นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อิอิ ไม่รู้เหมือนกันแต่คงมีเหตุผลของเขา
    เอามาให้อ่านบางส่วน
    พระราชบัญญัติต่างๆเรื่องอาหาร
    11:1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า
    11:2 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ต่อไปนี้เป็นสัตว์ที่มีชีวิตในบรรดาสัตว์ในโลกซึ่งเจ้าจะรับประทานได้
    11:3 บรรดาสัตว์ที่แยกกีบและมีกีบผ่าและสัตว์เคี้ยวเอื้อง เจ้ารับประทานได้
    11:4 อย่างไรก็ตามสัตว์ต่อไปนี้ที่เคี้ยวเอื้องหรือแยกกีบ เจ้าก็อย่ารับประทาน อูฐ เพราะมันเคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า
    11:5 ตัวกระจงผาเพราะว่ามันเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า
    11:6 กระต่าย เพราะว่ามันเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า
    11:7 หมูเพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า
    11:8 อย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลย และเจ้าอย่าแตะต้องซากของมัน มันเป็นของมลทินแก่เจ้า
    มีต่ออีก...
    FREE Online KJV Thai Bible.
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บัญญัติ 10 ประการ คือรายการคำสอนและข้อปฏิบัติตามคัมภีร์ไบเบิล ที่กล่าวโดย โมเสสบนยอดเขา Sinai และสลักไว้ในแผ่นหิน 2 แผ่น บัญญัติ 10 ประการเป็นที่รู้จักสำหรับคริสต์ศาสนา และ ลัทธิยูดาห์
    ในภาษาฮิบรู ใช้คำว่า Aseret ha-Dvarîm עשרת הדברים และใน ภาษา Rabbinical ฮิบรู ใช้คำว่า Aseret ha-Dibrot עשרת הדברות ซึ่งทั้งสองคำหมายถึง บัญญัติ 10 ประการ และมีการใช้ในภาษากรีก ซึ่งแปลมาจากภาษาฮิบรูว่า δέκα λόγοι (dekalogoi) หมายถึง คำศัพท์สิบคำ("Ten Commandments")
    บัญญัติ 10 ประการมีดังนี้
    เจ้าจงอย่ามีพระเจ้าอื่นต่อหน้าเรา
    เจ้าจงอย่าสร้างรูปเคารพสำหรับคนเป็นสัณฐานรูปใด ๆ ซึ่งมีอยู่ในท้องฟ้า อากาศเบื้องบน หรือแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้ ปฏิบัติรูปนั้น ๆ ด้วยเราคือ ยะโฮวาฮพระเจ้าเบื้องบน ของเจ้า เป็นผู้หวงแหน ให้โทษของบิดา ซึ่งชังเราติดถึงลูกหลาน กระทั่ง ๓-๔ ชั่วอายุคน แต่แสดงกรุณาต่อผู้ที่รักเรา และรักษาบัญญัติของเราหลายพันชั่วอายุคน
    อย่าออกนาม ยะโฮวาฮ พระเจ้าของเจ้าเปล่า ๆ ด้วยผู้ที่ออกนามของพระองค์ท่านเล่นเปล่า ๆ นั้น พระเจ้าจะไม่ปรับโทษก็หามิได้
    จงนับถือวันสะบาโต (Sabbath day) คือ วันอาทิตย์เป็นวันบริสุทธิ์ จงทำงานของเจ้าให้เสร็จใน ๖ วัน (ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์) แต่วันที่ ๗ เป็นวันสะบาโตของพระยะโฮวาฮพระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นจงอย่าทำงานใด ๆ คือเจ้าเองหรือบุตรธิดาของเจ้า หรือทาสของเจ้า หรือบรรดาสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกผู้อาศัยอยู่ข้างในประตูเมืองของเจ้า ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าได้สร้างฟ้าแผ่นดิน และทะเล และทุกสิ่งที่มีอยู่ในที่ทั้งปวงนั้น พระองค์ทรงเหนื่อยมาก จึงทรงพักในวันที่ ๗ ฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงอวยพรแต่วันสัปปาโต และทรงถือว่าเป็นวันบริสุทธิ์
    จงนับถือพ่อแม่ของตน เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตยืนนานอยู่บนแผ่นดินที่พระยะโฮวาฮพระเจ้าของเจ้า ประทานแก่เจ้า
    อย่าฆ่าคน
    อย่าล่วงประเวณีในลูกเมียของเขา
    อย่าขโมย
    อย่าเป็นพยานเท็จต่อเพื่อนบ้านของเจ้า
    อย่าโลภอยากได้เรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภมากอยากได้เมียของเพื่อนบ้าน หรือทาสของเขา โค ลา ของเขา หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดของเพื่อนบ้านนั้น

    [​IMG]

    บัญญัติ 10 ประการ - วิกิพีเดีย
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เท่าที่อ่านมา ชาวอาหรับและอิสราเอลมีต้นกำเนิดมาจากอับราฮัม เป็นเชื้อสายเดียวกัน
    แต่ต่างตระกูลกันแยกตามสายพี่น้อง ก็เหมือนเป็นพี่น้องกัน นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน
    แต่เรียกชื่อต่างกันไป คำสอนก็คล้ายกัน แต่ต้องมาห้ำหั่นฆ่าแกงกันเองเหมือนเป็นศัตรู
    คู่แค้นไม่สามารถอภัยให้กันและไม่สามารถอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขได้ ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไร
    ถึงจะคิดได้และตื่นจากฝันร้ายซะที จะว่าไปพวกเราเองก็ไม่ได้ดีกว่าเขานะ
    ยังมีการยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังซึ่งกันและกัน ถ้าไม่รักกันไม่สามัคคีกันก็คงได้ตีกัน
    เหมือนบ้านอื่น คิดแล้วก็เศร้าใจแค่คิดไม่เหมือนกันบางทีก็เป็นชนวนให้เกลียดกันได้
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Written on ตุลาคม 31, 2009 at 3:54 pm by editor_ae
    10 อันดับดาวน่าพิศวงในจักรวาล


    Filed under วิทยาศาสตร์ no comments
    สำหรับนักดูดาวแล้ว ดาวฤกษ์บนท้องฟ้าจะส่องแสงระยิบระยับคล้ายๆกัน แต่ในความเป็นจริงดาวฤกษ์ในจักรวาลกำลังเดินไปบนเส้นทางวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน เริ่มจากการระเบิด แต่จุดจบของมันก็ไม่ใช่ความสิ้นสุด ทว่าคือความแปรเปลี่ยนไปเป็นเทหวัตถุใหม่หลากหลายชนิด ตั้งแต่ดาวแคระขาวไปจนกระทั่งถึงหลุมดำ ซึ่งหลายชนิดมีความลึกลับและน่าพิศวงเป็นอย่างยิ่ง
    ต่อไปนี้คือ 10 อันดับดาวลึกลับหรือน่าพิศวงที่นักดาราศาสตร์จัดไว้
    อันดับ 10 ดาวแคระขาว
    [​IMG]
    เมื่อดาวฤกษ์ซึ่งมีมวลขนาดดวงอาทิตย์หรือน้อยกว่า1.4 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ เผาผลาญเชื้อเพลิงนิวเคลียร์หมดไป ผิวนอกของมันจะระเบิดและกระจายไปในอวกาศ ส่วนแกนกลางจะยุบตัวลงกลายเป็นดาวแคระขาว(white dwarf)

    นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเปลือกของดาวแคระขาวซึ่งมีความหนาราว 31 ไมล์หรือ 50 กิโลเมตรเป็นผลึกของคาร์บอนและออกซิเจนซึ่งคล้ายกับเพชร ดาวแคระขาวจึงถูกเรียกขานว่า”เพชรในอวกาศ”
    อันดับ 9 ดาวแม็กเนตาร์
    [​IMG]
    ดาวแม็กเนตาร์(Magnetars) คือดาวนิวตรอนชนิดหนึ่ง ความน่าพิศวงของมันก็คือ สนามแม่เหล็กของดาวแม็กเนตาร์มีพลังงานสูงกว่าสนามแม่เหล็กของโลกหลายพันล้านเท่า มันปล่อยรังสีเอ็กซ์ออกมาทุกๆ 10 วินาที และบางครั้งยังปล่อยรังสีแกมมาออกมาอีกด้วย
    อันดับ 8 กระจุกดาว
    [​IMG]
    ดาวฤกษ์ต่างๆในกาแล็กซี่ไม่ได้อยู่กันตามลำพังหรือเป็นคู่ๆ หรือสามสี่ดวงเท่านั้น ทว่ายังมีดาวฤกษ์อยู่ใกล้กันเป็นกระจุกอีกด้วย บางกระจุกดาวมีดาวฤกษ์เพียงไม่กี่สิบดวง แต่บางกระจุกดาวมีดาวฤกษ์มากถึงหลายล้านดวง ดาวฤกษ์เหล่านี้กำเนิดในช่วงเวลาเดียวกันและในบริเวณเดียวกันก็จริงแต่ทำไมพวกมันจึงอยู่รวมกันเป็นกระจุก? นี่เป็นปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนทุกวันนี้
    อันดับ 7 พัลซาร์
    [​IMG]
    ปี 1999 นักดาราศาสตร์ตรวจพบรังสีเอ็กซ์และรังสีแกมมาที่ปล่อยออกมาจากดาวนิวตรอน เชื่อกันในขณะนั้นว่ามันเป็นการระเบิดซึ่งเกิดจากการสั่นไหวของพื้นผิวดาวนิวตรอนที่เรียกว่า Starquake คล้ายกับแผ่นดินไหวบนโลก ทว่าการศึกษาเมื่อเร็วๆนี้ของ จอห์น มิดเดิลดิตช์ นักวิทยาศาสตร์ของห้องทดลองแห่งชาติลอส อลามอส และทีมงานพบว่ามันเกิดจากการหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วพัลซาร์ (Pulsar) ดาวนิวตรอนชนิดหนึ่ง และยังพบว่าเวลาการสั่นไหวในครั้งต่อไปของมันจะเป็นส่วนกับขนาดของการสั่นไหวครั้งก่อน
    อันดับ 6 ซุปเปอร์สตาร์
    [​IMG]
    จักรวาลก็มีซุปเปอร์สตาร์ มันคือดาวนิวตรอน ( Neutron Stars ) ซึ่งเกิดจากดาวฤกษ์มวลมาก( 1.5 ถึง 3 เท่าของดวงอาทิตย์) ระเบิดเป็นซุปเปอร์โนวาเมื่อมันเผาพลาญเชื้อเพลิงนิวเคลียร์จนหมดและยุบตัวลง
    ดาวนิวตรอนเป็นดาวที่มีความหนาแน่นมากที่สุด อัดแน่นไปด้วยนิวตรอนเกือบทั้งหมด เนื้อดาวขนาดหนึ่งช้อนชาจะหนักถึงหนึ่งพันล้านตันบนโลกหรือมากกว่า ดาวนิวตรอนที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับเมืองเล็กๆเท่านั้น
    เมื่อปี 2005 นาซาตรวจพบดาวนิวตรอนสองดวงชนกันซึ่งปล่อยรังสีแกมมาออกมาอย่างมหาศาล มีความสว่างเท่ากับแสงของดวงอาทิตย์ถึง 100,000 ล้านล้านเท่า นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการชนกันของดาวนิวตรอนจะกลายเป็นหลุมดำในที่สุด
    อันดับ 5 ดาว RRATs
    [​IMG]
    นักดาราศาสตร์ค้นพบคลื่นวิทยุที่ส่งมาจากดาวปริศนาหลายดวงในกาแล็กซี่ทางเผือกเป็นช่วงๆและในเวลาสั้นๆเพียง 1 ในร้อยของวินาทีเท่านั้น การศึกษาพัลซาร์หรือดาวนิวตรอนที่หมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วและปล่อยรังสีเอ็กซ์ รังสีแกมมา คลื่นวิทยุและแสงสว่างออกมาเป็นจังหวะ มากกว่า 800 ดวง พบว่าไม่ใช่ต้นตอแน่นอน เพราะการส่งคลื่นวิทยุของมันแตกต่างกัน แต่ดาวปริศนานี้ก็หมุนรอบตัวเองคล้ายกับพัลซาร์
    นักดาราศาสตร์เรียกดาวปริศนานี้ว่า Rotating Radio Transients หรือRRATs
    และเชื่อว่ามันอาจจะเป็นดาวนิวตรอนชนิดหนึ่งที่มีวิวัฒนาการแตกต่างจากดาวนิวตรอนและดาวแม็กเนตาร์หรือกำลังวิวัฒนาการจากดาวนิวตรอนไปเป็นดาวแม็กเนตาร์ก็เป็นได้
    อันดับ 4 ระบบดาวฤกษ์
    [​IMG]
    ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ในกาแลกซี่ทางช้างเผือกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวอย่างดวงอาทิตย์แต่อยู่รวมกันเป็นระบบที่เรียกว่า Multiple-Star Systems โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งจะอยู่กันเป็นคู่ๆที่เรียกว่า Binary Stars
    นอกจากพวกมันจะอยู่รวมกันแล้ว ดาวฤกษ์เหล่านี้จะมีดาวเคราะห์บริวารด้วยหรือไม่ ในปี 2005 นักดาราศาสตร์ก็ได้คำตอบเมื่อพบดาวเคราะห์บริวารดวงแรกของดาวเคราะห์คู่
    อันดับ 3 ซุปเปอร์โนวา
    [​IMG]
    ปรากฏการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในท้องฟ้าอย่างหนึ่งก็คือ ซุปเปอร์โนวา (Supernova) การระเบิดของดาวฤกษ์มวลมากที่หมดอายุขัย ซึ่งจะส่งลำแสงพลังงานสูงและสสารสู่อวกาศ และยุบตัวลงเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ
    ซุปเปอร์โนวามีความสว่างจ้าบนท้องฟ้าชั่วขณะหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแม้ในเวลากลางวัน นับตั้งแต่เกิดซุปเปอร์โนวาเคปเลอร์เมื่อปี 1604 แล้ว นักดาราศาสตร์ก็ยังไม่พบซุปเปอร์โนวาที่เกิดในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกอีกเลย
    อันดับ 2 โซลาร์แฟลร์
    [​IMG]
    ดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะก็มีความน่าพิศวง บรรยากาศของดวงอาทิตย์หรือ คอโรนา (Corona) จะมีอุณหภูมิสูงถึง 3.6 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ หรือ 2 ล้านองศาเซลเซียส พลังงานความร้อนที่สูงมากขนาดนี้จะสาดอนุภาคพลังงานสูงที่มีประจุไฟฟ้าให้พุ่งออกจากดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วสูงเกือบเท่าความเร็วแสง การประทุนี้เรียกกันว่าโซลาร์แฟลร์ (Solar Flares) ซึ่งทำให้เกิดพายุสุริยะ เมื่อพายุสุริยะเดินทางถึงชั้นบรรยากาศของโลกมันสามารถทำลายระบบสื่อสารและดาวเทียมของโลกหรือ แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือได้
    การประทุโซลาร์แฟลร์ขนาดใหญ่ที่สุดมีพลังงานสูงเทียบเท่ากับระเบิดไฮโดรเจนหลายล้านลูก หรือมีพลังงานเพียงพอที่จะใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้นานถึง 100,000 ปี
    ปัจจุบันนักดาราศาสตร์อยู่ในช่วงเริ่มต้นการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างและปฏิกิริยาภายในของดวงอาทิตย์เพื่อจะทำนายปรากฏการณ์อันน่าพิศวงอย่างเช่นโซลาร์แฟลร์นี้
    อันดับ 1 หลุมดำ
    [​IMG]
    อันดับ 1 ก็คือหลุมดำ (Black Holes) หลุมดำกำเนิดจากการยุบตัวของดาวฤกษ์มวลมากเมื่อสิ้นอายุขัย ความน่าพิศวงของหลุมดำก็คือมันมีความหนาแน่นมากจนกระทั่งไม่มีสิ่งใดๆจะหลุดรอดจากแรงโน้มถ่วงอันมหาศาลของมันได้แม้กระทั่งแสง
    ปัจจุบันนักดาราศาสตร์พบหลักฐานว่าหลุมดำมีอยู่จริง และยังพบว่ามีหลุมดำยักษ์ที่เรียกว่า Supermassive Black Holes ซึ่งมักจะอยู่บริเวณใจกลางกาแล็กซี่ด้วย

