นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=cNXagelo1cg]YouTube - 2012 - Mother Earth (Evolution) - Pleiadian Keys[/ame]
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=7-ZJry4S7f0]YouTube - 111 Crop Circles Images[/ame]
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผีสามตัว

    ผีสามตัว นั่งคุยกัน อยู่ข้างวัด............... เงียบสงัด วังเวง น่าเกรงขาม

    นั่งปรับทุก ถามสุกดิบ ตอนสามยาม........ ตัวแรกถาม ตัวที่สอง บอกข้าที

    ...ว่าทำไม เจ้าใย ถึงตายเล่า.............. .เรื่องมันเศร้า ข้าโดนยิง ตอนหลบหนี

    แล้วถามกลับ เจ้าทำไม สิ้นชีวี...............ตัวข้านี้ โดนแทง ตอนตีกัน

    ...ผีทั้งสอง หันไปมอง ตัวที่สาม........... แล้วก็ถาม ว่าทำไม ถึงตัวสั่น

    ทั้งร้องไห้ เหงื่อท่วมหน้า ทำไมกัน.......... พวกเรานั้น ฉันเข้าใจ ให้บอกมา

    ...ตัวที่สาม อ้ำอึ้ง อยู่ซักครู่................ ก็ไม่รู้ ว่าจะพูด ดีไหมหนา

    ตัดสินใจ สุดกล้ำกลืน ฝืนอุรา............... อันตัวข้า....มานั่งขี้....ยังไม่ตาย.....


    ที่มา: กวีเอก ไม่ปรากฎนาม

    http://www.managerroom.com/forums/forum_posts.asp?TID=8501&PN=1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2010
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตอนนี้มีคนรับรู้เรื่องนี้กันเยอะ เอาเป็นว่าขอเอาความคิดเห็นมาใส่บ้างนะครับ จากการศึกษาและจดจำจากการอ่าน การแสวงหาความรู้ ทั้ง พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ และ อื่นๆ ทั้งคำพยากรณ์ต่างๆ ได้เป็นจริงจนถึงยุคของเราคนเป็นจำนวนมากวิ่งไปวิ่งม าและความรู้ทวีมากขึ้น จึงมีคนศึกษาข้อความจากในอดีตและพบว่าเป็นจริงทั้งหม ดและได้คนเป็นจำนวนมากได้ศึกษาเพื่อที่จะรู้ถึงอนาคต ซึ่งก็คือการทำนายทั้งทางวิทยาศาสตร์ และจากหลักฐานโบราณต่าง เห็นว่าเป็นจริงทุกเรื่องโดยการไล่ระดับมาจนถึงวันสุ กท้าย ข้อความต่อไปนี้อาจมีการอ้างถึงศาสนาบางศาสนาซึ่งจาก การศึกษา สามารถตรวจเช็คเรื่องราวความจริงได้และถ้ามีข้อความใ ดผิดเพี้ยนไป เพราะผู้พิมพ์ ทางผู้พิมพ์ขออภัยอย่างมาก

    เริ่มจากยุคแรก นับตั้งแต่พระเจ้าทรงอาดัม จนถึงอับราฮัม ซึ่งเป็นตนตระกูลของชาวยิวและอาหรับ เป็นเวลาประมาณ 2000 ปี ตั้งแต่ อับราฮัม จนถึงยุคพระเยซูคริสต์ ก็เป็นเวลาประมาณ 2000 ปีเช่นกัน และนับตั้งแต่ พระเยซูคริสต์จนถึงปัจจุบันนี้ก็เป็นเวลาประมาณ 2000 ปีเช่นกัน และยุคหนึ่งที่กำลังจะมาถึงนั้นคือยุคการครอบครองของ พระคริสต์ 1000 ปี ตามปฏิทิน ของชาวยิว และ อิสลามนั้น มีความเห็นที่ตรงกันในปีที่เป็นการเกิดของอาดัม ซึ่งเชื่อว่าเกิดในปี 3975 ก่อน คศ. ซึ่งเป็นวันที่ 1 เมษายน หรือ 23 ตุลาคม จากการคำนวนตั้งแต่การทรงสร้างของอาดัมจนถึงยุคปัจจุ บันนั้น พบว่าในปี 2025 จะเป็นวันที่โลก ครบรอบ 6000 ปี ซึ่งปฏิทินของชาวยิวเชื่อว่าปี 2018 โลกจะครบรอบ 6000 ปี ในไบเบิล 2เปโตร บทที่ 3 ข้อ 8-10 กล่าวไว้ในนั้นว่า " แต่ดูก่อนพวกที่รัก อย่าลืมความจริงข้อนี้เสีย คือวันเดียวของพระเจ้าเป็นเหมือนกับพันปี และพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญ ญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่" วันเดียวของพระเจ้าเป็นเหมือนกับพันปี คำในไบเบิลนี้ได้ระบุไว้ว่า 1000 ปีในโลกมนุษย์ก็เท่ากับ 1 วันในพระเจ้า ฉนั้นอีกไม่กี่ปีก็จะครบ 6000 ปี หรือ 6 วันในพระเจ้า และกำลังจะเข้าวันที่เจ็ดในพระเจ้าซึ่งวันที่เจ็ดนั้ นพระเจ้าให้เป็นวันพักผ่อนหรือวันสะบาโต ซึ่งตรงกับ ไบเบิล ที่ว่า ยุคหนึ่งที่กำลังจะมาถึงนั้นคือยุคการครอบครองของพระ คริสต์ 1000 ปี ชาวคริสต์ จึงถามตัวเองว่า ในเวลานี้เราจะดำเนินชีวิตอย่าไร เพื่อจะรอคอย ตอนรับ การมาครอบครองขอ พระเยซูคริสตเจ้า

    จนถึงตอนนี้ พระธรรมดาเนียล 2500 ปีก่อน (สำหรับคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ ดาเนียล เป็นเสมือนคนทำนายอนาคตในยุคนั้น ทางผู้พิมพ์ไม่ขอกล่าว) จากพระธรรมดาเนียลจะเห็นได้ว่า ดาเนียลได้เขียนข้อความหรือจมหมายไว้ว่า ความรู้ทวีมากขึ้นและคนจะวิ่งไปวิ่งมา บัดนั้นจะเป็นเวลาที่ ข้อความที่เป็นปริศนานั้นจะถูกเปิดเผยขึ้น
    ในพระธรรมดาเนียลพูดถึงเรื่องการทำนายอนาคตไว้เยอะมา กและเป็นจริง ข้อความเกี่ยวกับ 70 สัปตะ ในการทำนาย ถ้าคนที่ต้องการศึกษาสามารถอ่านได้ใน ดาเนียล 9 ข้อ 24-27 ผมขออธิบายต่อโดยไม่พูถึงพระธรรมบทนี้นะครับในพระธรร มดาเนียลพูดถึง คำพยากรณ์ เรื่อง 70 สัปตะ นั้นพูดถึงยุคสุดท้าย และสิ่งเหล่านี้มีผลกับคนยิวมาก ซึ่งคือ
    สัปตะ หรือ SEPTA นั้นเป็น ภาษากรีซ ซึ่งมีความหมายว่า 7 หรือ สัปดาห์ก็ได้
    สัปตะ(สัปดาห์) เท่ากับ 7
    1 สัปตะ เท่ากับ 7 ปี
    70 สัปตะ เท่ากับ 490 ปี
    เป็นการกำหนดวันเวลาของพระเจ้าสำหรับชลชาติอิสราเอล และนครบริสุทธิ์ นั้นคือกรุงเยรูซาเล็ม นักวิชาการต่างๆในเรื่องพระคัมภีย์ได้ศึกษาและให้อิส ราเอลและเยรูซาเล็มคือนาฬิกาของโลก
    เพื่อให้เสร็จสิ้นการทรยศ และเป้าหมายแรกของ 70 สัปตะ ที่ต้องบรรลุผลกล่าวคือ ชาวยิวในสมัยนั้นได้ทรยศพระเจ้าพระเจ้าจึงให้ชาวยิวเ ป็นทาสกรุงบาบิโลน ถึง 70 สัปตะเมืองสิ้นสุด 70 สัปตะ ก็สิ้นการทรยศ ตลอดหลายพันปีแม้ชาวยิวได้สิ้นชาติไปแล้วแต่ชาวยิวก็ สัตย์ซื่อกับพระเจ้า ตลอดหลายปีชาวยิวก็รวมชาติได้สำเร็จ เมื่อสิ้นสุดการทรยศก็เป็นยุคสุดท้าย

    ความเชื่อของคริสเตียนเชื่อว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระเมสิยาห์ ที่จะเสด็จมาในยุคสุดท้ายเพื่อเข้ายุคใหม่
    ศาสนาอิสลามเชื่อว่า นบีอีซา (คือพระเยซู) จะมาพิพากษาโลก เพื่อนำโลกเข้าสู่ยุคใหม่
    ศาสนาพุทธก็มีการรอคอยยุคของพระศรีอาริยเมตไตรเป็นยุ คแห่งความสงบสุข
    ศาสนาพราหมณ์ก็มีความเชื่อ เชื่อว่าพระกัลกยาวตาร เป็นพระนารายณ์อวตารปางที่10 บุรุษผู้ขี่ม้าขาวที่จะมาปลดปล่อยมนุษย์ชาติ เข้าสู่โลกใหม่
    ทุกศาสนามีความหวัง จึงมีการดำรงชีวิตอยู่อย่างมีสันติสุข ในยุคหนึ่งของโลกซึ่งไร้ความบาป

    และนักวิชาการได้วิเคราะห์ถึงคำ ประโยค ความหมาย ตามความเป็นจริงเห็นว่า การกำหนดในการอภัยของพระเยซูกล่าวคือ 7 x 70 หมายถึงตัวเลขของ 70 สัปตะ สิ้นสุด 70 สัปตะก็ไม่มีการอภัยเพราะเป็นการพิพากษาแล้ว
    เพื่อนำความชอบธรรมนิรันดร์เข้ามา อะไรคือความชอบธรรมนิรันดร์ที่จะเข้ามาและเข้ามาได้อ ย่างไร สมัยนี้ถ้าถามคริสเตียนจะตอบได้ ตอบคือ ความชอบธรรมได้แก่ความเชื่อในพระคุณของพระเยซูคริสต์ ซึ่งจะเสด็จมาใน พันปี เพราะโดยมนุษย์แล้วไม่สามารถมีใครเลยที่ชอบธรรมได้อย ่างนิรันดร์ ในเรื่องราวของปลายยุคนั้นในไบเบิลจะให้คำศึกษา อย่างท่อแท้ได้ว่าในปลายยุคนั้นจะเกิดอะไรขึ้น และเมื่อจบ 70 สัปตะแล้วคำพยากรณ์เหล่านั้นจะถูกประทับตราว่าเกิดขึ ้นจริงทุกอย่าง

    ขอโทษทุกท่านที่อ่านมาถึงนี้นะครับ ถ้าต้องการศึกษาต่อผมจะมาบอกเล่าต่อนะครับค่อยติดตาม ด้วยนะครับ พอดีวันนี้ง่วงมากแล้วครับ ตี3 กว่าแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเป็นความเชื่อส่วนตัวนะครับโดยอาศัยท ั้งหลักวิทยาศาสตร์ และหลักสาศนา และอ้างอิงจาก ไบเบิ้ล ซึ่งเป็นจริง เรื่องราวต่อจากนี้ถ้ามีเวลาจะพูดถึงปีที่กำลังเป็นเ หตุกันอยู่ว่าเป็นมาอย่างไรในปี 2012 ทำไมถึงเป็นปีนี้ จะบอกถึงการคำนวณเป็นตัวเลขโดยอ้างจากปีที่เกิดขึ้นจ ริงตามประวัติศาสตร์ โดยมีนักวิชาการบางท่านได้ศึกษาและแกะจากภาษาเดิมโดย การอ่านแบบไม่เป็นแนวเช่นการโยงคำในแนวตั้วและแนวนอน เพื่อทำนายและตรงทุกเรื่องจนถึงเรื่องปัจจุบัน และการคำนวนดวงดาวของชลเผ่าต่างๆ และเหตุการที่คิดว่าจะเกิดขึ้นและมีอื่นๆอีกมาก แล้วจะมาให้อ่านกันอีกนะครับ

    สุดท้ายถ้าเกิดขึ้นทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางศาสนะศาส ตร์ ก่อนถึงวันที่จะเกิดขึ้นคุณจะทำอะไร และวันสุดท้ายถ้ามีจริงสำหรับคุณจะทำอย่างไร บางคนคิดว่าไม่เกี่ยว ไม่สน ไม่มี ไม่คิด แต่คุณลืมไปว่าทุกคนเกิดมาต้องตาย ตายแล้วไงต่อ ทุกคนเชื่อว่ามีชีวิตหลังความตาย ตายแล้ว ผมถามว่าแล้วไงต่อ!

