีคำทำนายภัยพิบัติ พระยาธรรมที่ท่านทั้งหลายคิดว่าเชื่อถือได้กันบ้างหรือเปล่า

ครับ เมตตา แปลว่า อะไรครับ เมตตา คืออะไรครับ อยากรู้ครับ.
เมตตา แปลว่า รัก และคือ รัก มิใช่หรือครับ รักที่บริสุทธิ์.
พระพุทธเจ้า สั่งให้มีเมตตามิใช่หรือครับ.
พระพุทธเจ้าสั่งให้พิพากษาตนเอง มิใช่พิพากษาคนอื่นครับ.
ความรัก คือ เมตตาธรรมค้ำจุนโลกครับผม.รักในพรหมวิหาร 4 มิใช่รักในกาม ผิดตรงจุดไหนครับผม.
ขอเรียนถามในความคิดเห็น ที่มีเหตุมีผล และเหนือเหตุ เหนือผลนะครับ มิใช่ได้ขัดแย้งกัน...ขอบคุณมากครับ.

 

รัก ในกามเพื่อครอบครอง มีแต่ โลภะ-โทสะ-โมหะ-เห็นแก่ตัว-อิจฉาริษยา-อาฆาตพยาบาท-มีแต่โทษและหายนะวิบัติ.
รัก ในพรหมวิหาร 4 มีแต่ความบริสุทธิ์ มีคุณประโยชน์ ไม่มีโทษใดๆ.
รักพระพุทธเจ้า รักพระพุทธศาสนา รักธรรมชาติ รักกันในหมู่คณะ ไม่แยกแตกกัน..
เมื่อไม่รักกัน ก็แตกกลุ่มกัน.จริงมั้ยครับ.

 

ลักษณะของเมตตา
ในวิสุทธิมรรค สมาธินิทเทส พรหมวิหารนิเทส แสดงลักษณะของเมตตาพรหมวิหารไว้ว่า

• เมตตามีอาการประพฤติเกื้อกูลเป็นลักษณะ
• มีการน้อมนำเข้าไปเกื้อกูลประโยชน์ในสัตว์เป็นรส
• มีการบำบัดความอาฆาตเป็นปัจจุปัฏฐาน (อาการที่ปรากฏ)
• มีการเห็นสัตว์เป็นที่ชอบใจ คือไม่โกรธเคือง ไม่ขุ่นเคืองในขณะนั้นเป็นปทัฏฐาน (เหตุใกล้)
• มีการเข้าไปสงบความพยาบาทเป็นสมบัติ
• มีความเสน่หาเป็นวิบัติ

ตามอัฏฐสาลินี อรรถกถา พระธัมมสังคณีปกรณ์ ทุกนิกเขปกถา เหตุโคจฉกะ พระบาลีนิทเทอโทสะ (1062) ได้แสดงลักษณะของเมตตาไว้ว่า

• เมตตามีชื่อว่าไมตรี เนื่องจากเป็นกิริยาที่สนิทสนม
• เมตตามีชื่อว่าการเอ็นดู เพราะคอยปกป้องคุมครอง
• เมตตามีชื่อว่าความแสวงหาผลประโยชน์เกื้อกูล
• เมตตามีชื่อว่าความสงสาร เนื่องจากคอยหวั่นไหวตามไปด้วย

ดังนั้น การจะแสดงว่ามีเมตตาต่อบุคคลใด จึงต้องมีลักษณะดังกล่าว ซึ่งหากว่าไม่ใช่อาการเหล่านี้ จิตขณะนั้นอาจเป็นโลภะหรือโทสะซึ่งเป็นอกุศลจิต ไม่ใช่เมตตา

อานิสงส์ของเมตตา
ในอังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เมตตาวรรคที่ 1 เมตตาสูตร และในอังคุตรนิกาย เอกาทสนิบาต เมตตาสูตร ได้สรุปอานิสงส์ของเมตตาไว้ดังนี้

