น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

จุดเริ่มต้นในการศึกษาคำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้า​

จุดเริ่มต้นในการศึกษาคำสอนระดับสูงที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า ให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องนั้น ก่อนอื่นเราจะต้องปล่อยวางความเชื่อถือในตำรา หรือในคำสอนที่ได้ฟังหรือเรียนรู้มาจากคนอื่นทั้งหมดก่อน แล้วตั้งใจศึกษาธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง ที่เราสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้ในปัจจุบัน โดยใช้เหตุผลในการศึกษา เราจะไม่ใช้การคาดเดาหรือคาดคะเนในการศึกษาอย่างเด็ดขาด ซึ่งการศึกษาเช่นนี้จะทำให้ไม่มีทางผิดพลาดได้ และเมื่อพร้อมแล้วเราก็มาเริ่มพิจารณาตามหัวข้อทั้ง ๑๐ นี้ไปตามลำดับ พร้อมทั้งถามตัวเองว่า “ยอมรับความจริงเหล่านี้หรือไม่?”

*******************************************************​

๑. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ทุกสิ่ง(ทั้งวัตถุและสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุอันได้แก่พวกจิตหรือใจ)ที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่ ล้วนจะต้องอาศัยเหตุ(ต้นเหตุ)และปัจจัย(สิ่งสนับสนุน) มาปรุงแต่ง(หรือสร้างหรือประกอบ)ให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ทั้งสิ้น”
๒. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุและปัจจัย”
๓. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วและยังตั้งอยู่นั้น เมื่อเหตุหรือปัจจัยของมันได้เสื่อมสลาย(ใช้กับพวกวัตถุ)หรือดับ(ใช้กับพวกจิตใจ)หายไป สิ่งที่ตั้งอยู่นั้นก็ย่อมที่จะเสื่อมสลายหรือดับหายตามไปด้วยเสมอ”
๔. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่นั้น ไม่มีสิ่งที่เป็น ‘ตนเอง’ (อัตตา – ตนเอง หรือ ตัวตนที่แท้จริง ที่เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวร หรือเป็นอมตะนิรันดร) ดังนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา จึงมีความไม่เที่ยงแท้ถาวร คือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะและยังต้องดับสลายหายไปในที่สุดอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว (อนิจจัง) และยังต้องทนประคับประคองตัวเองอยู่ด้วยความยากลำบาก มากบ้างน้อยบ้างตลอดเวลา (ทุกขัง) รวมทั้งไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง (อนัตตา)”
๕. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ร่างกาย, วัตถุ, และพลังงานทั้งหลาย ล้วนตกอยู่ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนทั้งสิ้น”
๖. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “แม้สิ่งที่เป็น ‘จิต’ (สิ่งที่รับรู้, รู้สึก, จำ, และคิดได้) ของเราและสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ก็ล้วนตกอยู่ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนเหมือนกับร่างกาย”
๗. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ถ้าไม่มีร่างกาย (คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ-สมอง) ที่ยังไม่ตายมาเป็นเหตุ จิตก็เกิดขึ้นมาไม่ได้”
๘. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ถ้าไม่มีสิ่งภายนอก (เช่น รูป เสียง กลิ่น รส) มาสัมผัสจิต (มาเป็นปัจจัย) จิตก็เกิดขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน”
๙. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ทั้งร่างกายและจิตที่รู้สึกว่าเป็น ‘ตัวเรา-ของเรา’ นี้ มันไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูก ‘ปรุงแต่ง’ หรือสร้างขึ้นมาชั่วคราวจากเหตุและปัจจัยโดยธรรมชาติเท่านั้น หาได้เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างถาวรหรือเป็นอมตะนิรันดรไม่”
๑๐.ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ความเห็นหรือความเชื่อที่ว่า 'จิต (หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามที่รู้สึกและยึดถือว่าเป็นเรา) ของเราและสัตว์ทั้งหลายนี้เป็นตัวตนที่แท้จริง (คือเชื่อว่าจิตเป็นอัตตา) ที่จะสามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วไปเกิดใหม่ได้อีกเรื่อยไป' นั้น เป็นความเห็นหรือความเชื่อที่ผิดหรือไม่ถูกต้อง”