    ปล.ทำดีไว้นะครับสังคมจะได้ดีขึ้น รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ทำได้ไหมครับคุณทำไม่ได้แล้วใครจะทำได้

    ลืมบอกไป หาดูและชม และศึกษา ทำความเข้าใจได้ใน 70 สัปตะ ยุคสุดท้าย ครับ
    [
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ในวันสิ้นโลกจะมีการเป่าสังข์ดังทั่วโลก พระอัลลอฮ์จะเป็นผู้สอบสวน ทุกๆคน
    ว่ามีละหมาดมาไหม พระองค์จะปกป้องผู้ที่ศรัธทาต่อพระองค์เท่านั้น วันสิ้นโลก
    จะมีอุกกาบาทตกลงมา แต่ว่ามุสลิมทุก คน จะไม่ทันเห็น เพราะได้
    ความเมตตาจากอัลลอฮฺให้สิ้นชีวิตกันก่อน เหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธา
    ต่อพระองค์ที่ไม่ได้ความเมตตา



    โลกจะยังไม่ถึงกาลอวสานจนกว่า
    - ผู้หญิงมีจำนวนมากกว่าผู้ชาย ผู้ชายมีจำนวนลดน้อยลง
    - ยาจกในวันนี้ สามารถสร้างตึกสูงใหญ่ในวันหน้า
    - เวลาสั้นลงน้อยกว่าเดิม เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
    - บ่าว ให้กำเนิดบุตร ที่จะมาเป็นเจ้านายในอนาคต
    - จะมีการพบภูเขาทองคำ แล้วพากันแก่งแย่งมาเป็นของตน
    - เสื้อผ้าอาภรที่สวมใส่ ในเวลาเช้า จะถูกเปลี่ยนในเวลาสาย เสื้อผ้าอาภรที่สวมใส่ในเวลาสาย
    จะถูกเปลี่ยนในเวลาเย็น เสื้อผ้าที่ถูกใส่ในเวลาเย็นจะถูกเปลี่ยนในเวลาก่อนนอน
    - พวกผู้หญิงจะสวมใส่เสื้อกันหนาว ที่ดูเหมือนไม่สวมใส่อะไรเลย
    - พวกมนุษย์หลงเชื่อ สิ่งที่เห็นในชั้นฟ้าและอวกาศ ว่ามันเป็นความจริง
    - ความไว้วางใจจะไม่มีในหมู่มนุษย์
    - แผ่นดินไหวทางทิศ ตะวันตก แผ่นดินไหวทางทิศตะวันออก



    ในวันสิ้นโลกครับ
    - จะบังเกิดควันสีดำแผ่ปกคลุมทั่วโลก
    - จะมี อสูรกาย ที่ชื่อว่า ยุ มะยุด ที่ถูกกักขังอยู่ใต้พื้นโลกด้วย
    ผนังหนาที่เป็นทองแดงและไฟ ครั้นสิ่งกักกันถูกแตกออก มันจะขึ้นมาล่อลวงไล่เข่นฆ่ามนุษย์
    - ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
    - จะมีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง สามารถพูดคุยกับมนุษย์ได้



    ส่วนนี่สัญญาณวันสิ้นโลกครับ
    สัญญาณย่อย ได้แก่
    1. แผ่นดินไหวจะมีมาก
    2. ลมพายุจะรุนแรง
    3. ความตายจะดาษดื่น (จากโรคร้าย)
    4. มนุษย์จะแข่งขันประดับประดามัสยิด
    5. คนโกหกจะได้รับความเชื่อถือ คนพูดจริงกลับถูกมองว่าโกหก
    6. คนทุจริตจะปลอดภัย คนไว้วางใจได้กลับถูกบิดพริ้ว
    7. การผิดประเวณี (ซินา) จะดาษดื่น
    8. สุรา ดอกเบี้ย เป็นสิ่งอนุมัติ
    9. ในมัสยิดมีเสียงอึกทึก
    10. คนรุ่นหลังจะประณามคนรุ่นก่อน
    11. ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นทุกหัวระแหง
    12. ผู้ใหญ่จะรับใช้เด็ก
    13. อุตริกรรม (บิดอะห์) จะปรากฎชัด
    14. ความอายจะน้อยลง
    15. สตรีจะประพฤติตัวเหมือนบุรุษ ส่วนบุรุษจะประพฤติตัวเหมือนสตรี
    16. สตรีจะนุ่งน้อยห่มน้อย
    17. ผู้ทุจริตได้รับการช่วยเหลือ ผู้ถูกละเมิดกลับถูกทอดทิ้ง
    18. ผู้คนจะอ่านอัลกุรอานกันเพียงลิ้น (ขาดการกฏิบัติตาม)
    19. การนินทาให้ร้ายจะมีมาก
    20. การสาบานด้วยสิ่งอื่นจากอัลเลาะห์จะมีมาก
    21. การหย่าร้างเกิดขึ้นมาก
    22. ความชั่วช้าเลวทราบจะปรากฎชัด
    23. มนุษย์จะปฏิบัติตามอารมณ์กิเลสและตัณหา
    24. บุรุษจะถูกทำลาย เพราะทรัพย์สินเป็นเหตุ
    25. มนุษย์จะตัดขาดญาติมิตร
    26. สมาธิของคนละหมาดจะหายไป
    27. ประชาชาติจะแตกออกเป็น 70 กว่าจำพวก
    28. วันและเวลาจะสั้นลง จนกระทั่งหนึ่งปีเสมือนหนึ่งเดือน
    และหนึ่งเดือนเสมือนหนึ่งสัปดาห์ และหนึ่งสัปดาห์เหมือนหนึ่งวัน
    29. การแต่งงานเกิดขึ้น เพราะสมบัติเป็นเหตุ
    30. เรื่องราวของมนุษย์ ล้วนเป็นความโลภโมโทสัน
    31. การตลาดจะฝืดเคือง
    32. การให้เกียรติจะน้อยลง แต่การเหยียดหยามจะมากขึ้น
    33. ความรับผิดชอบจะหายไป ความวุ่นวายสับสนจะแทนที่
    34. ศาสนาจะถูกซื้อขายด้วยวัตถุทางโลก (ดุนยา)
    35. หัวใจมนุษย์หมดสิ้นจากความดี
    36. ทานบังคับ (ซะกาต) ถูกนำมาจำหน่ายค่าแรงและถูกมอบให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิรับ
    37. บุรุษจะฆ่ากันโดยไร้เหตุผล
    38. ความรู้จะถูกเก็บ คนโง่จะขึ้นแสดงธรรม (บนมิมบัร)
    39. เด็กที่เกิดจากการผิดประเวณีจะมีมาก
    40. คนที่มีลูกหลานต้องโศกเศร้า เพราะการเนรคุณ
    41. สตรีจะทำหน้าที่แทนบุรุษ
    42. เด็กจะไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะไม่เมตตาเด็ก
    43. ความบริสุทธิ์จะหายไปจากการงาน
    44. คนชั่วจะภูมิใจ และโอ้อวดความชั่วของตน
    45. การพนันจะมีมาก
    46. ผู้บริสุทธิ์จะถูกฆ่าเป็นการล้างแค้น (ไม่ใช่การรับใช้ชาติ)
    47. มนุษย์จะถูกเรียกร้องสู่ขุมนรก และหันเหออกจากการภักดีต่ออัลเลาะห์ตาอาลา



    ส่วนสัญญาณใหญ่ ได้แก่
    1. อิหม่ามมะห์ดีปรากฎตัว
    2. ดัจญ้าลเผยโฉม ยักษ์ชั่วร้าย
    3. ท่านศาสดาอีซาจะถูกส่งลงมาสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง
    4. ยะญูดและมะญูด พังกำแพงทะลุออกมาได้
    5. มีสัตว์ประหลาดออกมาจากแผ่นดิน
    6. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
    7. มีหมอกควันเกิดขึ้นเต็มแผ่นดิน
    8. เกิดไฟประลัยกัลป์ออกมาขับไล่ผู้คนไปรวม ณ ชุมนุมสถาน
    9. อัลกุรอาน และความรู้ถูกเก็บ (โดยการล้มตายของบรรดาผู้รู้)



    ที่มา : Smoothcent - Powered by Discuz!
    คำทำนายวันสิ้นโลกของ "ศาสนาอิสลาม"
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สุดอัศจรรย์...16 คำทำนายพระพุทธเจ้า ชี้ชะตามนุษย์โลก, สุดอัศจรรย์...16 คำทำนายพระพุทธเจ้า ชี้ชะตามนุษย์โลก

    ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความเจริญทางด้านวัตถุ ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิต กลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผัน กับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง





    หลายๆ สิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับมือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ทำนายล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2500 ปี หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่อง “พุทธทำนาย” อันปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ว่ามีความหมายอย่างไร ดังนี้


    วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองกรุงสาวัตถี ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงทำนายว่า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุของพุทธศาสนาในกัลป์นี้ ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์)

    ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย


    1. ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน - พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น


    2. ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว - พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว


    3. ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด - ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น


    4. ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย - ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น


    5. ทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง - ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญ คุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก


    6. ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น - ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด


    7.ทรงฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว - ทรงทำนายว่า ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า


    8. ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ


    9. ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น - ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น


    10. ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง


    11. ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า (อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2.น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3.เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก) - ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้)


    12. ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ - ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหนัก ราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้


    13. ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ - ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือน เรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย


    14. ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป - ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้


    15. ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา - ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา


    16. ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ - ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจเป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ


    เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าสองปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก “พุทธทำนาย” เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้มนุษย์โลกได้ตระหนัก และระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด


    ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง


    อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า “....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง


    เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา…คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล” นี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ว่าไว้
    สุดอัศจรรย์...16 คําทํานายของพระพุทธเจ้า.... | Yenta4 Webboard
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อวสานศาสร์ที่จะพูดถึงนั้น มี 2 หัวข้อหลัก ๆ คือ อวสานศาสตร์ในแง่ของศาสนศาสตร์ ของทีเซ่น ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพระธรรมวิวรณ์

    อวสานศาสตร์ในแง่ของศาสนศาสตร์

    อวสานศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนของชีวิตของตัวเรา และเรื่องการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้า
    ส่วนของชีวิตเรา

    เมื่อพูดถึงชีวิตของเรา ก็คิดถึงร่างกายที่ตายไปแล้ว และถูกฝัง หลังจากนั้นจะไปอยู่ที่ไหน ? ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่มีการพูดถึงกันอย่างมาก
    เมื่อเราตายไปแล้ว หมดลมหายใจ ก็จะเหลืออยู่เพียงจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นภาพความเข้าใจได้โดยทั่ว ๆ ไป แต่ที่เป็นปัญหา คือ ตายแล้วไปไหน
    ในสมัยพระคัมภีร์เดิม สิ่งที่บอกได้อย่างเด่นชัด คือ จะอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ใน Intermediate State หรือ ฮาเดส ซึ่งเป็นที่ที่วิญญาณทั้งหลายพักไว้อยู่ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของผู้ชอบธรรม และ ส่วนของผู้ที่ไม่ชอบธรรม
    พระเยซูคริสต์ได้ทรงเสด็จไปยังคุก และนำคนเหล่านั้น ที่ชอบธรรม ออกมาจากคุกนั้น เหลือผู้ที่ไม่ชอบธรรม ที่ยังอยู่ในที่จำจอง หรือ "แดนมรณา" ส่วนผู้ชอบธรรมเสด็จขึ้นไปกับพระเยซูคริสต์
    ส่วนในสมัยหลังจากที่พระเยซูคริสต์เสด็จมายังโลกนี้แล้ว ผู้ที่เชื่อ หลังจากตาย จะขึ้นไปอยู่กับพระเยซูคริสต์เลย ไม่ต้องลงไปยังแดนมรณา ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อ ก็จะลงไปอยู่ในแดนมรณา เพื่อรอการพิพากษา ร่วมกับผู้ที่ไม่ชอบธรรมก่อนที่พระเยซูคริสต์เสด็จมา

    ในแง่ของคาทอลิก ไม่รับอิทธิพลจาก นักปราชญ์ท่านหนึ่ง ซึ่งเขียนหนังสือขึ้นมา เล่าถึงการที่ท่านได้ไปเห็นแดนต่าง ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ดินแดน ได้แก่
    1. นรก สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ และเป็นคนที่ประพฤติตนไม่ดี
    2. แดนสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ แต่เป็นคนดี ซึ่งจะอยู่อย่างสงบ เพียงแต่ไม่ได้พบกับพระเจ้า และไม่มีความสุขที่แท้จริง
    3. แดนชำระ สำหรับผู้ที่เชื่อ แต่ทำตัวไม่ดี ซึ่งจะแบ่งออกเป็นขั้น ๆ ออกไปอีก 7 ขั้น
    4. สวรรค์ สำหรับผู้ที่เชื่อ และประพฤติตัวดี
    ในสมัยกลาง ได้มีการนำแนวคิดนี้มาใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ในการขาย "ใบไถ่บาป" เพื่อจะได้เลื่อนขั้นในแดนชำระ ซึ่งได้รับการต่อต้านโดย มาร์ติน ลูเธอร์
    ส่วนพุทธศาสนา เป้าหมายสูงสุด คือ นิพพาน นั่นคือ ดับสูญ
    แต่ในความเชื่อของคริสเตียน เชื่อว่า เมื่อจากโลกนี้ไป ก็ไม่ได้ดับสูญ แต่ยังคงอยู่ต่อไป
    เรื่องการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้า