    10 อันดับดาวน่าพิศวงในจักรวาล
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ต้อนรับปีใหม่กับโฉมหน้าใหม่ของอียูและสนธิสัญญาลิสบอน
    Written by คณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป
    Friday, 18 December 2009

    เตรียมต้อนรับปีใหม่ 2553 ทีมงานไทยยุโรป.เน็ตขอนำเสนอรายงานชุดเรื่อง สนธิสัญญาลิสบอนกับการเปลี่ยนแปลงภายในของอียูและผลกระทบต่อไทย

    หลัง จาก 8 ปีแห่งกระบวนการเจรจาและการให้สัญยาบรรณาจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 27 ประเทศ ยุโรปก็ได้สนธิสัญญาฉบับใหม่ ชื่อว่าสนธิสัญญาลิสบอน ซึ่งเป็นสนธิสัญญาแห่งการปฏิรูปสถาบันภายในและการปรับปรุงพื้นฐานด้านกฎหมาย ครั้งใหญ่ของอียู เพื่อมุ่งให้อียูเป็นประชาธิปไตยและมีความโปร่งใสมากขึ้น สนธิสัญญาลิสบอนได้รับสัตยาบัณจากประเทศสมาชิกสมาชิกสหภาพยุโรปครบถ้วน 27 ประเทศในวันที่ 1 ธ.ค. 2552 และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2552 เป็นต้นไป





    สนธิสัญญาลิสบอนนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสหภาพยุโรป ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิรูปของสถาบันภายในของอียูเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อนโยบายการเมืองการต่างประเทศและบทบาทของอียูในด้านการต่างประเทศ และการดำเนินการค้ากับประเทศที่สาม และประเทศไทยด้วย

    การปฏิรูปสถาบันภายในอียู


    - ชื่อสหภาพยุโรป: ชื่อที่ใช้เรียกการรวมกลุ่มของประเทศยุโรป 27 ประเทศว่า “สหภาพยุโรป” จะได้รับสถานะทางกฎหมายอย่างเต็มที่ แต่เดิมเมื่อเอ่ยถึงสหภาพยุโรป ทางทางกฎหมายจะแบ่งเป็น 3 เสาหลัก แต่อันที่จริงเสาที่มีการรวมตัวกันแบบเหมือนรัฐจริงนั้น คือเสาที่1 ที่เรียกว่า ประชาคมยุโรป (European Community) เพียงเสาเดียว แต่อีก 2 เสาได้แก่ นโยบายร่วมด้านการเมืองการต่างประเทศ และความร่วมมือด้านมหาดไทย/ตำรวจและยุติธรรม เป็นเพียงความร่วมมือของประเทศสมาชิกเท่านั้น ไม่ได้มอบอธิปไตยทั้งหมดให้เหมือนเช่นเสาแรก แต่เมื่อสนธิสัญญาลิสบนจะทำให้ระบบสามเสาหลักดังกล่าวหมดไป แต่รวมกันได้รับสถานะทางกฎหมายเรียกว่า สหภาพยุโรป ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คณะผู้แทนไทยที่ประจำอยู่ที่บรัสเซลส์ก็จะมีชื่อใหม่ด้วยเช่นกันว่า คณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป มิใช้ประจำประชาคมยุโรปเช่นเดิมแล้ว


    - Double Majority Rule: จะมีการปรับใช้ระบบการนับคะแนนเสียงที่เรียกว่า double majority ภายในคณะมนตรียุโรป (ซึ่งปกติการออกเสียงในคณะมนตรียุโรป ส่วนใหญ่ใช้ระบบ qualified majority คือได้รับ 255 จาก 345 เสียง และแต่ละประเทศสมาชิกมีจำนวนเสียงไม่เท่ากัน คิดตามจำนวนประชากร) double majority หมายถึง ร่างกฎหมายของอียูจะได้รับความเห็นชอบต้องได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบแบบ qualified majority โดยต้องคิดเป็นร้อยละ 55 ของประเทศสมาชิก และร้อยละ 65 ของประชากรทั้งหมดของอียูด้วย จะเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นไป


    - จะมีประธานสหภาพยุโรปคนใหม่ (President of the European Council) คือนาย Herman Van Rompuy ที่จะทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป โดยมีวาระสองปีครึ่ง แทนประธานสหภาพยุโรปที่แต่เดิมประธานในการประชุมต้องหมุนเวียนกันทุก 6 เดือน ตามประธานที่มาจากประเทศสมาชิกที่เข้ารับตำแหน่งประธานของคณะมนตรียุโรป (Presidency of the Council of the European Union) อย่างไรก็ดี ประเทศสมาชิกยังหมุนเวียนกันดำรงตำแหน่งประธานของคณะมนตรียุโรปหมุนเวียน 6 เดือน เช่นเดิม เรียกว่า Presidency of the Council of the European Union

    - แต่งตั้งตำแหน่งใหม่เรียกว่า ผู้แทนสูงสุดของสหภาพยุโรปในด้านการต่างประเทศและความมั่นคง (แทนที่จะเรียกว่ารัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรป ตามที่เคยคิดไว้แต่ต้น) ซึ่งเป็นการรวม 2 ตำแหน่งคือ ผู้แทนสูงสุดสุดของสหภาพยุโรปคนเดิม คือนาย Javier Solana (ซึ่งปกติดูแลเสาที่ 2) กับตำแหน่งกรรมาธิการด้านการต่างประเทศของคณะกรรมาธิการยุโรปเข้าด้วยกันเป็นตำแหน่งเดียว โดยนาง Catherine Ashton เข้าดำรงตำแหน่งใหม่ดังกล่าว


    - สำหรับสภายุโรป

    - สนธิสัญญาลิสบอนจะลดจำนวนสมาชิกสภายุโรปลง คือไม่เกิน 750 คน โดยแต่ละประเทศไม่เกิน 96 คน


