นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ^
    ^
    อ่านไม่แตกฉาน อีกละ
    เราไม่ได้บอกว่า พระพุทธรูปไม่ดี
    แต่เราว่าคนที่ยึดติดพระพุทธรูป
    จนเผลอก่อกรรมเป็นอกุศลจิตกับคนที่เขาทำลายพระพุทธรูปตะหาก
    กราบพระพุทธรูปทุกวัน แต่พอวันหนึ่งมีคนที่เห็นต่างมาทำลายพระพุทธรูปที่คุณไหว้อยู่
    ก็เกิดขาดสติในทันที จนไปก่อกรรมเกิดอกุศลจิตกับคนที่มาทำลายพระพุทธรูปอีกทีไง
    แปลว่าอะไร แปลว่ากราบพระพุทธรูปทุกวัน แต่ไม่เคยมีพระอยู่ในใจ
    พวกคนไม่รู้เขาทุบได้แต่พระที่เป็นวัตถุเท่านั้น เขาทำลายพระในใจคนไม่ได้หรอก
    แต่คนขาดสติน่ะ กราบพระแต่ไม่เคยมีพระอยู่ในใจ พอมีใครมาทำลายวัตถุที่เป็น
    สัญลักษณ์แทนพระ ก็ขาดสติก่อกรรมไง พระพุทธเจ้าไม่มีใครทำลายได้อยู่แล้ว
    เพราะอยู่ในใจเรา แต่พระที่เป็นวัตถุนอกตัวนั่นแหละพาให้หลงทางถ้ายึดที่วัตถุจนขาดสติ
    คนที่กราบพระพุทธรูปแล้วมีสติก็ควรแก่การสรรเสริญอยู่แล้ว ระลึกเป็นพุทธานุสติ
    แต่คนส่วนใหญ่น่ะ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เราหมายถึงพวกที่กราบพระพุทธรูปแล้ว
    ยิ่งขาดสติหนักขึ้นน่ะ คือพวกหลงทาง แต่จะมีซักกี่คนที่ยอมรับกับใจตัวเองว่า
    ทุกวันนี้กราบพระพุทธรูปแล้วได้พุทธานุสติหรือหลงในพระพุทธรูปจนขาดสติ
    เราก็เตือนให้ฟังเพราะที่เราเห็นน่ะ มีแต่คนที่ศรัทธาพระพุทธเจ้าแบบขาดสติ
    พอมีคนอื่นมากระทบในความเชื่อของตนก็ถูกอุศลจิตครอบงำกันเป็นแถว
    โดยแหย่นิดๆหน่อยๆ ก็ขาดสติจนก่อกรรมไปแค้นเคืองอาฆาตเขา
    เสียทีที่ปฏิบัติธรรม แต่จิตใจไม่มีความเมตตา ไม่มีความสงสารในความไม่รู้ของผู้อื่น
    มีแต่จะฟาดฟันเขาให้สะใจ ปกป้องความเชื่อของตนเอง แต่ไม่รักษาจิตตัวเองปล่อยให้
    จิตเสื่อมเพื่อความสะใจของตนเองเท่านั้น หรือเพื่อได้ชื่อว่าปกป้องคนที่ตนเคารพบูชา
    โดยที่ไม่ได้ทำตามหลักธรรมสอนของคนที่ตนเคารพบูชาเลย
    เรื่องนี้เราก็ขี้เกียจพูดแระ กรรมใครกรรมมัน ใครชอบทำแบบไหน ก็ตามนั้น
    พูดไปแล้วก็ขัดใจคนที่เห็นต่าง เราก็ทำในแบบที่เราเห็นชอบ คนอื่นไม่ชอบก็แล้วไป
    เราไปเปลี่ยนความคิดใครไม่ได้หรอก คิดว่าที่ทำอยู่นั้นดีแล้ว ก็ทำต่อไปละกัน
    เราไม่ได้เดือดร้อนด้วยอยู่แล้ว เราพูดเผื่อไว้เท่านั้นแหละ
    ไม่อยากเห็นคนหลงในพระพุทธรูป หลงในรูปของพระพุทธเจ้าจนลืมรักษาใจตนเอง
     
  2. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ธรรมะที่ผมเอามาพูดนี่
    ไม่มีหลอกลวงแม้แต่บทแต่บาทเดียวนะ

    ใครจะเอา ก็เอา
    ไม่เอา ก็เรื่องของคุณแล้วกัน

    ตรงไหนรู้แล้วเห็นแล้วก็เอามาพูดให้ฟัง
    เป็นสันทิฏฐิโก ประจักษ์กับใจตัวเองมาแล้ว

    อย่าเอากิริยาทางโลกมาด้นเดานะ
    ว่าคน ๆ นั้น จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    ให้ดูที่ธรรมนะ

    กิริยาทางโลกเป็นเพียงนิสัยติดตัวมาเท่านั้น

    แต่ถ้าธรรมที่พูดออกมาเป็นของจริง
    ความจริงก็อยู่ที่ธรรมที่พูดออกมานั่นล่ะ

    เห็นมั้ยพระสารีบุตร
    กระโดดข้ามคลองทั้งที่เป็นพระอรหันต์
    คนทั่วไปพระทั่วไป ว่าไม่เหมาะสมกับความเป็นพระอรหันต์
    แต่พระพุทธองค์ทรงบอกว่า
    พระสารีบุตรเกิดเป็นลิงมาหลายภพหลายชาติ
    นี่เป็นนิสัยติดตัวมา...นั่น

    หรือพระสันตกายที่ว่าดูสงบเรียบร้อยเหลือเกิน
    คนทั่วไปคิดว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว
    แต่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
    พระสันตกายยังไม่ได้บรรลุอรหันต์
    แต่ที่พระสันตกายมีกริยาท่าที่สงบเรียบร้อยสง่างามนั้น
    เพราะท่านเคยเกิดเป็นราชสีห์มาหลายชาติ
    กริยาของราชสีห์มีกริยาสงบเรียบร้อยสง่างาม และมีสติดี
     
  3. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431

    เอาน่า....
    ตอนนี้ รอดมี กำลังเล่นแรง...
    ช่วยกันก่อน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010
  4. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ผมนึกว่าเป็นผมซะอีก
    รอดตัวไปได้...เฮ้อ

    ก็ดีมีช่องทางให้ออกหมัดได้หน่อย
    มันก็ต้องมีเหตุนะถึงทำได้
    ขอบคุณที่เป็นเหตุให้
     
  5. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    คุณเต้าเจี้ยวก็อย่างเนี่ย...
    เชื่อความคิดตัวเองมากไป

    เดี๋ยวค่อยฟังผมไปเรื่อย ๆ นะครับ
    เดี๋ยวผมจะเสนอแง่มุมใหม่ให้ฟังเรื่อย ๆ ครับ....
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    The fallen angels(Anunnaki Elite?? Nibirians คนของ Nibiru ??Nephilim??)

    will be coming soon!!!.
    --------------------------------------------------

    Beware the bearer of false gifts and broken promises.Much

    pain but still time .There is good out there. The conduit is

    closing.


    ระวัง ผู้ถือ ของขวัญอันเป็นเท็จ( พระเจ้าจอมปลอม ) และ ผิดสัญญา ( ผิด

    สัญญาที่จะเปิดเผยพระเจ้าที่แท้จริง) อาจจะต้องเจ็บปวด แต่เมื่อถึงเวลาจะมี

    แต่สิ่งดีๆเกินขึ้นตอนนั้น มันใกล้เข้ามาแล้ว


    ที่มา : Cropcircle ข้อความจาก CD บรรจุรหัสเลขฐานสอง
    <!-- google_ad_section_end -->
    The 2002 'Alien Face' Formation
    [​IMG]

    Between each marker digit are 8 'pixels', which conveniently corresponds to the
    standard 8 bits per byte notation that us computer programmers use.
    ระหว่างแต่ละเครื่องหมายหลักที่ 8 'พิกเซล' ซึ่งสะดวกตรงกับมาตรฐาน 8 บิตต่อโน้ต byte ที่เราเขียน
    โปรแกรมคอมพิวเตอร์ใช้.
    By using 8 bits we can represent anything from 00000000 which is 0 in decimal
    right up to 11111111 (ie. all 8 pixels 'on') which is 255 in decimal.​

    โดยใช้ 8 บิตเราสามารถแสดงอะไรจาก 00000000 ซึ่งเป็น 0 ในสิทธิทศนิยมถึง 11111111 (ie.
    ทั้งหมด 8 พิกเซล 'ที่') ซึ่งเป็น 255 ในทศนิยม.
    [​IMG]


    In order to represent numbers and letters of the alphabet, computers use a set
    of 128 characters which comprises what is known as the ASCII character set.
    เพื่อแสดงตัวเลขและตัวอักษรของตัวอักษรที่ใช้คอมพิวเตอร์กำหนด 128 ตัวอักษรซึ่งประกอบด้วยสิ่งที่
    เป็นที่รู้จักกันในฐานะที่เป็นตัวกำหนด Ascii.
    ASCII stands for American Standard Code for Information Interchange and was
    devised by the ANSI corporation back in the 1960s.
    Ascii ย่อมาจาก American Standard Code สำหรับข้อมูล Interchange และได้วางแผนโดยบริษัท
    ANSI กลับไปในทศวรรษที่ 1960. ​

    The original ASCII set comprised of 7 bits in order to represent 128 unique
    characters.
    เดิม Ascii ชุดประกอบด้วย 7 บิตเพื่อแสดง 128 ตัวอักษรเฉพาะ. ​