• ย่อมหลับเป็นสุข
• ย่อมตื่นเป็นสุข
• ย่อมไม่ฝันลามก (คืออกุศลทั้งหลาย)
• ย่อมเป็นที่รักแห่งมนุษย์ทั้งหลาย
• ย่อมเป็นที่รักแห่งอมนุษย์ทั้งหลาย
• เทวดาย่อมรักษา
• ไฟ ยาพิษ หรือศาสตรา ย่อมไม่กล้ำกราย
• จิตย่อมตั้งมั่นโดยเร็ว
• สีหน้าย่อมผ่องใส
• เป็นผู้ไม่หลงใหลทำกาละ
• เมื่อไม่แทงตลอดคุณที่ยิ่งยอด (เป็นพระอรหันต์) ย่อมเข้าถึงพรหมโลก

https://th.wikipedia.org/wiki/เมตตา


เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า

https://th.wikipedia.org/wiki/พรหมวิหาร_4


ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเมตตาแปลว่ารักหรือเปล่าครับ
แต่ ผมว่า เมตตากับรักทางโลกไม่เหมือนกัน ไม่งั้นอานิสงส์ของเมตตา คงไม่สามารส่งคนขึ้นขั้นพรหมได้ครับ

 

การรักกัน กลมเกลียวในหมู่คณะ ไม่แตกแยก บางครั้งมันก็มีมิติของมันอยู่ครับ
บางครั้งความกลมเกลียวสามัคคีอาจจะไม่ใช่เพราะมีความรักต่อกันก็ได้

แต่อาจจะเกิดจากการเห็นประโยชน์ที่ตรงกัน จึงมีการร่วมแรงร่วมใจในการทำการใด ๆ ให้ลุล่วง
เห็นสัจจธรรมที่ตรงกัน จึง ไม่แตกแยกทางความคิด อย่างนี้ก็ได้

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นแค่เพียงข้อสันนิษฐานของผมเท่านั้นครับ

 

ชักไม่แน่ใจแล้วสิครับว่าเมตตามีราคะหรือเปล่า

อย่างเช่น ผมเห็น ตั๊กแตนในสวนหลังบ้านผม ผมก็พอใจที่มันมาอยู่ในสวนหลังบ้าน เพราะว่าคิดว่าสวนเราเริ่มจะมีระบบนิเวศน์ที่ดีแล้ว ประมาณนี้ มันกัดกินใบสับปะรดสีผมก็ปล่อยมันกัดไปตามเรื่องตามราวของมัน (555 พ่อบ่นอุบเลย) อันนี้จะเป็นความเมตตาหรือราคะหนอ เพราะไปชอบใจที่มีตั๊กแตนในสวน

 

โลกมนุษย์สังคมที่สมดุล คือมี ฆราวาส - และ นักบวช
หากมีนักบวชทั้งหมด ไม่มีฆราวาส ก็จะขาดการพัฒนาในทางโลก
หากมีฆราวาสทั้งหมด ไม่มีนักบวช ก็จะขาดการพัฒนาในทางธรรม

หากเราเป็นฆราวาส พื้นฐานในการสร้างคอบครัวที่อบอุ่น และมีความสุข
คำว่า ครอบครัว นั้น ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก

ส่วนตัวผมนั้น มีพลังแห่งความรักเต็มเปี่ยม รักแท้จริงที่ไม่มีเงื่อนไข
เพราะว่าตัวผมนั้นเกิดมาจากความรัก

ปู่ ย่า.. ตา ยาย.. ผม ท่านรักกันครับ และแต่งงานกัน
และให้กำเนิด พ่อ กับ แม่ ผมมาครับ..
และ พ่อ แม่ ผม เมื่อท่านพบกัน ก็มีความรักให้กัน
แต่งงานกัน และให้กับเนิดผมขึ้นมา..
เพราะฉนั้น ผมจึงถือกำเนิดมาจากความรักแท้จริงครับ

และหากย้อนกลับไปตั้งแต่โลกสร้างมา มนุษย์เผ่าพันธ์แรก
ก็มีความรักให้กัน และสืบทอดเผ่าพันธ์มนุษย์มาจนถึงปัจจุบัน
หากโลกนี้ขาด "ความรัก" ไป เผ่าพันธ์มนุษย์ คงจะล่มสลาย

ผมกำเนิดมาจากความรักแท้จริงครับ และมีพลังความรักติดตัวในหัวใจ ที่ผลิตพลังของความรัก มอบส่งให้คนอื่นได้ไม่มีวันหมดสิ้น..