    - ให้สิทธิสภาระดับชาติของประเทศสมาชิกในการลงมติไม่เห็นชอบร่างกฎหมายของสหภาพยุโรป หรือที่เรียกว่าประเทศสมาชิกสามารถออก Orange Card ได้ ทั้งนี้ยึดตามการเคารพหลักการ subsidiarity ซึ่งหมายถึงการร่วมมือกันในเฉพาะเรื่องที่จะเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายเท่านั้น ซึ่งเป็นหัวใจหลักของความร่วมมือของสหภาพยุโรปมาตั้งแต่สนธิสัญญาฉบับเดิม ซึ่งสนธิสัญญาลิสบอนก็ยังคงรักษาหลักการนี้ไว้


    - นอกจากนั้น ยังมีการกำหนด exit policy หรือการเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกสมารถลาออกจากสหภาพยุโรปได้

    ติดตามบทวิเคราะห์ผลกระทบของสนธิสัญญาลิสบอนต่อประเทศที่สาม โดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุนได้ต่อไปในเว็บไซต์ ThaiEurope.net - กรองยุโรปเพื่อไทย - หน้าหลัก
    Last Updated ( Wednesday, 23 December 2009 )
    ThaiEurope.net -
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



    [​IMG]
    มาร์ติน ลูเทอร์


    การปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์ (ภาษาอังกฤษ: Protestant Reformation) คือขบวนการการปฏิรูปศาสนาที่เริ่มโดย มาร์ติน ลูเทอร์ เมื่อปี ค.ศ. 1517 เพื่อแก้ไขความเสื่อมโทรมของนิกายโรมันคาทอลิก และสถาบันสันตะปาปา มาเสร็จสิ้นลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลีย ค.ศ. 1648<SUP class=reference id=cite_ref-Simon-120-121_0-0>[1]</SUP> ผลจากการปฏิรูปคือการแยกตัวจากนิกายคาทอลิกมาเป็นนิกายโปรเตสแตนต์
    <TABLE class=toc id=toc><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>[แก้] เหตุการณ์ก่อนการปฏิรูป

    มีเหตุการณ์หลายประการที่เป็นต้นเหตุเกิดการเปลี่ยนแปลง และปฏิรูปศาสนาคริสต์ครั้งใหญ่ในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 16
    1. สถาบันสันตะปาปาตกอยู่ใต้อำนาจของสถาบันกษัตริย์แห่งประเทศฝรั่งเศสระหว่าง ค.ศ. 1305-1375 ที่เรียกว่า”การคุมขังแห่งบาบิโลเนีย หรืออาวิญอง ทำให้สถาบันฯเสื่อมอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นชนวนให้ผู้ใฝ่ในศาสนาดิ้นรนที่จะศึกษาถึงแก่นแท้ของคำสอน เกิดเป็นขบวนการการศึกษาภาษาฮีบรูและกรีกโดยมีศูนย์ที่เมืองฟลอเรนซ์ และมีการค้นคว้าศึกษาวิจัยพระคัมภีร์อย่างมากมายเพื่อให้ได้มาซึ่งสัจจะในคำสอน การได้ศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตัวเองทำให้นักคิดชั้นนำสามารถวิจารณ์โจมตีสถาบันศาสนาได้อย่างเต็มที่
    2. การพัฒนาของเทคโนโลยีการพิมพ์ แบบเรียงพิมพ์ทำให้มีการแปลพระคัมภีร์เป็นภาษาต่างๆ และตีพิมพ์อย่างแพร่หลาย ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสศึกษาพระคัมภีร์ได้ด้วยตัวเอง และไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังพระ สังฆราช หรือที่ประชุมสงฆ์ที่จะวินิจฉัยวางหลักการอย่างไรก็ต้องยอม
      1. อีราสมัส (Desiderius Erasmus ค.ศ. 1466-1563) แปลพระคัมภีร์ฉบับกรีกเพื่อเผยแพร่ทั่วไป
      2. สังฆราชซิเมเนส (Ximenes) เป็นผู้ควบคุมจัดทำพระคัมภีร์ฉบับสมรวม (The Polyglot Bible)
    3. ในช่วงศตวรรษที่ 14 เรื่อยมา มีการดึงอำนาจที่กระจัดกระจายในหมู่ขุนนางศักดินา กลับคืนสู่ราชบัลลังก์ โดยได้รับความเชื่อเหลือของกลุ่มชนใหม่ที่มีภูมิกำเนิดนอกสังคมขุนนางศักดินา คือกลุ่มชนที่มีพลังเศรษฐกิจและมีความรู้ความสามารถอันเป็นผลจากความสำเร็จของครอบครัวทางการค้า หรืออุตสาหกรรม กลายเป็นสังคมรัฐประชาชาติ มีการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจทางการเมืองภายในรัฐ ระหว่างรัฐในยุโรปกับสถาบันสันตะปาปา กลุ่มชนใหม่เหล่านี้ให้การสนับสนุนต่อประมุขการเมืองของรัฐปราบปรามบรรดาขุนนางศักดินาภายในรัฐ และต่อต้านสถาบันสันตะปาปาจากภายนอก กลุ่มชนใหม่นี้เรียกว่าชนชั้นกลางซึ่งประกอบด้วยกลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ นายธนาคาร และกลุ่มผู้มีการศึกษา
    4. สันตะปาปาในระยะศตวรรษที่ 15-16 ให้ความสำคัญในการประกอบภารกิจทางศาสนาน้อยมาก มีการหมกมุ่นในทางโลกและละเลยหน้าที่รับผิดชอบทางธรรมและพระวินัย มีการขายใบฎีกาไถ่บาป (Sale of Indulgence) และการบูชาอัฐิของนักบุญอย่างงมงาย มีการซื้อขายตำแหน่งพระสมณศักดิ์ มีการอุดหนุนบุคคลในครอบครัวให้ได้รับตำแหน่งสำคัญในศาสนา เช่น พระสันตะปาปาอเลกซานเดอร์ที่ 6 (ค.ศ. 1492-1503) แห่งสกุลเบอร์เจีย พยายามจะสร้างฐานะมั่นคงทางโลก และทรัพย์สินแก่ลูกชายลูกสาวอย่างลับๆ โดยลูกชายคนสำคัญคือ ซีซาเร เบอร์เจีย (ค.ศ. 1476-1507) และให้เมียลับแต่งตัวเป็นชายร่วมขบวนแห่เฉลิมพระเกียรติของพระองค์
    5. ในการประชุมคณะสงฆ์สากลแห่งกองสตองซ์(The Constance Council) ค.ศ. 1417 ภายในการนำของจักรพรรดิซิกิสมุนด์(Sigismund ค.ศ. 1410-1437) เปิดเผยหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าเอกสาร”บรรณาการของคอนสแตนติน เป็นเอกสารปลอมที่สถาบันสันตะปาปาจัดทำขึ้นในศตวรรษที่ 8 ทำให้อำนาจของสถาบันศาสนายิ่งเสื่อและสูญเสียความนิยม มีกลุ่มคนเช่น
    จอห์น วิคลิฟฟ์(John Wyclyffe ค.ศ. 1320-1384) จอห์น ฮัส (John Huss ค.ศ. 1369-1415) และ เวสเซล (Wessl ค.ศ. 1420-1489)
    โจมตีสถาบันศาสนาจากภายในเพื่อรื้อฟื้นให้สถาบันศาสนากลับเป็นผู้เผยแพร่คำสอนที่แท้จริง ซึ่งถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่มีผลที่ทำให้คนในยุโรปในศตวรรษที่ 15 กล้าก้าวออกมาจากความงมงายของคำสอนที่แหลกเหลว และเคร่งครัดในยุคกลาง ตลอดจนการทำลายบทบาทของสถาบันทางศาสนา ในฐานะอุปสรรคสำคัญของความก้าวหน้าทางด้านศิลปะวิทยาการ และความคิดที่มีเหตุผล
    [แก้] การปฏิรูปศาสนา (Protestant Reformation)

    การปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์ เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และเสร็จสิ้นลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลีย ค.ศ. 1648 ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กระแสใหญ่ๆคือ
    1. การปฏิรูปภายนอกที่แบ่งศาสนาคริสต์ออกเป็น 2 นิกายคือ โรมันคาทอลิก และโปรเตสแตนต์
    2. การปฏิรูปภายใน ที่แก้ไขความเสื่อมโทรมของศาสนา และสถาบันสันตะปาปา เพื่อต่อสู้ไม่ให้ชาวยุโรปหันไปนิยมนิกายโปแตสแตนท์ที่เกิดขึ้นใหม่
    โดยการปฏิรูปนั้นเริ่มต้นจากหลายๆทาง
    [แก้] จุดเริ่มต้นขบวนการปฏิรูปศาสนา

    1. ผลงานวิทยานิพนธ์ “เทวนคร” (City of God)ของออกัสตินแห่งเมืองฮิปโป ที่เป็นแรงบันดาลใจในหมู่นักปฏิรูป
    2. ขบวนการฮุสไซท์ (The Hussites) กลุ่มผู้ติดตามจอห์น ฮุส (John Huss) ชื่อหลักการ Utraquism คือ ฆราวาสมีสิทธิเช่นเดียวกับสงฆ์ในพิธีรับศีลมหาสนิท ที่จะรับทั้งขนมปังและเหล้า โดยในสมัยนั้นฆราวาสจะรับได้เพียงขนมปังและน้ำเท่านั้น ซึ่งเบื้องหลังคือการกดดันให้สถาบันสันตะปาปา และคณะกรรมาธิการศาสนา (Council Authority) ยอมรับว่าทั้งบรรพชิตและฆราวาสนั้นเท่าเทียมกัน และพระคัมภีร์เท่านั้นที่มีอำนาจสูงสุดในศาสนกิจ โดยภายหลังการปฏิรูปศาสนากลุ่มฮัสไซท์ได้เข้ารวมกับพวกติดตามลูเทอร์
    3. ขบวนการลอล์ลาร์ด (The Lollard Movement) ของจอห์น วิคลิฟฟ์ (John Wycliffe) ที่เน้นการปรับปรุงศาสนาให้เข้ากับความต้องการของสามัญชน เน้นการเทศนาสั่งสอนมากกว่าการรับศีล ต่อต้านการสารภาพบาป การสวดมนต์ให้แก่ผู้สิ้นชีวิตแล้ว การเดินทางไปจาริกแสวงบุญ การเชื่อเครื่องรางของขลัง และเริ่มการใช้พระคัมภีร์ไบเบิลที่แปลเป็นภาษาพื้นเมือง เพื่อให้ชาวบ้านได้ศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตนเองแทนการพึ่งพิงพระที่ใช้พระคัมภีร์ภาษาละติน โดยขบวนการลอล์ลาร์ดนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการปฏิรูปศาสนาระยะแรกภายใต้มาร์ติน ลูเทอร์
    ดังนั้นพบว่าขบวนการปฏิรูปศาสนานั้นได้มีการเริ่มมาจากความไม่พอใจของสงฆ์ที่มีธรรมะ และสามัญชนที่ผิดหวังในสถาบันศาสนา ประกอบกับมีการผันแปรทางการเมือง ทัศนคติทำให้ผู้ที่ปรารถนาจะแก้ไขความเสื่อมในศาสนากล้าที่จะประกาศตนออกจากสถาบันศาสนา โดยไม่ต้องหวาดกลัวต่อชะตากรรมแบบ “ลอยแพ” ของสังคมในยุคกลางอีกต่อไป
    [แก้] ผลของการปฏิรูปศาสนา

    1. ทางการเมือง
    การปฏิรูปศาสนาได้ทำให้พวกที่ไม่ต้องการระเบียบแบบแผน และพวกที่มีความคิดเห็นรุนแรงทางศาสนาก่อการจลาจลวุ่นวายขึ้นเรียกว่า”กบฏชาวนา”ในปี ค.ศ. 1525 ที่โบฮีเมีย มีทั้งกลุ่มอัศวินต่อสู้กับเจ้านายของตน และพวกชาวนาที่ก่อการปฏิวัติต่อเจ้าของที่ดินโดยต่างยื่นข้อเสนอเรียกร้องสิทธิของตน และกำหนดกฎเกณฑ์เอาตามใจชอบ บ้างก็ขอเสรีภาพในการถือศาสนา ดังนั้นลูเทอร์จึงได้ลุกขึ้นมาสอนให้ประชาชนเคารพประมุข และกฎหมายของรัฐ และต่อต้านการจลาจล โดยถือว่าประมุขของรัฐมีอำนาจอันชอบธรรมในสายตาของศาสนา ที่จะดำเนินการเด็ดขาดกับขบวนการเหล่านี้ เพราะฉะนั้นคำสอนของลักธิลูเทอรันส่งเสริมอำนาจชนชั้นปกครอง
    2. ทางศาสนา
    เกิดการปฏิรูปศาสนาไปทั่วยุโรปโดยแบ่งออกเป็น
    - แยกนิกายเป็น โปรเตสแตนต์และโรมันคาทอลิก - การปฏิรูปภายในนิกายโรมันคาทอลิกเอง เช่นเกิดคณะเยซูอิด(The Jesuits) ที่เน้นการศึกษาวิทยาการใหม่เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม, การประชุมสังคายนาที่เมืองเทร้นต์(1545-1563) ซึ่งต้องการแก้ไขข้อติดเตียนของขบวนการปฏิรูปศาสนาโปรเตสแตนต์ทั้งหมด แต่ยังเชื่อว่าสิทธิอำนาจมาจากพระคัมภีร์และขนบธรรมเนียมต่างๆที่โบสถ์ ได้รับสืบทอดมาจากเปโตร และยอมรับอำนาจของสันตะปาปาว่ายังมีอยู่ ผลการปฏิรูปนิกายโรมันคาทอลิก ทำให้สามารถป้องการการขยายตัวของความนิยมในนิกายโปรเตสแตนต์อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าสันตะปาปาต้องเสียอำนาจในยุโรปไปมาก แต่ก็ยังสามารถรักษาอิทธิพลทางจิตใจเหนือประชากรจำนวนมากของโลกตะวันตกไว้ได้ และสามารถฟื้นฟูความศักดิ์สิทธิของโรมได้จนถึงปัจจุบัน

    การปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์ - วิกิพีเดีย
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อี้จิง

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content -->
    <TABLE class="noprint metadata plainlinks ambox ambox-style"><TBODY><TR><TD class=mbox-image>