    However, modern computers use an 8 bit character set which can display 255
    different characters.
    แต่เครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ใช้อักขระบิต 8 ชุดซึ่งสามารถแสดง 255 ตัวอักษรต่างๆ. ​


    The 'upper' 128 characters are usually reserved for special characters such as
    accented foreign characters and things like the Euro symbol.
    'บน' 128 ตัวอักษรขอสงวนปกติสำหรับอักขระพิเศษเช่นตัวอักษรต่างประเทศ accented และสิ่งที่ต้อง
    การสัญลักษณ์ยูโร. ​



    Going back to our spiral of binary digits in the crop formation disc, we obtain an
    initial grouping of 01000010 01100101 01110111 01100001 01110010 and so
    on, spiralling out from the centre.
    จะกลับไปเป็นวงของตัวเลขฐานสองในการสร้างแผ่นตัดเราได้รับการจัดกลุ่มแรกของ 01000010
    01100101 01110111 01100001 01110010 เป็นต้น, spiralling ออกจากศูนย์กลาง. ​


    (see diagram).​


    (ดูแผนภาพ).
    We can translate these binary sequences into their decimal equivalent and thus ​



    look them up in the ASCII character set to see what letters they correspond to.​

    เราสามารถแปลเป็นลำดับสองนี้เทียบเท่าทศนิยมของพวกเขาและพวกเขาจึงมองในลักษณะ Ascii ชุด
    เพื่อดูว่าตัวอักษรพวกเขาสอดคล้องกับ. ​



    Doing this for the whole 'disc' we get the message "Beware the bearers of
    FALSE gifts & their BROKEN PROMISES. Much PAIN but still time.
    (Damaged Word). There is GOOD out there.We OPpose DECEPTION.
    Conduit CLOSING (BELL SOUND)" .
    This was originally decoded by an anonymous visitor to Linda Moulton-Howe's
    web site.
    นี้ decoded เดิมโดยผู้เข้าชมที่ไม่ระบุชื่อเพื่อ Linda Moulton เว็บไซต์ของ Howe. ​

    [​IMG] [​IMG]

    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เนฟิลิม-มนุษย์ยักษ์ในพระคัมภีร์
    "ในคราวนั้น มีคนเนฟิล (พวกมนุษย์ยักษ์) อยู่บนแผ่นดิน..." (ปฐมกาล 6.4)
    " แผ่นดินที่เราได้ไปสืบดูตลอดแล้วนั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนซึ่งอยู่ในนั้น ชาวเมืองที่เราเห็นเป็นคนรูปร่างใหญ่โต ที่นั่น เราเห็นคนเนฟิลในสายตาของเรา เราเหมือนเป็นตั๊กแตน ในสายตาของเขาก็เหมือนกัน" (กันดารวิถี 13.32-33)


    จาก เรื่องราวใน หนังสือปฐมกาลและกันดารวิถี ซึ่งเป็นหนังสืออยู่ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิม ได้เขียนไว้ชัดเจนว่า มีมนุษย์ยักษ์เนฟิลิม ลักษณะของมนุษย์ยักษ์นั้นคือ มีรูปร่างใหญ่โต แสดงว่าจะต้องมีรูปร่างใหญ่โตกว่าคนในสมัยนั้นมากนัก ทั้งๆ ที่ตามหลักฐานทางโบราณคดีหลายชิ้นระบุว่า มนุษย์โบราณทั่วไปก็มีรูปร่างใหญ่โตกว่าคนในปัจจุบันนี้


    [​IMG]

    แต่มนุษย์ยักษ์เนฟิลิมกลับมีรูปใหญ่โตกว่ามนุษย์โบราณยุคแรกๆ ของโลก จึงทำให้คนส่วนใหญ่เกิดคำถามขึ้นมาว่า มนุษย์ยักษ์มีจริงหรือ? หรือว่าพระคริสต์ธรรมคัมภีร์เขียนขึ้นเอง?

    เรื่องฑูตสวรรค์ที่เรียกว่า "เนฟิลิม" นี้ ถือว่ายังลึกลับในวงการคริสเตียนอยู่ เหตุผลคือ
    1. พระคัมภีร์กล่าวถึงแบบตรง ๆ ค่อนข้างน้อยมาก มีเฉพาะในพระคัมภีร์เดิมเท่านั้น
    2. เรื่องราวส่วนใหญ่อยู่ในหนังสือของเอโนค "ฺBook of Enoch" ซึ่งไม่ได้ถูกรวบรวมเข้าสารระบบพระคัมภีร์ที่เห็นปัจจุบันนี้
    เน ฟิลิม คือพวกฑูตสวรรค์กลุ่มหนึ่ง(The fallen angels) ที่มีหัวหน้าใหญ่คือลูซิเฟอร์ล่อลวงและพามายังโลก ด้วย พวกนี้เท่าที่มีผู้ศึกษาในต่างประเทศได้ค้นคว้า หาข้อมูลจากแหล่ง ต่าง ๆ และในหนังสือเอโนคจริงจัง พบว่า พวกนี้ครั้งหนึ่งได้เคยลงมาสมสู่กับมนุษย์ผู้หญิงที่เป็นมนุษย์โลกปกติ และให้กำเนิดมนุษย์ประหลาดตัวโต เก่งกาจ ไอคิวสูงมาก และแพร่ขยายไปมาก และก่อให้เกิดมนุษย์ยักษ์ที่มีอายุยืน


    [​IMG]
    "ในคราวนั้น มีคนเนฟิล (พวกมนุษย์ยักษ์) อยู่บนแผ่นดิน..." (ปฐมกาล 6.4)

    จริง ๆ แล้วฑูตสวรรค์ทั้งดีและชั่วหรือพวกเนฟิลิมนี้ เป็นวิญญาณที่สามารถปรากฎในร่างมนุษย์มีเนื้อหนังได้ ดังเช่นที่กล่าวหลายครั้งในพระคัมภีร์เดิม เราไม่รู้ลึกมากเกี่ยวกับ ชีวิตความเป็นอยู่ของฑูตสวรรค์ทั้งสองกลุ่ม เอโนคเป็นคนที่ได้รู้ได้เห็นเรื่องโลกฑูตสวรรค์อย่างมากจนเขียน เป็นหนังสือหรือเชิงจดหมายเหตุบันทึกไว้เป็นเล่ม

    เอโนค พระคัมภีร์กล่าวว่าเขาเป็นคนที่ดำเนินชีวิตกับพระเจ้า คือเป็นคนที่มีความเชื่อในพระเจ้า และมีชีวิตที่ชอบธรรม พระเจ้าจึงรับเขาหายไปเลย ซึ่งเอโนคถูกรับหายขึ้นไปก่อนน้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์


    [​IMG]
    คำถามคือเหตุใดหนังสือเอโนคไม่ถูกรวบเข้าสารระบบพระคัมภีร์
    เหตผลคือมัน ล่อแหลม เนื่องจากหนังสือเอโนคบรรยายไว้มากเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และบ่อยครั้งพวกพ่อมด แม่มด หมอผีนั้นมักเอาเรื่องที่เอโนคเปิดเผยไว้ ไปใช้เป็นประโยชน์ใน ทางด้านมืด ซึ่งล่อแหลมต่อผู้เชื่อที่จะหลงไปกับสิ่งเหล่านี้ได้

    ไม่ได้หมายความว่าหนังสือเอโนคคือคู่มือพ่อมดหรือแม่มดเพียงแต่กล่าวเล่าเรื่องราวรายละเอียดมากถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างสิ่ง เหล่านี้กับมนุษย์ และอื่น ๆ ตามที่เขาได้รู้ได้เห็น ในสมัยโบราณก่อนน้ำท่วมโลก

    คำถามต่อมาแล้วพวกมนุษย์ยักษ์พวกนี้ไปหลบที่ไหน คำตอบก็คือตายหมดสมัยน้ำท่วมโลกแล้ว รวมทั้งสัตว์ประหลาดต่าง ๆ อีกเหตุหนึ่งที่ต้องให้น้ำท่วมโลกเพราะเชื้อสายมนุษย์ที่ผสมและผิดปกติไปนี้ อาจจะไปผสมกับครอบครัวของโนอาห์ในอนาคตได้ ซึ่งนั่นจะทำให้มีผลต่อการมาเกิดของพระเยซู คือเป็นการทำลายพงศ์พันธุ์ของอิสราเอลที่พระเยซูจะมาเกิด และมนุษย์โลกจะไม่รอดหากเป็นเช่นนี้

    <OBJECT type=application/x-shockwave-flash height=344 width=425 data=http://www.youtube.com/v/T4jdrPG0C94&hl=en&fs=1&color1=0x234900&color2=0x4e9e00></OBJECT>​

    แม้โกไลแอทไม่ใช่คนเนฟิล แต่ความสูงของโกไลแอธนั้น
    หากเทียบมาตรากับสมัยนี้แล้วก็ประมาณ 9 ฟุต (270 ซม.)
    เรื่อง เนฟิลิมนั้นไม่ได้ถูกสอนและเผยแพร่ คริสเตียนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าพวกนี้มีอยู่จริง หรือคิดแต่ว่าคงเป็นพวกวิญญาณที่จับต้องตัวตนไม่ได้ เพราะหนังสือของเอโนคไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ หลายคนอ่านพระคัมภีร์เดิมในปฐมกาลที่กล่าวถึงพวกมนุษย์ยักษ์ที่สู้กับดาวิด เข้าใจว่าดาวิดคงจะเป็นแค่เด็กตัวเล็ก หรือตัวแคระ แต่จริง ๆ แล้วดาวิดก็เป็นคนปกติ แต่สู้กับยักษ์จริง ๆ ไม่ใช่สู้กับคนตัวใหญ่ธรรมดา ๆ อย่างที่คิด และพวกคนมีชื่อเสียงที่พระคัมภีร์กล่าวก็คือเนฟิลิม คือพวกฉลาดผิดมนุษย์ปกติ พวกมนุษย์ยักษ์ที่แย่งอาหารมนุษย์ปกติและแพร่ขยายไปมาก จนในที่สุดก็หันมากินมนุษย์ปกติ