    ประมาณทุก ๆ 500 ปี จะมีการวิตกกังวล เรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ และจะมีการตื่นตระหนก รวมถึงจะมีการทำนายต่าง ๆ ออกมา
    คำพยากรณ์กับปรากฎการณ์ธรรมชาติ
    "เพราะ ประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่าง ๆ" (มัทธิว 24:7)
    ปัจจุบัน พบว่า แม้ว่าโลกจะเจริญเพียงใด แต่การกันดานอาหารนั้นก็ยังคงมีอยู่เสมอ แม้แต่ในอเมริกา ก็ยังมีพวกที่ไม่มีที่อยู่อาศัย พวก homeless ซึ่งน่าสงสารมาก
    การเกิดแผ่นดินไหวก็เช่นกัน พบว่าทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ๆ แม้แต่ในประเทศไทย ที่เดิมไม่มีแผ่นดินไหว แต่ปรากฎว่าปัจจุบันเกิดขึ้นบ่อย แม้แต่ในกรุงเทพก็เกิดเช่นกัน
    "11 ผู้เผยพระวจนะปลอมหลายคนจะเกิดมีขึ้น และล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป
    12 ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป" (มัทธิว 24:11-12)
    แม้แต่ความเชื่อเทียมเท็จ ซึ่งพระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงทำนายไว้ ก็ได้เกิดขึ้นอย่างมากมายในขณะนี้
    แม้ว่าความรู้ของมนุษย์เราจะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น แต่ตรงกันข้าม คุณธรรมของมนุษย์ได้ตกต่ำลงทุกวัน จนถึงขั้นขีดสุด แม้แต่ชีวิตมนุษย์ อวัยวะของมนุษย์ก็ยังมีการซื้อขายกัน
    "แต่ตัวเจ้าดาเนียลเอ๋ย จงปิดถ้อยคำเหล่านั้นไว้และประทับตราหนังสือนั้น เสียจนถึงวาระสุดท้าย คนเป็นอันมากจะวิ่งไปวิ่งมา และความรู้จะทวีขึ้น" (ดาเนียล 12:4)
    คำทำนายของท่านดาเนียลได้กล่าวไว้ แม้ว่าท่านคงจะยังไม่เห็นว่าจะเป็นได้อย่างไร แต่ปัจจุบันจะเห็นได้ชัดว่า การเดินทางคมนาคมสะดวกมาก และความรู้ของมนุษย์ ได้มีความก้าวหน้าอย่างมากมาย ซึ่งตรงกับคำทำนายของท่านดาเนียล

    การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์นั้น มี 2 เหตุการณ์ ได้แก่ การเสด็จมาในท้องฟ้า เพื่อรับคริสตจักรของพระองค์ขึ้นไปอยู่กับพระองค์ และอีกครั้งหนึ่ง เป็นเป็นการเสด็จมาครั้งที่สองจริง ๆ คือ การเสด็จมายังโลกนี้ เพื่อปกครองยุคพันปีของพระคริสต์
    การเสด็จมาในท้องฟ้าของพระเยซูคริสต์นั้น ได้กล่าวไว้ชัดเจนในพระธรรม 1 เธสะโลนิกา
    "<SUP>13</SUP> ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านไม่ทราบความจริงเรื่องคนที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้า อย่างคนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง
    <SUP>14</SUP> เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้น มากับพระองค์
    <SUP>15</SUP> ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบ ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หาไม่
    <SUP>16</SUP> ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดีและด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน
    <SUP>17</SUP> หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์
    <SUP>18</SUP> เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด" (1เธสะโลนิกา 4:13-17)
    เราทั้งหลายที่เป็นอยู่ ขณะที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา ก็จะถูกรับขึ้นไป รับกายใหม่ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ได้รับการนำมาทำเป็นหนัง เรื่อง Left Behind ซึ่งสรุปไว้ได้ดีทีเดียว
    ในอนาคต หลังจากที่คริสเตียนถูกรับขึ้นไป จะมีผู้หนึ่งที่ขึ้นมา นำความสงบมาสู่โลก ซึ่งจะเป็นผู้ที่เก่งมาก และจะควบคุมทั้งโลก ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ เรื่องเหล่านี้ใกล้ตัวมาก โดยเฉพาะในปัจจุบัน ได้มีการนำ ไมโครชิพ เข้ามาใช้ ซึ่งในอนาคตมีแนวโน้มที่จะนำมาใช้กับคน

    เหตุการณ์ในพระธรรมวิวรณ์


    ยุคพันปีได้มี 3 ทัศนะด้วยกัน
    • Premillennium เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงเสด็จกลับมาก่อนยุคพันปี
    • Postmillennium เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงเสด็จกลับมาหลังยุคพันปี
    • Amillennium เชื่อว่า ปัจจุบันคือ ยุคพันปี
    แนวคิดแรก คือ "Premillennium"จะตรงตามแนวคิดของพระคัมภีร์มากที่สุด ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้จะต้องพูดถึงพระธรรมดาเนียล เรื่อง สัปตะ
    "<SUP>25</SUP> เพราะฉะนั้นจงทราบและเข้าใจว่า นับตั้งแต่การที่ถ้อยคำนั้นออกไป ให้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่จน ถึงสมัยผู้ถูกเจิมไว้( ภาษาฮีบรูว่า เมสสิยาห์) ผู้เป็นประมุขก็เป็นเวลาเจ็ดสัปตะ และเยรูซาเล็มจะถูกสร้างขึ้นพร้อมด้วยลานเมืองและคู เป็นเวลาหกสิบสองสัปตะแต่ในยุคลำบาก
    <SUP>26</SUP> หลังจากหกสิบสองสัปตะแล้ว ท่านผู้หนึ่งที่ถูกเจิมไว้(ภาษาฮีบรูว่า เมสสิยาห์) จะต้องถูกตัดออกและจะไม่มีอะไรสำหรับท่าน และประชาชนของประมุขผู้หนึ่งที่จะมานั้น จะทำลายกรุง และสถานศักดิ์สิทธิ์เสีย ที่สุดปลายของมัน(หรือ ท่าน) จะมาถึงด้วยน้ำท่วม จนกระทั่งที่สุดจะมีสงคราม มีความวิบัติกำหนดไว้
    <SUP>27</SUP> ท่านจะทำพันธสัญญาเข้มแข็งกับคนเป็นอัน มากอยู่หนึ่งสัปตะ ท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไปครึ่งสัปตะ ผู้ที่จะกระทำให้เกิดความวิบัตินั้น จะมาบนปีกของสิ่งน่าสะอิดสะเอียน จนความอวสานที่ได้กำหนดไว้จะถูก เทลงเหนือผู้กระทำให้เกิดความวิบัตินั้น" (ดาเนียล 9:25-27)
    หลังจากที่พระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นไป จะเป็นสมัยของคริสตจักร ซึ่งเป็นสมัยแห่งพระคุณ นับเวลาตามสัปตะไม่ได้ เป็นช่วงระหว่างสัปตะที่ 69 และสัปตะที่ 70 เป็นช่วงที่พระองค์ทรงรอคอยให้คนทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ กลับใจ และเวลาที่พระองค์จะเสด็จกลับมานั้น ก็ไม่มีใครรู้ได้
    สัปตะที่ 70 จะเป็นยุคที่ได้กล่าวถึงในยุคของพระธรรมวิวรณ์ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นช่วงระยะเวลาที่จำกัด เป็นเวลา 7 ปี ซึ่งถ้าผู้ที่ไม่ได้ถูกรับขึ้นไป สามารถทนจนถึงที่สุด ก็จะสามารถได้รับความรอดด้วยเช่นกัน
    เหตุการณ์เหล่านี้ จะสิ้นสุดที่ขันที่ 7 หลังจากขันที่ 6 คือ สงครามอารมาเกดโดน พอเป็นขันที่ 7 ก็จะเกิดลูกเห็บตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ จะมีคนจำนวนมากมายเสียชีวิต คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าทั้งหมดก็จะตายหมด เหลือที่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ได้ถูกรับขึ้นไป ซึ่งหลังจากนั้น จะเกิดยุคสงบสุข พระคริสต์จะทรงเสด็จมาปกครอง ตลอดระยะเวลา 1,000 ปี ภูมิศาสตร์ในโลกนี้ก็จะเปลี่ยนไปหมด
    ช่วงเวลาพันปีนี้ พระคริสต์ได้ทรงมัดซาตานไว้ และหลังจากพันปี จะทรงปล่อยซาตานออกมา ซึ่งมันจะรวบรวมผู้คนที่จะต่อสู้กับพระคริสต์ และจะเกิดสงครามใหญ่ขึ้นมา พระคริสต์จะทรงชนะสงครามอย่างราบคาบ
    หลังจากนั้นก็จะเกิดการพิพากษาบนพระที่นั่งใหญ่สีขาว และผู้ที่ไม่มีชื่อในหนังสือแห่งชีวิตก็จะได้รับการพิพากษาตามการกระทำ และจะถูกโยนไปสู่ในบึงไฟนรก
    ส่วนเรา ที่เป็นคริสเตียน แม้ว่าจะไม่ต้องได้รับการพิพากษาบนพระที่นั่งใหญ่สีขาวก็ตาม แต่เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องรายงานสิ่งที่ได้กระทำต่อหน้าพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์ เป็นการรายงานถึงการใช้ "ตะลัน" ที่เราได้รับจากพระองค์ ว่าเราได้ใช้มันอย่างเต็มที่หรือไม่
    และหลังจากนั้น ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ ซึ่งจะเป็นชีวิตที่สมบูณ์แบบ กายของผู้เชื่อก็จะเป็นลักษณะที่เรียกว่า "กายทิพย์" เหมือนดังที่พระธรรมยอห์นได้เขียนไว้ถึงลักษณะของพระเยซูคริสต์หลังจากเป็นขึ้นจากความตายแล้ว
    ส่วนในนรกนั้น ก็ดำรงอยู่ถาวรตลอดไป เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน สาสมต่อการกระทำของผู้ที่อยู่ในนรกนั้น
    นรกนั้นมีจริงอย่างแน่นอน เพราะเป็นความยุติธรรม แม้ว่าจะมีคำพูดที่ว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" ก็ตาม แต่ความจริง สวรรค์ และ นรก มีจริง ๆ การพิพากษาจะต้องเกิดขึ้นจริง ๆ อย่างแน่นอน

    "ในเรื่องนี้จงใช้สติปัญญาให้ดี ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจก็ให้คิดตรึกตรองเลขของสัตว์ร้ายนั้น เพราะว่าเป็นเลขของบุคคลผู้หนึ่ง เลขของมันคือหกร้อยหกสิบหก" (วิวรณ์ 13:18)
    ในพระคัมภีร์วิวรณ์ ได้มีการพูดถึงตัวเลขตัวหนึ่ง คือ "666" เมื่อพูดถึง 666 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมารร้าย ในอดีต อาจจะนึกถึงเนโร ฮิตเลอร์ เหมาเจอตุง ฯลฯ แต่ปัจจุบัน เป็นที่ยอมรับกันว่า 666 คือ คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีผู้ที่ได้ทำการคิดค้น ถอดรหัส จะพบว่า คอมพิวเตอร์มีความสัมพันธ์กับเลข 666 อย่างชัดเจน
    แต่จริง ๆ แล้ว จะต้องระมัดระวังให้ดีในการตีความถึงสิ่งเหล่านี้ จะต้องพิเคราะห์ดูให้ดีว่าพระคัมภีร์กำลังพูดถึงใคร
    ส่วนตัวแล้ว มีความคิดอย่างหนึ่งว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ในวันที่ 6 ดังนั้น คนนั่นแหละที่เป็นศัตรูที่สำคัญของพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่เราเอา "คน" เป็นศูนย์กลาง เราก็จะเป็น Antichrist ทันที และสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่เกิดมา ก็เกิดมาจากคนทั้งสิ้น แม้แต่คอมพิวเตอร์เองก็เช่นกัน ก็คิดค้นขึ้นโดยมนุษย์