    </TD><TD class=mbox-text>บทความนี้ต้องการ การจัดหน้า การจัดหมวดหมู่ และใส่ลิงก์ภายใน เพื่อให้บทความมีคุณภาพดียิ่งขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก หรือใช้ป้ายข้อความอื่นระบุสิ่งที่ต้องแก้ไขให้เจาะจง</TD></TR></TBODY></TABLE>วิชาอี้จิง (易經) คือวิชาที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง จากมีเป็นไม่มี ไม่มีเป็นมี บวกกลายเป็นลบ ลบกลายเป็นบวก จึงมีการแทนสิ่งเหล่านี้ด้วยเส้นเต็มและเส้นขาดสองแบบ เมื่อนำมารวมกันหกเส้นหรือฉักลักษณ์ (ฉักกะ = หก,ลักษณะ = รูปแบบ) เมื่อนำมาหาค่าความน่าจะเป็นก็จะได้รูปแบบการเปลี่ยนแปลงถึงหกสิบสี่แบบ จนกลายมาเป็นแม่แบบของวิชาฮวงจุ้ยหกสิบสี่ข่วยด้วยนั่นเอง
    ด้วยรูปแบบแห่งความจริง ของการเปลี่ยนแปลงหกสิบสี่แบบนี้เอง มันคือความจริงแท้ที่เดินคู่กับชีวิตคนเรา "อี้จิง" จึงสามารถชี้เส้นทางเดินที่ถูกต้องให้คนเราได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
    หลักการอ่านของวิชาอี้จิงมีหลายแบบ แต่โดยหลักใหญ่คือ เราต้องหาวิธี ผู่กว้า หรือการขึ้นรูปแบบของกว้า ซึ่งประกอบไปด้วยเส้นหกเส้นให้ได้เสียก่อน โดยการขึ้นกว้านี้ ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว สามารถขึ้นได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเห็นคนเดินมาแล้ว เราก็ตีความหมายมาเป็นกว้า หรือการโยนเหรียญ แล้วนำมาขึ้นกว้า หรือการใช้วันเดือนปีและเวลาปัจจุบัน มาตั้งกว้า ก็ถูกต้องทั้งหมด ที่บอกว่าถูกต้องทั้งหมด เพราะการขึ้นกว้า จุดประสงค์เพื่อต้องการอ่านเรื่องราวที่เราต้องการ โดยผู้ถามต้องมีความสัมพันธ์กับเรื่องนั้นด้วย จึงจะสามารถทำให้การอ่านนั้นถูกต้องได้
    หลักเบื้องต้นของการอ่านความหมายของ "อี้จิง" ต้องรู้ความหมายของข่วยเสียก่อน ซึ่งหากมีความรู้เกี่ยวกับฮวงจุ้ย อาจจะได้เปรียบในจุดนี้
    กำเนิดอี้จิง เมื่อครั้งบรรพกาล กษัตริย์อวี่ ปรสบปัญหาอุทกภัย มีมังกรแบกภาพใบหนึ่งโผล่มาจากแม่น้ำฮวงโห(ภาพเหอถู) ตะพาบวิเศษก็ คาบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นจากลำน้ำลั่วสุ่ย(ตำราลั่วซู) อวี่อาศัย ภาพและตำรา ปรับเปลี่ยนขุนเขาทางน้ำแก้ปัญหาอุทกภัยทั้งเก้า แคว้นสำเร็จ หลังจากนั้นก็อาศัยภาพเหอถูและความรู้จากการขจัดอุทกภัย เขียนตำราเหลียงซานขึ้นเป็นความหมายว่าเชื่อมต่อแม่ น้ำภูเขา เมื่อกษัตริย์อวี่เสียชีวิต บุตรชายคือเซี่ยฉี ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ราชวงศ์เซี่ย เทิดทูนตำราเหลียงซานเป็นคัมภีร์วิเศษ ใช้เสี่ยงทายทำนายโชคเคราะห์ต่อมา ซางทังล้มล้างราชวงศ์เซี่ย ก่อตั้งราชวงศ์ซางขึ้น ตำราเหลียงซานตกอยู่ในมือมหาเสนาบดีนามอีอิน ทำการปรับปรุ่งกลายเป็นตำรากุยฉัง หมายความว่าสรรพสิ่งของฟ้าดินล้วนเก็บซ่อนอยู่ภายใน ต่อมาใช้เป็นเครื่องมือทำนายโชคเคราะห์ ปลายราชวงศ์ซาง ติ้วอ๋องจับกุมจีซาง ไว้ในสถานที่เรียกว่าเซียงหลี่ จีซางเป็นคนชาญฉลาดระหว่างที่ถูกขังทำการศึกษาตำรากุยฉัง จนจัดทำตำราโจวอี้ ซึ่งอีกชื่อนึงคือ อี้จิง ครอบคลุมถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งมวล สรุปแล้วตำราทั้งสามเล่มแม้มีชื่อผิดแผก แท้ที่จริงมีส่วนเกี่ยวเนื่องกัน ข้อมูลจาก เฟิงเกอ [​IMG]

    อี้จิง - วิกิพีเดีย

    การสลับขั้วของสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์ ดร.อาจอง พูดถึง น้ำท่วมโลก
    Jul 06
    ปฏิทินอี้จิง (I Ching) กับปี 2012

    ลึกลับ Add comments

    [​IMG]
    อี้ จิง แปลตรงตัวว่า ตำราแห่งความเปลี่ยนแปลง มีประวัติความเป็นมาดังนี้ ประมาณปี 551-479 ก่อนคริสต์กาล ขงจื้อ ปราชญ์ชาวจีนได้สลักตำราหลักขงจื้อ 5 ประการลงบนแผ่นหิน อี้จิงกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในวัฒนธรรมจีน แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในตะวันตก จนกระทั่งได้รับการแปลโดย ริชาร์ด วิลเฮล์ม มิชชันนารี ชาวเยอรมัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน และต่อมาในศตวรรษที่ 19 คาร์ล จุง นักจิตวิทยา ได้ให้ความสนใจงานแปลชิ้นนี้อย่างยิ่ง ไม่นานก็มีการแปลเป็นภาษาอื่นๆ รวมทั้งการตีความอย่างกว้างขวาง จนทำให้เป็นที่รู้จักในที่สุด
    [​IMG]
    เส้นอี้จิง หรือเส้นปากัว หรือข่วย หรือเส้นตรีลักษณ์ ในรูปแบบเบื้องต้น จะมีทั้งหมด 8 รูปแบบ ซึ่งเส้นอี้จิงจะแทนถึงความเป็นหยินและหยาง ความเป็นคู่และความเป็นคี่ โดยเส้นที่เป็นเส้นเดียวหรือความเป็นคี่แทนถึง หยาง และเส้นขาดหรือเส้นคู่จะแทนถึง หยิน หลักของอี้จิงคือการผสมผสานความเป็นหยินและหยาง วิธีการอ่านเส้นจะอ่านจากเส้นล่างสุดไล่ขึ้นไปด้านบน เพื่อให้เกิดความเข้าใจโดยง่ายในการเขียนและอ่านเส้นอี้จิง
    [​IMG] I Ching

    การพยากรณ์ชะตาด้วยอี้จิง
    การพยากรณ์ชะตาด้วยอี้จิง จะมีคำแนะนำทำนายทั้งหมด 64 รูปแบบ มาจากการผสมผสานรวมตัวจากอี้จิงในระดับเบื้องต้นใน 8 รูปแบบแรกเข้าด้วยกันกลายเป็น 64 รูปแบบ (8×8 = 64) โดยที่มาของการเปลี่ยนแปลงผสมผสานรูปแบบต่างๆจนได้เป็น 64 รูปแบบนั้น มาจากผลงานของกษัตริย์นามพระเจ้าเวน ผู้ครองนครชู ทางตะวันตกของจีน ตามตำนานเล่าว่า พระเจ้าเวนถูกจักรพรรดิ ชู ฉิน จับกุมขัง ต่อมาในปี 1143 ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าเวนใช้เวลาในที่จองจำด้วยการจับคู่ปรับเปลี่ยนรูปแบบอี้จิงพื้นฐาน เสียใหม่ ได้ 64 รูป พระองค์ยังเขียนพลังคำอธิบายกลั่นกรองความสัมพันธ์ของพลังต่างๆ ในแต่ละสัญลักษณ์ ทั้งยังแนะนำความสัมพันธ์ของคำถามที่ถูกยกขึ้นมาในการให้คำปรึกษา หลังจากออกจากคุกแล้ว พระเจ้าเวนก็ทำสงครามกับจักรพรรดิ ชู ฉิน มีชัยชนะ