    [​IMG]

    ชีวิตเอโนค คือนัยยะสำคัญบ่งบอกให้คริสเตียนทั้งหลายรู้ไว้ว่า พระเจ้ารับเอโนคหายไปก่อนน้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์ฉันใด พระเจ้าก็จะรับผู้เชื่อให้หายไปจากโลกก่อนที่กลียุคเวทนา (Great Tribulation) จะเกิดในโลกฉันนั้น

    [​IMG]
    ครั้งแรกโลกถูกทำลายด้วย น้ำสมัยโนอาห์ ส่วนครั้งที่สองโลกจะถูกทำลายด้วยไฟ กงล้อประวัติศาสตร์พระคัมภีร์ได้หมุนมาจะเข้าที่เดิม สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เชื่ออาจเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผู้เชื่อ นี่คือหมายสำคัญที่มีนัยยะสูงมากอันหนึ่ง
    มัธทิว 24 ข้อ 37 "ด้วยสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย"

    http://www.hopeofayutthaya.com/index...liphilim-bible<!-- google_ad_section_end -->
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    The Book of Enoch

    www.purifysoul.com/word/thai/Enochthai1.doc
    คัดมาบางส่วน จาก The Book of Enoch
    5 beginning of the world. And I saw the chambers of the sun and moon, whence they proceed and whither they come again, and their glorious return, and how one is superior to the other, and their stately orbit, and how they do not leave their orbit, and they add nothing to their orbit and they take nothing from it, and they keep faith with each other, in accordance with the oath by which they 6 are bound together. And first the sun goes forth and traverses his path according to the commandmentffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    5 และเป็นจุดเริ่มต้นกำเนิดของโลก ข้าพเจ้าได้เห็นห้วงอวกาศประกอบด้วยดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ที่ซึ่งสิ่งเหล่านั้นได้กำเนิดขิ้น และรู้ว่าจะไปทางไหน และหมุนอยู่รอบตัว และแสงสว่างก็เกิดขึ้นรอบๆ และทุกอย่างหมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบดวงอาทิตย์ เป็นวงรี และสิ่งเหล่านั้นในห้วงอวกาศไม่ได้ออกนอกวงโคจร และสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เพิ่มอะไรเข้าไป วิถีวงรีนั้นไม่ได้เปลี่ยนไป สิ่งเหล่านั้นมีความเชื่อถือต่อกัน และตามที่ได้ทำหน้าที่มีทั้งหมด 6 สิ่งที่หมุนอยู่กลับไปกลับมา และหนึ่งคือดวงอาทิตย์ เกิดขึ้นก่อน และสิ่งอื่นได้หมุนรอบดวงอาทิตย์ในทิศทางที่ได้ออกคำสั่งไว้

    ปล. เอโนค เป็นคนรุ่นที่7 ที่เกิดจากอาดัมกับอีฟ เกิดก่อนสมัยโนอาร์

    จากคุณกอบัว
    _ศักราช 0
    1.อาดัม เข้าอยู่ในที่ดินที่ตัวถือกำเนิดมานั้น(สองผัวเมีย ออกจากสวนเอเดน)

    _ศักราช 130 อาดัมออกจากสวนเอเดนได้ครบ 130 ปี
    2.เสท ลูกอาดัม _เกิด _ศักราช 130
    เมื่ออาดัมอยู่มาได้ 130 ปี จึงมีบุตรชายคนหนึ่งตามอย่างตามฉายาของเขาชื่อเสท[ปฐก.5:3](ศักราช0+130=130)

    3.เอโนช ลูกเสท _เกิด _ศักราช 235 *
    เสทอยู่มาได้ 105 ปีจึงมีบุตรชายชื่อ เอโนช[ปฐก.5:6](ศักราช130+105=235)

    4.เคนัน ลูกเอโนช _เกิด _ศักราช 325 *
    เคนัน ลูกเอโนช _เกิด _ศักราช 325 *
    เอโนชอยู่มาได้ 90 ปีจึงมีบุตรชื่อเคนัน[ปฐก.5:9](ศักราช235+90=325)

    5.มาหะลาเลล ลูกเคนัน _เกิด _ศักราช 395 *
    เคนันอยู่มาได้ 70 ปีจึงมีบุตรชื่อมาหะลาเลล[ปฐก.5:12](ศักราช325+70=395)

    6.ยาเรด ลูกมาหะลาเลล _เกิด _ศักราช 460 *
    มาหะลาเลลอยู่มาได้ 65 ปี จึงมีบุตรชื่อยาเรด[ปฐก.5:15](ศักราช395+65=460)

    7.เอโนค ลูกยาเรด _เกิด _ศักราช 622 *
    ยาเรดอยู่มาได้ 162 ปีจึงมีบุตรชื่อเอโนค[ปฐก.5:18](ศักราช460+162=622)
    ตั้งแต่เอโนคมีบุตรคือเมธูเสลาห์แล้ว ก็ดำเนินกับพระเจ้า 300 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน[ปฐก.5:22](พระเจ้ารับไป622+300=ศักราช922)

    8.เมธูเสลาห์ ลูกเอโนค _เกิด _ศักราช 687 *
    เอโนคอยู่มาได้ 65 ปี จึงมีบุตรชื่อเมธูเสลาห์[ปฐก.5:21](ศักราช622+65=687)

    9.ลาเมค ลูกเมธูเสลาห์ _เกิด _ศักราช 874 *
    เมธูเสลาห์อยู่มาได้ 187 ปี จึงมีบุตรชายชื่อลาเมค[ปฐก.5:25](ศักราช687+187=874)
    ------------

    _ศักราช 922 -พระเจ้ารับเอโนคไป (จากข้อ7.เอโนค ลูกยาเรดพระเจ้ารับไปศักราช=922)*อีก 134 ปี โนอาห์ถึงจะเกิด*
    (ฮีบรู 11:5 เพราะเอโนคมีความเชื่อ ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงรับท่านขึ้นไปเพื่อไม่ให้ท่านประสบกับความตาย
    ไม่มีผู้ใดพบท่าน
    เพราะพระเจ้าทรงรับท่านไปแล้ว
    ก่อนที่ทรงรับท่านขึ้นไปนั้นมีผู้เป็นพยานว่าท่านเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า)

    10.โนอาห์ ลูกลาเมค _เกิด _ศักราช 1056 *
    ลาเมคอยู่มาได้ 182 ปี จึงมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อโนอาห์[ปฐก.5:28](ศักราช874+182=1056)

    ในหนังสือเอโนค เอโนคเป็นปู่ทวดของโนอาห์ นั้นถูกต้องแล้ว
    อาดัม.เสท.เอโนช.เคนัน.มาหะลาเลล.ยาเรด.เอโนค>เมธูเสลาห์>ลาเมค>โนอาห์

    134ปีผ่านไปโนอาห์ เกิด_ศักราช 1056
    135ปีผ่านไปโนอาห์ อายุ 1 ขวบ_ศักราช 1057
    136ปีผ่านไปโนอาห์ อายุ 2 ขวบ_ศักราช 1058

    เมื่อน้ำท่วมแผ่นดินนั้นโนอาห์มีอายุได้หกร้อยปี[ปฐก.7:6]
    ตั้งแต่หลังน้ำท่วมโนอาห์มีชีวิตต่อไปอีก 350 ปี[ปฐก.9:28]
    รวมอายุโนอาห์ ลูกลาเมคได้ 950 ปีจึงสิ้นชีวิต[ปฐก.9:29]
    {ขณะนั้นอับราบ/อับราฮัม อายุได้ 58 ปีแล้ว}
    (โนอาห์ ลูกลาเมค ตาย ศักราช 2006 *)

    จากคุณกอบัว http://www.jaisamarn.org/webboard/question.asp?QID=5323&Direct=go&PageNo=1

    "การค้นพบ ต้นฉบับของจริง"เป็นฉบับคัดลอก ก่อนพระเยซูประสูติ ราว 200 ปี
    "ได้ค้นพบ ต้นฉบับพันธสัญญาเดิม"

    ในปีคศ.1947/พศ.2490 (เมื่อ 62 ปีที่แล้ว) ได้มีการ"ค้นพบ ต้นฉบับพันธสัญญาเดิม" ฉบับคัดลอก ที่เก่าแก่ที่สุด ที่ได้ถูกคัดลอกเอาไว้ ด้วยภาษา ฮีบรู
    ได้ถูกค้นพบ ใน นิคมถ้ำคุมราน ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลตาย Dead Sea Scrolls ซึ่งชาวคริสต์เรียกกันว่า ฉบับม้วนทะเลตาย เป็นฉบับม้วนทองแดง ถูกบรรจุเก็บไว้ในไห

