นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แป่ว------------------------------------------------------------------------
    พวกที่เอามาแปะเนี่ย อ่านแร้ว จิตมันไหวตาม ง่ะ
    จิตมันสนใจ จิตมันสงสัย บางอันก็ประทับใจ ถ้าอ่านแล้ว มักคังๆ ก็จะดี ง่ะ
    อ่านแล้วดูใจตัวเอง ง่ะ จะแปะอันที่สอบตก ไว้ ประมาณว่า จิตมันวุ่นวายไม่เลิก เหอๆ-
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทุกอย่าไม่แน่นอน

    [​IMG]


    มีชายแก่ฐานะร่ำรวยขั้นเจ้าสัวคนหนึ่ง ไปเบิกเงินและถอนเงินเป็นจำนวนล้านๆ เป็นประจำที่ธนาคารแห่งหนึ่ง แต่เวลาเซ็นชื่อในเอกสารฝาก – ถอนเงิน เขาเซ็นชื่อด้วยการขีดเครื่องหมายกากบาทแทน เมื่อสืบถามดูจึงรู้ความจริงว่า เจ้าสัวอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่เป็นเพราะไม่เคยเข้าโรงเรียนเลย
    ท่านเคยเล่าให้ผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ธนาคารฟังว่า เมื่อตอนเป็นเด็กหนุ่ม ทางเทศบาลเปิดรับพนักงานเฝ้าส้วม ท่านไม่มีงานทำจึงไปสมัครกับเขา ตอนสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ได้ถามเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาของเขาว่าจบชั้นอะไรมา
    เขาตอบว่าไม่ได้จบชั้นไหนมาเลย เพราะไม่ได้เข้าโรงเรียน อ่านหนังสือก็ไม่ออก เขียนก็ไม่เป็น ในที่สุดเขาก็รับเอาคนอ่านเขียนได้เข้าทำงานไป ต่อมาท่านได้พากเพียรพยายามทำงานมาทุกชนิด ตั้งแต่รับจ้างทั่วไปจนกระทั่งถีบสามล้อ ตั้งใจประหยัดและเก็บหอมรอมริบ
    เมื่อมีทุนพอสมควรก็ไปลงทุนค้าขาย กิจการเจริญมาโดยลำดับจนได้เป็นเจ้าของบริษัทหลายบริษัท เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้ว พนักงานธนาคารคนหนึ่งเกิดความประทับใจมาก จึงกล่าวออกไปว่า
    “แหม ขนาดท่านไม่รู้หนังสือ อ่านเขียนไม่ได้ ยังได้เป็นเจ้าสัว ถ้าท่านอ่านหนังสือและเขียนหนังสือได้ ท่านจะเป็นอะไร?”
    “ผมก็คงเป็นคนเฝ้าส้วมนะซิ” เจ้าสัวตอบพร้อมอาการขำๆ อย่างทีเล่นทีจริง


    โดย พระอาจารย์เผด็จ เมื่อ 2009-11-21

     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    “อะไรที่ถูก แม้เราจะเดือดร้อน เราก็จะทำ ถ้ามันถูก ถ้าไม่ถูกก็ต้องมีอะไรมาหักล้างเราสิ ไม่ใช่เห็นแล้วอยู่เฉยๆ มันเท่ากับว่า เราร่วมทำสิ่งนั้นด้วย ...

    “บางครั้ง ชีวิตคนมันต้องเลือก แค่ผ่านๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันไม่ได้ ถูกว่าไปตามถูก ผิดก็ต้องยอมรับว่าผิด ...

    Life & Family - Manager Online
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>หลังม่านนางโชว์ 'เด ฟรีแมน'..."เป็นกะเทย อย่าให้ใครด่าพ่อแม่เราได้"</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>13 พฤศจิกายน 2552 17:14 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>หากพูดถึง 'เดชาวุฒิ ฉันทากะโร' เชื่อว่าหลายคน คงไม่คุ้นหูเท่าที่ควร แต่ถ้าบอกว่า เป็นชื่อจริงของ “ป้าเด ฟรีแมน” คงจะต้องร้องอ๋อกันทันที เพราะเธอคนนี้ คือกะเทยไทยตัวแม่ ที่ไม่เป็นสองรองใคร ด้วยกึ๋นและพรสวรรค์ที่เป็นเอก ส่งผลให้เธอเป็นที่ยอมรับของคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะบทบาทการแสดง ทั้งละครโทรทัศน์ และละครเวทีที่สื่อออกมาในภาพลักษณ์ของนางโชว์ รวมไปถึงพิธีกร “เขย่าจอ” ทางช่องซูเปอร์บันเทิง ASTV ที่เจาะลึกทุกประเด็นในแวดวงข่าวบันเทิง

    แต่กว่าจะได้ดีในวันนี้ เส้นทางชีวิตไม่ได้โรยรายด้วยกลีบกุหลาบสีแดงอย่างสวยหรูบนผืนพรมแดง แต่เธอต้องอดทนดิ้นรน เพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว และเลี้ยงน้องในสายเลือดอีก 4 คนตั้งแต่เด็ก จนครั้งหนึ่งจำยอมต้องตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพื่อที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของเธอให้น้องๆ ได้เรียนหนังสือ จึงทำให้ทีมงาน Life and Family ไม่พลาดที่จะกะเทาะชีวิตให้เห็นถึงคุณค่าภายในของกะเทยนางนี้กันครับ

    เปิดม่านเปลือยชีวิต “เด ฟรีแมน”

    ค่อยๆ เริ่มย้อนกลับไป เธอคนนี้มีชื่อจริงว่า “เดชาวุฒิ แซ่ลิ้ม” ตอนหลังเปลี่ยนมาเป็น “ฉันทากะโร” เพราะเป็นฉายาของพ่อสมัยที่บวชพระ ด.ช.เด เป็นคนฝั่งธนฯ ตั้งแต่กำเนิด เติบโตในครอบครัวที่คุณพ่อทำอาชีพกรรมกรก่อสร้าง ส่วนแม่เป็นแม่ค้าหาบขนมขาย

    “ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะทำงาน แต่ก็จะสลับกันทำ ซึ่งช่วงไหนที่คุณพ่อไปทำงานก่อสร้าง คุณแม่ก็จะเป็นแม่บ้าน ส่วนคุณพ่อถ้าช่วงไหน ถ้าไม่มีงานก็จะสลับกับแม่ ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้าน ดังนั้น พี่และน้องๆ จึงรู้สึกว่า ไม่ได้ถูกทิ้ง หรือปล่อยให้อยู่กันตามลำพัง ที่สำคัญเรื่องข้าวปลาอาหาร พ่อแม่จะไม่เคยปล่อยให้พวกเราหิว หรืออดมื้อกินมื้อเลย”

    และด้วยตัวเธอที่เป็นพี่ชายคนโตของน้องชาย 3 คน และน้องสาวอีก 1 คน พอถึงช่วงเวลาที่จะพอรับผิดชอบงานในบ้านได้ เธอจะเป็นตัวแทนพ่อแม่ แบ่งเบาภาระทางบ้านด้วยการดูแลน้อง เริ่มจากหุงข้าว ทำความสะอาดบ้าน

    ดังนั้น น้องๆ จะเชื่อฟัง และไม่กล้าที่จะปีนเกลียวกับเธอ นั่นเพราะเธอมีภาวะผู้นำที่สูงพอ พร้อมกับทำตัวเป็นแบบอย่างด้านความรับผิดชอบให้น้องๆ ได้เห็นมาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นน้องแต่ละคนจะเคารพ และเกรงใจเธอ กระทั่งโตพอที่จะช่วยงานพ่อ และแม่ได้ เธอก็ไม่เคยปฏิเสธ ทั้งหมดนี้ เธอบอกว่า เธอทำโดยที่ไม่รู้สึกลำบากเลยแม้แต่น้อย




    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>'เดชาวุฒิ ฉันทากะโร' หรือ เด ฟรีแมน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>“พี่ไม่เคยน้อยใจตัวเองเลยที่จะต้องมาช่วยแม่หาบขนมขาย แต่จะมีบ้างที่แอบคิดว่า ทำไมเราไม่ได้ไปเที่ยวทะเล หรือไปซื้อของกับเพื่อนๆ แต่พี่ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองลำบาก ซึ่งพี่จะบอกกับตัวเองเสมอว่า สักวันเราจะต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวให้ได้ และพี่มีพ่อที่สอนว่า ถ้าอยากจะมีโทรทัศน์ดู อยากมีตู้เย็น ก็ต้องขยัน อดทน และมีความรับผิดชอบ เพื่อที่จะได้มีอาชีพ และมีเงิน ทำให้ชีวิตไม่ลำบากในตอนโต”

    หนีออกจากบ้าน สู่การบินเดี่ยวในโลกกว้าง

    ด้วยฐานะทางบ้านในวัยเด็กที่ไม่แข็งแรง บวกกับสมาชิกทุกคน ที่เริ่มเติบโต และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น (แต่รายรับเท่าเดิม) โดยเฉพาะการเรียนของเธอ และน้องๆ ที่ต้องมีค่าเล่าเรียนที่เพิ่มมากขึ้น กับช่วงดังกล่าวนั้น เธอยอมรับว่า ในฐานะพี่คนโต เธอต้องใช้ความคิดอย่างหนัก ซึ่งขณะนั้นเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.5 ที่โรงเรียนทวีธาภิเศก โรงเรียนแถวฝั่งธนฯ ดังนั้นเพื่อให้น้องได้มีโอกาสเรียน และลดค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้าน

    จากการตัดสินใจของเด็กวัย 17 ปี คงจะเจ็บปวดไม่ใช่น้อย กับการที่ต้องหนีพ่อแม่ และน้องออกมา แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่เธอต้องทำ ซึ่งอาจเห็นแก่ตัวที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว แต่จะมาอยู่แบบเตี้ยอุ้มค่อมที่ทุกชีวิตต้องเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน มันก็คงไม่ไหว ดังนั้น การหนีออกจากครอบครัวจึงเป็นหนทางที่จะช่วยลดรายจ่ายในส่วนของเธอให้กับน้องๆ ได้มากขึ้น แต่เธอก็ไม่เคยลืมที่จะกลับมาหาพ่อกับแม่ และน้องๆ เลย