แล้วทุกท่านล่ะครับ เกิดมาจาก "ความรัก" กันมั้ยครับ...

 

เกิดมาจากความรัก ใช่

แต่ถ้าจะไม่เกิด ต้องตัดความรักครับ

ผมรู้สึกว่า เมตตากับความรัก ต่างกันตรงที่ ความรักมันให้ความรู้สึกว่ามีเครื่องพันธนาการด้วย รักแล้วอยากอยู่ใกล้ชิด ไม่อยากห่าง อยากได้มาครอบครอง เกิดความห่วงหาอาลัยอาวรณ์ อะไรประมาณนั้น แต่เมตตา ไม่มีความรู้สึกแบบนั้นครับ

สัมผัสได้ถึงความห่วงหาอาลัยอาวรณ์มั้ยล่ะครับ เพลงนี้

 

แหม่!! ดีจังเลยค่ะ เพิ่งมาเอะใจว่าเป็นเพราะอะไร?ทำไม? สนทนากับใคร ทำไมผู้สนทนาด้วยจึงไม่สบายใจ เพราะการ"การเพ่ง" นี่เอง เรามีความรู้สีกตัวแข็ง ตัวแน่นหนัก คือความรู้สึกไม่โปร่งเบา อาการเพ่งจึงพุ่งมุ่งเป้าไปที่ผู้สนทนาทำให้เขารู้สึกอึดอัด ไม่ผ่อนคลาย เพราะเป็นเช่นนี้เอง หากยามใดที่เรามองคู่สนทนาแบบรู้ นิ่ง ๆ มีความโปร่งเบา ความสบายย่อมส่งผลถึงคู่สนทนา เจอปัญหานี้มานานมากไม่รู้เลยว่าเกิดจากความแตกต่างกัน เพียงแค่ "ความรู้สึกกาย" กับ "ความรู้สึกจิต" แค่นี้เอง คงต้องฝึกฝนอีกเยอะเลย เพราะการที่มารู้สึกอย่างไร ก็คือ ความอัตโนมัติ หรือ ความเคยชิน นี่เอง

จิตยิ้มเคยถือแก้วสามใบนำไปฝากเพื่อน โดยถือทีเดียวแล้วค่อย ๆ ประคองไปแก้วสองใบแรก ถูกโอบอุ้มให้อยู่คู่กันด้วยนิ้วชี้และนิ้วโป้ง ส่วนแก้วอีกใบที่เหลือจะอยู่ด้านบนซึ่งมีนิ้วชี้ทั้งสองมือเป็นฐานรองไว้ แล้วอยู่ภายในการประคองไว้ของนิ้วกลางทั้งสองมือ

ประมาณนี้นะค่ะ



หรือจะลองนำภาพการทำสัญลักษณ์มือของพระพุทธองค์ด้านล่างนี้มาประกบกัน...



ก็จะได้สัญญลักษณ์ คือ ด้านล่างเป็นรูปหัวใจ เป็นฐานรองรับ สามเหลี่ยม เอาไว้ด้านบนค่ะ

รูปหัวใจ ที่แทนพลังงานแห่งความรัก
ยอดปิรามิด คือ แสงสว่างทางปัญญา

บ่งบอกถึง โลก กับ ธรรม โลกอันหมายธรรมคู่ ธรรมอันหมายถึงหนึ่งเดียว

แต่...โลกเป็นฐานของธรรม เพื่อนำโลกก้าวไปสู่ธรรมค่ะ


จิตยิ้มก็ค่อยๆ ประคองแก้วทั้งสามใบนี้เดินไป และก็ได้เห็นความหมายในความรู้สึก ระหว่างโลก กับ ธรรม แก้วคู่แรกเปรียบดั่งโลก ที่ต้องใช้ความรักนำทาง เพื่อให้ถึงจุดหมาย คือเหลือเพียงหนึ่ง คือ แก้วใบสุดท้ายคือหนึ่งเดียว