    สิ่งที่สำคัญในชีวิตของเรา เมื่อเรียนรู้ถึงอวสานศาสตร์ คือ เราได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงแล้วหรือยัง จะไม่มีใครรู้ได้ นอกจากเราเอง ถ้าเราไม่ได้บังเกิดใหม่ เมื่อพระคริสต์ทรงเสด็จกลับมา ก็จะเป็นผู้ที่โดน Left Behind เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
    "เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์" (โรม 8:1)
    ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็จะไม่ต้องรับการพิพากษา และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เขียนไว้ในพระธรรมวิวรณ์ ในภัยพิบัติต่าง ๆ เรื่อง ตรา แตร ขัน ก็จะไม่เกิดขึ้นกับตัวเรา เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นหลังจากที่คริสตจักรได้ถูกรับขึ้นไปแล้ว
    การพิพากษาจะมาถึงทุกคนอย่างแน่นอน และถ้าไม่ได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว จะไม่มีผู้ใดที่ผ่านการพิพากษาไปได้เลย เราจะรอดได้ ก็รอดโดยพระคุณเท่านั้น

    ศจ.วิรัช เศรษฐโสภณกุล
    หลักสูตรศาสนศาสตร์ระยะสั้น สำหรับคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง
    เรื่อง อวสานศาสตร์
    เมื่อวันที่ 4/11/2007
    สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

    http://www.followhissteps.com/web_christianstories/Sermons/theologyforyou4.html
    เพื่อการศึกษาพิจารณารู้เขารู้เรา ไม่ได้เพื่อเชื่ออย่างงมงาย ความจริงซ่อนอยู่ในทุกที่ปะปนอยู่ในความคิดและการการตีความ จะมีใครเข้าใจพระคัมภีร์ได้ตามจริงแบบไม่ต้องตีความไหมหนอ ที่แน่ๆไม่ใช่เราแน่นอน เพราะอ่านพระคัมภีร์แล้วไม่รู้อะไรซักอย่าง ยังต้องตีความอยู่ดี​
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สามทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่อง "การถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น"

    เป็นที่แน่ชัดว่าบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ ณ บนภูเขาแห่งการจำแลงพระกายขององค์พระเยซูคริสต์ต่อหน้าต่อตาเปโตร ยอห์นและยากอบ พบว่ามีบุคคลสำคัญแห่งพันธสัญญาเดิม สองท่านมาสนทนากับพระเยซูคริสต์ในเรื่องที่สำคัญสุดยอดในประวัติศาสตร์แห่งการสนทนาของมนุษย์ชาติ บุคคลสองท่านก็คือโมเสสซึ่งได้ตายไปก่อนหน้านั้นแล้วประมาณ 1500 ปี และเอลียาห์ซึ่งได้ถูกรับขึ้นไปก่อนหน้านั้นประมาณ 800 ปี

    เอลียาห์นั้นไม่เคยได้ชิมกับความตายเลยว่าเป็นอย่างไร ทั้งสองสนทนาเรื่องสำคัญสุดยอดคือ "เรื่องการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน" ซึ่งกำลังจะเกิดในอีกไม่นาน เพราะถ้าเรื่องนี้พลาดก็แปลว่าโมเสสหมดหวังและเอลียาห์ก็หมดหวัง และมนุษย์ทุกคนต้องเข้าสู่ความพินาศ เพราะความรอดจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเพื่อรับแบกบาป เหตุการณที่ยิ่งใหญ่ ณ ภูเขาแห่งการจำแลงพระกายบอกเราว่า

    คริสเตียนที่บังเกิดใหม่จะมีประสบการณ์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งคือเผชิญกับความตายเช่นเดียวกับโมเสส หรือไม่ก็ไม่รู้ว่าความตายเป็นอย่างไรเช่นเดียวกับเอลียาห์ คือจะมีคริสเตียนยุคหนึ่งสมัยหนึ่งหรือกาลเวลาหนึ่งที่จะ "ถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น" คือได้รับการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ความเป็นอมตะภายในกระพริบตา อาจารย์เปาโลได้ยืนยันในเรื่องนี้ว่า "ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบ ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้

    ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆ พร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด" (1 เธสะโลนิกา 4:15-18)

    พวกที่โจมตีอาจารย์เปาโลกก็เยาะเย้ยจากที่อาจารย์เปาโลเขียนว่า "เราผู้ยังเป็นอยู่" และ "เราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่" พวกเขาเยาะเย้ยในทำนองว่าอาจารย์เปาโลหลงตัวเอง เห็นไหมละอาจารย์เปาโลและเพื่อนๆก็ตายไปนานแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย แท้ที่จริงแล้วเมื่ออาจารย์เปาโลบอกว่า "เราผู้ยังเป็นอยู่" และ "เราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่" อาจารย์เปาโลหมายถึงคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่งซึ่งอาจเป็นยุคของเราที่กำลังอ่านอรรถาธิบายอยู่นี้ก็เป็นได้ ใครจะรู้ ?

    อย่างไรก็ตามในความสัมพันธ์กับ "สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" หรือ เจ็ดปีสุดท้ายของมนุษย์ชาติ ในวงการคริสเตียนที่สนใจอนาคตศาสตร์ได้แบ่งทฤษฎี "การถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น" ออกเป็น 3 ทฤษฎี หรือ 3 ความเห็น ณ จุดนี้ให้เรามาทำความเข้าใจความเห็น 3 ความเห็นเสียก่อน ที่เกี่ยวข้องกับหลักข้อเชื่อทางอนาคตศาสตร์เรื่อง "การถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น" (The Rapture of the Church) ผู้ที่ศึกษาแนวความคิดทั้งสามนี้ไม่ควรฟันธงว่าใครถูกต้องที่สุด (เพราะจริงๆแล้วไม่มีใครทราบนอกจากพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น) ความเห็นทั้ง 3 ความเห็นเรื่องการถูกรับขึ้นไปทั้งเป็นที่เกี่ยวข้องกับ "สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" มีดังต่อไปนี้

    (-1-) ถูกรับขึ้นก่อนเข้าสู่ยุคแสนเข็น 70 (PreTtribulation Rapture)
    (-2-) ถูกรับขึ้นไปกลางสัปตะที่ 70 (Mid Tribulation Rapture)
    (-3-) ถูกรับขึ้นไปหลังมหากลียุค (Post Tribulation Rapture)

    เนื่องจาก "สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" ก็คือ "7 ปีสุดท้ายของมนุษยชาติก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระเยซูคริสต์ เราจินตนาการได้ไม่ยากเกี่ยวกับ 3 ทฤษฎีหรือ 3 ความเห็นที่ การถูกรับขึ้นจะเกิดขึ้น "ก่อนยุคแสนเข็น" เริ่มต้น คือพอเริ่มสัมผัสกับ "สัปตะที่ 70 ของดาเนียล" ก็จะมีคริสเตียนที่บังเกิดใหม่อันตรธานหายจากโลกนี้ไป หรือว่าเกิด "กลางสัปตะที่ 70 ของดาเนียล" ก็แปลว่าเมื่อสิ้นสุด "ยุคแสนเข็น" และก่อนเข้าสู่ "มหากลียุค" ซึ่งเป็นความเลวร้ายที่สุดสามปีครึ่งหลัง ก็จะมีคริสเตียนที่บังเกิดใหม่อันตรธานหายจากโลกนี้ไป ส่วนพวกพวกที่เชื่อว่าการถูกรับขึ้นไปเกิดขึ้น "หลังมหากลียุค"ก็แปลว่าเมื่อ "สัปตะที่ 70 ของดาเนียลสิ้นสุดลง" ก็จะมีคริสเตียนที่บังเกิดใหม่อันตรธานหายจากโลกนี้ไป

    {-4-} ประเด็นต่างๆที่น่าคิดเกี่ยวกับทฤษฎีเรื่อง "การถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น"

    ในการศึกษาอนาคตศาสตร์นั้นให้เรา "เฝ้าระวัง" จะปลอดภัยกว่า เราควรยึดเอาพระดำรัสขององค์พระเยซูคริสต์ที่ทรงตรัสสอนว่า "แต่วันนั้น โมงนั้นไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว" (มาระโก 13:32) ดังนั้นในการอรรถาธิบายก็จะได้นำเอาความคิดเห็นต่างๆเพื่อเราจะได้รู้ คริสเตียนคนอื่นๆคิดอย่างไร แต่อย่าให้เรา "ฟันธง" คือให้เรารอคอยท่าพระเจ้าดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด คือเราจะต้องไม่เพิกเฉยหรือไม่สนใจที่จะศึกษาอนาคตศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพระธรรมวิวรณ์

    การที่จะมีคริสเตียนที่บังเกิดใหม่กลุ่มหนึ่ง ในช่วงระยะหนึ่งของกาลเวลาที่จะได้รับฤทธิ์เดชจากพระเจ้าให้ได้รับ"การถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น" จึงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน "เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้" (ลูกา 1:37)

    ที่มา ศึกษาพระธรรมวิวรณ์ ตอนที่ 11 (ศึกษาพระธรรมวิวรณ์ ตอนที่ 11)

    สามทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่อง "การถูกรับขึ้นไปทั้งเป็น"
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ดนล 12:10-11
    10คนเป็นอันมากจะชำระตนเอง และกระทำให้ตนเองขาวสะอาดและถูกถลุง แต่คนอธรรมจะยังกระทำการอธรรม และไม่มีคนอธรรมสักคนหนึ่งจะเข้าใจ แต่บรรดาคนที่ฉลาดจะเข้าใจ
    11และตั้งแต่เวลาที่ให้เลิกเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์เสียนั้น และให้ตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ซึ่งกระทำให้เกิดความวิบัติขึ้น จะเป็นเวลาหนึ่งพันสองร้อยเก้าสิบวัน (เกินมา 30 วันแฮะ)

    วว 11:2-3
    2 แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกพระวิหารนั้น เพราะว่าที่นั่นได้มอบให้แก่คนต่างชาติแล้ว และเขาจะเหยียบย่ำวิสุทธนคร ตลอดสี่สิบสองเดือน
    3 และเราจะให้ฤทธิ์อำนาจแก่พยานทั้งสองของเรา เพื่อให้เผยพระวจนะตลอดพันสองร้อยหกสิบวัน และให้เขาแต่งตัวด้วยผ้ากระสอบ

    วว 12:6 และหญิงนั้นก็หนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นางมีสำนักซึ่งพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อนางจะได้รับการเลี้ยงดูอยู่ที่นั่นตลอดพันสองร้อยหกสิบวัน

    วว 13:5 สัตว์ร้ายนั้นมีปากที่พูดคำจาบจ้วงและหมิ่นประมาทพระเจ้า และทรงยอมให้มันใช้อำนาจกระทำอย่างนั้นตลอดสี่สิบสองเดือน

    ดนล 9:24-27
    24"มีเจ็ดสิบสัปตะแห่งปีกำหนดไว้สำหรับชนชาติของท่านและนครบริสุทธิ์ของท่าน เพื่อให้เสร็จสิ้นการทรยศ ให้บาปจบสิ้น และให้ลบมลทิน เพื่อนำความชอบธรรมนิรันดร์เข้ามา เพื่อประทับตราทั้งนิมิตและคำของผู้เผยพระวจนะไว้ และเพื่อจะเจิมสถานศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
    25เพราะฉะนั้นจงทราบและเข้าใจว่า นับตั้งแต่การที่ถ้อยคำนั้นออกไป ให้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่จนถึงสมัยผู้ถูกเจิมไว้ {ภาษาฮีบรูว่า เมสสิยาห์} ผู้เป็นประมุขก็เป็นเวลาเจ็ดสัปตะ และเยรูซาเล็มจะถูกสร้างขึ้นพร้อมด้วยลานเมืองและคูเป็นเวลาหกสิบสองสัปตะแต่ในยุคลำบาก
    26หลังจากหกสิบสองสัปตะแล้ว ท่านผู้หนึ่งที่ถูกเจิมไว้ {ภาษาฮีบรูว่า เมสสิยาห์} จะต้องถูกตัดออกและจะไม่มีอะไรสำหรับท่าน และประชาชนของประมุขผู้หนึ่งที่จะมานั้น จะทำลายกรุง และสถานศักดิ์สิทธิ์เสีย ที่สุดปลายของมัน {หรือ ท่าน} จะมาถึงด้วยน้ำท่วม จนกระทั่งที่สุดจะมีสงคราม มีความวิบัติกำหนดไว้
    27ท่านจะทำพันธสัญญาเข้มแข็งกับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปตะ ท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไปครึ่งสัปตะ ผู้ที่จะกระทำให้เกิดความวิบัตินั้น จะมาบนปีกของสิ่งน่าสะอิดสะเอียน จนความอวสานที่ได้กำหนดไว้จะถูกเทลงเหนือผู้กระทำให้เกิดความวิบัติ


    เยเรมีย์ 17:9 จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า
    สุภาษิต 4:23 จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ.