    “พี่ก็ไม่ได้เก่ง หรือเป็นฮีโร่ที่หนีออกมาแล้วจะดี แต่เราโชคดีที่ได้รับวัคซีนที่ดีพอจากพ่อแม่ บวกกับความรักดีของตัวเราเองด้วย ทำให้พี่เผชิญกับสังคมที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งดี และสิ่งที่ไม่ดีอย่างปลอดภัย โดยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด นั่นเพราะพ่อแม่สอนมาดี โดยพี่ำได้ความเป็นตัวเองมาจากพ่อ และงานบ้านงานเรือน รวมไปถึงความมีระเบียบจากแม่ ทำให้ชีวิตนี้ไม่กลัวความลำบาก เพราะครอบครัวสอนให้เราช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เด็กๆ” พี่เดเล่า

    เล่าชีวิตบินเดี่ยวในโลกที่ต้องสู้ของ 'เด ฟรีแมน'





    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=260 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=260>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>นางโชว์ที่มากกว่านางโชว์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ตอนช่วงที่หนีออกจากบ้าน เธอเล่าว่า กำลังเรียนชั้น ม.ศ.5 และได้คำแนะนำจากอาจารย์ที่โรงเรียนท่านหนึ่งให้ไปทำงานอยู่กับเพื่อนที่เป็นลูกจ้างร้านขายยา ซึ่งกลางวันต้องทำงาน ส่วนช่วงเย็นก็ต้องไปเรียนภาคค่ำ เพื่อให้จบ ม.ศ.5 แต่สุดท้ายก็ไม่จบ จึงตัดสินใจไปหาพี่อีกคนที่ที่ร้านขายข้าวแกงเพื่อไปช่วยงาน อย่างน้อยก็มีที่อยู่ ที่กิน ต่างกับงานเดิมที่ได้เดือนละ 1,800 บาท แต่ต้องเสียค่าเช่าบ้านเดือนละ 800 เหลือเพียง 1,000 บาท ซึ่งมันไม่พอในแต่ละเดือน

    หลังจากตัดสินใจไปทำงานที่ร้านขายข้าวแกง จึงเกิดความคิดที่จะเรียนต่อสายอาชีพ เพราะจะได้มีอาชีพเลี้ยงตัวเอง ซึ่งหนึ่งในอาชีพนั้นคือ ดีไซเนอร์ แต่ค่าเรียนทำเอาหมดความหวัง เพราะแพงเหลือเกิน จนวันหนึ่งโอกาสได้เข้าหามาเธอ เพราะมีช่างผมจากสยามสแควร์คนหนึ่งมาเปิดร้าน “เปี๊ยก แฮร์ดู” ซึ่งเธอได้มีโอกาสไปดูการทำงานของช่าง ซึ่งช่างเห็นว่าเธอสนใจ จึงแนะนำให้ไปเรียนต่อ

    แต่โรงเรียนดังๆ อย่างเกตุวดี เกศสยาม ค่าเล่าเรียนแพงมาก เธอจึงตัดสินใจไปเรียนตัดผมที่โรงเรียนสารพัดช่าง โดยมีค่าเล่าเรียน 250 บาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวไม่เป็นปัญหาสำหรับเธอ เพราะได้เงินจากที่ร้านวันละ 30 บาท ตกเดือนละ 900 บาท ส่วนที่อยู่ก็ไม่ต้องเสีย จึงมีเงินเหลือพอที่จะนำไปเรียนทำผมได้โดยไม่ลำบาก

    ด้วยพรสวรรค์บวกกับพรแสวง ทำให้เธอเรียนเร็วกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งใช้เวลาแค่เดือนเศษจนครูต้องบอกว่า “นี่เธอ ฉันไม่มีอะไรจะสอนเธอแล้ว นอกรอยอยู่ตลอดเวลา” นั่นเพราะครูบอกให้ตัดผมบ็อบนักเรียนธรรมดา แต่ด้วยความสร้างสรรค์ จึงเสนอให้ตัดทรง “บ็อบเท” ซึ่งพอตัดออกมาลูกค้าชอบ เธอจึงได้รับความสนใจจากเพื่อนๆ และครูจำนวนมาก

    เมื่อได้เคล็ดวิชาจากโรงเรียนสารพัดช่างมาพอที่จะหาเลี้ยงตัวเองได้ วันหนึ่งเธอได้พบกับเพื่อนเก่า สมัยเรียนที่ทวีธาภิเศก ซึ่งค่อนข้างมีฐานะ และทราบว่าเธอไปเรียนตัดผมมา จึงขอให้ตัดผมให้ ปรากฏว่าถูกใจ จึงตัดสินใจลงทุนเปิดร้านทำผมให้กับเธอ โดยตั้งชื่อร้านว่า “เชซ์ เด” และนั่นได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่นำพาให้เธอ ไปสู่จุดเปลี่ยนของชีวิต ทอดสะพานให้ก้าวเดินไปสู่วงการบันเทิง...และชีวิตนางโชว์ในเวลาต่อมา

    สิ่งที่เธอเป็น คือ สิ่งที่ครอบครัว-คนรอบข้างเข้าใจ

    กับบทบาทที่ถึงแม้ว่าจะเลือกเกิดไม่ได้ เธอเล่าให้ฟังว่า เป็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ กะประมาณดูแล้ว น่าจะช่วงเข้าเรียนอนุบาล ซึ่งเธอเชื่อว่า คำว่ากะเทยมันติดมาตั้งแต่เกิด ไม่ได้ลอกเลียนแบบใครแต่อย่างใด กับพ่อแม่ เธอเล่าว่า ไม่มีทั้งการยอมรับ ต่อต้าน หรือปฏิเสธ แต่ท่านจะเข้าใจในวิถีทางแบบเด็กปกติคนหนึ่ง ที่มีความรับผิดชอบ และมีความตั้งมั่นในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย




    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>จากตัวลูกสู่ตัวแม่</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เพราะฉะนั้นจึงไม่มีข้อกล่าวหาที่พ่อแม่จะมาตำหนิกับสิ่งที่เธอเป็น ในเมื่อตัวเธอเองเรียนหนังสือเก่ง ได้รับความชื่นชมจากครู มีความรับผิดชอบ ไม่เหลวไหล หรือเที่ยวเตร่จนลืมงานที่จะต้องกลับมาช่วยพ่อแม่ที่บ้าน จุดตรงนี้เองที่เธอเชื่อว่า เป็นจุดที่พ่อแม่ยอมรับได้แบบไม่มีเงื่อนไข เพียงแต่ในบางครั้ง อาจมีการติติงจากคุณพ่อว่า อย่ามากจนเกินงาม จนคนอื่นมองแล้วน่าเกลียด แต่ควรเป็นอย่างพอประมาณ พร้อมกับวางตัวให้ถูกต้อง

    “พอเราโตขึ้นและทำงานเกี่ยวกับการโชว์ ซึ่งขณะนั้นพ่อกำลังบวชพระอยู่ เราก็ไปเยี่ยม ซึ่งท่านพูดกับเราว่า 'ในเมื่อมาเส้นนี้แล้ว ทำไมไม่ทำตัว หรือหาโอกาสที่ดีให้กับตัวเอง เป็นได้แค่ครึ่งหนึ่งของคุณโหน่ง วสันต์ก็ยังดี' นั่นคือสิ่งที่พ่อบอก ซึ่งพ่อไม่ได้ห้าม แต่พร้อมสนับสนุน และชี้ช่องทางให้กับเรา ทำให้พี่ไม่ค่อยกดดันกับชีวิตเท่าที่ควร เพราะมีพ่อแม่ที่เข้าใจ และไม่มีความรู้สึกว่า ตัวเรามีความผิดปกติ”

    ถึงหัวอกพ่อแม่ ที่มีลูกเป็นเพศทางเลือก




    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เด ฟรีแมน กับบทพิธีกรรายการ "เขย่าจอ" ช่องซูเปอร์บันเทิง </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเป็นเพศทางเลือก พี่เดฝากบอกว่า สิ่งที่ดีที่สุด คือ อย่าทำให้ลูกกดดัน หรือเป็นทุกข์กับสิ่งที่เป็นให้มากไปกว่านี้ เพราะมันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว ขอให้ทำใจเป็นกลาง เพราะถ้ายิ่งไปกดดัน จึงไม่แปลกที่ทำไมสังคมต้องมีพวกอีแอบซ่อนอยู่ นั่นเพราะเขาไม่อยากทำให้พ่อแม่เสียใจ แต่ถ้าถึงช่วงหนึ่ง ความเก็บงำตัวตนตรงนั้นอาจระเบิดออกก็เป็นได้

    ดังนั้น ขอให้คิดว่า เขาเกิดมาเพื่อเป็นลูกของเรา และดูแลเรา เพราะถ้าคุณมีลูกชายหญิงแท้ พอถึงเวลาก็ต้องออกไปมีครอบครัว และดูแลครอบครัว ซึ่งก็ไม่ได้โทษว่า ชายจริงหญิงแท้จะดูแลพ่อแม่ได้ไม่ดี แต่พวกเขาอาจจะมีเวลาน้อยกว่าลูกที่เป็นเพศทางเลือก

    “เพศทางเลือก คือ ทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญที่ช่วยเสริมในสิ่งที่ขาดไปของสังคม ซึ่งถ้าเปรียบเหมือนเครื่องจักรที่ทำงาน ผู้ชายคงเป็นเครื่องจักรใหญ่ ขณะที่ผู้หญิงเป็นสายพาน ส่วนเพศทางเลือก ก็คงจะเปรียบได้กับน้ำมันหล่อลื่น ที่จะช่วยให้สังคมนั้นๆ ดำเนินต่อไปได้เป็นอย่างดี”