การสั่นสะเทือนของจิตสำนึกมนุษย์ จึงเป็นบ่อเกิดแห่งพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะคาดคิด

ส่วนที่จิตสำนึกบริหารสมองซีกขวา ในส่วนที่ก่อให้เกิดพลังงานอารมณ์ด้านบวก เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น จะก่อให้เกิดพลังงานด้านบวกเพียงอย่างเดียว ไม่มีพลังงานด้านลบใด ๆเจือปนอยู่ในนั้นเลย มนุษย์เรียกพลังงานทางอารมณ์ชนิดนี้ว่า พลังงานความรัก ได้แก่ ความมีเมตตากรุณา ความเอื้ออาทรกัน ความปราถนาดีจริงใจกัน ความอดทนอดกลั้น และการให้อภัยซึ่งกันและกัน ล้วนเป็นส่วนผสมของพลังงานความรักที่เกิดจากแหล่งเดียวกันทั้งสิ้น

การเกิดภัยพิบัตินี้ ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือจักรวาลได้ตัดสินใจใช้บทเรียนแห่งความกลัว เป็นเงื่อนไขให้มนุษย์เกิดทักษะ ในการปลดปล่อยพลังงานแห่งความรักให้แก่เพื่อนมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง จากการสั่นสะเทือนของจิตสำนึกของแต่ละคน พลังงานความรักที่เกิดจากจุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนภายในจิตใจมนุษย์ เป็นพลังงานบวกที่บริสุทธิ์และละเอียดอ่อน แต่...มีพลังอำนาจมหาศาล จนสามารถทำให้พลังงานด้านลบอื่น ๆ เป็นกลางได้ เป็นพลังงานที่เกิดขึ้นแล้วสั่นสะเทือนไปได้ทั่วทั้งจักรวาล หากเกิดพลังงานชนิดนี้ขึ้นที่ใดในจักรวาล รูปธรรมต่างๆ แม้อยู่ห่างไกลในต่างจักรวาลและต่างกาแล๊กซี่จะสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนนี้ได้อย่างชัดเจน

มนุษย์จะต้องพัฒนาตนเองในสามประการ ให้กล้าแกร่งและสมดุลกัน คือ

๑.สติปัญญา เพื่อสร้างอำนาจด้านความเฉลียวฉลาด
๒.ภูมิปัญญา เพื่อสร้างอำนาจด้านความรอบรู้
๓.ปัญญาญาณ เพื่อสร้างอำนาจการหยั่งรู้

จิตจักรวาลและจิตวิญญาณอันเป็นรูปธรรมทางพลังงานสามารถสร้างพลังอำนาจแห่งการคิดรู้ได้ทุกสรรพสิ่ง การรักษาความสมดุลของตนเองเอาไว้ได้ จะเกิดการสั่นสะเทือนของจิตที่เป็นนิวเคลียสรูปธรรมนั้น การใช้พลังงานแห่งความรัก (คือการไม่ก่อกรรม หรือการทำไม่ดีอะไรให้กับชีวิตตนเอง และมนุษย์คนอื่น ๆ ในสังคมและโลกใบนี้ ) สติปัญญาความเฉลียวฉลาด และภูมิปัญญาความรอบรู้ของมนุษย์ เกิดจากจิตภาคแรกที่บริหารสมองซีกซ้าย เป็นตัวการสร้างบทเรียนให้มนุษย์ รู้จักการแข่งขัน การต่อสู้ การเอาเปรียบเบียดเบียนกัน การมุ่งร้ายกัน และพฤติกรรมขยะอื่น ๆ อีกมากมาย มนุษย์จะสามารถพัฒนาปัญญาญาณสู่การหยั่งรู้ใด ๆ ด้วยการเริ่มต้นด้วยการปลดปล่อยพลังงานแห่งความรักให้แก่กันและกันได้ มันจะไปกระตุ้นจิตภาคสองของแต่ละคนให้เกิดการสั่นสะเทือนสูงสุด ปัญญาญาณในแต่ละคนจะผุดขึ้นมาเอง ซึ่งอำนาจแม่เหล็กโลกที่เพิ่มขึ้นในยุคพลังงานใหม่เข้ามาช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนในกิจกรรมนี้อยูแล้ว ก็คือ สติปัญญา ภูมิปัญญา และปัญญาญาน นั่นเองค่ะ