    สถานที่พบแห่งนี้คือ นิคมคุมราน เต็มไปด้วย ถ้ำ นับจำนวนมากมาย "ซึ่งเดิมเป็นชุมชนของชาวยิวในสมัยเดียวกันกับพระเยซู" เป็นกลุ่มชาวยิวที่หลบหนีออกไปจากการปกครองของอาณาจักรโรมันในช่วงเวลานั้น

    "แต่บันทึกฉบับม้วนทองแดง 38 เล่ม ที่ได้พบในถ้ำจากนิคมถ้ำคุมราน Dead Sea Scrolls นั้น เป็นบันทึกที่ได้ถูกเขียนขึ้น ก่อนสมัย ที่พระเยซูประสูติถึง ราวๆ 200 ปี"
    (เก่าแก่กว่าต้นฉบับฉบับคัดลอกที่พวกเราทั้งชาวคริสต์ทุกนิกายและศาสนายูดาห์ได้ใช้กันอยู่ด้วย)

    พันธสัญญาเดิม ที่ค้นพบที่นิคมถ้ำคุมราน มีทั้งหมด 38 เล่ม นี้
    (ได้ขาดหายไป 1 เล่ม คือ ฉบับพระธรรม เอสเธอร์)
    ครั้นเมื่อได้แกะม้วนทองแดงออกตรจสอบแล้ว ปรากฎว่าทั้ง 38 เล่มนี้มีข้อความที่ตรงกัน กับ ฉบับที่พวกเราทั้งชาวคริสต์ทุกนิกายและศาสนายูดาห์ได้ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

    นี่เป็นการยืนยันว่า 39 ฉบับที่เราใช้กันอยู่นี้ถูกต้องแน่นอน 100%ถึง 38 ฉบับ

    ส่วนการขาดหายไปของฉบับพระธรรม เอสเธอร์ นั้น
    ไม่แน่ชัดนักว่า มันเคยมีอยู่-แต่หายไป หรือว่า-ไม่เคยมีอยู่จริง ?

    เพราะก่อนการบุกค้นสำรวจ นิคม ถ้ำ คุมราน นั้นเมื่อแรกเริ่มก่อนการค้นหานั้น มีผู้ได้พบพระธรรม ฉบับม้วนทองแดงนี้ บางส่วน ได้ถูกวางขายอยู่ที่ร้านขายของเก่า ซึ่งคนละแวกแถวนั้นที่ได้ค้นพบ ได้นำมาขายให้กับร้านค้าของเก่า และภายหลังจากที่ได้พบที่ร้านค้าของเก่าแล้ว จึงได้มีการสอบสวนสอบถามถึงที่มาที่ไป แล้วจึงจะได้มีการบุกสำรวจ นิคมถ้ำคุมราน โดยนักโบราณคดี เป็นเหตุให้เราได้พบพระธรรมเกือบครบจำนวนคือได้พบถึง 38 ฉบับ นักโบราญคดีได้สำรวจพบในถ้ำที่มีลักษณะเป็นเหมือนห้องสมุด หรือ ห้องสำหรับจดเขียนบันทึกของชาวยิวในนิคมถ้ำคุมรานนั้นเอง

    "หนังสือ เอโนค"
    ในปีคศ.1400 มีข่าวลือที่พูดกันโดยกว้างขวางว่า สำเนาหนังสือเอโนคที่สูญหายไปหลายพันปีนั้น ได้ถูกค้นพบแล้ว
    (ขณะเดียวกันในช่วงเวลานั้น ได้มีการจัดทำ "Book of Enoch"ฉบับปลอมเกิดขึ้นมาอย่างมากมายหลายเวอร์ชั่น)

    ในปีคศ.1773 James Bruce ผู้ที่อ้างว่าเขาได้ไปสำรวจในประเทศ เอธิโอเปียอยู่ 6 ปี และเขาได้ค้นพบ"Book of Enoch"จำนวน 3 เล่ม ในประเทศ เอธิโอเปีย (แต่ที่มาที่ไป ไม่ชัดเจน-เอาอีกแล้ว)

    ในปีคศ.1821 "Book of Enoch"ได้เริ่มถูกพิมพ์ครั้งแรก เป็นฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ (ไม่รู้ว่าเอาต้นฉบับมาจาก ฉบับปีคศ.1400 หรือ ฉบับในปีคศ.1773 กันแน่) ถึงแม้ฉบับในปีคศ.1773 ของ James Bruce เอง ก็ยังอาจจะเป็น 1 ในหลายฉบับปลอม ซึ่งเกิดขึ้นในปีคศ.1400 ก็เป็นไปได้อีกด้วย

    ในปีคศ.1921 "Book of Enoch"ได้ถูกตีพิมพ์ซ้ำขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

    คาทอลิกยอมรับหนังสืออธิกธรรม เข้าในสาระบบพระคัมภีร์
    หนังสืออธิกธรรมของคาทอลิกคืออะไร ?
    คือหนังสือในหมวดที่ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่า Deuterocanonical books มีหนังสือ 1.โทบิต[Tobit]
    2.ยูดิธ[Judith]
    3.ปรีชาญาณของซาโลมอน[สุภาษิตของซาโลมอน]
    4.บุตรสิราห์[สุภาษิต/Sirach/Ec-clesiasticus]
    5.ประกาศกบารุค[รวมจดหมายของเยเรมีย์]
    6.-7.มัคคาบี 1-2[Maccabees/เหตุการณ์ภายหลังสมัยของAlexander the Great]
    8.มีเพิ่มบางตอนของหนังสือ เอสเธอร์ และ
    9. มีเพิ่มบทท้ายๆของหนังสือดาเนียล ที่พบในต้นฉบับภาษาฮีบรูและอารามาอิก

    ฝ่ายโปรแตสแตนท์ สงสัยว่าหนังสือทั้ง 9 เล่มนี้ ไม่น่าจะเป็นเอกสารที่ได้รับการดลใจ ฝ่ายโปรแตสแตนท์จึงจัดให้ทั้ง 9 เล่มนี้อยู่ในหมวดของ Apocrypha

    แต่ทางฝ่ายคาทอลิกบอกว่าเป็นเอกสารที่เชื่อถือได้ และมีคำสอนที่ดี จึงประกาศเข้าไว้ในสาระบบพระคัมภีร์ ของคาทอลิค






    <DD>แต่มีหนังสืออีกหลายเล่ม ที่ ทั้งฝ่ายคาทอลิก และฝ่ายโปรแตสแตนท์ และฝ่ายศาสนายูดาห์ ไม่รับรอง และได้จัดให้อยู่ในหมวดของ Apocrypha

    หนังสือที่ทั้งฝ่ายคาทอลิก และฝ่ายโปรแตสแตนท์ ไม่ถือเป็นเอกสารที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า คือ หนังสือ

    1. "The book of Enoch" / "Book of Enoch"
    2. "The song of the three young men"
    3. Prayer of Manasseh
    4. Hebraica veritatis
    5. ฯลฯ.





    <DD>ในหมวดพระธรรมใหม่ก็มีหนังสือประเภทนี้เช่นกัน
    มีหนังสืออีกหลายเล่มที่ ทั้งฝ่ายคาทอลิก และโปรแตสแตนท์ ไม่รับรองเช่น

    1.The Gospel of Thomas (พบในปี1945)
    2.The Gospel of Peter (พบในปีคศ. 1886)
    3.The Gospel of Egyptians
    4.The Gospel of Nazareans
    5.The Gospel of the Hebrew
    6.The Gospel of Barnabas (พบภายหลังปีคศ.710)
    (พระธรรมบารนาบัสพบในปี ? พบภายหลังจากที่จักรวรรดิออตโตมัน อิสลามบุกยึดประเทศสเปญได้แล้วในปีคศ.710 เราพบว่าคำที่ใช้/ใช้สำนวนของศาสนาอิสลามและ/บันทึกด้วยภาษาอาหรับ(พระธรรมต้นฉบับโดยทั่วไปจะใช้ภาษากรีกซี่งเป็นภาษากลางในยุคของอัครฑูต) และพระธรรมบารนาบัสยังระบุว่าพระเยซูถูกพระเจ้ารับขึ้นสวรรค์ไปก่อนหน้านั้นแล้ว คนที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนคือผู้อื่นที่ต้องมาตายแทนพระเยซู คนที่ตายนั้นไม่ใช่พระเยซู-ซึ่งตรงตามคำสอนของศาสนาอิสลามที่เพิ่งกำเนิดขึ้นมาภายหลังจากคศ.632 แล้วถูกพัฒณาไปจนกลายเป็นจักรวรรดิออตโตมัน เตริร์ก)





    <DD>"หนังสือ เอโนค"
    หนังสือนี้เขียนไปถึงที่มาของพวก
    เวทย์มนต์คาถา ที่ มารซาตาน มาสอนมนุษย์
    เทพโบราณที่นำมาซึ่งแสงสว่างและอารยธรรม
    เทพแท้หรือเทียม ตำนานหรือมนุษย์ต่างดาว
    นิยายของชาวยิว หรือคำของผู้เผยพระวจนะจริง
    พระธรรมเอโนคถูกนำเสนอ ด้วยเหตุผลเดียวกันกับพระธรรมบารนาบัสหรือไม่

    หนังสือพวกนี้ส่งผลไปยังการก่อเกิด ทั้งของฝ่ายความเชื่ออิชมาเอล
    ในอัลกุรอาร บันทึกถึงนบีอิซา(พระเยซู) ในวัยเด็ก
    .... ที่อิสลามเชื่อว่าพันธสัญญาใหม่เขียนโดยเปาโล ซึ่งเป็นคนที่เสียสติ