    เป็นมุมมองน่าสนใจครับ โดยเฉพาะเรื่องสามปีครึ่งช่วงพระเยซู
    แต่นักศาสนศาสตร์สายสแกนดิเนเวีย บางท่านเชื่อว่า
    เวลาที่กล่าวไว้ใน ดนอ.9.27 มีแค่ 69 สัปตะ
    เวลาที่หายไป หนึ่งสัปตะคือ กลียุค เจ็ดปี ยังไม่ได้เริ่มนับหนึ่ง
    เพราะ
    รม 11:25 พี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าเกรงว่าท่านจะอวดรู้จึงอยากให้ท่านเข้าใจข้อความอันล้ำลึกนี้
    คือเรื่องที่บางคนในพวกอิสราเอลมีใจแข็งกระด้างไปจนทำให้พวกต่างชาติได้เข้ามาครบจำนวน

    นัยว่าเวลาของอิสราเอลหยุดนับตั้งแต่การตรึงพระเยซู(แต่ เอ ผ่านไปสามปีครึ่งแล้วนะ)หยุดเวลาอิสราเอล
    และเริ่มยุคคนต่างชาติ(คริสตจักร) มาถึงปัจจุบัน 2009 ปี

    และประมาณการช่วงการเสด็จมาครั้งที่สองก็คาดจากการตีความ

    มธ 24:33 เช่นนั้นแหละเมื่อท่านทั้งหลายเห็นบรรดาสิ่งเหล่านั้นก็ให้รู้ว่าพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว
    34 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าคนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นบังเกิดขึ้น

    ก็นับเวลานับตั้งแต่อิสราเอลเป็นประเทศอีกครั้งในปี 1976
    นับเป็นเวลาจนถึงปัจจุบันก็ 33 ปี ชั่วอายุคนมาตรฐาน
    ก็ประมาณ 80 ปี หากตีความตามแบบนี้ก็จะออกประมาณนี้
    คือการมาของพระองค์จะอยู่ระหว่าง ไม่น่าจะเกิน ปี 2056

    คือกลุ่มนี้เชื่อว่า 70 สัปตะแห่งปีกำหนดไว้
    1. เฉพาะอิสราเอล
    2. เวลาของยิวหยุดอยู่เพราะอ้าง รม.11.25
    3. จะเริ่มเวลากลียุดก็คือสิ้นสุดยุคคริสตจักรคือคนต่างชาติเข้ามาจนครบจำนวน
    เป็นการขีดกรอบจำนวนคนที่จะถูกรับขึ้น ไม่ใช่เพียงกรอบเวลา
    4. กรอบเวลา ประมาณการเอาจาก มธ.24.33 เน้นคำว่าช่ั่วอายุนี้
    ในความหมายคือ นับจากยิวเเป็นประเทศ นับไป

    กำลังรื้อฟื้นความจำเรื่องยุคสุดท้ายครับ เรียนมา 20 ปีที่แล้วกับอาจารย์ราอูล ไรเนย์
    ครั้งหนึ่ง และมาทบทวนอีกครั้งกับ อ.มีชัย ว่องวรวิทย์ พอดีมีเอบร์โทร อาจารญ์มีชัย
    อาจจะโทรไปถามเรื่องนี้อีกครั้ง ดดยเฉพาะมุมมองจากคุณเอกิ น่าสนใจ
    วันนี้ เบลอ ๆ อยู่จากรอบนมัสการสองรอบ แต่มาอ่านของคุณเอกิ ก็เลยพยายาม
    ทบทวนหน่วยความจำ ลองพลิกตำราอีกที 20 ปีจะคืนอาจารย์ไปหมดหรือไม่
    แต่อย่างว่านะครับ อาจารญ์ท่านสอนก็บอกว่า นี่คือวิีธีวิเคราะห์
    แต่อย่าเชื่อหากมีใครฟันธงว่าต้องอย่างนั้น อย่างนี้ เพราะเรากำลังตีความ
    คำพยากรณ์ การมองลาง ๆ ในกระจก (กระจกสมัย อ.เปาโล หมายถึงกระจก โลหะขัดที่มองอะไรราง ๆ )
    วิเคราะห์เพื่อหนุนใจกันและกันครับ

    Re: 2012 วันสิ้นโลก

    [​IMG]by P.WJ » September 29th, 2009, 1:56 am
    <CITE>Aki wrote:</CITE>มีประเด็นหนึ่งทีอยากให้ฉุกใจคิดก็คือ ในพระคัมภีร์ดาเนียล พูดถึงการสร้างเยรูซาเลม ไม่ใช่พระวิหาร แต่คุณ StreamBlessing คุณ Pugpuppy และ อาจารย์ P.WJ ไปพูดถึงพระวิหารหมดเลยทุกคน จึงทำให้ผมเป็นงงมาก
    อ๋อ ผมหมายถึง 2012 จะมาหรือไม่มาให้ดูหมายสำคัญ
    2 ธส 2:1 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายเรื่องการซึ่งพระเยซูคริสตเจ้าของเราจะเสด็จมา
    และที่พระองค์จะทรงรวบรวมเราทั้งหลายไปเป็นของพระองค์นั้นเราขอวิงวอนท่านว่า
    2 อย่าให้ใจของท่านหวั่นไหวง่ายหรือตื่นตระหนกตกใจไม่ว่าจะเป็นโดยทางวิญญาณ
    หรือโดยทางคำพูดหรือโดยทางจดหมายเป็นเชิงว่ามาจากเราอ้างว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงแล้ว
    3 อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดล่อลวงท่านโดยทางหนึ่งทางใดเลยเพราะว่าวันนั้นจะไม่มาถึง
    จนกว่าจะมีการทรยศเสียก่อนและคนนอกกฎหมายนั้นจะประจักษ์แจ้งคือลูกแห่งความพินาศ
    4 ผู้กีดกั้นขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้อะไรๆที่ได้ชื่อว่าเป็นพระหรืออะไรๆ
    ที่เขาไหว้นมัสการนั้นแล้วมันก็นั่งในพระวิหารของพระเจ้าประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า

    ดังนั้นไม่สร้างวิหารแล้วเจ้าคนนอกกฎหมายเค้าจะไปนั่งวิหารไหน ผมเล็งไปตรงนี้
    แต่ใน ดนอ.กล่าวถึงสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่

    พอนำร่องไปเรื่องพระวิหาร หลายท่านก็เลยมาเรื่องวิหารมั้งครับ

    Re: 2012 วันสิ้นโลก

    [​IMG]by @Heart » September 29th, 2009, 10:56 am
    <CITE>Aki wrote:</CITE>
    <CITE>P.WJ wrote:</CITE>ดังนั้นไม่สร้างวิหารแล้วเจ้าคนนอกกฎหมายเค้าจะไปนั่งวิหารไหน ผมเล็งไปตรงนี้
    แต่ใน ดนอ.กล่าวถึงสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่

    พอนำร่องไปเรื่องพระวิหาร หลายท่านก็เลยมาเรื่องวิหารมั้งครับ
    ผมเลยมีความเห็นที่ตั้งไว้วันก่อนว่า ทำไมไม่เป็นวาติกัน เพราะสามารถเป็นสัญญลักษณ์ได้
    ก็เป็นข้อสังเกตุได้ครับ
    เพียงแต่ว่า พระคัมภีร์ ดนล. พูดถึง ชนชาติ และนครบริสุทธิ์ ซึ่งน่าจะหมายถึง อิสราเอล และเยรูซาเล็ม มากกว่า
    และพระคัมภีร์ ไม่เคยอ้างถึง วาติกัน เป็นนครบริสุทธิ์
    ดนล.9:24 "มีเจ็ดสิบสัปตะแห่งปีกำหนดไว้สำหรับชนชาติของท่านและนครบริสุทธิ์ของท่าน ...

    เมื่อก่อน ผมค่อนข้างเชื่อตามการตีความแบบคุณ Aki ว่า การไถ่ของพระเยซูน่าจะสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ควรจะมีการถวายเครื่องบูชาอีกต่อไป (ซึ่งปัจจุบัน ก็ยังคิดแบบนั้นอยู่)
    แต่เมื่อเปิดใจฟังนักศาสนศาสตร์ระดับโลกหลายท่าน และมองดูข่าวสารต่างๆ (โดยเฉพาะการจะสร้างพระวิหารหลังใหม่ ซึ่งก็อาจจะเกิดขึ้นได้ หากใช้การเมืองระดับโลก เช่น สหรัฐ หรืออังกฤษ บีบ หรือเจรจา ก็อาจจะสำเร็จได้)
    ก็เลยเริ่มคิดว่า หลายครั้ง คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งในฝ่ายกายภาพ และฝ่ายวิญญาณ และอาจเกิดแล้วในอดีต และอาจจะเล็งถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกได้เหมือนกัน

    การเกิดพระวิหารจริงๆ ก็อาจจะเป็นได้เหมือนกัน และการถวายเครื่องบูชา ของกลุ่มคนที่เป็นศาสนายูดาย (ไม่ใช่คต.) ก็อาจจะเป็นได้เหมือนกัน
    และเรื่องการทำสิ่งที่ไม่สมควร น่าสะอิดสะเอียน ในพระวิหารพระเจ้า ก็อาจจะตีความได้หลายอย่าง
    - บางคนตีความว่า ร่ายกายเราคือ วิหารพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น คือ การข่มเหง คต. ซึ่งก็เป็นได้
    - บางคนตีความว่า พระวิหารพระเจ้า คือ คจ. ดังนั้น คือ การข่มเหง คจ. ซึ่งก็เป็นได้
    - บางคนตีความว่า พระวิหารพระเจ้า หมายถึง วิหารจริงๆ ที่จะสร้างขึ้นใหม่ ดังนั้น คือ การทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ก็ทำให้พระวิหารจริงๆ เห็นได้ด้วยตา
    ดังนั้น อาจจะเกิดขึ้นได้หมด เป็นหลายๆ มิติ

    2 ธส 2:4 ผู้กีดกั้นขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้อะไรๆที่ได้ชื่อว่าเป็นพระหรืออะไรๆ
    ที่เขาไหว้นมัสการนั้นแล้วมันก็นั่งในพระวิหารของพระเจ้าประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า

    พระเยซูเตือนให้สังเกต เหตุสำคัญในยุคสุดท้าย สิ่งหนึ่ง คือ จะเห็นสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียน ตาม ดนล.
    มธ.24:15 "เหตุฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียน ซึ่งกระทำให้เกิดความวิบัติ ตามพระวจนะที่ตรัสโดยดาเนียลผู้เผยพระวจนะนั้นตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์ (ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเถิด)

    ดนล.9:27 ท่านจะทำพันธสัญญาเข้มแข็งกับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปตะ ท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไปครึ่งสัปตะ ผู้ที่จะกระทำให้เกิดความวิบัตินั้น จะมาบนปีกของสิ่งน่าสะอิดสะเอียน จนความอวสานที่ได้กำหนดไว้จะถูกเทลงเหนือผู้กระทำให้เกิดความวิบัตินั้น"


    ส่วนกลุ่มคนที่วาติกัน ลองอ่าน วิวรณ์บทที่ 17 ว่า พฤติกรรมของ หญิงที่ไม่บริสุทธิ์ จะเหมือนหรือเปล่านะ มี Prof. หลายท่าน ตั้งข้อสังเกตไว้


    ทุกอย่าง คือ การตีความ โปรดใช้วิจารณญาณในการชม เด็ก(ฝ่ายวิญญาณ) ควรรับชมภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่ [​IMG]




    BibleDiscuss.com • View topic - 2012 วันสิ้นโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2010
  12. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ฟามหลัง.....ครั้งโกนหัววววววว !

    [​IMG]


    ( เคยเขียนไว้ สมัยอยู่ลานธรรม งิงิ )
    --------------------------------

    ทำศัลยกรรมนี่ผิดไหมคะ
    กำลังสองจิตสองใจอยู่
    เนื้อความ : (หนูตุ่น) อ้างอิง |

    หนูเป็นคนที่จัดว่า น่ารักในระดับนึงน่ะค่ะ แต่ไม่ขนาดที่ว่าสวยจนใครๆเหลียวหลัง
    คือ มีบางมุมที่ดูดี น่ารัก บางมุมที่ดูแล้ว ไม่ค่อยดีนัก จะเรียกว่าหน้าแปลกๆก็น่าจะได้

    ตอนแรกไม่คิดจะทำเท่าไหร่หรอกค่ะ ยังภูมิใจกับจมูกแบนๆ ตาตี่ๆ คิดว่าไม่น่าจะเป็นไร
    แต่พอมาทำงาน เห็นชัดๆว่า คนสวยๆมักได้รับการtreat ที่ดีกว่าคนหน้าตางั้นๆ แถมทำอะไรก็ไม่ค่อยจะผิด ถึงผิดก็ดูน่ารัก

    อยากทราบความเห็นของทุกๆคนน่ะค่ะ ว่าคิดยังไงกับการทำศัลยกรรมพลาสติกบนใบหน้าเนี่ย มันถือว่าเป็นความผิดไหมคะเนี่ย
    จากคุณ : หนูตุ่น [ ตอบ: 06 พ.ย. 51 16:00 ]





    ความคิดเห็นที่ 12 : (บัวเหล่าที่ 5) อ้างอิง |


    อืม...จริง ๆ นอกจากอิฉันจะไร้ซึ่ง...ศรัทธาจริต...โดยสิ้นเชิงแล้ว
    อิฉันยังไร้ซึ่ง...ความรักสวยรักงาม...โดยสิ้นเชิงอีกด้วยนะ
    แล้วจะแนะนำคุณ จขกท ไงดีล่ะเนี่ย เฮ้อ ?