    “อีกอย่างชั่วโมงนี้ พ่อแม่หลายคนต่างเริ่มยอมรับกันได้บ้างแล้ว ซึ่งบางคนไม่สนใจด้วยซ้ำ ว่าลูกจะเป็นเพศไหน แต่จะห่วงในเรื่องของการเอาตัวรอด และการเป็นคนดีมีคุณภาพในสังคมมากกว่า ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก”

    ขณะที่ลูกที่เป็นเพศทางเลือกเอง พี่เดบอกว่า ขอให้ยอมรับตัวเอง ก่อนที่จะเรียกร้องให้สังคมยอมรับ พร้อมกับทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แต่ถ้าลูกคนไหน ที่ทางบ้านยังไม่ยอมรับ ขอให้อดทน และพยายามเอาชนะใจ พร้อมกับพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็นว่า เราก็ไม่ต่างไปจากคนอื่น ที่เอาดี และใฝ่ดีได้เหมือนกัน ดังนั้นจงตั้งใจเรียนให้จบ ไม่ออกลายจนเกินงาม ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว เพียงเท่านี้ ก็ทำให้พ่อแม่ชื่นใจอยู่ลึกๆ แล้ว ถึงแม้จะไม่เผยออกมาเป็นคำพูดก็ตาม

    สอดรับกับประโยคของพี่เดที่ว่า “เกิดเป็นกะเทยต้องทำตัวให้ดี อย่าให้ใครมาด่าพ่อ ด่าแม่ของเราได้” ซึ่งเป็นประโยคที่พี่เดท่องจำ และใช้สอนตัวเองมาตลอด 44 ย่าง 45 ปี เพราะพ่อแม่คือคนสำคัญที่ให้ชีวิต และตัวตนในความเป็นเธอ ดังนั้นการมีวันนี้ได้คงจะปฏิเสธคำสอน และความเข้าใจของพ่อแม่ที่มีต่อเธอไปไม่ได้

    และนี่ก็คือตัวตนของ “เดชาวุฒิ ฉันทากะโร” หรือ “เด ฟรีแมน” ตัวอย่างกะเทยนักสู้ของเมืองไทย ที่ได้รับวัคซีนจากครอบครัวในเรื่องของการช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็ก จนสามารถยืนหยัด และเป็นที่ยอมรับของคนในสังคมได้อย่างภาคภูมิ และสง่างามในทุกวันนี้


    Life & Family - Manager Online

    ปล.ไม่ได้สนับสนุนเพศที่สามนะจ๊ะ มองในแง่ของคนที่รู้จักตัวเอง ยอมรับความจริงของตนเอง
    และชอบความคิดหลายอย่างของเธอโดยเฉพาะคำนี้ ต้องทำตัวให้ดี อย่าให้ใครมาด่าพ่อ ด่าแม่ของเราได้

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เลข 1 2 3 4 5 6 7 8 9 0

    ผมมีให้ป้าขวัญ เลือก มา 3ตัว

    แล้วเรียงตำแหน่ง

    หน้า กลาง หลัง

    เอาตัวเลข มาใส่ ตาม นี้ ป้าขวัญจะเล่น ป่าว
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เล่นด้วย... แทง...ลม หมดตัว..นะ ไม่มีกั๊ก

    หน้า กลาง หลัง
    1 2 8
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ได้ยินมาว่า
    คนเจ้าทิฏฐิ เจ้าความคิด เจ้าความเห็น เจ้าคิด เจ้าแค้น ใจนั้นเปรียบเหมือนอยู่ในภพ อสูรกาย
    คนเจ้าโทสะ โมโห โทโส ใจนั้นเปรียบเหมือนอยู่ในภพ ดิรัจฉาน
    คนขี้โลภ อยากตลอดเวลา ใจนั้นเปรียบเหมือนอยู่ในภพ เปรต
    คนที่ทรงอารมณ์ จิตว่างๆ นิ่งๆ เป็นสุข เป็นกุศล ใจนั้นเปรียบเหมือนอยู่ในภพ เทวดา
    คนที่ทรงอารมณ์ นิ่งอยู่ในฌาณสมาบัติ ใจนั้นเปรียบเหมือนอยู่ในภพ พรหม

    คนที่มีสัมมาสติ ไม่ถูกกิเลสตัณหาอารมณ์ใดๆ ครอบงำ อาจจะปลอดจากภพทั้งหลาย
    เป็นอิสระจากภพต่างๆได้ชั่วคราว เมื่อขาดสัมมาสติ ก็แล่นไปสู่ภพต่างๆ อันได้แก่สมมุติ
    บัญญัติ เพราะไม่รู้แจ้งอริยสัจจึงไม่อาจเข้าถึงวิมุตติเป็นปกติ เพราะไม่รู้จักสภาวะวิมุตติ
    จึงไม่อาจเข้าถึงไปสู่สภาวะนั้นได้ ก็ไปได้แต่ในภวังค์แห่งภพที่เรียกว่าสมมุติบัญญัติหรือ
    ความคิดได้เท่านั้น เมื่อขาดสติจึงหลงไปในโลกของความคิดเป็นอัตโนมัติ

    ผู้ที่วิมุตติแล้ว คือผู้ไม่หลงอยู่ในสมมุติบัญญัติโดยอัตโนมัติ

    ปล.ฟุ้งซ่าน อีกแระ เรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2009
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นศ.สาวคิดสั้นดิ่งเจ้าพระยา หนุ่มตกปลาโดดช่วยไว้ได้แต่ตัวเองจมน้ำตาย

    นักศึกษาสาว ม.หอการค้า เครียดปัญหาทางบ้าน แถมทะเลาะกับแฟนหนุ่ม เลยชวนเพื่อนมานั่งเล่นระบายอารมณ์ใต้สะพานพระราม 8 ก่อนจะแอบขึ้นไปบนสะพานโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย หนุ่มขายของเก่าที่สนามหลวง ที่นั่งตกปลาอยู่ รีบโดดลงไปช่วยเอาไว้ได้ แต่เกิดเป็นตะคริวจมน้ำตาย ด้านเพื่อนคนตายฝากบอก การกระทำไม่ยั้งคิด ทำให้พลเมืองดีต้องมาจบชีวิตลง

    Crime - Manager Online

    ความคิดเห็น ที่ 83
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left background=images/bg_comment.gif><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left></TD><TD class=body4 vAlign=baseline align=right width=100 background=images/bg_comment.gif></TD><TD vAlign=baseline align=middle width=5 background=images/bg_comment.gif></TD><TD vAlign=baseline align=middle width=25 background=images/bg_comment.gif></TD><TD vAlign=baseline align=middle width=25 background=images/bg_comment.gif></TD><TD vAlign=baseline align=middle width=55 background=images/bg_comment.gif></TD><TD vAlign=baseline align=middle width=62 background=images/bg_comment.gif></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=15>[​IMG]</TD><TD class=body vAlign=top align=left>ขอไว้อาลัยมา ณ ที่นี้ครับ
    และขอสดุดีความดีและความกล้าหาญของท่านและเพื่อน ๆ ของท่านครับ

    จากใจจริง
    กล้วยทอด </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2009
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ความคิดเห็นที่ 12
    เช้าวันหนึ่ง..ที่โรงพยาบาล... "ขอให้ชั้นดูหน้าลูกหน่อยได้มั๊ยคะ" คุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้น.. เมื่อห่อผ้าน้อย ๆอยู่ในอ้อมกอดเธอ เธอค่อย ๆ คลี่ผ้าที่ห่อออก.. เพื่อมองใบหน้าเล็ก ๆ เธอกรีดร้อง หมอต้องอุ้มเด็ก..ออกไปอย่างรวดเร็ว เด็กทารกที่เกิดมา...ไม่มีใบหู และแล้ว....กาลเวลาพิสูจน์ว่า การได้ยินของเจ้าหนู..ไม่มีปัญหา ปัญหา..มีเฉพาะสิ่งที่มองเห็นภายนอก คือ....ใบหูที่หายไป หลายครั้ง..ที่เจ้าหนูกลับจากโรงเรียน แล้ววิ่งมาบอกแม่ เธอรู้ว่า..หัวใจลูกปวดร้าวแค่ไหน... เจ้าหนูพูดโพล่งออกมา..อย่างน่าเศร้า "พวกเด็กตัวโต พวกมันล้อผมว่าไอ้ตัวประหลาด--" จนกระทั่ง เจ้าหนูเติบโตขึ้น หล่อเหลา เป็นที่รักของเพื่อน ๆ เค้ามีพรสวรรค์ ในด้านอักษรศาสตร์.. วรรณคดี..และดนตรี.. เค้าอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น แต่เพราะเจ้าสิ่งนั้น ทำให้เค้าไม่อยากเจอใคร พ่อของเด็กชาย.. ปรึกษากับหมอประจำครอบครัว และได้รับข่าวดีจากหมอว่า... "ผมสามารถปลูกถ่ายใบหูได้ครับ ถ้ามีผู้บริจาค..แต่ใครล่ะ.. จะเสียสละใบหู..เพื่อเด็กน้อยคนนี้" คุณหมอกล่าว จนกระทั่ง ปีผ่านไป พ่อบอกกับลูกชาย.. "ลูกเตรียมตัวไปโรงพยาบาลนะ พ่อกับแม่..หาคนบริจาคใบหู ที่ลูกต้องการได้แล้ว...
    แต่นี่เป็นความลับ" การผ่าตัด..สำเร็จด้วยดี และแล้ว...คนคนใหม่ก็เกิดขึ้น.. เค้ากลายเป็น..ผู้มีพรสวรรค์... เป็นอัจฉริยะในโรงเรียน...ในวิทยาลัย จนเป็นที่กล่าวขานกัน..รุ่นต่อรุ่น ต่อมาได้แต่งงาน... และทำงาน.. เป็นข้าราชการในสถานทูต วันหนึ่ง.. ชายหนุ่มถามผู้เป็นพ่อว่า. "พ่อครับ.. ใครเป็นคนมอบใบหูให้ผมมา ใครช่างให้ผมได้มากมาย.. แต่ผมไม่เคยทำอะไร.. เพื่อเค้าได้เลยสักนิด" "พ่อไม่เชื่อว่า.. ลูกจะตอบแทนเค้าได้หมดหรอก. เรื่องนี้..เป็นความลับ เราตกลงกันแล้ว" พ่อตอบ.. หลายปีผ่านไป.... มันยังคงเป็นความลับ และแล้ววันหนึ่ง..วันที่มืดมิดที่สุด ผ่านเข้ามาในชีวิตของลูกชาย แม่เค้าได้เสียชีวิตลง. เค้ายืนข้าง ๆ พ่อ... ใกล้โลงศพของแม่ พ่อเรียกเค้า.. "มานี่สิลูก..มานั่งใกล้ ๆ นี่" พ่อลูบผมแม่อย่างช้า ๆ..และนุ่มนวล ผมสีน้ำตาลแดง..ถูกเสยขึ้น จนมองเห็นใบหน้า.. ที่มองดูเหมือนคนนอนหลับ และแล้ว.. สิ่งที่ทำให้ลูกชาย..ถึงกับต้องตะลึง.. ใบหูของแม่...หายไป!.. แม่ไม่มีใบหู... "นี่เป็นคำตอบ.. ที่ลูกอยากรู้มาตลอดชีวิต".. พ่อกระซิบผ่านลูกชาย "แม่บอกพ่อว่า..เธอดีใจ ที่ได้ทำอย่างนี้..ตั้งแต่วันผ่าตัด.. แม่ไม่เคยตัดผมอีกเลย.. ไม่มีใคร..มองเห็นว่า.. เธอไม่สวยจริงมั๊ย? จงจำไว้.. สิ่งมีค่า. ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การมองเห็น.. หากแต่อยู่ที่.. สิ่งที่เรา..มองไม่เห็น ความรัก..ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ เราได้ทำอะไรแล้วมีคนรับรู้หากแต่อยู่ที่สิ่งที่เรากระทำแล้วไม่มีใคร..รับรู้ .. ความรัก บางครั้งไม่จำเป็น ต้องพูดพร่ำเพรื่อ หากแต่อยู่ที่.การกระทำ. ซึ่งเราอาจรับรู้เพียงแค่ฝ่ายเดียว..
    อย่าลำเอียง