    เราจะเห็นได้ว่า มีหนังสือที่ค้นพบหลายๆเล่ม ที่ต้องใช้วิจารญาณในการพิจารณา ว่าน่าจะเป็นพระคัมภีร์หรือไม่
    มีหนังสือปลอมๆมากมายที่พบ และไม่มีค่า แก่การเป็นพระคัมภีร์ เพราะมัน ..apocrypha เกินกว่าที่จะเป็นเอกสารที่น่าเชื่อถือได้

    apocrypha (ภาษากรีกแปลว่า สิ่งที่ซ่อนเร้น) คือกลุ่มหนังสือ 14 เล่ม ของพระคัมภีร์เก่า Old Testment ที่หาแหล่งมาไม่แน่ชัด และไม่เป็นที่ยอมรับของคริสเตียน (น่าสงสัย/ของเทียม/ของปลอม) ถึอเป็นหนังสือนอกสาระบบ ของพระคัมภีร์

    "Book of Enoch"
    ไม่ได้อยู่ในส่วนของความเชื่อของชาวคาทอลิก และ
    ไม่ได้อยู่ในส่วนของความเชื่อของชาวโปรแตสแตนท์ด้วย

    แปลกแต่จริง purifysoul.com อ้างความเชื่อในพระเยซู
    แปลกแต่จริง purifysoul.com เปิดเว็ปขึ้นมาทั้งที
    แต่ไม่ยอมแสดงตัวว่าเป็นนิกาย/ลัทธิ....อะไร.. ?

    แปลกแต่จริง purifysoul.com เปิดเว็ปนี้ขึ้นมาเพื่อเจตนานำเสนอหนังสือ"Book of Enoch" โดยเฉพาะ
    แปลกแต่จริง
    ในขณะนี้มีหลายเว็ปไซค์ ไทย ที่โหมโฆษณา"Book of Enoch" และทุกเว็ปไซค์ ไทยมีความเหมือนกันอยู่หนึ่งอย่าง คือ จะไม่ค่อยยอมบอกว่าตัวเองเป็น ศาสนาพระเยซู/นิกาย/ลัทธิ....อะไร.. ? และมักจะโพสแบบก็อปปี้มาวางในเว็ปตัวเอง(ข้อความยาว)
    แปลกแต่จริง นักโพสกลุ่มนี้คล้ายกับพนักงานขายที่ต้องทำเป้าให้ถึงจำนวนหนึ่งเพื่อให้สังคมยอมรับ"Book of Enoch"
    <DD>
    <DD>ปล.2 ??? แปลกดีหนอ
    <DD>โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กๆควรมีผู้ปกครองให้คำแนะนำ
    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตัดมาบางส่วน


    ชาวเนบิรู มักถูกเรียกว่า แอนูนาคิ, เนฮิลิม (อ่านแบบฮิบรูว่า เนฟิลิม), อิโรฮิม (เป็นพหูพจน์ของ เนฮิลิม), มาดุ๊กเคี่ยนส์ (ชาวมาร์ดุ๊ก) เป็นต้น ผมจะขออนุญาตเรียกว่า แอนูนาคิ ซึ่งชาวสุเมเรียรู้จักกัน หมายความคร่าวๆว่า "ผู้ซึ่งมายังโลกจากสรวงสรรค์"

    ในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่าหรือเล่มต้นของคริสต์ศาสนา (คัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม หรือโอลด์ เทสทาเมนท์) เรียกผู้ซึ่งมายังโลกจากสรวงสรรค์เหล่านี้ว่า"แอนาคิม" (ไม่ใช่อนาคิน สกายวอคเกอร์นะ)

    ประชากรบนดาวเคราะห์เนบิรู ประกอบไปด้วย ชาวเรปทิเลี่ยน ที่ชาญฉลาด และปกครองโดยแอนูนาคิชนชั้นสูง เนฟิลิม หมายความว่า ผู้ซึ่งมายังโลกจากสรวงสรรค์ ในภาษาฮิบรู ชาวแอนูนาคิมีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสูงมากกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ หลายเผ่าพันธุ์ในจักรวาล ณ เวลานั้น ชาวแอนูนาคิ เรียก ดาวบ้านเกิดของพวกเขาว่า เซออส (เนบิรู)

    ที่มา palungjit.org/threads/เบื้องหลัง-อิลูมินาติ-illuminati-ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว-แก้ไข-ดูคลิบได้แล้ว.223140/<!-- google_ad_section_end -->

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    เครดิต <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->blackangel<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3487351", true); </SCRIPT> http://palungjit.org/threads/%E0%B8...A1.227811/<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากการขุดค้นพบและไบเบิล และเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดหายจาก Dead Sea Scroll หรือม้วนหนังสือโบราณเช่น The Book of Enoch หรือพระธรรมเอโนค เรื่องเผ่าพันธุ์คนยักษ์พอจะสรุปได้สังเขปดังนี้ครับ

    หลังจากที่พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งต่างๆ แล้ว พระองค์ก็สร้าง Angel ( หรือทูตสวรรค์ หรือคนไทยจะเรียกว่าเทวดา ) ไว้เป็นฟันเฟืองหรือมือทำงานไว้เพื่อตรวจตราและควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ของโลกให้เป็นไปตามที่พระองค์ต้องการ โดย Angel เหล่านี้จะมีบุคคลิก ลักษณะและความสามารถที่แตกต่างกันไปครับ เช่นบางท่านชำนาญในเรื่องการสงครามเคยได้ยินตำนานเทพแห่งสงครามของกรีกไม๊ครับ ตัวแทนคือดาวอังคารหรือสหรัฐในปัจจุบันนั่นเอง บางท่านจะชำนาญในเรื่องดิน ฟ้า อากาศ บางท่านชำนาญในเรื่องเทคโนโลยีการสร้างสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งอาวุธที่ใช้ในการสงครามครับ
    และอีกหลายๆ ท่านในเรื่องการใช้แร่ธาตุ การตัดแต่งพันธุกรรม ความสวยงามต่างๆ เวทมนต์คาถา การทำยาและสมุนไพรต่างๆ จิตวิทยา ดาราศาสตร์ ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ก็คือฟันเฟืองหรือกลไกการทำงานทุกอย่างที่เราเห็นในโลกมนุษย์ใบนี้แหละครับ แต่องค์ความรู้นี้ไม่มีในโลก มนุษย์เราและโดยวิทยาศาตร์ซึ่งปฏิเสธสิ่งเหล่านี้เพราะหาคำตอบไม่ได้จึงเหมารวมทุกอย่างแล้วเรียกสิ่งนี้ว่า " ธรรมชาติ " ครับ แล้ว Angel ทั้งหมดมีเป็นพันครับ ที่พระเจ้าทรงสร้างและตั้งท่านไว้เพื่องานของพระองค์ ซึ่งท่านเหล่านี้ก็เรียกได้ว่าเป็นลูกของพระเจ้าครับ

    Angel ที่พระเจ้าสร้างขึ้นจะแบ่งเป็นระดับชั้นอย่างง่ายได้ 2 ชั้นคือ
    Seraphim เซราฟริม คือ Angel ชั้นสูงสุดเป็นมือทำงานที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าที่สุด

    Cherubim เชรูบิม คือ Angel ที่ทำงานเฉพาะด้านหรือเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึงครับ

    เพราะฉะนั้นท่านจึงส่ง Angel เหล่านี้ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อตรวจตราดูแลในเรื่องต่างครับ หนึ่งในนั้นคือ Semyaza ( Son of God ) ซึ่งเปรียบเสมือนมือขวาของพระเจ้านั่นเอง และโดยตำแหน่งเค้าคือ " The Watcher " หรือผู้ตรวจการนั่นเองครับ แต่ในที่สุดก็มี Angel ถึง 200 องค์ที่คิดก่อการกบฎขึ้นโดยการนำของ Semyaza นั่นเอง
    โดยมีหลักคิดที่ว่าพวกเค้าแต่ละองค์ก็มีความสามารถและสิทธิอำนาจมากขนาดนั้น ทำไมพวกเค้าเป็นได้แค่นั่นเหรอ คือทำตามคำสั่งและคอยทำงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น นี่จึงเป็น "การปฏิวัติ" ครั้งแรกสุดหลังการทรงสร้างครับ และต่อไปนี้คือรายชื่อของ Angel ทั้ง 200 ท่านที่ทำการปฏิวัติในครั้งนั้นครับ ให้สังเกตุว่าในนี้จะมี Semyaza, Lucifer, Baal, Phoenix และ Satan รวมอยู่ด้วยครับ แล้วด้านหลังชื่อจะเป็นหน้าที่หรือความสามารถที่ท่านทั้งหลายได้รับการทรงสร้างหรือได้รับมอบหมายครับ