    ทำศัลยกรรมไม่ผิดเจ้าค่ะ แต่ เจ็บ
    โดยส่วนตัวแล้วผู้หญิงอย่างอิฉัน
    ก็ไม่เคยคิดจะยอมเจ็บตัว
    เพื่อสนองตัณหา(ทางสายตา)ของผู้ชายด้วยอ่ะค่ะ

    อิฉันชอบให้ชาวบ้านชื่นชมอิฉัน
    ว่าเหมือน อัลเบิร์ต ไอสไตน์
    มากว่า ให้เขาชมอิฉัน
    ว่า เหมือน มาริลีน มอนโร เจ้าค่ะ

    เก๊าะเลย ไม่คิดจะ พึ่ง สวยด้วยแพทย์ ซะที
    อิฉันชอบ ผู้หญิงที่ สวยด้วยศีล มากกว่า
    อ่ะ ลองอ่านอันนี้ดู

    เหตุใดจึงเป็นผู้มีรูปงาม

    แม้อ่าน เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ( ยังไม่จบ )
    คนเป็น ๆ อย่างอิฉัน
    ก็เห็นด้วยมั่งไม่เห็นด้วยมั่ง กับ ข้อเขียนของเขา
    ตามจริตและคุณภาพขี้เลื่อยในสมองของอิฉัน

    และคำพูดของ ดังตฤณ อันหนึ่งที่ชอบ คือ

    " สำหรับคนราคะจัดส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
    ความสวยอาจเป็นเพียงสิ่งที่เอาไว้กระตุ้นความกำหนัด
    สำหรับศิลปินผู้มีความละเอียดอ่อนในหัวใจ
    ความสวยสามารถเป็นเครื่องปลุกเร้าจินตนาการ
    สร้างสรรค์ให้บรรเจิดจ้า
    และสำหรับผู้แสวงบุญ ความสวยเป็นร่องรอยหลักฐาน
    ยืนยันว่าผลบุญมีจริงและทำให้มนุษย์ต่างกันได้เพียงใด! "

    อืม...โบราณว่า นารีมีรูปเป็นทรัพย์ นะ
    แต่ ทรัพย์ที่มากเกินไป
    มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยง
    เป็นเป้าสายตาของขโมยขโจร และเกิดทุกข์ได้ง่าย
    ดังนั้นอิฉันชอบ ความงามแบบเศรษฐกิจพอเพียงมากกว่าเจ้าค่ะ

    ถ้าความสวยเป็นยา
    มันก็เป็นยาประเภทออกฤทธิ์สั้น ๆ ( short acting )น่ะ
    เด็กเภสัชเขาไม่ใช้กันหรอกคุณ
    มันไร้ประสิทธิภาพไปหน่อย
    ศิลปะในการสร้างความประทับใจให้คนอื่น นั้น
    มันซับซ้อนกว่าการใช้แค่หนังหน้า และ เรือนร่างอย่างเดียวนะ
    (อิฉันเรียนรู้เรื่องนี้จากข้อความบางอัน สมัยอยู่ประถมน่ะ )

    เชื่อไหม ว่า ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาอย่างฉัน
    ไม่เคยต้องใช้ความงาม(อันน้อยนิดของตัวเอง )
    มาสร้างความประทับใจให้คนรอบข้างเลยนะ

    อิฉันเคยใช้คำพูดแค่ ไม่กี่ประโยค
    กับ เสียงหัวเราะ และ อารมณ์ขัน
    มาสร้างความประทับใจ ให้คนใกล้ตัว ค่อนข้างแยะนะ
    ทั้ง ครูบาอาจารย์ เพื่อนร่วมงาน รุ่นน้องที่ทำงาน
    ไม่งั้น ไอ้พวกนั้นมันคงไม่รวมหัวกันตั้ง
    " ชมรมคนรักพี่บัวฯ " ขึ้นมาหรอกนิ
    นี่อิฉันยังกินตำแหน่ง " เจ้าแม่ฮาเร็ม " อยู่เล๊ย เฮ้อ

    ไว้มีโอกาส อิฉันจะเล่า
    "เรื่องสวย ๆ งาม ๆ ตามเส้นทางการบริหารเสน่ห์ ของ หนูบัวฯ "
    ให้คุณฟัง ถึง แง่คิด และ มุมมอง
    เกี่ยวกับเรื่องความสวยความงามของ ฉัน นะ เรื่องมันยาววววว

    จริง ๆ กระทู้ที่คุณตั้ง มันก็จุดประกาย ให้อิฉันคันไม้คันมือ
    แล้วเขียนบทความเรื่องนี้นะ แต่ยังเขียนไม่เสร็จ
    ลองอ่านบางส่วนดูไหมล่ะ
    บางทีอ่านแล้วคุณอาจได้ข้อคิดอะไรเพิ่มขึ้นก็ได้นะ ^ - ^
    *******************************

    ขอเล่าเรื่องจริง
    ของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง ให้คุณฟังดีกว่าเน๊าะ
    ( สมมุติว่า ผู้หญิงคนนั้น ชื่อ หนูบัวฯ ^ - ^ )

    หนูบัวฯเป็นผู้หญิงหน้าตาโหล ๆ ทั่ว ๆ ไป
    ประมาณอาเจ้ในเยาวราช
    เธอมี ราคะจริตเป็นเจ้าเรือน
    แต่ ดันเผลอไปเลี้ยง ตัวขี้เกียจเป็นบริวาร
    ดังนั้น เธอจึงเห็นความสวยรักงามของทุก ๆ สิ่ง
    เป็นอาหารตาที่สร้างความรื่นรมย์ ให้กับเธอ
    ทว่าเธอก็ขึ้เกียจเกินกว่าจะขยับตัว
    ไปแต่งเติมเสริมสวยอะไร
    เพื่อเป็นอาการตาให้กับคนอื่น

    เธอขี้เกียจแม้กระทั่งรีดผ้า
    เลยมักจะใส่เสื้อยับ ๆ ไปเรียนหนังสือ
    จนเพื่อนมันด่าเช้าด่าเย็น
    ว่าทำให้ภาพพจน์คณะเสียหาย
    ( จริง ๆ คงไม่เสียหายหรอกมั้ง
    เพราะเธอ ไม่เคยติดทั้งเข็มคณะ เข็ม มหาลัย อยู่แล้ว
    เธอขี้เกียจไปควานหามาติด )

    ตอนอยู่ปี สาม เธอขี้เกียจหวีผม
    และ เบื่อหน่ายต่อเส้นขนบนหัวอย่างแรง
    เธอมีความรู้สึกว่า อันเส้นผมนั้น
    หาประโยชน์ต่อร่างกายได้น้อยมาก
    นอกจากเอาไว้ให้เหาอยู่
    และ คอยแต่จะแย่งเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
    จากนั้นพอหมดอายุขัยก็หล่นเกลื่อนพื้นห้อง
    ให้เธอต้องเป็นภาระเก็บกวาดอี๊ก

    วันหนึ่ง นึกครึ้ม ๆ เธอเลยไปหลอกช่างตัดผม
    ให้เขากำจัดขนบนหัวของเธอทิ้งด้วยการโกน
    เพราะอยากรู้ว่า ถ้าไม่มีเส้นขนบนหัวจะเป็นอย่างไร
    ( เธอโกนหัวก่อน บริทนี่ สเปียร์ ตั้งหลายปีเลยล่ะ )

    ตอนแรกพอไม่มีเส้นขนบนหัว เธอก็เสีย self นิดหน่อย
    เพราะกลัวสายตาชาวบ้านจะมองทะแม่ง ๆ
    ที่สำคัญ ชักไม่แน่ใจว่า ถ้าทำตัวนอกคอกงี้
    "เพื่อนมันจะเลิกคบตูไหมเนี่ย ? "

    แต่คิดไปคิดมา เธอก็เชิดหน้าอย่างยโส
    แล้วบอกตัวเองว่า ให้มันรู้ไปสิว่า
    เพื่อนเธอมันจะคบกับเธอที่ตัวตนของเธอ
    หรือ คบกับเส้นขนบนหัวเธอ
    ถ้ามันจะคบเฉพาะกับเส้นขนพวกนั้น
    พวกมันก็ไม่มีค่าพอที่เธอจะให้เกียรติ
    ไปคบกับมันเป็นเพื่อนหรอกนะ

    วันแรก ๆ ตอนเธอโผล่หัวเหม่ง ๆ ไปให้พวกมันเห็น
    เพื่อนมันแตกตื่นโล้งเล้งกันใหญ่
    แถมบางคนยังทำ เป็นสะบัดสะบิ้ง มี แง่งอน
    บ่นกระปอดกระแปดใส่เธอใหญ่
    เจ้าหล่อนทำท่าจะเป็นจะตาย
    ยังกับถูกจับโกนหัวซะเองงั้นแหล่ะ
    แต่พวกมันก็ไม่เคยอับอายที่มีเพื่อนอย่างเธอ
    และยังทนคบเธออยู่ ทั้ง ๆ ที่เธอหัวเหม่ง ๆ อย่างนั้นแหล่ะ

    และพอพวกมันเริ่มชินกับหัวโล้น ๆ ของเธอ
    บางคนมองหัวเธออยู่ดี ๆ แล้ว จู่ก็กรี๊ดกร๊าด บอกว่า
    " ต๊าย ไอ้บัวฯ แกเท่ห์จังว่ะ ฉันช้อบชอบ"

    แถมบางคนก็วิ่งโร่มาหา
    " เฮ้ย ไอ้บัวฯ ฉันกะลังหาคนเล่นละคร
    แกช่วยมารับบทพระให้หน่อยดิ๊
    ไม่มีใครเหมาะกับบทนี้เท่าแกอีกแล้ว เพื่อนร้ากกกก ! "

    เฮ้อฟังแล้วก็ได้แต่ทำตาปริบ ๆ

    สุดท้ายพวกเพื่อน ๆ ก็พร้อมใจกัน
    ยกตำแหน่ง " สะใจที่สุดในชั้นปี"ให้หนูบัวฯอีกต่างหาก
    คิดถึงเรื่องนี้ทีไรเธอก็ขำนะ
    แล้วก็ภูมิใจด้วย ไม่ใช่ภูมิใจที่ได้โกนหัวทำตัวนอกคอก
    แต่ภูมิใจ ที่เพื่อนของเธอ มันคบกับเธอที่ตัวตนของเธอ
    ไม่ได้คบกับขนบนหัวของเธอ
    การตัดสินใจโกนหัวครั้งนั้น
    มันให้ข้อคิดอะไรกับเธอหลาย ๆ อย่างมาก

    ภาพ ไอ้หนุ่มผมยาวเดินคู่กับอีสาวหัวเกรียน
    ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ผ่าน รองอธิการบดีฝ่ายปกครอง
    ตรงโถงทางเข้าคณะ ยังติดอยู่ในความทรงจำของเธอไม่เคยลืม
    มันเป็นภาพที่น่าขำ โชคดีที่อาจารย์ที่คณะค่อนข้างเปิดกว้างกับลูกศิษย์
    เธอกับเพื่อนเลยไม่โดนเรียกไปเฉ่ง

    เชื่อไหมล่ะ จากวันนั้นจนถึงวันนี้
    หนูบัวฯ เปลี่ยนทรงผมมาแล้วก็หลากสไตล์
    แต่ทรงผมที่เธอชอบที่สุด คือ ทรงอีโล้น ตอนปีสามนะ
    เบา สบายหัว โล่งหัวดีพิลึก ไม่ต้องดูแลอะไรมาก
    น่าเสียดายที่ตอนนี้ ภาระหน้าที่ หัวโขน และ ภาพพจน์ทางสังคม
    ทำให้เธอทำอะไรตามใจตัวเองแบบเดิมไม่ได้

    นั่นคือ เรื่องราวเกี่ยวกับความสวยความงามเรื่องหนึ่งในชีวิตหนูบัวฯ
    และก็มีอีกหลายเรื่อง ที่ เจ้าตัวขี้เกียจเป็นเหตุปัจจัย
    อาทิ เธอขี้เกียจดูแลผิวพรรณ มั่ก ๆ
    หน้าเธอเลยเจอแต่น้ำเปล่า
    โลชั่นบำรุงผิวจะได้มีโอกาส สัมผัสผิวเธอเฉพาะตอนผิวเริ่มแตก
    ถ้าปากไม่แห้ง ลิปมัน จะไม่ถูกหยิบขึ้นมาใช้
    แต่งหน้าครั้งสุดท้าย เมื่อห้าปีก่อน
    ตอนเข้าคอร์สแต่งหน้าสมัยเรียนเภสัชเครื่องสำอางค์