    Lady - Manager Online
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2009
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อโณทัยไตรตรัสจำรัสแสง กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าพฤกษาสวน
    หอมดอกไม้หลายพรรณให้รัญจวน เหมือนกลิ่นนวลน้ำกุหลาบซึ่งซาบทรวง๑

    โอ้บุปผาสารพัดที่กลัดกลีบ ครั้นรุ่งรีบบานงามไม่ห้ามหวง
    ให้ชื่นชุ่มภุมรินสิ้นทั้งปวง ได้ซาบทรวงเสาวรสไม่อดออม๑

    แต่ดอกฟ้าส่าหรีเจ้าพี่เอ๋ย มิหล่นเลยละให้หมู่แมงภู่สนอม
    จะกลัดกลิ่นสิ้นรสเพราะมดตอม จนหายหอมแลกลอกเหมือนดอกกลอยฯ๑


    โกฐกระวานกานพลูดูระบัด กำจายกำจัดสารพันต้นตันหยง
    หอมระรื่นชื่นใจที่ในดง พฤกษาทรงเสาวคนธ์ดังปนปรุง๒

    ว่าพลางทางชมคณานก โผนพกจับไม้อึงมี่
    เบญจวรรณจับวัลย์ชาลี เหมือนวันพี่ไกลสามสุดามา๓

    นางนวลจับนางนวลนอน เหมือนพี่แนบนวลสมรจินตะหรา
    จับพรากจับจากจำนรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี๓

    แขกเต้าจับเต่าร้างร้อง เหมือนร้างห้องมาหยารัศมี
    นกแก้วจับแก้วพาที เหมือนแก้วพี่ไกลสามสุดามา๓

    ตระเวณไพรร่อนร้องตระเวนไพร เหมือนเวรใดให้นิราศเสน่หา
    เค้าโมงจับโมงอยู่เอกา เหมือนพี่นับโมงมาเมื่อไกลนาง๓

    ทุกเงื้อมเขาเหงาเงียบเซียบสงัด ใบไม้กวัดแกว่งกิ่งประวิงไหว
    ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาลัย ยิ่งเยือกในทรวงช้ำระยำเย็น
    เที่ยวรอบสระปทุมาสะตาหมัน เคยเห็นขวัญเนตรที่ไหนก็ไม่เห็น
    ชลนัยน์ไหลซกตกกระเซ็น ยิ่งเยือกเย็นหยุดยืนกลืนน้ำตา

    บรรณานุกรม
    ๑ นิราศพระประธม (สุนทรภู่)
    ๒ นิราศอิเหนา (สุนทรภู่)
    ๓ บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
    ขอบคุณค่ะ

    supanika blog
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สุดยอดเคล็ดฝึกจิต : หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.<!-- google_ad_section_end -->
    การฝึกจิตทุกคนให้ใช้ปัญญานะ อย่าสักแต่ว่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาเหตุผลของตัวเองที่บำเพ็ญไปเป็นยังไงต่อยังไงให้เทียบ นี้ได้พิจารณามาตลอดดังที่เคยพูดให้ฟัง จิตเจริญแล้วเสื่อมๆ มันเป็นยังไง ปีกับห้าเดือนเราก็ไม่ลืม คือมันเป็นอย่างนั้นแล้วมันสดๆ ร้อนๆ นะ ทุกข์ที่สุดผู้ที่มีสมาธิภาวนาแล้วจิตเสื่อมลงไปนี้ ทุกข์มากยิ่งกว่าคนที่เขาไม่เคยภาวนานะ คือมันเห็นผลเป็นที่พอใจแล้ว เหมือนว่าเราได้เงินเป็นล้านๆๆ นะ ทีนี้มาเสื่อมไปหมดเลยไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว เหมือนเขามีเงินเป็นล้านๆ ล่มจมไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง แม้จะมีเงินอยู่ในบ้านในเรือนเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่มีความหมาย จิตมันไปเกาะอยู่กับสมบัติที่ล่มจมไปนั้นเป็นกองทุกข์มาก

    ทีนี้ภาวนาของเราก็เหมือนกัน เวลาจิตเสื่อมนี้ไม่มีอะไรในตัว หมดเนื้อหมดตัว มีแต่กองทุกข์สุมอยู่ทั้งวันทั้งคืน พยายามตั้งขึ้นๆ ๑๔-๑๕ วัน ตั้งขึ้นได้เพียงสองคืนแล้วเสื่อมลงต่อหน้าต่อตา เสื่อมลงอย่างอุตลุดเลยไม่ได้ฟังเสียงใคร จึงเอามาทดสอบดู เอ๊ะ มันเป็นยังไง เราก็พยายามดันขึ้น ไปถึงนั้นแล้วเสื่อมลงต่อหน้าต่อตา เป็นอย่างนี้มาได้ปีกับห้าเดือน ทุกข์มากที่สุดนะ คนผู้มีจิตเจริญแล้วเสื่อมนี้ทุกข์มากที่สุด ยิ่งกว่าเขาไม่เคยภาวนานะ คือมันเคยเห็นรายได้มาแล้ว มันไปล่มจมเอาเสียด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังที่กล่าวตะกี้นี้ว่าเหมือนเขามีเงินล้านนั่นละ ไปล่มจมเอาเสียทุกข์มากนะ คนนี้ทุกข์มากยิ่งกว่าตาสีตาสาหากินอยู่ตามท้องนาเป็นไหนๆ

    คือเวลาจิตมันเจริญแล้ว มันเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ในใจประจำตลอด แต่เสื่อมลงไปแล้วมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้มันทุกข์มาก จึงได้มาทดสอบมันเป็นเพราะเหตุไร เราก็ตั้งสติพยายามทั้งวันทั้งคืนมันก็เจริญขึ้นไป ถึง ๑๔-๑๕ วันเจริญ ถึงนั้นแล้วอยู่เพียงสองคืน คืนสามนี้เสื่อม เหมือนกลิ้งครกลงมาจากภูเขาอะไรห้ามไม่อยู่ ผึงเลย ไม่มีอะไรติดตัว หมดกำลัง เอ้า เอาอีกๆ อยู่อย่างนั้น เป็นอย่างนั้นตลอดมา พอถึงสองคืนสามคืนแล้วไม่อยู่ เสื่อม ทีนี้จึงมาพิจารณาทดสอบเหตุผลกลไก เอ๊ นี่จะเป็นเพราะเราขาดคำบริกรรมภาวนา สติอาจจะเผลอไปตอนนั้นก็ได้จิตถึงได้เสื่อม เอ้า ทีนี้ตั้งใหม่ มีข้องใจอยู่จุดนี้เท่านั้นแหละ ทีนี้จะเอาคำบริกรรมติดกับใจ

    เพราะไม่มีงานอะไรมีแต่งานภาวนาอย่างเดียว แล้วอยู่คนเดียวเสียด้วย เอาละที่นี่พิจารณาลงตัวแล้ว คือจะเป็นเพราะขาดคำบริกรรม สติอาจจะขาดไปตรงนั้นก็ได้จิตถึงได้มีเวลาเสื่อมได้ คราวนี้จะเอาคำบริกรรมให้ติดกับจิต และสติให้ติดแนบอยู่กับคำบริกรรมไม่ยอมให้เผลอเลย เอา ทีนี้มันจะเสื่อมไปทางไหนให้รู้กันตรงนี้ พอลงใจแล้วก็เอาละที่นี่ แต่มันจริงจังมากนะเรา เหมือนระฆังดังเป๋งนี้ต่อยกันแล้วนักมวย คำบริกรรมกับคำไม่ให้เผลอ พอเอาละที่นี่ระฆังเป๋งก็ใส่ปุ๊บเลย ไม่ให้เผลอ ตั้งแต่เริ่มปั๊บไม่ให้เผลอเลย ทั้งวันไม่ยอมให้เผลอไปไหน ให้อยู่กับคำบริกรรมคือพุทโธ เราชอบพุทโธ ติดอยู่กับคำบริกรรม โลกนี้เหมือนไม่มี มีแต่คำบริกรรมติดกับหัวใจอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวัน

    มันอยากคิดอยากปรุงนี้เหมือนอกจะแตกนะ ถึงรู้ได้ชัดว่าสังขารนี้สำคัญมากมันดันออกมา สังขารเป็นสังขารสมุทัย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารสมุทัยมันดันออกอยากคิด พอมันคิดมันปรุงมันไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาเรา นั่นละเสื่อมตรงนั้น

    ทีนี้ไม่ยอมให้คิด มันอยากจะคิดอกจะแตก เอ้า แตก ไม่ยอมให้คิดเลย ให้คิดแต่คำว่าพุทโธอันเป็นงานของธรรมเท่านั้น วันแรกเหมือนอกจะแตก วันหลังรู้สึกจะเบาลง แต่ไม่เผลอเหมือนกัน ความเผลอไม่ให้มีเลย ทั้งวันนี้ไม่ให้เผลอเลย ทุกข์มากไหม ตั้งสติไม่ให้เผลอทั้งวันไปเลยเชียว เรื่องเผลอไม่ให้เผลอเลย กี่วันก็ตามไม่ให้เผลอ

    พอสามวันไปแล้วค่อยอ่อน ความดันอยากปรุงอยากคิดอะไรนี้ค่อยอ่อนลงๆ ๓-๔ วัน ๕ วัน ทีนี้สงบ นั่น ทีนี้เปลี่ยนละที่นี่เป็นใจสงบละ เรื่องสังขารไม่กวน สังขารความคิดความปรุงไม่กวน ต่อไปจิตก็ค่อยก้าวขึ้นๆ ละเอียดเข้าไปๆ จนกระทั่งไปถึงที่ที่มันเคยเสื่อม มันจะเสื่อมที่นี่ เอ้าๆ เสื่อมไปบอกเลย ได้หักห้ามกันพอแล้ว ยังไงมันก็ไม่อยู่คราวนี้ปล่อยเลย เอา อยากเสื่อมเสื่อมไป แต่คำบริกรรมกับสตินี้จะไม่ยอมปล่อย มันจะเสื่อมที่ตรงไหนให้รู้กัน พอไปถึงนั้นแล้วก็ปล่อยเลย แต่พุทโธกับสติไม่ยอมปล่อย

    พอถึงนั้นแล้วจะเสื่อม เอ้า เสื่อม พอถึงขั้นมันแล้วนะ ถึงนั่นแล้วมันจะเสื่อม ทุกครั้งๆ เป็นอย่างนั้น ทีนี้ปล่อยเลย เอ้าๆ เสื่อมไป แต่คำบริกรรมกับสตินี้จะไม่ยอมปล่อย ติดกับคำบริกรรมเลย พอไปถึงนั้นแล้วว่ามันจะเสื่อมไม่ห่วงใย ปล่อยเลย เอ้า จะเสื่อมให้เสื่อมไป พอถึงนั้นแล้วทีนี้ไม่เสื่อมนะ เอ้า เสื่อมบอกเลย มึงอยากเสื่อมมึงเสื่อมไป กูไม่ยอมเสื่อมกับคำบริกรรมกับสติซัดขึ้นไป ทีนี้ไม่เสื่อม แล้วขึ้นไปเรื่อยๆ แทนที่ไปถึงนั้นแล้วจะลงไม่ลง ขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นไปจนกระทั่งจิตแนบสนิทๆ จนกระทั่งที่ว่าจิตเรานี้ภาวนาๆ พุทโธๆ อยู่นี้ เวลาจิตละเอียดจิตอิ่มตัวแล้วคำว่าพุทโธหายนะ พอไปถึงนั้นแล้วพุทโธหายเงียบเลย ปรุงไม่ขึ้น คิดอะไรก็ไม่มี เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดแน่วกับสติ

    อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ สงสัยนะ ก็พุทโธๆ ติดกันมาตลอดตั้งแต่วันตั้งคำบริกรรม แล้วนี้มันหายไปไหนเงียบเลย ตั้งไม่ขึ้น จิตมันละเอียดเต็มที่ เรียกว่ามันอิ่มตัว อิ่มคำบริกรรมเข้าพัก พูดง่ายๆ พัก ไม่ปรุงอะไรเลย คิดอะไรก็ไม่ออก อย่าว่าแต่พุทโธ จะคิดเรื่องใดก็ไม่ออก หมดความปรุง เอ้า อยู่นี้ก่อน คำว่าหมดคำบริกรรมนี้จิตมันละเอียดนะ ให้สติจับอยู่กับนั้น จับอยู่กับความรู้ที่ละเอียด ส่วนสตินี้ไม่ให้เผลอ ทีนี้พอมันได้จังหวะนี้มันก็คลี่คลายออกมา คือจิตสงบเหมือนเราตื่นนอน พอมันคลี่คลายออกมานึกคำบริกรรมได้ นึกพุทโธได้พุทโธต่อเรื่อยเลย

    ทีนี้ก็เลยรู้จักวีธี พอถึงขั้นจิตอิ่มตัวจิตสงบมันจะปล่อยคำบริกรรม นึกก็ไม่ออก ปล่อยเสียเวลานั้น แต่ความรู้นั้นกับสติให้ติดกันไปเรื่อย มันเลยไม่เสื่อม นี่ละวิธีการปฏิบัติต้องทดสอบตัวเอง นี่เราได้ทดสอบอย่างนั้น แล้วก็ไม่เสื่อมตั้งแต่นั้นมาเรื่อยเลย ไม่เสื่อม ขาดสตินี่จับได้ชัดเจน อ๋อ สติสำคัญมาก พอขาดสติจิตเสื่อมได้ๆ เมื่อไม่ขาดสติแล้วไล่มันเสื่อมมันก็ไม่เสื่อม เราเป็นแล้วนี่ จึงบอกว่า เอ้า เสื่อมไป อยากเสื่อมไปไหนเสื่อม เราหึงหวงห่วงใยมันพอแล้วมันไม่ได้ฟังเสียงเรา คราวนี้ปล่อยเลย เอ้า เสื่อม แต่คำบริกรรมกับสติจะไม่ยอมปล่อย มันก็เลยได้กับอันนี้ไปเรื่อยๆ เจริญเรื่อย นี่เราพูดแต่ต้นไปถึงขั้นไม่เสื่อม ทีนี้ก้าวหน้าละที่นี่ เรียกว่าตั้งรากตั้งฐานได้เพราะสติดี

    ใครมีสติดีแล้วตั้งได้ ถ้าขาดๆ วิ่นๆ เผลอๆ เผลๆ อะไรไป นึกได้เมื่อไรถึงมาระลึกไม่เป็นท่านะ ถ้าลงได้เอาจริงเอาจังพ้นมือเราไปไม่ได้ละ เราทำแล้ว ตั้งแต่นั้นมาจิตเราก็ไม่เคยเสื่อมอีกเลย ทะลุไป จนกระทั่งนั่งหามรุ่งหามค่ำ นั่นเห็นไหมล่ะเมื่อไม่เสื่อมแล้วมันก็ก้าวใหญ่ เอาใหญ่เลย จากนั้นมาก็ก้าวทางวิปัสสนาพิจารณาทางด้านปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ทุกสัดทุกส่วนในสกลกาย ของสัตว์ของบุคคลของเขาของเรา ของหญิงของชายพิจารณากระจายออกไป ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนังละที่นี่ ถลกออกไปหนังน่ะ มันสวยมันงามอยู่ที่หนัง ถลกหนังออกแล้ว เอ้า ดู นั่นน่ะปัญญา เข้าใจไหม ดูเป็นหญิงเป็นชายที่ไหน น่ารักน่าชอบใจที่นี่มันเป็นเพราะหนัง
    จากหนังดูเข้าไปกระดูกสวยอะไร ดูเข้าไปข้างในเท่าไรสวยที่ไหนงามที่ไหน มันก็เห็นชัดด้วยปัญญาละซิ เมื่อเห็นชัดแล้วมันก็ค่อยปล่อยของมันไปเองๆ นี่วิปัสสนาทางด้านปัญญา เมื่อพิจารณาทางด้านปัญญาเห็นผลแล้วมันเพลินนะ ทางด้านปัญญานี้มันจะไม่เข้าพักสมาธิ มันเพลิน หมุนติ้วๆ เลย จนกระทั่งเจ้าของเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ให้หยุดพักทางปัญญาเสีย เข้าสู่สมาธิ เวลามันเพลินทางปัญญามันไม่สนใจสมาธินะ ไม่สนใจก็ตาม เอาคำบริกรรมติดเข้าไปให้มันเข้าสู่สมาธิได้ จิตเป็นหนึ่งได้ ใครบริกรรมคำไหนก็เอาคำนั้น บริกรรมพุทโธก็เอาพุทโธๆ ให้อยู่กับพุทโธๆ จิตก็แน่วลงไปสู่สมาธิ มีกำลังวังชาเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม นี่ละพักเอากำลังเป็นอย่างนั้น

    พอได้โอกาสแล้วรู้ว่าจิตนี้แน่นหนามั่นคงได้กำลังพอแล้ว ก้าวออกทางวิปัสสนานี้มันพุ่งเลยเทียว มันอยากออกยิ่งกว่าอะไร มันไม่สนใจกับสมาธิ มันหาว่าสมาธิไม่ใช่ธรรมแก้กิเลส ตีกิเลสให้ตะล่อมเข้ามาต่างหาก แก้กิเลสคือปัญญา นั่นมันไปอย่างนั้น มันก็จะเห็นคุณของปัญญาโดยถ่ายเดียวไม่เห็นโทษของสมาธิ เพราะฉะนั้นจึงให้รู้วาระ วาระนี้เราทำงานเพื่อผลประโยชน์ด้วยปัญญา วาระนี้เราจะพักจิตของเราเพื่อจะเอากำลังวังชาเพื่อวิปัสสนาต่อไป ให้พัก พักมันไม่อยากพัก