********************************************************************​

ถ้าใครได้พิจารณาอย่างแยบคาย (คือตั้งใจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในทุกแง่ทุกมุม) แล้ว และยอมรับความจริงทั้ง ๑๐ ข้ออย่างไม่มีข้อสงสัย ก็แสดงว่าผู้นั้นได้เริ่มรู้จัก หรือเริ่มเข้าใจคำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องแล้ว
แต่ถ้าใครไม่ยอมรับ โดยเฉพาะในข้อที่ ๑๐ ก็แสดงว่าผู้นั้นยังไม่รู้จัก หรือไม่เข้าใจคำสอนระดับสูงที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เขาเพียงได้รู้จักแค่คำสอนระดับต่ำๆ(ศีลธรรม)ของพระพุทธเจ้า ที่ผสมปนเปอยู่กับคำสอนของศาสนาพราหมณ์(ฮินดู)มาแล้วเท่านั้น.

www.whatami.net เว็บไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ

 

ฮ่าๆๆ หลักที่ตั้งขึ้นมาเอง มันไม่มีประโยชน์หรอกครับ
ให้ได้ก็สำหรับศาสนาเตชปัญญา~ เท่านั้นหละครับผม
คิดเองเออเองถูกเอง ใครก็ทำได้ครับ เอาหลักฐานอะไรมายืนยัน
นอกจากการคิดเอาเอง whatami website for the lunatic, not for the genius. ภาพลวงตาอวิชชาลวงจิต คิดได้ไงเอาของเด็กเล่นอย่างนั้นมาแทนอวิชชา
เอาระดับแรกเกิดไปเทียบกับระดับ Ph.D. เอือมระอาจริงๆเลยพวกนี้
สัทธรรมปฏิรูปครบวงจร ดันมาอ้างตนเป็นพุทธบุตร
แต่ก็อาจจะใช่ครับ บุตรทรพีไง ^^

 

หยุดเถอะวิจารณ์กันแล้วได้อะไรที่ทำให้จิตหลุดพ้น

 

กมฺมุนา วตฺตตี โลโก. สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม น๊าจ๊ะ วิญญาณออกจากร่างเมื่อไหร่ ก็จะรู้เองแหละ

 

ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

กมฺมุนา วตฺตตี โลโก. สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม น๊าจ๊ะ วิญญาณออกจากร่างเมื่อไหร่ ก็จะรู้เองแหละ
-------------------------
ความคิดแบบเด็กๆ

เหมือนกับที่บางศาสนาเขาก็สอนว่า "ใครไม่นับถือศาสนาเขา จะต้องตกนรกหมด"

ไปศึกษามาให้มากกว่านี้ จะได้ไม่เป็นเด็กมาเรียนศาสนา

 

ปิดกระทู้นี้เถอะครับเวปมาสเตอร์

 

หุหุ ยังจะมาทำมึนแถวนี้อีกเหรอครับ
ไปว่าน้าเขาว่าเป็นเด็กเรียนศาสนา
ผมว่ายังดีกว่าคนวิปลาสเรียนศาสนาครับ
ยิ่งนานแนวคิดท่านยิ่งคล้ายกับท่านอชิตเกสกัมพลนะครับ
ที่เขาว่าเป็นพวกปัญญาทรามในสมัยพุทธกาลแล้วอวดว่าตนอัจฉริยะ
พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าเป็นอะไรที่สิ้นคิด ใช้เหตุผลแบบกระด้าง
พวกนี้เป็นลักษณะของอุจเฉททิฏฐิ ถือว่าเป็นทิฏฐิที่หยาบและน่าเกลียด
อิอิ ^^ สวัสตีรติฯ

 

เมาอัตตาอัจฉริยะ เขาคงมีความสุขกับชีวิตของเขาแล้ว แม้คนทั้งโลก 99 เปอร์เซนต์ จะทักท้วงอย่างไรก็เท่านั้น

 