    เธอมักจะบอกคนรอบข้างเสมอว่า
    " คนอย่างชั้น มองผู้ชายที่หน้าตา
    และ ชั้นไม่จำเป็นต้องทำตัวดูดีเพื่อ ผู้ชายคนไหน
    แต่ผู้ชายทุกคน มันต้องทำตัวดูดี เพื่อให้ชั้นมองอ่ะ "

    ซึ่งทุกวันนี้ หนูบัวฯ เธอก็ยังยึดหลักการ นี้อย่างเหนียวแน่น
    เธอไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย
    ที่จะ ปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามใจ ตัวเอง
    โดยไม่สนใจเรื่องความสวยสำอางค์

    อาจเป็นเพราะ อิทธิพลของบทความในวารสารเล่มหนึ่ง
    ที่เธอเคยอ่านสมัยมัทธยมก็ได้
    ตอนนั้นเธออ่านเรื่อง "สวยสยอง"
    บทความตีแผ่รสนิยม ความงาม ของบุรุษชาติต่าง ๆ

    เธอเห็นผู้หญิงบางเผ่า ยอมใส่ห่วงให้คอยาว ๆ จนคอหักตาย
    เห็น สาวจีนสมัยก่อน ทนเจ็บ ยอมตีนพิการ เดินกระเผลก ๆ
    เพื่อให้มีอุ้งเท้างามราวกลีบบัวทองต้องตาผู้ชาย
    เห็น สตรียุโรปยอมทนปวดหลังปวดเอว
    ใส่คอร์เซตที่แสนอึดอัด จนเป็นโรคกระเพาะ
    เพื่อให้เอวบางร่างน้อยถูกจริตเหล่าสุภาพบุรุษ


    ผู้หญิงอาฟริกาบางเผ่ายอมเจ็บตัวกรีดเนื้อหนังตัวเองเป็นลวดลาย
    เพราะชายในเผ่าของเธอเห็นว่ามันสวย
    ผู้หญิงบางเผ่าเอาดินเหนียวกลม ๆ ขนาดเท่าฝ่ามือ
    มายัดไว้ที่ริมฝีปากล่างเพื่อปรุงแต่งความงาม
    ผู้หญิงในอินโดนีเซีย ใส่ตุ้มหูโลหะขนาดน้อง ๆลูกเทนนิส
    เพื่อให้สะกิดตาต้องใจผู้ชาย

    อ่านแล้วเธอขนลุก ทั้งนับถือ สตรีเหล่านี้
    และทึ่งแกมฉงน ผู้หญิงพวกนี้ช่างมีน้ำอดน้ำทน
    ในการทรมานสังขารเพื่อสนองตัณหา( ทางสายตา ) ของผู้ชายดีจังเลย
    จากนั้นเธอก็สงสัยว่า ทำไมผู้หญิงถึงต้องลำบากลำบนขนาดนั้นด้วยนะ
    หนูบัวฯ สาบานกับตัวเองไว้ว่า
    เธอจะไม่ยอมทรมานสังขาร
    เพื่อสนองตัณหา( ทางสายตา ) ของผู้ชายคนไหนเด็ดขาด

    การอ่านมากรู้มาก ( เกินไป ) ทำให้เธอเห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง

    หนุ่มฝรั่งชอบผู้หญิงผิวแทน จมูกแบน ๆ โหนกแก้มสูง
    หนุ่มไทยชอบ ผู้หญิงขาวจั๊วะ จมูกโด่ง ๆ
    อัศวินในยุโรปสมัยก่อนชอบผู้หญิงนมใหญ่ ๆ
    ส่วนชายเกาหลีโบราณ ชอบผู้หญิงนมเล็ก ๆ

    ผู้ชายบางประเทศแถวอาฟริกา ชอบผูหญิงอวบอ้วน
    จนมีการเปิดคอร์สสอนกินนมกินเนย
    ทีละเป็นลิตรเพื่อให้ตุ้ยนุ้ยถูกใจหนุ่ม ๆ ในชาติของเธอ
    แต่หลายประเทศก็ชอบผู้หญิงเอวบางร่างน้อยเพรียวระหง
    จนสถาบันไดเอททั้งหลาย ฟันกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ


    สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้เธอขบขัน
    รสนิยมอันวิไล ? ของ ผู้ชายชาติต่าง ๆมันช่างตลกดี
    บางทีการหล่อหลอมทางวัฒนธรรมของบุคคล
    มันก็ทำให้รสนิยมเรื่องความสวยของผู้หญิงต่างกันไปด้วย
    เธอขอบคุณเจ้าความขี้เกียจในตัวเอง
    ที่ทำให้เธอไม่หลงติดอยู่ในวังวนของวงจรประหลาด ๆ เหล่านี้
    ***********************************


    จากคุณ : บัวเหล่าที่ 5 [ ตอบ: 10 พ.ย. 51 18:02 ]



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2010
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อุอุ...จ๊าบบบมากกก เกรียนได้ใจอาเจ๊ จิงจิ๊งงงงงง
    แม๊....ถูกใจทุกพฤติกรรม ต้องตาทุกฟามลู้สึก นิสัยซกมกพอกั๊น
    แต่อาเจ๊...ยังใจไม่ถึงขนาด โกนหัวเกรียนซะขนาดน้าน
    ฮ่วย...ทำได้ไงเนี่ย นับถือ นับถือ เรื่องเกรียน อาเจ๊ ยอมแพ้...สู้ไม่ได้ เจงๆ เหอๆ
     
  14. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    แม๊!
    สมเป็นป้าบัวเกรียนจินๆ อัธยาศัยช่างละม้ายกะผู้เฒ่าเสียจิน เล่าให้ฟังแมะ!
    ก่อนนู้น เหล่าฮูซกมกขนาดหนัก แต่เป็นเพราะขาดความรู้และขี้เกียจ (แต่ดูจะเป็นขี้เกียจซะละมากกว่า ขาดความรู้นั้น ไว้แก้ตัวกะเอาไว้เถียงกะคนอื่น ฟังดูสมเหตุผลพอใช้ล่าย) จนเพื่อนๆทักว่าเหม็น(เหงื่อแยะ) เสื้อก็เหม็น กลิ่นตัวก็เหม็น มิได้นำพาแม้แต้น้อย(อนามัยแย่มั่กๆ) เพียงแต่สงสัยว่าเป็นยังงั้นจริงรึ

    เก็บความสงสัยไว้ขบคิดหลายปี พอมาเข้าสู่วัยหนุ่ม พบสาวถูกใจ เลยมาสำรวจตัวใหม่ ปรากฏว่า จริงทั้งหมด แต่ก็แค่รักษาความสะอาดเท่านั้น ไม่นำพากะรูปโฉม ก็หนุ่มมั่นซะอย่าง จะเซอร์ก็ไม่เชิง(เซ่อซะละมาก ใส่กางเกงขาสั้นไปเรียนรามด้วยซ้ำ โหลยโท่ยจินๆ)

    มาวันนึง ขณะกะลังนั่งคุยกะสาวที่หมายปอง ทั้งไม่นำพากะสารรูปตัวเอง หน้าตาแช่มชื่นเบิกบาน พลันสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มสุดแสนจะน่ารักในสายตาผู้เฒ่า เธอก็ใช้นิ้วก้อยเรียวงาม(เห็นแล้วอยากกินอมยิ้ม) ค่อยๆบรรจงสอดเข้าไปในโพรงจมูกอันได้สัดส่วนงดงาม สันจมูกตรง มีเนื้อนวลโดดเด่น

    โฉมงามของเล่าฮู ก็ค่อยๆบรรจง ทะลวงเป็นการใหญ่ ทะลวงเข้าทะลวงออก ทะลวงเข้าทะลวงออก อย่างเอาเป็นเอาตาย (ห้ามคิดมากนา มะใช่นิยายประโลมโลกเด็ดขาด)หมายหักหาญกันแบบแตกหักให้แหลกราญกับอะไรก็ตามที่บังอาจขวางทางเดินหายใจของเธอ อย่างไม่กลัวเรียวจมูกอันงดงามของแม่ยอดยาหยีจะบอบช้ำสักปานใดแม้แต่น้อย
    เหล่าฮูชะงักไปเล็กน้อย แต่
    เมื่อเห็นความเด็ดเดี่ยวทรนงองอาจปานนั้น เหล่าฮูปลื้มอกปลื้มใจกับความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของดรุณีวัยกำดัด(อายุเท่ากัน) โอ้ววววว
    ช่างเป็นภาพวิจิตรตระการตา งามปานเทพธิดา พลันมิวายรำพึงกับตนเองว่า
    อุแม่จ้าว ! ช่างเป็นท่าแคะขี้มูกที่สวยงามอะไรปานนั้น

    ว่าแล้ว แม่ยาหยีสุดที่รักก็ควักออกมา ปั้นเป็นก้อนกลมๆอย่างเมามัน ฉับพลัน ก็ดีดทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ผู้เฒ่ายามนั้นมองตามอย่างสุดแสนเสียดาย เรารึ สู้อุตส่าห์ได้โอกาสเห็นเป็นกรณีพิเศษ (นั่งจีบไปปั้นไป)ไม่ใช่ว่าชายใดคิดอยากจะเห็น ก็พบเห็นได้โดยง่าย แต่เธอดีดมันทิ้งอย่างไม่ใยดี โอ้แม่สวี วี่ วี คุยไปแคะไปอย่างเมามัน(ในใจพลันอยากกินกิมจ้อขึ้นมาตะหงิดๆอย่างช่วยม่ายด้าย เฮ้ออออ!)
    แล้วอะไรเกิดขึ้น เหล่าฮูแยกไม่ออกระหว่างความหลงไหล ระหว่างความงาม กับความเหมาะควร แล้วก็อกหักดัง

    แอ่บ!(เหมือนคางคงถูกเหยียบ)

    เหตุเพราะไอ้หนุ่มเพื่อนผู้เฒ่านั้น แต่งชุดขาวปานจ้าวชายในเทพนิยาย ทุกวันๆ ดูเห็นแล้วสดชื่นสมวัยที่กำลังสดใส มีสง่าราคี ง่า! ราศี แล้วย้อนมาดูตัวเอง ช่างทุเรศทุรัง รองเท้าแตะ กางเกงขาสั้น หัวมันเยิ้มมีกลิ่นตุๆพอหื่นๆ(ปามาณว่าเป็นฟีโรโมนมั๊ง)
    แล้วแม่ดรุณีนางน้อยก็หลุดลอยไป จูงมือกะซี้เก่า (บอกให้ ซี้เก่าของผู้เฒ่าไม่มีวาสนาได้เห็นอย่างเหล่าฮูเป็นอันขาด เชื่อแมะ!)

    เราก็ถามว่าเราไม่ดีตรงไหนรึ ว่าด้วยรูปสมบัติแล้ว ก็ไม่แพ้กัน คุณสมบัติรึ เราก็ไม่ด้อยกว่า เราทวงตื้อถามเจ้าหล่อน หล่อนว่าก็ใช่ จินอยู่ แต่ใครจะเดินกะเธอล่ะ่ ถ้าเธอโทรมขนาดนั้น แต่งตัวไม่ค่อยถูกกะกาละเทศะท่าวไหร่(อันนี้ว่าตัวเอง)


    แอ่บ! (อีกครั้ง)


    โอ๊ย ! ตูจาบ้า เจ้าหล่อนหารู้ไม่ โหลยโท่ยอย่างเหล่าฮูเนี่ย มีดรุณีผู้ชาญฉลาด ดีทั้งชาติวุฒิ ปัญญาวุฒิ ทั้งรูปสมบัติคุณสมบัติเพรียบพร้อม ยืนรอต่อแถวจากเธอเป็นขบวน แต่ผู้เฒ่าเองไม่เคยนำพาแม้แต่น้อย ไหงเธอมองไม่เห็นเนื้อในรูปเงาะของเจ้าเงาะอ่า (คือถอดรูปเงาะออกมา ก็เป็นเงาะน่ะแหละ แต่ลวดลายเพรรรววววพรราาวกว่าน่ะ)
    ด้วยราคะและโมหะพาไป

    ก็อั๊วจาเอาคนนี่อา ฮือๆๆๆๆๆๆ


    จบดื้อๆแล้วกัน เรื่องนี้ไม่มีข้อคิดอะไรทั้งสิ้น มีแต่ความสิ้นคิด
    แม่โฉมงามของเหล่าฮู ปัจจุบันเธอได้คู่ที่ไม่สมกันเลย (เธอได้พบคนที่แต่งตัวดี มีรสนิยม ดูเหมือนสมบูรณืพร้อม เซี๊ยดาย ก็หมอนี่เป็นเพื่อนเหล่าฮู รู้เช่นเห็นชาติ จุ๊ๆๆๆๆๆๆ เสียลายจินๆ เธอพิจารณาแค่ภายนอก มิได้แกะเปลือกเงาะออก เคี๊ยวทั้งเปลือก)ครั้งนึงลมจะพัดหวล แต่เหล่าฮูก็คือเหล่าฮู ไปแล้วไปลับ ไม่กลับคืน มะรู้ใครเสียดายใคร(แต่มารู้สึกตอนหลัง ทำนอง เฮ้อ โชคดีนะตู ที่รอดมาได้) ทำไมน๊า ตูหนอตู ช่างเป็นคนคิดอะไรสั้นๆอย่างน๊าน

    แต่ทว่า!