    ลำพังจะบังคับไว้เฉยๆ ไม่อยู่นะ มันจะพุ่งๆ ทางปัญญาตลอด ต้องเอาคำบริกรรมให้ติดกับนั้นปั๊บเลย เอ้า บริกรรมพุทโธๆ ถี่ยิบเข้าไปลง ที่นี่จิตลง ลงแน่วมีกำลังวังชากระปรี้กระเปร่าแล้วก็เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม โอ๋ ทีนี้สบายเบาหมดเลย นี่จิตพักงาน พอได้กำลังเต็มที่แล้ว พอรามือเท่านั้นมันจะพุ่งออกทางด้านปัญญา ให้ทำอย่างเก่านี้ต่อไปเรื่อยๆ นี้เรียกว่าปฏิปทาที่ถูกต้องดีงาม พากันจำเอาไว้นักปฏิบัติ

    มีใครจะสอนที่ว่าถูกต้องแม่นยำ นี้แน่ใจการสอนว่าไม่ผิดเพราะเราผ่านมาแล้ว ทายผิดทายถูกอะไรเราผ่านมาหมด คัดเลือกมาหมดแล้วมาสอน ตั้งแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ให้นำไปปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นไม่ได้เรื่อง ภาวนากี่ปีกี่เดือนไม่มีหลักมีเกณฑ์ไม่ได้เรื่องนะ ต้องให้มีหลักมีเกณฑ์ ตั้งได้จิตขอให้มีหลักเกณฑ์เถอะ การภาวนาๆ ท่านพูดกว้างๆ นี่สอนกันก็สอนทั่วโลกเรื่องภาวนา ไม่ทราบภาวนายังไงตั้งหลักตั้งเกณฑ์ยังไง ไม่มีหลักมีเกณฑ์มันก็ไม่ได้เหตุได้ผลได้อรรถได้ธรรม ให้มีหลักมีเกณฑ์อย่างที่ว่าซิ เอาทำอย่างนี้ละ ตั้งได้ๆ ขึ้นได้ไม่สงสัย ที่สอนนี้ไม่ผิด ดังที่ว่าคำบริกรรมเป็นสำคัญ สติเป็นพื้นฐานสำคัญมากทีเดียว ต่อจากนั้นจิตก็สงบๆ เรื่อยๆ ควรพักพัก ควรจะออกทางวิปัสสนาออก จำให้ดีเหล่านี้ ดำเนินมาแล้วไม่ผิด ได้ผลมาแล้วจึงมาสอน สอนด้วยความได้หลักได้เกณฑ์นี้ ผู้ยึดก็ยึดได้หลักได้เกณฑ์ ที่สอนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หน้าได้หลัง ผู้ปฏิบัติก็ไม่ทราบจะยึดเอาตรงไหนๆ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไม่ได้เรื่อง เหลวไหลทั้งนั้น จำให้ดี เอาละเท่านี้
    http://palungjit.org/threads/สุดยอดเคล็ดฝึกจิต-หลวงตามหาบัว-ญาณสัมปันโน.208065/
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "เมฆ..โตได้แม้มองไม่เห็น"

    ***มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้

    CyberBiz - Manager Online
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อันว่าสักกายทิฏฐิอันถือว่า ปัญจขันธ์นี้ เป็นตัว เป็นตน เป็นอหัง* มมัง* ดังนี้ชื่อว่ามิจฉาทิฏฐิ

    ฯ โย จ วสฺสสตํ ชีเว อปสฺสํ อุทยพฺพยํ เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปสฺสโต อุทยพฺพยํ ฯ<SUP>๑๒</SUP> "อันว่าบุคคลผู้ใดมีอายุอยู่ได้ ๑๐๐ ปี แลมิได้เล็งเห็นความเกิด แลความดับแห่งเบญจขันธ์นี้ ชีวิตได้ ๑๐๐ ปีนั้นมิได้ประเสริฐอันว่าบุคคลผู้ใดมีอายุแต่เพียงวันเดียว แลเล็งเห็นซึ่งความเกิด แลความดับแห่งเบญจขันธ์นี้ อันว่าชีวิตแห่งบุคคลวันเดียวนั้น ประเสริฐกว่าชีวิต ๑๐๐ ปีนั้นแล ฯ"

    หนังสืออัฏฐธรรมปัญหา ของสมเด็จพระเพทราชา (E-Book) คลิ๊กที่นี่ [​IMG]

    พระราชปุจฉาของสมเด็จพระเพทราชา

    พุทธศักราช๒๒๓๓จุลศักราช๑๐๕๒ปีกับเดือนในวันอังคารเดือนขึ้นค่ำปีมะเมียโทศกนักษัตร*พระราชสมภารเจ้าสมเด็จพระเพทราชาทรงนิมนต์สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ให้เฉลยปัญหาปริศนาธรรมประการดังนี้
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อาจารย์ทั้ง ๔ นั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ* นั้น
    อันว่าโลภะนั้น บังเกิดในทวารทั้ง ๖ แห่งสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็ครอบงำข่มเหงสั่งสอนสัตว์ทั้งหลาย ให้กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต อันเป็นวิสัยแห่งโลภะ อันยินดีในกามคุณทั้ง ๕ ประการนั้น

    อันว่าโทสะ บังเกิดในทวารทั้ง ๖ แห่งสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็ครอบงำข่มเหงสั่งสอนสัตว์ทั้งหลายนั้น ให้กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต อันเป็นวิสัยแห่งโทสะ อันยินดีในอาฆาตวัตถุ ๙ ประการนั้น

    อันว่าโมหะ อันบังเกิดในทวารทั้ง ๖ แห่งสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็ครอบงำข่มเหงสั่งสอนสัตว์ทั้งหลาย ให้กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต อันเป็นวิสัยแห่งโมหะ อันมิรู้จักอริยสัจทั้ง ๔ ประการนั้น

    อันว่ามานะ อันบังเกิดในทวารทั้ง ๖ แห่งสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็ครอบงำข่มเหงสั่งสอนสัตว์ทั้งหลาย ให้กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต อันเป็นวิสัยแห่งมานะด้วยมทะ*ทั้งหลาย มีชาติมโทเป็นอาทิ ดุจกล่าวในขุททกวัตถุนิกายวิภังค์นั้น เหตุดังนี้จึงว่า อกุศลทั้ง ๔ ตัวนี้เป็นอาจารย์แล

    นักปราชญ์ผู้มีปัญญาพึงรู้ว่า โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทั้ง ๔ นี้หามิได้แล้ว อกุศลทั้งปวงก็หามิได้ เหตุดังนั้นจึงว่า ให้ฆ่าอาจารย์ทั้ง ๔ เสียจึงรู้คัมภีร์โหรานั้นแล อธิบายดังนี้ อันว่าพระอรหันต์ทั้งปวงอันทรงไตรวิชาทั้ง ๓ นั้น ก็ย่อมฆ่าเสียซึ่งโลภจิต อันกอปรด้วยทิฏฐิ แลโมหจิตอันกอปรด้วยวิจิกิจฉานั้นให้พินาศ ด้วยโสดาปัตติมรรคญาณแล้ว ก็ย่อมฆ่าเสียซึ่งโลภจิต อันปราศจากทิฏฐิ อันเป็นกามราคะอันหยาบ แลโทสจิตอันเป็นพยาบาทอันหยาบนั้น ให้พินาศด้วย สกิทาคามิมรรคญาณ
    แล้วก็จะฆ่าเสียซึ่งโลภจิต อันเป็นกามราคะอันสุขุม แลโทสจิตอันเป็นพยาบาทอันสุขุมนั้น ให้พินาศด้วยอนาคามิมรรคญาณแล้ว ก็ฆ่าเสียซึ่งมานะ แลโมหะ อันกอปรด้วยอุทธัจจะ*นั้นให้พินาศด้วยอรหัตตมรรคญาณ จึงได้ตรัสรู้ไตรวิชา ๓ ประการ คือ ทิพจักขุญาณ ปุพเพนิวาสญาณ อาสวักขยญาณ เหตุฆ่าเสียซึ่ง โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทั้ง ๔ ประการนี้ให้พินาศด้วยสมุจเฉทปหาน* ก็ได้ชื่อว่าพระอรหันต์ทั้งหลายเรียนโหรา แลฆ่าอาจารย์ทั้ง ๔ เสียนั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2009
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บังเกิดแล้ว ครอบงำจิตไม่ได้ก็ดับไป