เอาแต่เถียงกันอยู่ได้ ทำไมไม่ไปฟ้องกระทรวงศึกษาธิการ และกรมศาสนากันไปเลยล่ะครับ มัวทำอะไรอยู่ ยิ่งอ่านจิตยิ่งตก หรือเรียกรายการ ทีวีมาสัมภาษณ์กันเลยจะได้จบ ต่างคนต่างความเห็นและที่สำคัญไม่คิดเลยว่าจะมาจากปากนักปฏิบัติธรรมที่ด่าว่ากันต่าง ๆนานา ผมว่าดูตัวเองให้ดีก่อนที่จะว่าคนอื่น ศีล5รักษาให้บริสุทธ์กันดีหรือยังครับ คนที่ไม่มีศีลไม่ควรว่าคนที่รักษาศีล5 คนที่รักษาศีล5ไม่ควรว่าคนที่รักษาศีล8 คนที่รักษาศีล8ก็ไม่ควรว่าคนที่รักษาศีล10 คนที่รักษาศีล10ก็ไม่ควรว่าคนที่รักษาศีลพระปาฏิโมกข์ มันจะเป็นบาปเสียเปล่า ๆ ข้อความนี้ผมได้อ่านมาจาก อสีติมหาสาวก อันที่จริงผมไม่อยากจะโพสแต่ทนดูการเถียงไปเถียงมาไม่ได้ครับ

 

หุ หุ ............

 

อ่านแล้วมันหดหู่ครับ อิอิ

 

ผมก็รู้สึกหดหู่ไม่ต่างจากคุณเลย ที่ผมได้พบพระสมมติสงฆ์ที่มีความเห็นเป็นอุจเฉททิฏฐิ
เพราะความเห็นเช่นนี้ไม่ใช่ความเห็นของศิษย์พระพุทธองค์ แต่เป็นความเห็นของศิษย์อชิตเกสกัมพล ดังนั้นผู้บวชในพระพุทธศาสนา ไม่สมควรอย่างยิ่งที่มีความเห็นผิดเช่นนี้
กระผมเป็นพุทธมามกะคนหนึ่งที่เห็นแล้วอดท้วงติงไม่ได้ รู้สึกสังเวชใจเป็นอย่างยิ่งว่าทำไมถึงมีพระสมมติสงฆ์ที่มีความเห็นผิดเช่นนี้ ถ้าเป็นนักบวชต่างศาสนาผมจะไม่ว่าเลย
แต่ถ้านักบวชในศาสนาอื่นสอนขัดแย้งกับศาสนาของเขา ผมก็จะพยายามท้วงติงให้เข้ารูปเข้ารอย ยิ่งเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาที่พยายามสอนแบบเป็นปฏิปักษ์กับศาสนาตนเอง พุทธมามกะคนนี้ยิ่งอดที่จะท้วงติงไม่ได้ ???

หรือถ้าท่านผู้นั้นยอมรับว่าเป็นศิษย์ของอชิตเกสกัมพล ผมก็จะไม่ว่าอะไรเลย
เพราะมิจฉาทิฏฐิขั้นนี้แล้ว ดึงยังไงก็ไม่ขึ้น ทำได้ก็แค่วางใจเป็นอุเบกขาเท่านั้น - -

กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปฏิสรณา ยัง กัมมัง กริสสันติ
กัลยาณัง วา ปาปกัง สา ตัสสะ ทายาทา ภวิสสันติฯ

 

"ที่ศาสนาของตถาคตจะเสื่อม ก็เพราะลูกของตถาคตเอง"

 

หดหู่อีกแล้วครับ

 

ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

ใจเย็นๆทุกท่าน โปรดใช้หลักการและเหตุผล ไม่ใช่เอาแต่อารมณ์ มันไม่สมกับเป็นชาวพุทธ

ถ้าเห็นว่าผิดก็ไปแจ้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือแจ้งตำราวจ

หรือไม่ก็มาโต้กันด้วยหลักการและเหตุผล

แต่ควรไปศึกษามาให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เอาแค่ฟังๆมาแล้วก็มาโต้แย้ง