    Abaddon - fallen angel of death whose name means "to destroy."
    Abezethibou - one-winged Red Sea fallen angel.
    Allocen - fallen angel who is a duke in hell.
    Amduscias - name of the fallen angel who appears as a unicorn.
    Amon - fallen angel who is a strong marquis over 40 legions.
    Amy - name of a fallen angel who is a president in hell.
    Andras - fallen angel marquis and appears raven-headed.
    Andrealphus - fallen angel who can transform humans into birds.
    Andromalius - fallen angel who appears as a man holding a serpent.
    Apollyon - fallen angel of death; same as Abaddon.
    Armaros - fallen angel who teaches the "resolving of enchantments."
    Asmoday - fallen angel king with three heads: a bull, a ram, and a man.
    Asmodeus - one of the most evil of fallen angels, being an archdemon.
    Astaroth - fallen angel who is a grand duke in hell.
    Azael - evil, fallen angel who cohabited with women.
    Azazel - fallen angel whose name means "God strengthens."
    Azza - fallen angel whose name means "the strong."
    Baal - fallen angel whose name means "the lord."
    Balam - fallen angel who looks like Asmoday with a serpent tail.
    Balberith - fallen angel who is a grand pontiff in hell.
    Baraqijal - fallen angel who teaches astrology.
    Barbatos - fallen angel who is a great count, earl and duke of hell.
    Bathin - pale horse riding fallen angel.
    Beelzebub - fallen angel known as the "prince of demons."
    Behemoth - fallen angel who is the "demon of the deep."
    Beleth - fallen angel who is a terrible king over 85 legions.
    Belial - deceptively beautiful fallen angel whose name means "without worth."
    Belphegor - fallen angel whose name means "lord of opening."
    Berith - fallen angel...
    Bernael - fallen angel of darkness and evil.
    Bifrons - fallen angel that appears monstrous and teaches mathematical arts.
    Botis - fallen angel who appears as a viper.
    Buer - fallen angel who teaches philosophy, logic and ethics.
    Bune - fallen angel who appears as a dragon with three heads.
    Caim - fallen angel who appears as a thrush or man with a sword.
    Dantanian - fallen angel who appears as a man with many faces.
    Decarabia - fallen angel who appears as a star in a pentacle.
    Eligor - fallen angel who appears as a good knight with lance.
    Enepsigos - fallen angel who appears in the shape of woman.
    Flauros - fallen angel who appears as a leopard.
    Focalor - fallen angel who appears as a man with griffin wings.
    Forcas - fallen angel who teaches logic and ethics.
    Forneus - fallen angel marquis who appears as a sea monster.
    Furcas - fallen angel who appears as a cruel man with long beard.
    Furfur - fallen angel who appears as a hart with a fiery tail.
    Gaap - fallen angel who appears as a man with bat wings.
    Gadreel - fallen angel whose name means "God is my helper."
    Gamygyn - fallen angel who appears as a small horse.
    Glasyalabolas - fallen angel who appears as a winged dog.
    Gomory - fallen angel who appears as a camel riding woman of beauty.
    Gusion - fallen angel who can discern the past, present or future.
    Hagenti - fallen angel who appears as a bull with griffin wings.
    Halpas - fallen angel who appears as a stork.
    Imamiah - fallen angel who governs voyages.
    Ipos - fallen angel who appears as an angel with a lion's head.
    Kokabiel - fallen angel whose name means "star of God."
    Kunopegos - fallen angel who appears as a sea horse and sinks ships.
    Lahash - fallen angel who interferes with divine will.
    Lerajie - fallen angel who appears as an archer in green.
    Leviathon - fallen angel associated with the deep seas.
    Lillith - fallen female angel who searches for children to kidnap or kill.
    Lix Tetrax - fallen angel of the wind.
    Lucifer - actually a Babylonian king whose name means "bearer of light."
    Malpas - fallen angel who appears as a crow.
    Marbas - fallen angel who appears as a lion.
    Marchosias - fallen angel who appears as a she-wolf with griffin wings.
    Mastema - fallen angel whose name means "hostility."
    Mephistopheles - fallen angel; name means "he who loves not the light."
    Morax - fallen angel who appears as a bull.
    Naamah - fallen angel of prostitution whose name means "pleasing."
    Naberius - fallen angel who appears as a crowing cock.
    Obyzouth - fallen angel femal who kills newborns and cause still-births.
    Onoskelis - female fallen angel who lives in caves and perverts men.
    Orias - fallen angel who appears as a lion with serpent's tail.
    Ornias - fallen angel who is annoying and can shape-shift.
    Orobas - fallen angel who appears as a horse.
    Ose - fallen angel who appears as a leopard and is a president in hell.
    Paimon - fallen angel who appears as a crowned man on a camel.
    Penemuel - fallen angel who corrupts mankind through writing.
    Pharzuph - fallen angel of fornication and lust.
    Phoenix - fallen angel who appears as a phoenix bird.
    Procel - fallen angel who can speak of hidden and secret things.
    Purah - fallen angel of forgetfulness and the conjuring of the dead.
    Purson - fallen angel who appears as a lion-headed man on a bear.
    Qemuel - fallen angel who was destroyed by God.
    Rahab - fallen angel of pride whose name means "violence."
    Raum - fallen angel who appears as a crow.
    Ronobe - fallen angel who is a monster who teaches rhetoric and art.
    Ruax - headache fallen angel.
    Sabnack - fallen angel who appears as a soldier with lion's head.
    Saleos - fallen angel who appears as a soldier on a crocodile.
    Samael - evil fallen angel whose name means "the blind God."
    Satan - christian fallen angel whose name means "adversary."
    Seere - fallen angel who appears as a man on a winged horse.
    Semyaza - fallen angel leader and one of the Sons of God.
    Shax - fallen angel who appears as a stork; stealer of money.
    Solas - fallen angel who appears as a raven and teaches astronomy.
    Sorath - fallen angel to some whose number is 666.
    Sytry - fallen angel; appears as a man with griffin wings and leopard head.
    Uzza - fallen angel whose name means "strength."
    Valac - fallen angel who appears as a small boy with wings on a dragon.
    Valefor - fallen angel who appears as a many-headed lion.
    Vapula - fallen angel who is skilled in handicrafts, science and philosophy.
    Vassago - fallen angel who discovers all things lost or hidden.
    Vepar - fallen angel who appears as a mermaid.
    Vine - fallen angel and appears as a lion sitting on a black horse.
    Vual - fallen angel who appears as a huge camel.
    Wormwood - fallen angel who brings plagues upon the Earth.
    Xaphan - fallen angel who fires the fires of hell.
    Zagan - fallen angel who can transform things; looks like a bull with wings.
    Zepar - fallen angel who makes women love men.

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=j-61FdeOxNg"]YouTube - Giants of the old World[/ame]


    ตัดบางส่วนมาจาก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)................." The Gold War " by Jimmy Siri: พวกเขาเหล่านี้เป็นใครในยุคโบราณ???.......3/<!-- google_ad_section_end -->

    เครดิต <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->blackangel<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3487351", true); </SCRIPT> http://palungjit.org/threads/%E0%B8...A1.227811/<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องเกี่ยวกับยักษ์ ในพระไตรปิฎกก็มีนะ อย่างเรื่องนี้เป็นต้น (มีหลายเรื่องอยู่เหมือนกัน)