    อกุศลจิต(กิเลส)บังเกิด ครอบงำจิตไม่ได้เพราะใจมีสัมมาสติ อกุศลจิตก็ดับไป
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left>
    <TABLE class=f12b cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD noWrap align=left width="30%" bgColor=#c49e49 colSpan=2 height=22>ความคิดเห็นที่ 5</TD><TD align=right bgColor=#c49e49>17/11/2009 23:49 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผมมีทางของผม แล้วผมก็ศรัทธาของผม
    สิ่งที่พวกคุณโจมตีพระอาจารย์ปราโมทย์
    มันเป็นสิทธิของพวกคุณ
    แต่กรุณาอย่ามาแตะต้องศรัทธาของคนอื่น
    มันไม่ต่างกันหรอก
    ถ้าศิษย์หลวงพ่อฤาษี หรือคนที่เชื่อว่านิพพานเป็นแดน
    จะมาสั่งสอนผมให้เชื่อตามเขา แล้วหาว่า
    สิ่งที่ผมเชื่อผิด
    ผมศึกษามาเยอะ จนรู้ว่าอะไรผิดถูก
    แล้วอะไรทำให้จิตเบา หมดความยึดติดได้อย่างแท้จริง
    คนที่เคารพหลวงพ่อ แต่ละคน ก็ไม่ธรรมดาทั้งนั้น
    การนำคำสอนแค่บางส่วนของหลวงพ่อปราโมทย์
    มาตีความแล้วกล่าวหาท่าน
    นับว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล
    แต่ผมก็เชื่อว่า
    ผมฟังอย่างละเอียด
    แล้วรู้ ว่า หลวงพ่อสอนคนไม่เหมือนกัน
    สอนตามจริตแต่ละคน ดังนั้น
    การสอนบางอย่าง อาจจะดูผิดหลักการ
    แต่ท่านก็สอนแก้ให้เฉพาะคนบางคนเท่านั้น
    ถ้านำคำสอนบางคำที่ท่านสอนบางคน
    ไปถามพระเถระ เราก็อาจจะได้คำตอบว่า นั่นสอนผิด
    แต่คนที่เอาไปถาม บอกครบหรือไม่ว่า อะไร ยังไง
    ผมก็ไม่ทราบว่า
    ลูกศิษย์หลวงพ่อสงบ ทำไมชอบมายุ่งกับชีวิตผมจัง
    ทั้งในเมล์ ทั้งในเวป
    ผมศรัทธาของผมแบบนี้
    แล้วผมก็คิดว่า ผมมีปัญญามากพอที่จะทำและเข้าใจอะไรดีพอ
    แล้วผมก็ศึกษามาเยอะมาก
    จนคิดว่า หลวงพ่อปราโมทย์ คือสุดยอดของผมแล้วตอนนี้
    ผมไม่ได้สักแต่ว่านับถือมั่วๆ ต้องศึกษา จนปลงใจได้
    ว่าของจริง ทำให้ผมพ้นทุกข์ได้จริงหรือไม่
    จริงๆ ผมอยากกราบทุกท่านที่คิดว่า
    ไม่รู้จะมาเมตตาอะไรผมหนักหนา
    โดยการที่มาลบหลู่ ครูบาอาจารย์ของผม ให้ผมเปลี่ยนใจเนี่ย
    ในเมื่อผมทำตามท่านแล้วผม สว่างขึ้นเรื่อยๆ
    อยู่ในทุกข์โดยทุกข์น้อยลงทุกวัน
    พวกคุณจะมาอะไรกับผมไม่ทราบครับ
    ผมกราบท่านทังหลายว่า
    ไปศึกษาปฏิบัติกันให้ดีก่อนเถอะ
    ให้ท่านหลุดพ้นกันก่อน แล้วค่อยมาเมตตาผม
    ถ้าวันนี้ ผมทุกข์หรือผมเดินทางผิด ก็ไปอย่าง
    ผมไม่ใช่ว่าอาศัยแค่ใจของผมที่เบาสบาย และดีขึ้นทุกวัน
    แต่ผมดูจากคนรอบข้าง
    คนดังๆ ในวงการธรรมะ ที่เป็นที่ยอมรับ และมีภูมิธรรมสูงๆ
    หลายท่าน ก็ยอมรับในธรรมะที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน
    คุณดังตฤณ ถึงขนาดเรียกท่านว่าผู้บริสุทธิ์
    ถ้าทิฐิต่างกัน ก็ต่างคนต่างอยู่นะครับ
    ผมเชื่อว่า ทางของผมถูกต้องตรงทางแล้ว
    แล้วที่พระอาจารย์ปราโมทย์สอน
    ตรงกับในพระไตรปิฎกทุกอย่างเท่าที่ผมอ่านมา
    แล้วก็ลงกันได้ กับธรรมะหลากหลายสายที่ผมเคยศึกษามา
    ไม่มีอะไรขัดแย้งแม้แต่นิดเดียว
    ผมหละสงสาร คนที่ดูถูกครูบาอาจารย์คนอื่น
    แล้วมากล่าวหาว่าผมเผยแพร่ทางผิดๆ
    หาว่าผมจะตกนรก เพราะเผยแพร่งานของหลวงพ่อปราโมทย์
    ผมว่า พวกคุณนั่นแหละ ระวังตัวเองไว้ก่อนเถอะ
    อันว่าคนดีๆ ถ้าคิดจะเมตตาคนอื่น
    ถ้าคิดว่าครูบาอาจารย์คนอื่น สอนผิด
    ก็ต้องอธิบายมาด้วยตนเอง ด้วยความรู้จริงของตนเอง
    ไม่ใช่จำคำสอนคนอื่น มาคัดค้าน ยกมาข่มครูบาอาจารย์คนอื่นครับ
    ผมเอง ศึกษา ปฏิบัติ จนคิดว่าเข้าใจ
    ถึงจะกล้าบอกว่า อะไรผิดถูก ดีไม่ดี อย่างไร
    ผมเห็นคนสว่างและเปลี่ยนชีวิตมาเยอะแล้ว
    เพราะคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์นี่แหละ
    และตัวผมเอง ก็ยังไม่ได้อยากเป็นพระอรหันต์แบบรีบร้อน
    ผมค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป มีความสุขกับ
    การดำเนินชีวิต ปฏิบัติธรรม ตามหลวงพ่อปราโมทย์
    ผมมีความสุขพอแล้วครับ
    ไม่เคยคิดจะสุดโต่ง ไปแบบสบายๆ ตามจริตและวาสนา
    หลวงพ่อสงบจะสอนอย่างไร
    ผมไม่ก้าวล่วง แต่ผมเชื่อว่า
    หลวงพ่อปราโมทย์ สอนถูกต้องตรงทางแล้วครับ
    คนที่จะหาว่าหลวงพ่อสอนผิด
    กรุณา อ่านและฟังงานของท่าน ทั้งหมดก่อน
    ไม่ใช่ฟังแค่ไม่กี่ไฟล์ อ่านแค่ไม่กี่ประโยค
    แล้วเหมาว่าท่านสอนแบบนั้นทัง้หมด
    ภาษาที่ท่านใช้ เป้นภาษาสมัยใหม่
    เราเข้าใจตรงกันหรือไม่ แค่นั้นแหละ
    บางทีการสื่อสาร มันต้องจับด้วยจิต
    ไม่ใช่จับด้วยสมมุติบัญญัติ

    </TD></TR><TR><TD align=right bgColor=#dcc695 height=20>ลิงค์ :
    </TD><TD style="PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left></TD></TR><TR><TD align=right bgColor=#dcc695 height=20>ผู้ตอบ :
    </TD><TD style="PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left>jozho[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=WorkCenterHeader>เวลาเหลือน้อยที่จะได้ทำบุญกับหลวงตาและความจริงที่คนไทยยังไม่รู้</SPAN></TD></TR><TR><TD class=WorkCenterContent>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=WorkCenterContentFont style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 5px; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 5px">
    [​IMG]
    ขออาราธนาตัวอย่างคำกล่าวจากพระอริยะเจ้าถึงหลวงตาดังนี้<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>​
    <O:p></O:p>
    "ในอนาคตเบื้องหน้า พระมหาบัวผู้นี้จักทำประโยชน์ใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและพระศาสนา.."<O:p></O:p>
    พระอาจารย์<?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:pERSONNAME w:st="on" productid="มั่น ภูริทัตตมหาเถระ">มั่น ภูริทัตตมหาเถระ</ST1:pERSONNAME> พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานกล่าวพยากรณ์ไว้เมื่อพ.ศ. 2482 <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    "เมตตาของหลวงตามหาบัวที่ได้ออกมาทำโครงการผ้าป่าช่วยชาตินั้น เปรียบเสมือนกับผืนแผ่นฟ้าที่ห่มคลุม(ปกป้อง)แผ่นดินไทยไว้ทั้งหมดเลยทีเดียว.." สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช กล่าวถึง.. หลวงตาพระมหาบัว <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    "ถ้าไม่(ทรงคุณธรรม)"ถึงขั้น"จริงๆแล้วละก็ จะถามปัญหาแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ..!!!"<O:p></O:p>
    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ กล่าวชมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนในการสนทนาถามปัญหาธรรมครั้งหนึ่ง <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ในยุคบ้านหนองผือ พระอาจารย์มหาบัวลึกซึ้งมากทุกวิถีทาง ท่านพระอาจารย์มั่นไว้ใจมากกว่าองค์อื่นๆในกรณีทุกๆด้าน หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดภูจ้อก้อ มุกดาหาร กล่าวถึง หลวงตามหาบัว <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    "หลวงตามหาบัวเป็นพระอรหันต์ร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์..หลวงตามหาบัวเป็นพระอรหันต์อันดับหนึ่งของประเทศไทย เพราะมีบารมีมากเหนือใครๆ ฤทธิ์ก็เยอะนะ.. บุญอะไร ก็ไม่เท่าบุญที่ทำกับหลวงตามหาบัว...<O:p></O:p>
    เสียดายที่โยมพ่อโยมแม่ของอาตมาตายไปเสียก่อน หาไม่แล้ว จะต้องให้มาทำบุญกับหลวงตาเสียเลยทีเดียว..<O:p></O:p>
    สิ่งที่หลวงตามหาบัวทำ ถูกต้องทุกอย่าง อาตมาไม่มีข้อสงสัย..ให้ทำตามหลวงตาให้หมด"<O:p></O:p>
    หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี พระอาจารย์ของหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ วัดสังฆทาน <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    "ในยุคนี้ ไม่มีใครเกินหลวงตามหาบัว.." หลวงพ่อแนน สุภัทโท วัดซำขาวถ้ำยาว จ.ขอนแก่น <O:p></O:p>
    "ให้รีบไปกราบหลวงตามหาบัวเสียไวๆ เพราะหลวงตาท่านเข็นสังขาร(ต่ออายุ)มาให้นานถึง 10 กว่าปีนี่แล้วน๊ะ"<O:p></O:p>
    พระอาจารย์<ST1:pERSONNAME w:st="on" productid="แบน วัดดอยธรรมเจดีย์">แบน วัดดอยธรรมเจดีย์</ST1:pERSONNAME> สกลนคร กล่าวกับศิษย์ตอนหลวงตามหาบัวเจริญอายุได้ 90 ปี<O:p></O:p>
    เวลาและโอกาสอาจเหลือไม่มากแล้วที่จะได้ทำบุญกับองค์หลวงตาพระมหาบัว