    ปฏิทินอี้จิง (I Ching)

    ต่อมาภายหลัง Terrence และ Dennis McKenna ได้ทำการศึกษาอี้จิงอย่างจริงจัง และพบกับสิ่งที่น่าประหลาดใจ ดังนี้คือ อย่างที่กล่าวมาข้างต้น รูปแบบ 64 รูปแบบของอี้จิงนั้น ประกอบด้วยเส้น 6 เส้น ดังนั้นหากนำ 6 คูณกับ 64 ก็จะเท่ากับ 384 วัน หรือ 13 เดือนตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งถือเป็น 1 ปี และหากนำ 384 วัน คูณกับ 64 อีกครั้งก็จะเป็น 67 ปี กับอีก 104.25 วัน ซึ่งค่าที่ได้นี้จะเท่ากับรอบวัฏจักรการสลับขั้วของดวงอาทิตย์ 6 รอบพอดิบพอดี และหากเราเอา ค่าที่ได้นี้มาคูณกับ 64 อีกครั้ง ก็จะได้ออกมาเป็น 4,306 ปี และวันจำนวนหนึ่ง ซึ่งค่าที่ได้นี้เท่ากับ การเคลื่อนของจักราศรี 2 รอบพอดี ยิ่งไปกว่านั้นหากเรานำค่าได้ไปคูณ 64 อีกครั้งก็จะเท่ากับ 25,836 ปี ซึ่งเท่ากับ 1 การหมุนของแกนโลก ครบ 1 รอบพอดี
    1 day x 64 x 6 = 384 days = 13 lunar months
    384 days x 64 = 67 years, 104.25 days = 6 minor sunspot cycles (11.2 years each)
    67 years, 104.25 days x 64 = 4306+ years = 2 Zodiacal ages
    4306+ years x 6 = 25836 years = 1 precession of the equinoxes
    [​IMG] ภาพการหมุนของแกนโลก ครบ 1 รอบ

    ซึ่งปฏิทินอี้จิง นั้น ปรากฏว่าวันสุดท้ายของรอบนี้คือ 22 ธันวาคม 2012 !!

    ปฏิทินอี้จิง (I Ching) กับปี 2012
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2010
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ความรู้แสวงหาได้ไม่สิ้นสุด เจงๆ
    หันหลังให้ความรู้ มาหาความจริงในตัวเองดีฝ่า ยังมีแววว่าจะ ตัดตอน จบได้มั่ง
    ความรู้มักแตกออก เหมือนหน่อไม้แตกกอไม่สิ้นสุด รู้ตรงนี้แล้วก็ต่อยอดออกทางโน้น
    ถ้ารู้ทันความอยากรู้ บางทีมันหดกลับเอง ก็มี กะอีกแบบมันซดจนพอใจก็อ๊วกแตกไปเอง
    รู้มากๆ ก็ไม่สงบ ตัดใจหยุดรู้ก็ได้สงบขึ้นมาเอง หรือรู้ว่ารู้ต่อไปก็ไม่จบ ก็ไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำมายอีก
    เพราะหาคนรู้จริงไม่มี มีแต่คนตีความ ส่วนใหญ่ถ้าเกิดแล้วก็จะคิดได้เข้าแก๊ปหน่อย
    แต่อะไรที่ยังไม่เกิด ก็มืดตึ๊ดตื๋อต่อไป เกิดเป็นความจริงเมื่อไร ก็สว่างแจ้งจางปางเอง
    ระหว่างที่ความจริงยังไม่เกิด คิดไปก่อนก็ใช่ว่าจะเป็นความจริงมันเป็นได้แค่จินตนาการหรือความฝัน
    เพราะความจริงคือสิ่งที่เกิดแล้วสัมผัสได้ในปัจจุบันเท่านั้น และอนาคตก็ขึ้นอยู่กรรมในปัจจุบันส่วนหนึ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2010
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อื้อหือ ... ซึนเดเระ...
    โหมด..ดราม่านะเธอว์จ๋า ...

    ซึนเดเระ เป็นการนำคำ 2 คำสมาสสนธิกัน คือ ซึนซึน (TsunTsun) และ เดเระเดเระ (DereDere)
    แต่เดิมหมายถึง ผู้หญิงที่แต่แรกมีนิสัยอารมณ์ร้าย(ซึนซึน) ฉุนเฉียวต่อตัวเอก
    แต่พอพัฒนาความสัมพันธ์ไปในภายหลังจะหลงรักหัวปักหัวปำ (เดเระเดเระ)
    แต่เนื่องจากมีตัวละครในลักษณะซึนเดเระออกมามากมาย จึงมีการตีความนิยามของซึนเดเระกว้างไกลขึ้นเรื่อยๆ
    ปัจจุบันอาจอนุมานได้ว่า หมายถึงคนที่ปากไม่ตรงกับใจ หรือรักนะแต่ไม่แสดงออก ประเคนศอกให้มึงแดกแทนไปก่อนอะไรประมาณนั้น
    และมักเป็นชนวนเหตุให้บรรดาผู้คลั่งไคล้การ์ตูนญี่ปุ่นหรือโอตาคุถกเถียงกันอย่างดุเดือดเพื่อหานิยามที่แท้จริงของคำว่า “ซึนเดเร๊ะ”

    รีวิวพามึน!อ้างโฮโรเป็นสาวซึนเดเร๊ะ!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2010
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2010
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
  12. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    หวัดดี วัน ช้างไทย คร้าา ทุ๊กคนนนนนน งิงิ [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    ปอลิง​



    การที่เราอยู่ร่วมกัน
    จงเก็บเกี่ยวช่วงวันเวลาที่มีค่าเอาไว้
    เรามาอยู่ด้วยกัน มิใช่เพื่อความทุกข์
    แต่เพื่อนแท้ ก็มิใช่แค่ คนที่ร่วมสุข
    กระทั่ง สุราหมดไหแล้วพลันลุกจาก...​



    หากแต่เป็นคนที่คอย เช็ดอ้วกให้
    ในยามที่เหล้าทำเราแฮงค์
    ท่านอยู่กับเรามีความสุขหรือไม่...
    ท่านขยะแขยงใช่ไหม ...?
    ถ้ามีเหตุให้ต้องเช็ดอ้วกของเรา
    ถ้าใช่ก็ไม่ต้องเดือดร้อน... ​



    คนเราจะช้าหรือเร็วก็ต้องจากกัน
    นานที่สุดนั้นคือความตาย
    ถ้ามิใช่เพื่อนที่เช็ดอ้วก
    แล ร่วมชะตากรรม ....
    ไฉนเราต้องนำพา...?
    ไหสุรายังน่าแคร์ กว่า มิตรน้ำเมาเฉกนั้น​


    ด้วย มิตรภาพ เจ้าค่ะ
    ข้าน้อย ขอ คาราวะทุกทั่น 1 จอก เอื๊อก ๆ [​IMG]

    [​IMG]
     