    ยักษ์ถือกระบองเหล็กใหญ่ [อยกูฏชาดก]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#fefbe7 height=22></TD><TD align=right bgColor=#fefbe7 height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=12480 name=t_sel> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=8 width=580 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔- หน้าที่ 688
    ๗. อยกูฏชาดก
    ว่าด้วยยักษ์ถือกระบองเหล็กใหญ่
    [๖๘๖] ท่านผู้ใด ยืนถือพะเนินเหล็กอันใหญ่
    โตเหลือขนาดอยู่บนอากาศ ท่านผู้นั้นมาสถิต
    อยู่เพื่อจะคุ้มครองข้าพเจ้าในวันนี้หรือ. หรือ
    จะพยายามมาฆ่าข้าพเจ้า.
    [๖๘๗] ดูก่อนพระราชา เราเป็นทูตของพวก
    ยักษ์ ถูกพวกยักษ์เหล่านั้นส่งมาที่นี้ เพื่อจะ
    ปลงพระชนม์พระองค์ แต่ท้าวสักกรินทร์
    เทวราชคุ้มครองพระองค์อยู่ เพราะเหตุนั้น
    เราจึงผ่าพระเศียรของพระองค์ไม่ได้.
    [๖๘๘] ก็ถ้าท้าวมัฆวาฬเทวราช ผู้เป็นจอม
    ทวยเทพ พระสวามีของนางสุชาดา คุ้มครอง
    ข้าพเจ้าอยู่ ผู้ฉะนั้นพวกปีศาจก็คงคุกคาม
    เหล่าสัตว์ทั้งหลายเป็นแน่ ข้าพเจ้าไม่ได้
    สะดุ้งกลัวต่อพวกยักษ์เลย.
    [๖๘๙] พวกภุมภัณฑ์ และพวกปีศาจทั้งมวลจะ
    คร่ำครวญกันไปก็ตามเถิด พวกมันคงไม่อาจ
    จะต่อยุทธกับข้าพเจ้า กิริยาที่หลอกหลอน
    ของพวกยักษ์ซึ่งทำให้น่ากลัวต่าง ๆ นั้น มีอยู่
    เป็นอันมาก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่กลัว.
    จบ อยกูฏชาดกที่ ๗
    อรรถกถาอยกูฏชาดกที่ ๗
    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
    การประพฤติประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้
    มีคำเริ่มต้นว่า สพฺพายส กูฏ ดังนี้. เรื่องปัจจุบันจักมีแจ้งในมหากัณหชาดก. ส่วนเรื่องในอดีตมีดังต่อไปนี้ :-
    ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
    พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของ
    พระเจ้าพรหมทัตนั้น. เจริญวัยแล้ว เรียนศิลปศาสตร์ได้แล้ว เมื่อ
    พระราชบิดาสวรรคตแล้ว ได้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ ทรงครองราชย์
    โดยธรรม. ในครั้งนั้น คนทั้งหลายเป็นผู้ถือเทวดาเป็นมงคล พากัน
    ฆ่าแพะเป็นต้นมากมาย กระทำพลีกรรมแก่เทวดาทั้งหลาย. พระโพธิสัตว์ให้เที่ยวตีกลองประกาศว่า ไม่ควรฆ่าสัตว์มีชีวิต. ยักษ์ทั้งหลาย
    เมื่อไม่ได้พลีกรรมจึงโกรธพระโพธิสัตว์ ได้ไปยังสมาคมยักษ์ในหิม
    วันประเทศ ให้ส่งยักษ์ตนหนึ่งผู้หยาบช้าไป เพื่อต้องการฆ่าพระ-
    โพธิสัตว์. ยักษ์นั้นถือพะเนินเหล็กร้อนอันใหญ่ประมาณเท่าช่อฟ้า มา ด้วยตั้งใจว่า จักประหารพระโพธิสัตว์นั้นด้วยพะเนินเหล็กนี้ให้ตาย
    จึงได้ยืนอยู่ที่หัวนอนพระโพธิสัตว์ ในระหว่างมัชฌิมยาม. ขณะนั้น
    อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน ท้าวเธอทรงรำพึงอยู่ ได้ทรงทราบเหตุนั้น จึงทรงถืออินทวชิราวุธเสด็จไป แล้วได้ประทับยืน
    เบื้องบนยักษ์. พระโพธิสัตว์ได้เห็นยักษ์แล้วคิดว่า ยักษ์นี้ยืนอารักขา
    เราหรือว่ายืนประสงค์จะฆ่าเรา เมื่อจะเจรจากับยักษ์นั้นจึงกล่าวคาถา
    ที่ ๑ ว่า :-
    ท่านผู้ใดยืนถือพะเนินเหล็กล้วนอัน
    ใหญ่โตเหลือขนาดอยู่ในอากาศ ท่านผู้นั้นมา
    จัดแจงเพื่อจะคุ้มครองเราในวันนี้หรือ หรือ
    ว่าจะพยายามฆ่าเรา.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิหิโตนุสชฺช ตัดบทเป็น วิหิโตนุสิ
    อชฺช.
    ก็พระโพธิสัตว์ เห็นแต่ยักษ์เท่านั้นไม่เห็นท้าวสักกะ. ยักษ์
    ไม่อาจประหารพระโพธิสัตว์เพราะกลัวท้าวสักกะ. ยักษ์นั้นได้ฟังถ้อยคำ
    ของพระโพธิสัตว์ จึงกล่าวว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพเจ้ามิได้ยิน
    คุ้มครองท่าน แต่ข้าพเจ้ามาด้วยหวังใจว่า จักเอาพะเนินเหล็กอัน
    โชติช่วงนี้ประหารทำท่านให้ตาย ข้าพเจ้าไม่อาจประหาร เพราะกลัว
    ท้าวสักกะ เมื่อจะแสดงเนื้อความนี้ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
    ดูก่อนพระราชา ข้าพเจ้าเป็นทูตของ
    พวกยักษ์ ถูกพวกยักษ์เหล่านั้นส่งมาที่นี้
    เพื่อฆ่าพระองค์ แต่พระอินทร์เทวราชคุ้ม
    ครองพระองค์อยู่ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึง
    ผ่าพระเศียรของพระองค์ไม่ได้.
    พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าว ๒ คาถานอกนี้ว่า :-
    ถ้าท้าวมัฆวาฬเทวราชผู้เป็นจอมเทพ
    พระสวามีของนางสุชาดา คุ้มครองข้าพเจ้า
    อยู่ มิฉะนั้น พวกปีศาจคงจะคุกคามสัตว์
    ทั้งหลายเป็นแน่ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้สะดุ้งกลัว
    ต่อพวกยักษ์เลย.
    พวกกุมภัณฑ์และพวกปีศาจทั้งมวล จะ
    คร่ำครวญกันไปก็ตามเถิด พวกปีศาจไม่อาจ
    ต่อยุทธ์กับข้าพเจ้า กิริยาที่หลอกหลอนพวก
    ยักษ์ซึ่งทำให้น่ากลัวต่าง ๆ นั้น มีอยู่เป็นอัน
    มาก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่กลัว.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รกฺขสิยา ปชาย ความว่า
    เหล่าสัตว์คือรากษส ได้แก่ พวกสัตว์ที่เป็นรากษส. บทว่า กุมฺภณฺฑา
    ได้แก่ พวกยักษ์ท้องพลุ้ย มีอัณฑะเท่าหม้อ. บทว่า ปสุปิสาจกา
    ได้แก่ พวกปีศาจในที่ทิ้งหยากเยื่อ. บทว่า นาล ความว่า ขึ้นชื่อว่า
    พวกปีศาจไม่สามารถจะต่อยุทธกับข้าพเจ้า. บทว่า มหตี สา วิเภสิกา
    ความว่า ก็ยักษ์เหล่านี้ประชุมกันแสดงกิริยาน่ากลัวต่าง ๆ อันใด
    กิริยาที่น่ากลัวต่าง ๆ อันนั้นถึงจะมากมาย ก็เป็นเพียงแสดงอาการ
    น่ากลัวแก่เราเท่านั้น แต่เราหากลัวไม่.
    ท้าวสักกะทรงขับยักษ์ให้หนีไป โอวาทพระมหาสัตว์แล้วตรัส
    ว่า ดูก่อนมหาราช พระองค์อย่าได้ทรงกลัวเลย จำเดิมแต่นี้ไป การ
    คุ้มครองพระองค์ เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า แล้วเสด็จสู่สถานที่ของ
    พระองค์ทีเดียว.
    พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึง
    ทรงประชุมชาดกว่า ท้าวสักกะในครั้งนั้น ได้เป็นพระอนุรุทธะ
    ส่วนพระเจ้าพาราณสี ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
    จบ อรรถกถาอยกูฏชาดกที่ ๗
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.dhammahome.com/front/webb...w.php?id=12480<!-- google_ad_section_end -->
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    6.1 ปฐมกาล