    ผู้เฒ่าเชื่อเรื่องกรรมวิบากนะ การที่คนเราจะเจอใครหรือไม่เจอใคร ชอบไม่ชอบ ล้วนเป็นไปตามกรรมมันจัดสรร ไม่ใช่เรื่องบังเอิญน่ะ คนที่เราก่อเวรกัน ย่อมต้องโคจรมาชดใช้กรรมร่วมกัน ไม่ว่าดีหรือร้าย ไม่ว่าโล้นไม่โล้น หัวเหม็นรึหัวล้าน!
    ทุกวันนี้เหล่าฮูหัวไม่เหม็นแล้ว แต่งตัวสะอาด(เสื้อผ้าถึงเก่า แต่ก็สะอาด ไม่ซกมกเหมือนตอนเป็นหนุ่มมั่น) จิตใจก็ผ่านการชำระเสียดสีจนฟกช้ำดำเขียว เนื่องด้วยมองไตรลักษณ์อยู่เนืองๆ ทำไมมุมมองตอนนี้ช่างต่างกะเมื่อก่อน น๊า!
    แต่ความรัก ชอบ ชัง มิได้สลายไปตามอายุเลยนะ โมหะนั้นแรงกล้า ราคะก็ยิ่งแล้วใหญ่ บางทีก็รู้สึกถึงความไม่ประสีประสาของตัวเอง มันแก้ยากจินๆ(บางวันยังนึกถึงดรุณีนางน้อยทะลวงโพรงจมูกได้อย่างน่าเอ็นดู ก็ยังรู้สึกวาบหวามในจิตใจอยู่มิคลาย เสียดาย เจ้าหล่อนไม่อาจทำแบบนั้นให้เหล่าฮูได้เห็นอีกแล้ว แม้เวลาล่วงเลยผ่านไป เธอมิได้สดใสน้อยลงตามกาลเวลา

    คิดถึงขึ้นมาทีไร อยากกินกิมจ๊อทุกที

    เอ รึว่าเราจะตาถั่วกระมัง
    แต่ถึงยังไง นางก็ประทับอยู่ในใจ เพราะได้เห็นภาพประทับใจ ที่ไม่คิดว่าใครจะโชคดีเท่าเหล่าฮูอีกแล้ว โชคดีจินๆ
    ต้องขออภัยป้าๆทั้งหลายด้วยจ้า วันนี้ไม่อยากมีสาระ ขอแทรกนิดหน่อยพอแก้คันนะ
    กันเองนะ กันเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2010
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    [​IMG]........ อ่านไปอ่านมาทำให้มาเจอสวยเกรียน .. จน วอ วิ.. อดพิมพ์ ม่ายล่ายยยยย
     
  16. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ปุจฉาาาา - วิสัชนาาา

    อืม...เจ้ขวัญขรา ตะกี้ เห็น ครายก็ไม่ลู้ ไปบ่นง้องแง้ง
    ที่ หน้าก่อนๆ ใน สมาคมสูงกินลม ของเราอ่ะ ว่า



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#edede5><TBODY><TR><TD width=57>[​IMG]</TD><TD background=../template/theme/8/images/everyday_frame_03.gif></TD><TD width=56>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=57 background=../template/theme/8/images/left.gif></TD><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD></TD></TR><TR><TD><!-- Comment 137-->[SIZE=-1]ขอถามตัดตอนละกันนะป้าๆ[/SIZE]
    [SIZE=-1]โจโฉนี่ครายกัน อ่านแร๊วงงๆน่ะ ตาลายล่วย(ตอนนี้ตามีปัญหาหนักจินๆ หายแร๊วคงได้ขอเข้าสมาคมล่วยคนนะ นะ[/SIZE]
    <!-- End Comment 137-->



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=56 background=../template/theme/8/images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=57>[​IMG]</TD><TD background=../template/theme/8/images/everyday_frame_15.gif></TD><TD width=56>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[SIZE=-1]โดย: เหล่าฮูจื้อ IP: 203.144.144.164 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:32:03 น. [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    อืม....ยินดีต้อนรับสู่ สมาคมค่า
    อ้อ นู๋บี ขอนุยาด วิสัชนา แทนเจ้ขวัญ นะค้า อิอิ


    นี่ ๆๆๆๆ อาแปะ จ๋า

    โจโฉ เค้าเป็น โคตรไอ้เข้
    ที่ดุชนิด เฮียชาละวัน เรียกพี่ อ่ะค่า
    แถม ถ้าปิ๊งอีสาวคนไหนนะ
    เก๊าะตสมจิกทึ้ง กัดไม่ปล่อยเป็น ร้อย ๆ ชาติ ซะด้วย
    ประมาณ นิสัยเดียวก๊ะ อาแปะ เรยง่ะ แบบเนี๊ยะ


    ไม่อยากบอกเรยว่า อ่าน ประโยคนี้ ของอาแปะ แร้ว
    อิช้านขำก้ากกก นึกถึงคุณนายเน่า ม้าก มาก 5555555555555555555


    จิงดิ ปุจฉาถามอาแปะ กลับ มั่งดีกว่า
    ไปเห็น ตาแก่ ไปบอกเหย็ง ๆ ที่กาทู้ ชานหมากฯ



    ตาแป๊ะ แก่ ๆ ....................................สาวเอ๊าะ ๆ อย่างนู๋บี
    [​IMG]...... VS.... [​IMG]


    ครายหน้าตาดีกว่ากัน !

    อีตานั่นบอกว่า


    ถ้างั้น

    แม่นางกิมจ๊อ ........................................ . สาวเอ๊าะ ๆ
    ................................ . ......................... อย่างน้องนู๋บัวเกรียน
    [​IMG]...... VS. [​IMG]


    ครายหน้าตาดีกว่ากันเอ่ย ?


    ไผ ตอบถูก(ใจ)
    นู๋บี จะตบรางวัลให้
    ด้วยจูบ 1 จ๊วบบบบบบ เหอ ๆ

    [​IMG]

    ปอลิง

    ถ้าคนตอบชื่อ ว.ฯ
    สมนาคุณหั้ย 3 จ๊วบบบบ งิงิ
    ( ว.วิษณุ สนใจอ๊ะปล่าวววว เหอ ๆ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2010
  17. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    ตายแย๊ว !
    ตูพูดอะไรออกมานั่น! มันน่าแหวะมากมาย พูดออกไปได้ น่าอายเจงๆ
    แต่ พูดแล้วก็เป็นอันว่าพูดไปแล้ว นึกแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ พูดต่อให้จบดีกั่ว
    ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าคุณนายเน่าเค้าว่าไง แต่ผู้เฒ่าพูดแบบนั้นไม่ต่ำกว่าสามสี่ครั้งมังเท่าที่นึกออก แม้จะดูน้ำเน่านิดโหน่ย แต่ก็ดูจิงใจ โศกเศร้าเคล้าน้ำลายแพล่บๆ คือ อาจดูพร่ำเพรื่อไปนิด แต่คิดดีๆนะ เหล่าฮูพูดแบบไม่เกงใจสาวๆรอบตัวนะบอกให้ เห็นหัวเหม็นๆฟีโรโมนอย่างนี้ ชัดช่า กงไปกงมาจินๆ
    แต่ที่ต้องพูดแบบนั้นสามสี่ครั้งน่ะ ต่างกรรมต่างวาระ คิวใครก็คิวใครม่ายปะปนกันนะ นอกจากโกวเนี้ยกิมจ้อน้อย ยังมีเรื่องอุตริพิเรนทร์หลายครั้ง กว่าจะลงเอยตอนใกล้หหมดแรงทำบาปเนี่ย มีเรื่องให้อับอายขายหน้ามะรู้เท่าไหร่ เพียงเห็นป้านู๋บีเกรียนขนาดหัวโล้น แต่ดันไปเดินควงหนุ่มผมยาว พิลึกพิเรนทร์มะใช่น้อย เหล่าฮูเลยเล่าเป็นกับแกล้มพอเค็มปะแล่มๆ
    ว่าแต่ นู๋บีอยากเป็น จุดอ่อนของหัวใจ
    สำหรับผู้ชายคนนี้จินๆเร๊อ
    [​IMG]

    เค้าอุตส่าห์ดูอยู่ห่างๆ กาทู้นี้ถูกลากมาที่นี่ เค้าคงรู้มั๊ง(เผลอๆเค้าลากมาเองง่ะ) ไปพาดพิงเค้าโบ่ยๆ เดี๋ยวเค้าโกรธเอาทำไงล่ะ จิงๆตอนเค้าเปิดตัวใหม่ๆเค้าดูทะเล้นๆนะ จามล่าย แต่ตอนนี้ทะไมดูเข้มจัง เหล่าฮูยังถูกลบบ่อยๆไป ข้อหาพาดพิงทำให้เสื่อมเสีย ถูกแขวนก่อนป้านู๋บีซะอีกบอกให้
    แต่ไหนๆก็ไหนๆอ่ะนะ

    หน้าตาเค้าพอใช้ล่าย แต่กลิ่นยังต้องปรับปรุงอ่ะ

    มือไม้ตั้งแยะ ถ้าได้เป็นแฟน เค้าคงนวดป้านู๋บีทุกวันจนน่วม แต่มือแยะ จั๊กกะแร้ก็แยะ สารส้มเอามะอยู่ร๊อก
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อะนะ คุณนายเน่าก็ขำก๊าก ไปดิคะ อาเหล่าฮู เจอพวกธาตุตระกูลเดียวกัน...55555

    เคยมีคนพูดให้ฟังว่า คนเรามักคบหาสมาคมกันด้วยธาตุ
    สงสัยจะเป็น ธาตุซกมก แอนด์ตลกบริโภคในทุกกาลเป็นอกาลิโก ไม่รู้เวล่ำเวลา เหอๆ
    พวกธาตุอื่นๆ เขาคงไม่เข้าใจหรอก แต่พวกธาตุเดียวกันเนี่ยแบบว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
    เห็นปุ๊บถูกชะตาปั๊บ พูดผิดยังถูกหู ว่าเข้าไปนั่น อีกอย่างนิสัยชอบกวนทีนชาวบ้าน
    แล้วก็เย้ยยุทธจักรอีกตะหาก แบบว่า หล่อสวยซะอย่าง ไม่มีง้อออออคราย 55555
    ใครทนได้ก็ทนปายย ทนไม่ไหวก็เดินจากไปเอง ชะเอิงเงิงเงย....

    ปล. กวนทีนเย้ยยุทธจักรชาวบ้านมามากมาย คุณนายเน่าดันมาตายน้ำตื้นกะโจโฉที่บ้าน
    ซะงั้น เฮือๆๆๆ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคุณนายเน่ายังมีโจโฉหญ่าย กะโจโฉจิ๋ว
    คุณนายเน่าเลยไปกวนทีนคนอื่นได้ไม่เต็มที่ ต้องเพลาๆ เหลือแค่เนี๊ยะ อะ ท่านเหล่าฮู
    คุณนายเน่าเลยต้องพลิกชะตากรรมตัวเอง เพราะมีคนบอกว่า
    เหนือกฏแห่งกรรมยังมีสติปัฏฐานสี่ เลยกะเอาดีทางนี้แระพ่อสอนไว้ว่า เอาตัวรอดไว้ก่องเป็นดี
    ถ้าหนีไปไหนไม่ได้ จะได้ไม่ต้องแบกทุกข์จนอกแตกตาย เหอๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2010
  19. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2010
  20. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    น่านดิ ขนาดพิจารณาธรรม ยังตามมาปาดหน้ากะทู้เดียวกันได้
    น่ายินดีจินๆ (เราร่วมกันยินดีกะอาวีระชัยด้วยกันนะ เค้ากะลังจะได้โชคสามชั้น)
    ง่า อันนี้แถมให้ละกัน ไม๊ต๊าบ๊อ(ปนจีนนิดหน่อยละกัน กลอนพาไป แปลว่า เดี๋ยวจะมาหาว่ามีแล้วไม่แบ่งให้)

    [​IMG]
    อันนี้ก็น่ายินดี เซฟไว้ก่อนเวิร์คฝ่า
    บอกให้ เหล่าฮูเพิ่งได้อุบายพิจารณาสังขารมาหยกๆ
    ที่นี่ลีจินๆหนอ เหอๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...