เพราะคุณสมบัติของการสั่นเทือนด้วยพลังอำนาจแห่งความรัก เป็นคุณสมบัติประจำตัวของจิตวิญญาณทุกรูปทุกนาม ซึ่งพลังนี้มีพลังอำนาจมหาศาล บริสุทธิ์และละเอียดอ่อน ซึงก็คือ พลังอำนาจของแก่นแท้ทางพลังงาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติเดิมของจิตวิญญาณ ( หรือจะเรียกว่า คลื่นอนัตตา ก็ได้ ประมาณนี้ค่ะ)

 

ครับ ทุกคน เกิดจาก ความรัก.
1.ทุกคนเกิดจากความรักของธรรมชาติ สำคัญและยิ่งใหญ่ ลำดับที่ 1.
2.ทุกคนเกิดจาก ความรักของผู่ให้เกิดกำเนิดมา.
3.ทุกคนจึงมีความรักครับ.

 

เมตตา เขียนก็ยังไม่เหมือนรักเลยนะครับ และพรหมวิหาร 4 ก็ไม่มีรัก นะครับ ลองไปค้นหาเอาเองเลยทั้งจากเน็ท หรือลงมือเอง อย่าคิดไปเอง นำสัจธรรมมาปนนะครับ

และมันก็ไม่ใช่ความคิด ผมไม่ได้มานั่งมโนกับคุณหรอกความจริงเป็นยังไงมันก็เป็นอย่างงั้น รัก ปถุชนอ่าน เขามโนว่ายังไงเชิญมโนเอาเอง เมตตาปถุชนอ่านเขามโนว่ายังไง?
"แล้วสรุปเมตตา กับ รักมันเหมือนกันไหม?" อย่าแถเลยครับก็เห็นอยู่ว่ามันไม่เหมือนกัน "ทั้งภาษาพูดและการตีความใดๆเลย"

แล้วบอกว่าผมพิพากษาใช่มะ ? แยกให้ออกระหว่าง "พิพากษากับ พูดความจริงนะครับก็เห็นกันอยู่

 

ครับผม.ก็คุณ.พิพากษาทั้งแกงค์ มิใช่หรือครับ ให้รู้สึกตัว และสัมมาทิจฐิขาดกันเพียบ ครับผม
ให้ข้อคิดนะครับ

 

นิพพาน มีความรักไหม ? อย่าตีความไปเองว่า "ความรักกับเมตตาเหมือนกันนะครับ ยิ่ง 3 ข้อที่มโนมายิ่งเละเลยฮับ และทำไมผมบอกคุณมโน เพราะความจริงเป็นยังไงมันก็เป็นอย่างงั้นอะนะ

1.ทุกคนเกิดมาจากเหตุปัจจัยไม่มีความรักใดๆทั้งสิ้น และธรรมชาติก็ไม่ได้รักใครมันเป็นในแบบที่มันเป็น เช่นธรรมชาติของดาวพลูโตมันก็ไม่เหมือนกับโลก ไม่มีสิ่งมีชีวิต มันก็แค่นั่นมันเป็นในแบบที่มันเป็น ไม่ใช่ใครๆอยากให้เป็น
2.พ่อแม่ที่พลาดเอาเด็กไปทิ้งไปทำแท้งก็มีอีกมาก บางคนโดนข่มขืนก็มีบางคนที่รักกันจริงๆก็มี นี่แหละความจริง คือบางคนรักกันก็มี แต่ไม่ใช่ทุกคนต้องรักกัน
3.ยิ่งหนักเลยครับ อย่าเอาตรรกะศาสตร์มาใช้กับธรรมชาติ นักวิทย์เขาตั้งสมมุติฐานและทดลองไม่ใช่มโนเอาจากตรรกศาสตร์นะฮับ