    เรื่องจริงที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ <O:p></O:p>
    (โปรดช่วยกันทำสำเนาส่งต่อ จะเป็นกุศลแก่ตัวท่านเอง)<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ทุกวันนี้คนไทย ประเทศไทย รอดพ้นหายนะได้เพราะใคร.. มีใครรู้บ้าง<O:p></O:p>
    หนี้ประเทศ .. พรรคการเมืองและนักการเมือง ต่างก็อ้างว่า เป็นคนล้างหนี้ให้ประเทศแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้<O:p></O:p>
    แต่น้อยคนจะรู้ว่า .. ที่หนี้ของประเทศล้างได้และปัญหาเศรษฐกิจบรรเทาได้ก็เพราะ บารมีของพระชรารูปหนึ่ง<O:p></O:p>
    ที่แม้จะอายุเกือบร้อยปี แต่ก็ยังเดินทางไปทั่วประเทศ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาโดยไม่เคยหยุด แม้ในปัจจุบัน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถามว่า แม้คนอายุ 20 ต้นๆ ถ้าต้องเดินทางทั่วประเทศ ขึ้นเหนือล่องใต้ ทุกวัน จะทำไหวหรือไม่ <O:p></O:p>
    ไม่ใช่แค่เดินทาง แต่ต้องเทศนาสั่งสอนญาติโยมและทำอะไรอีกมากมาย.. เป็นเรา เราทำไหวหรือ.. <O:p></O:p>
    แล้วทำแบบตัวเองก็ไม่ได้อะไร แถมยังโดนกล่าวหาเสียๆ หายๆ อีก <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    ตลอดชีวิตที่ท่านเมตตาต่อคนและสัตว์ทั้งหลายไม่เลือกชนชั้น และกว่า 10 ปีกับโครงการผ้าป่าช่วยชาติ<O:p></O:p>
    เงินจำนวนมหาศาลและทองคำเกือบ 12 ตัน ที่ท่านส่งมอบให้คลังหลวง <O:p></O:p>
    ( และยังสร้างโรงพยาบาล โรงเรียนและสาธารณประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายนับเป็นจำนวนเงินมหาศาล )<O:p></O:p>
    ทำให้ประเทศรอดพ้นจากหายนะ ทั้งในอดีตที่ทำให้ปลดหนี้ให้ประเทศได้และมีเสถียรภาพทางการเงินมาถึงปัจจุบัน<O:p></O:p>
    วิกฤตเศรษฐกิจ(แฮมเบอเกอร์)ที่ชาวโลกพึ่งเจอไม่นาน ถ้าเราไม่มีเงินและทองคำเป็นทุนสำรองเยอะขนาดนี้(โดยเฉพาะทองที่ราคาสูงขึ้นมาก)คิดหรือว่าจะรอดพ้นหายนะได้ ในขณะที่ประเทศอื่นแทบล่มสลาย แต่ประเทศไทยกลับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย(กว่าที่ควรจะเป็นหลายเท่า) ถ้าหลวงตาไม่นำพาให้ร่วมกันทำผ้าป่าช่วยชาติจนมีทองคำในคลังเยอะขนาดนี้ ปัจจุบันพวกเราต้องลำบากยากแค้นกว่านี้อย่างคาดไม่ถึงแน่ นักการเมืองและสื่อมวลชนเคยสนใจ เคยพูดถึงกันบ้างหรือไม่ บางคนไม่สำนึกบุญคุณไม่พอ ยังกล่าวหาให้ร้ายท่านอีกต่างๆ นาๆ<O:p></O:p>
    ขออาราธนาคำเทศน์ของหลวงตามาให้อ่านนะครับ " ให้พากันระมัดระวัง นี่ก็จวนแล้วนะ มันก็ได้ 96 ปี ไม่นานละ อายุ 96 แต่จะเป็นอะไรก็ตามเถอะ เราพูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟังให้ชัดเจนเสียว่าเราไม่มีวิตกวิจารกับการเกิดตายของเรา ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนไม่มีจะก้าวหน้าก็ไม่มีจะถอยหลังก็ไม่มี คงเส้นคงวาหนาแน่นภายในใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน เป็นธรรมธาตุอยู่ในหัวใจพอ นี่ละเราสร้างมากๆแล้วกลั่นกรองกันไป กลั่นกรองกันไปก็กลายเป็นธรรมธาตุภายในใจดวงเดียว นั่นละพอพออยู่ที่นั่น จึงไม่วิตกวิจารเรื่องการเป็นการตาย "
    จากหนังสือ หลวงตา วัดป่าบ้านตาด เล่ม 2 เทศน์เมื่อวันที่ 28 กพ.2552(โหลดฟังหรือขอ CD ฟรีได้ที่ jozho.net )<O:p></O:p>
    ปีนี้หลวงตาอายุ 96 ปีแล้ว เวลาและโอกาสอาจเหลือไม่มากนักที่จะได้ทำบุญกับองค์หลวงตายังมีผ้าป่าสงเคราะห์โลก ซึ่งมีทั้งคนและสัตว์ที่รอคอยความเมตตาจากหลวงตาและยังต้องการปัจจัยจำนวนมาก (เช่น โรงพยาบาลศูนย์อุดรที่กำลังก่อสร้าง และโครงการอื่นๆ ฯลฯ ) อยากเชิญชวนทุกท่าน ใครยังไม่เคยทำบุญกับหลวงตา อยากให้รีบขวนขวายก่อนที่จะไม่มีโอกาส เชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์เพื่อนร่วมโลกหลายโครงการโดยผ่านทางพระอริยะ พระมหาบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาและมีบุญคุณต่อประเทศไทยอย่างหาที่สุดมิได้ หรือคุณจะทิ้งโอกาสมหากุศลนี้ไป อย่างน่าเสียดาย<O:p></O:p>
    ท่านสามารถไปทำบุญที่วัดด้วยตนเอง หรือ ส่งเช็ค/ธนาณัติส่งถึง
    (อย่าทำบุญด้วยความโลภในบุญ แต่เพื่อเป็นเสบียงในการเดินทางเท่านั้น)<O:p></O:p>
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี41000<O:p></O:p>
    หรือโอนผ่านธนาคาร ชื่อบัญชี โครงการช่วยชาติโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน<O:p></O:p>
    ธ.กสิกรสาขาสำนักราษฎร์บูรณะ745-2-12831-9 สาขาอุดร 110-277444-9<O:p></O:p>
    ธ.ไทยพาณิชย์สาขาอุดร510-2-83957-5 <O:p></O:p>
    ธ.กรุงเทพฯ สำนักงานใหญ่สีลม 101-590444-2 สาขาอุดร284-533999-9<O:p></O:p>
    ทำบุญแล้ว อธิฐานกันเอาเองนะครับ
    ถ้าจะให้ได้กุศลแรง ควรอธิฐานให้หมดความหลงผิด ทำลายความยึดมั่นถือมั่นและให้มีตาสว่างในทุกเรื่อง <O:p></O:p>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- google_ad_section_end --> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    วันนี้ที่รอคอย สำหรับ 1.. 2 ..8

    8 .. ที่อยู่ด้านหลัง หากหมายถึงทางโลก ก็กล่าวว่า ที่ผ่านมา ทำงานเป็นเกลียว หัวเป็นน๊อต เก็บ สะสม สะเบียง ได้อย่างดี มีแต่เรื่องแต่ราว เกี่ยวกับ สะเบียง ทางโลก เงินๆ ทอง แต่ก็ดีนะ ขยันดีครับเป็นคนขยัน ทำมาหากินดีครับ
    ... จะกล่าวถึงอ้างความในทางธรรม ก็เป็นการศึกษาเรียนรู้ สะเบียงทางธรรม อย่างดูเด็ด เผ็ดแสบ ... ไม่กินแกลบเป็นแน่แท้ ..


    2 ที่อยู่ตรงกลาง ความสมบูรณ์ ทางครอบครัว ที่ดูดี โรแมนติก อีกรอบ เอิ๊กๆๆ ... หวนคิดถึงความหลัง แต่วันนี้มันมาอีกรอบ ... ไม่มีนอกคอก นอกลู่ ..การสนับ สนุน เกื้อกูล ด้วยเลข 2 บอกว่า ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ ได้ส่งเสริม ทั้งทางโลกและ ทางธรรม ซึ่งกันและกัน

    1 ที่อยู่ด้านหน้า
    สิ่งมหัศจรรย์ ของวันนี้ ที่รอคอย
    จะทะยอยเข้ามาไม่คาดฝัน
    ความรู้ ทุกสิ่ง สรรพ มารวมกัน
    จะพลิกผัน ฝันแปรในทางดี

    ... จะกล่าวความข้างหน้าที่ฝันใฝ่
    อยู่ในใจคาดหวัง ที่ฝันหา
    จะได้เริ่ม ได้ทำ ตามอุรา
    เป็นเบื้อง ต้น ก้าวเดิน อย่าเพลินไป

    .... อิอิ..
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ซ้าธุ...ขอให้คำทำนายเป็นจริงนะ....เหอๆ
    อ่านแล้ว เคลิ้มไปเลยนะเนี่ย... กระไร จะโชคดีปานนั้น...อิอิ

    ถ้าเป็นจุดเริ่มขึ้น หลังจากเสื่อมและลุ่มๆดอนๆ มาช้านาน ก็นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีนะ
    ได้แค่ไหน ก็แค่นั้น ได้อะไร ก็ดีทั้งนั้น นาทีนี้ ไม่มีโลภทางโลกแล้ว แต่ทางธรรมนี่สิ
    สงสัยยังโลภ ไม่ยอมเลิก ไม่กินแกลบ ก็โอเช แร้ว... สงสัยเคยกินแต่แกลบ จนเบื่อแร้ว
    แทงกิ๋ว เจ้าค่ะ

    ปล.ขอบคุณที่เตือนสติ ให้ระวัง อย่าเพลินไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...