  13. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    อุทาหอน สอนใจชาย ในเรื่อง นารี พิฆาตตตต

    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->​


    อ่ะแฮ่ม[​IMG] เห็น คุณนายเน่า บ่น
    เรื่อง กาทู้ น้องชมพู่ ด๋อย
    โดยที่เจ้ยังมิได้เชยชมสมใจ
    ป้านู๋บีเรย แวะ เอามาฝากหั้ยจ้า
    เผื่อว่า เจ้ จะเอาไว้ ให้ ป๋าโจ อ่าน
    เป็น อุทาหอนนนน โฮ่ง ๆ [​IMG]


    หมายเหตุ
    ไฟล์ที่เซฟแบบเต็ม ๆ
    มัน หญ่าย มากกกกกกกกกก
    เรย ก๊อปแต่ ตัวหนังสือ มาแปะ
    เซฟใน notepad ให้ทัศนา แระกัน
    โหลด เอาเองเด้อ งิงิ [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • chompoo.txt
      ขนาดไฟล์:
      662.9 KB
      เปิดดู:
      1,554
  14. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ลู้สึกว่า ช่วงนี้ จะ เสพย์ติด ดราม่า ซะแย้ววว
    มัวแต่ ตามอ่าน เรื่องของคนเขียน กาทู้น้องชมพู่
    จน ไม่ยอม ขยับ ไปปฏิบัติ เรยยย เฮ้ออออ ตู หนอตู :'(

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    กาทู้ คุณว่า คุณ Girlypum ควรจะเล่าเรื่องของชมพู่ต่อหรือไม่


    </TR></TBODY>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2010
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แทงกิ๋ว เจ้าป้าบัว
    เขามีชมพู่ภาค 2 อะคะ ต่อจากกระทู้นี้เพราะมันตันแล้วโพสท์ต่อมิได้
    แต่เจ้าป้าก็มือไวนิ อุส่าเซฟไว้ได้1ก๊อก แต่จะว่าไป ก๊อกแรกก็พอแระ
    เรื่องหลังๆก็ออกทะเลเยอะ งานเข้า จขกท.ซะงั้น จนป่านนี้ยังมิจบ
    อุส่า มีดราม่าซ้อนดราม่า ขาใหญ่เยอะเจงๆ รุมยำนู๋เกอลี่ซ้า...เละตุ้มเป๊ะเยย
    แต่จะว่าไป นู๋เกอลี่ก็มาแรงมิใช่ย่อย ขนาดอาฟเตอร์ช๊อคยังขึ้นกระทู้แนะนำได้อีก
    ตั้งหลายกาทู้ พลีชีพพลีใจกันน่าดูชม (แต่อีไม่พลีกาย (ว่ะ)คะ) อิอิ อิอิ และอิอิ
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ได้ข่าวว่านู๋เกอลี่เขาโดนยึดอมยิ้มกะโดนแบน ไอพี ด้วยนา
    อุส่ามาแก้ต้ว อะไม่ใช่เจ้าค่ะ มาแก้ไขข้อกล่าวหายังต้องไปใช้บริการร้านเน็ตเพื่อไปโพส์ท
    น่าเห็นใจ จิงๆ น่อ สงสัย WM ไม่ปลื้มนู๋เกอลี่ ซะละมั้ง
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    PROJECT: LORE โลกแห่งสารขัณฑ์
    (จิ้มไปอ่านต่อ..เองเนาะ...ติดเรทxxx...อ่า...ต่ำฝ่า18 ห้ามอ่าน นะจ๊ะ ต้องติ่งหูแข็งแรงจิ๊ดนึง)
    http://drama-addict.com/webboard/index.php?topic=1118.0;wap2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2010
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ป้านู๋บี...อิอิ (ติด อิเพื่อนชมพู่มาซะแระ...เรา)
    เจ๊...ก็ชักจะเสพย์ติด ดราม่า เหมือนกัน ต้องหักดิบมั่งแระ...อิอิ
    social network นี่มันยาเสพย์ติดชัดๆ ใครจิตอ่อนมีสิทธิ์โดนกินหัว
    เจ๊...ว่า มันก็เข้าขั้นจิตวิทยามืดนิดๆนะ คนนิสัยดีๆบางทีก็เปี่ยนไป๋ได้เหมือนกัน
    (เอ...หรือว่าไม่ได้เปี่ยนไป๋ แค่สำแดงธาตุแท้ออกมา แบบว่ามีเชื้อมืดอยู่แต่ไม่สบโอกาส
    ที่จะเกิดมันก็เลยยังไม่แสดงอาการ...หว่า
    พอได้ไปอยู่ในที่ๆมีโอกาส ธาตุแท้ของตัวเอง มันก็เลยดริฟท์..ออกมา...
    แบบว่า..มันสบโอกาสได้ทำตามใจอย่างเต็มที่ คิดว่าไม่มีใครมารู้มาเห็นฟามจริง...
    มันเลยลืมตัว...ดริฟท์กันเต็มสตรีม...เยย)

    ถ้าโดนพวกมากลากไปถูกเหนี่ยวนำไป ทำไม่ถูกแต่เพื่อนๆกลับ อวยยกย่อง หรือปลอบ
    ใจว่าทำถูกแล้วไม่ได้ช่วยกันให้สติมั่งเลย มีแต่ซ้ำเติมอาการให้หลงหนักขึ้นอีก
    กะไปอยู่ในหมู่ชนที่เรืองอำนาจการต่อรองก็หน้ามืดได้ง่ายหลงลำพองในอำนาจปลอมๆ รึป่าว
    (จิตวิทยามืด...สวยสั่งได้ กะ ใหญ่สั่งได้... อิอิ)
    ลาภ ยศ สรรเสริญ อัตตาหรือการได้เป็น someone ในสถานที่หนึ่งๆมันเป็นฟามสุขที่
    ยั่วยวนให้ทำอะไรก็ได้เพื่อจะได้มาและรักษามันไว้ให้นานที่สุดหรือไง หนอ ใครมีอำนาจ
    รวมกลุ่มต่อรองได้ ก็ทำผิดได้โดยไม่ต้องละอายใจต่อผู้อื่น หรือไง หนอ...

    แล้วเมื่อไหร่โลกจะสงบสุข...ฟร่ะ....
    ติ๊กต่อกๆๆๆๆ... เมื่อ...คนดีมีคุณธรรม มีใจเป็นกลาง...มีฟามยุติธรรม ... มีอำนาจและใช้
    อำนาจอย่างเป็นธรรม..ก็คงมีโอกาสได้เห็นฟามสงบสุข เนาะ ...
    ในกลียุคแบบนี้ก็...ฝันไปก่อนละกัน...เหอๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2010
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=CvdjM55_SNE&feature=related]YouTube - 3½[/ame]
     
  20. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ป่วยหนักแล้วเซ็นห้ามกู้ชีวิต (DNR) ถือว่าฆ่าตัวตายมั้ยครับ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD width="100%" bgColor=#204080 colSpan=2 rowSpan=2>
    • [​IMG] <!--WapAllow0=Yes--><!--pda content="begin"--><B><BIG><BIG><!--Topic-->ป่วยหนักแล้วเซ็นห้ามกู้ชีวิต (DNR) ถือว่าฆ่าตัวตายมั้ยครับ <!--InformVote=0--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT>[​IMG] [​IMG] </BIG></BIG></B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68 border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68 border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <!--pda content="begin"--><HR align=center width="90%" color=#f0f0f0><!--pda content="end"-->
     

แชร์หน้านี้

Loading...