จะเหมือนเด็กมาทะเลาะกับนักปราชญ์

www.whatami.net เว็บไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ​

 

ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ มันหดหู่ครับ ตัวผมเองมิได้มีความรุ้ที่จะไปแย้งใคร ๆได้แต่ไม่อยากเห็นใช้คำหยาบ ๆออกมาควรโต้ด้วยหลักการก้พอ

 

กลับมาดูอีกที ก็ทะเลาะกันไปไม่ถึงไหนสักที นี่ถ้าจับมาคุยกันซึ่งๆ หน้าพวกคุณคงต่อยกันเละแล้วมั้งครับ แต่ละคนก็มากวิชา มากอาจารย์ คนละเรื่องเดียวกันดีแท้ๆ

นี่ไม่ใช่ชั้นเรียนวิชาอภิปรัชญานะครับ ธรรมะที่แท้จริงมันย่อมถูกอยู่แล้ว แต่ระดับปัญญาของพวกเรามันเห็นได้แค่ไหนของความจริงทั้งหมดเท่านั้นเอง

ลองงดเว้นวิวาทะสักครู่ ทิ้งตำราที่กอดเอาไว้สักนิด กลับไปตั้งสติ สำรวมกระวังคำพูด ความคิด พิจารณาทบทวนตัวเองสักหน่อย อย่าเพิ่งไปสนใจคนอื่นเลย แบกไว้จะบ้าเสียเอง

 

หดหู่มากมาย อิอิ ท่านพูดมีเหตุผล เอามาออกรายการกระชากคอคุย มีหวังเป็นโจ๊ก

 

อิอิ คุยไปก็เท่านั้นแหละครับ คุยกับพวกหลงอัตตา ยังไงก็ไม่เป็นประโยชน์ครับ
เพราะเขาไม่ฟังใครแล้ว นอกจากความเห็นของตน ขัดกับหลักกาลามสูตรอย่างมาก
แต่ไม่เป็นไรครับ เขาคิดว่าเขาอัจฉริยะก็เรื่องของเขาครับ ทั้งที่มีแต่เรื่องพื้นๆ แต่คิดว่าตนเป็นอัจฉริยะ หลงอัตตานักปราชญ์แบบศิษย์ขงจื้อจริงๆเลย ^^ ท่านต่างหากที่แสดงกิริยาที่สงฆ์ไม่พึงกระทำ ท่านยังจะเรียกตนว่า ภิกษุ ได้อีกหรือ???
อาจารย์พุทธทาสภิกขุท่านทำไว้ดี แต่ทำไมลูกศิษย์ถึงไม่ได้อย่างท่านเลย รู้สึกเศร้าใจจริงๆ ท่านพุทธทาสสอนไม่ให้เมาอัตตา ท่านก็มัวเมาอัตตา มัวเมาในตำราที่ท่านคิดเองเออเอง หลงว่าดี เห็นว่าตำราอื่นบิดเบือน งี่เง่า เพราะไม่ตรงกับความคิดตน และก็ไม่ลองพิสูจน์ให้จริงๆจังๆ ได้แต่คิดๆๆ จำๆๆ แล้วก็ว่าไปตามจริตตน นี่หรือ พุทธบุตร???
จะแจ่มแจ้งในโพธิปัญญาได้หรือ??? หลักการและเหตุผลที่เข้าข้างตนเอง ไม่ยอมฟังคนอื่น มันเถียงกันไปก็เท่านั้นแหละ เพราะท่านไม่ใช่นักตรรกศาสตร์ที่ดีเลย เข้าข้างตนเองอย่างเดียว ไม่มีความเป็นนักวิทยาศาสตร์เลย เพราะไม่เปิดใจรับอะไรทั้งนั้น นอกจากหลักการของตน นี่หรืออัจฉริยภาพของท่าน

 

นี่แน่ะๆๆ นักปราชญ์ที่แท้จริง ไม่ดูถูกผู้ด้อยกว่านะ....

เบื่อพวกชอบโอ้อวด....

ถ้าฉลาดก็ไม่ต้องป่าวประกาศก็ได้นะ ถึงเวลาที่สมควรก็จะประจักษ์เอง...