 

ครับผม
- ทุกๆคน มีรักในหัวใจ นำมาก่อน มีเมตตา หรือ มีเมตตาในหัวใจก่อน มีรักในใจครับ.ภาษาใจในความรู้สึก มีภาษาเดียว ไม่เหมือนภาษาตัวอักษรครับ

 

เรื่องจริงทั้งนั้นครับ ไม่ลองไปถกเรื่องพลังงานแห่งรักที่ห้องอภิญญาดูละครับ? ว่าพลังงานแห่งรักใช่สัมมาทิษฏิไหม? ในพระไตรมีพลังงานแห่งรักไหม? ถ้ามีหามาให้ดู และ"พลังงานแห่งรักที่พวกคุณทั้งหมดสอนผู้อื่นมันไม่ใช่เมตตา"มันก็แค่นั้นแหละ และพิพากษากับความจริงมันก้ต่างกันอีกนั่นแหละ และที่ให้รู้สึกตัวก็ถูกต้องแล้ว กาย เวทนา จิต ธรรม ให้ข้อคิดนะครับ


ดังนั้นถ้าจะ "อ้างว่ารักคือเมตตา" ก็กรุณาเปลี่ยนคำซะมันจะปิด "มรรคผลผู้อื่นนะครับ" เพราะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดอะนะครับ

 

ครับผม คุณก็เลยไม่ได้เกิดมาจากความรัก.ของผู้ให้กำเนิด.

 

ความรู้สึกรัก ? เป็นยังไงครับ ?
สภาวะธรรมปิติ มันซ่านออกไป สุขมันเบาบาง แล้วรักละครับไหนตอบสิ้?

 

อ่าว ว่าผมซะแล้วจะว่างั้นก็เชิญฮับ เรื่องจริงเป็นยังไงผมรู้ตัวผม อย่ามโนเดาตัวผมเลยครับ ถึงขนาดว่าพ่อแม่ผมซะแล้ว "คุณพลังงานแห่งรัก" แต่มันเป็นธรรมดา "เพราะการตอบโต้ของคุณที่ออกนอกเรื่องเพราะ แถไปต่อไม่ได้ และ รับความจริงไม่ได้มันก็แค่นั้นแหละ" ดังนั้นถ้ารับความจริงไม่ได้ ก็ไม่น่าจะเป็นพุทธนะครับ "ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" ผมพูดจริงไหมที่ผมพูดไป? คุณพูดไม่ตรงตามจริงไหม? มันเห็นกันอยู่แล้วอะฮับแล้วยังจะปฏิเสธสัจธรรมลามมาด่าพ่อแม่ชาวบ้านด้วย นี่อะนะ"คนมีหน้าที่ที่อ้างเอง" น่าสมเพชนะครับ

 

ครับผม เดี๋ยวได้พบกันที่ห้องอภิญญาล่ะครับ.

 

สรรพสัตว์ในกามวจรทั้งมวล "ไม่มีสิ่งใดเกิดจากความรัก" นี่คือความจริง

แต่สัตว์ในกามวจรทั้งมวล"อาจมีความรักในการให้กำเนิดโดยการเพ่งกันและกัน" นี่คือความจริง คนโดนข่มขืนมีไหมเขารักกันหรือไม่? คนแต่งงานเพราะทรัพย์สมบัติมีไหม? มีทุกรูปแบบ นี่แลสัจธรรม โลกไม่เคยหมุนรอบใครๆที่อยากจะให้เป็น มันเป็นอย่างที่มันเป็นก็แค่นั้นแหละครับ

 

เชิญครับ ผมจะรอฮับ