    หนังสือปฐมกาลเริ่มต้นด้วยการบอกคุณเกี่ยวกับ การทรงสร้าง 6 วันของพระเจ้าและการพักผ่อนของพระองค์ในวันที่ 7 แล้วก็ในระหว่างการพักผ่อนของพระเจ้า พระเจ้าทำให้การทรงสร้างที่ 7 นั้นอย่างไรได้มอบจิตวิญญาณให้มนุษย์ผู้ชายผู้ซึ่งเขามีชื่อว่า อาดัม ที่อาศัยอยู่ในสวนของพระองค์กับพระองค์ เหตุการณ์ต่อไปในเรื่องพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกว่า พระเจ้าใช้เวลากับอาดัมในสวนของพระองค์เรียกว่า เอเดน ในขณะที่อยู่ในสวนพระเจ้าได้ให้บัญญัติแรกของพระองค์ต่อ มนุษย์ผู้ชายที่พระองค์มอบดวงจิตวิญญาณ ว่า ห้ามอาดัมกินผลไม้ของต้นไม้แห่งความรู้ดีและรู้ชั่ว
    [​IMG]
    แล้วก็หลังจากข้อตกลง อันยิ่งใหญ่เวลาได้ผ่านไปเป็นอดีต (จะเห็นว่าเวลาได้ล่วงเลยไปสำหรับอาดัมได้ตั้งชื่อสัตว์ทั้งหมด) พระเจ้าตัดสินใจรุ้สึกว่าชาย อาดัมนั้นได้อยู่โดดเดี่ยว และในความต้องการของคู่ชีวิตเพราะความว้าเหว่ของเขา เพราะอาดัมเป็นเพียงคนเดียวบนโลกที่มีจิตวิญญาณในเวลานั้น และพระเจ้าต้องการ ให้อาดัมมีคู่ชีวิตที่เหมาะสมคู่ควร (โดยคนหนึ่งที่มีดวงจิตวิญญาณ) พระเจ้ากระทำให้อาดัมเข้าไปในการหลับสนิทและเอาซี่โครงของเขาออกมาหนึ่งซี่โครงและสร้างผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาจากอาดัม
    เรื่องราวของเอวาที่ถูกนำออกจากอาดัมนี้บรรยายเป็นเพศหญิงถูกเอาออกมาจากผู้ชาย เพื่อสร้างเป็นผู้หญิง ดังนั้นทั้งชายและหญิงสามารถร่วมแบ่งปันจิตวิญญาณเดียวกันการแบ่งแยกเพศ การเป็นการสร้างมนุษย์ผู้ชายต่ำกว่าทูตสวรรค์เล็กน้อย เพราะ ทูตสวรรค์มีทั้งสองเพศอย่างสมบูรณ์ในเพศชายและเพศหญิง
    ข้อความในพระคัมภีร์ยังกล่าวรายละเอียดว่า พวกเขาได้เป็นเนื้อหนังและกระดูกเดียวกันและอาศัยอยู่ด้วยกันเช่นสามีและภรรยา เป็นการใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีสิ่งใดมาแยกออกจากกันได้ และแบ่งปันในจิตวิญญาณเดียวกัน การที่พวกเขาแบ่งปันทั้งจิตวิญญาณเดียวกันและรวมเป็นเนื้อหนังเดียวกันด้วย ทั้งสองนั้นหมายความถึงอาศัยอยู่ด้วยกัน มีเพียงการแบ่งแยกเพศในเนื้อหนังเท่านั้น ความหมายที่ลึกมากขึ้น ก็คือ เมื่อทั้งสองเพศมาอยู่ด้วยกัน พวกเขาควรเป็นหนึ่งเดียวกันในเนื้อหนังและซึ่งมิอาจแยกออกจากกันได้ เป็นหนึ่งเดียวกันในดวงจิตวิญญาณระหว่างพวกเขาทั้งสอง นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึงในข่าวประเสริฐของพระองค์(next click)
    มัทธิว 19:4-5 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่า พระผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่เดิม ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิงและตรัสว่า ‘เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะจากบิดามารดาของเขาจะไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน
    เรื่องดำเนินต่อไปโดยบอกว่า ลูซิเฟอร์มารซาตาน ได้ล่อลวงหญิง เอวาเพื่อทำบาปอย่างไร ในทางกลับกันเอวาได้นำสามีของเธออาดัมเข้าไปในความบาป โดยทั้งคู่อาดัมและเอวาทำความบาปต่อต้าน (ไม่เชื่อฟัง) พระเจ้าพระเจ้าไม่สามารถทอดพระเนตร (มอง) ไปที่พวกเขาอีกต่อไปเพราะว่าพระเจ้าไม่สามารถมองเหนือความบาป จากนั้นอาดัมและเอวาถูกขับออกจากสวนของพระเจ้า และมารซาตานถูกไล่ออกจากสวรรค์ด้วยกันกับพวกเขา สำหรับบาปของเขา !
    [​IMG]
    เอวาได้ตั้งครรภ์โดยทั้งคู่สามีของเธออาดัมและโดยมารซาตานลูซิเฟอร์ เธอตั้งครรภ์แฝด คนหนึ่งจากอาดัมและคนหนึ่งจากลูซิเฟอร์ เด็กทั้งคู่มีจิตวิญญาณแม้ว่ามารซาตาน ลูซิเฟอร์ไม่มีจิตวิญญาณเพราะเขาได้สูญเสียจิตวิญญาณแล้ว (จากการถูกขับไล่ออกจากสวรรค์) แต่เด็กในท้องได้รับจิตวิญญาณเพราะว่าเอวามีจิตวิญญาณและผ่านสืบทอดเชื้อสายจิตวิญญาณลงไปให้ลูกๆ ของเธอ การกำเนิดของแฝดนี้ทำให้เกิดผู้สืบสกุลเชื้อสายของอาดัม ขึ้นชื่ออาเบล ซึ่งเป็นคนที่สองออกมาจากครรภ์(มดลูก) และผู้สืบสกุลของมารซาตาน (ลูซิเฟอร์) ชื่อคาอิน ซึ่งเป็นคนแรกออกจากครรภ์(มดลูก)ดังนั้นจึงตั้งชื่อคาอินเพื่อสิทธิบุตรหัวปี เพราะว่าเขาได้เกิดเป็นคนแรก
    หมายเหตุ: คุณจะเห็นต่อสู้ระหว่างพี่น้องฝาแฝดภายในครรภ์(มดลูก)ตลอดในเรื่องพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
    [​IMG]
    เรื่องราวต่อไปจะเล่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับสองพี่น้อง พระเจ้ารักอาเบลอย่างไร และในสิ่งที่เขาได้กระทำทั้งหมด และพระเจ้าเกลียดคาอินอย่างไร และในสิ่งที่คาอินได้กระทำทั้งหมด แล้วคาอินได้ถูกขับเคลื่อนโดยความอิจฉาของเขาในความรักของพระเจ้าต่ออาเบล โดยฆ่าน้องชายอาเบลให้ตายและจากนั้นได้ถูกขับออกจากครอบครัว และทำให้เพื่ออาศัยท่ามกลางที่มนุษย์สัตว์ที่ไม่มีจิตวิญญาณในการทรงสร้างวันที่ 6 สำหรับกระทำผิดเช่นนี้

    การฆาตกรรมของคาอิน ต่อน้องชายอาเบลของเขา และการมีชีวิตอยู่ของเขาเพียงผู้สืบสกุลของการมีจิตวิญญาณผู้สืบสกุลด้วยกันกับจิตวิญญาณ ได้ขณะนี้กระทำบาปซ้อนบาปเพราะว่าคาอินได้เกิดออกมาจากบาป
    นับตั้งแต่คาอินเป็นครึ่งของความดี (จากมารดาของเขา จากเชื่อสายของเอวา) และครึ่งความชั่ว (จากบิดาของเขา จากเชื้อสายของลูซิเฟอร์) พระเจ้ามีแผนการณ์ใช้คาอินเพื่อบรรลุผลเจตนารมณ์ของพระองค์ ครั้งหนึ่งคาอินพบว่าเขาต้องออกจากครอบครัวของเขา เขาเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของเขาเองและเกิดความกลัวการถูกฆ่าตาย จากหนึ่งในมนุษย์ที่ไม่มีดวงวิณญาณ(มนุษย์นิสัยสัตว์) ในการทรงสร้างวันที่ 6 ของพระเจ้า ดังนั้น คาอินได้เสนอความคิดเห็นนี้ต่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงจัดเตรียมสำหรับคาอิน โดยให้ทูตสวรรค์แห่งการป้องกันสำหรับเขาซึ่งต้องอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์ที่ไม่มีดวงวิญญาณหล่านั้น
    ทูตสวรรค์ป้องกันมอบให้โดยพระเจ้า สำหรับคาอินอ้างอิงถึงในข้อความในพระคัมภีร์เป็นเครื่องหมายที่พระเจ้ามอบอยู่เหนือหน้าผากคาอิน เครื่องหมายนี้เป็นคล้ายคลึงกับเครื่องหมายที่ถูกวางเหนือธรรมิกชน (แต่ไม่เหมือนกันเพราะธรรมิกชนเป็นเครื่องหมายกางเขนแต่ ของคาอินเป็นเครื่องหมาย หก หก หก) ในวันแห่งความทุกข์ยากลำบากได้พูดของในหนังสือวิวรณ์ และถูกวางที่นั่นเพื่อปกป้องคาอินจากมนุษย์สัตว์ของโลก ซึ่งเป็นการทรงสร้างวันที่ 6 ของพระเจ้า มนุษย์เหล่านี้ไม่มีจิตวิญญาณและคาอินรู้ว่ามนุษย์เหล่านี้ฆ่ากันตายเป็นประจำเป็นเรื่องปกติ แต่พระเจ้าทรงรับรองคาอินในการคุ้มครองของพระองค์ โดยการมีเครื่องหมายวางที่หน้าผากอยู่เหนือเขา และเป็นคำมั่นสัญญา จะมีการลงโทษแก้แค้นคืนเจ็ดเท่า ถ้าใครก็ตามซึ่งเป็นผู้ที่จะพยายามเพื่อเข่นฆ่าคาอิน
    จากนั้นพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้ให้รายละเอียดของเชื้อสายของคาอิน (เชื่อสายครอบครัวของคาอิน) สิ่งซึ่งเป็นเส้นขนานคล้ายคลึงไปยังเชื้อสายของเสทผู้ซึ่งจะเป็นเพศชายคนต่อไปที่เกิดจากอาดัมและเอวา ข้อความในพระคัมภีร์แสดงเส้นขนานนี้ควบคู่ไปกับเชื้อสายของคาอิน และเชื้อสายของเสทจะมีความคล้ายคลึงกันในรายชื่อของสมาชิกครอบครัวของพวกเขา รายชื่อเหล่านั้นเกือบเหมือนกันทั้งหมดในทั้งสองของครอบครัว พระเจ้าได้ตรัสบอกผมว่าเหตุผลในรายชื่อนั้นได้คล้ายคลึงเหมือนกันเป็นการบรรยายให้เห็นว่า ลูซิเฟอร์เลียนแบบพระเจ้าในลักษณะท่าทางที่เต็มไปด้วยการหลอกลวง
    [​IMG]

    บทที่ 5ของหนังสือปฐมกาลให้เชื้อสายของเมล็ด (เชื้อสาย) แห่งการรับการอวยพรของอาดัมผ่านลูกชายของเขาเซทและแล้วผ่านลงมาถึงการกำเนิดของโนอาห์ การดำรงอยู่ของโลกครั้งแรก 8224 ปี ก่อนที่จะถูกทำลายโดยน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ จำนวนของปีของโลกแรกสามารถมาถึงที่บวกทั้งหมดด้วยช่วงอายุชีวิตจากอาดัมผ่านไปยังช่วงเวลาของโนอาห์ และแล้วก็การเพิ่ม 599 ปีของชีวิตของโนอาห์ในโลกเก่า โนอาห์อายุ 600 ปีเมื่อเขาเริ่มก้าวออกมาจากเรือเข้าไปในโลกใหม่ หลังจากใช้เวลา 1 ปีและ 10 วันบนเรือ สังเกตว่าอายุของโลกหรือ 8224 ปีประยุกต์ใช้กับอายุของโลกจากช่วงเวลาหลังจากการทรงสร้างของอาดัม ในโลกก่อนถึงอาดัมมีชีวิตอยู่เป็นเวลาหลาย หลายปี พระเจ้าได้ตรัสบอกผมว่า 70,000 ปีได้ผ่านจากช่วงเวลาของการทรงสร้างวันที่ 6 ของพระเจ้า จนกระทั่งการทรงสร้างของอาดัม
    มีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในบทที่ 5 นี้ ของปฐมกาลที่เราควรจะสัมผัสที่อื่นนอกเหนือจากการกำเนิดของโนอาห์ผู้ซึ่งที่จะเป็นผู้ช่วยให้รอดคนแรก เหตุการณ์นี้เป็นการเรบเจอร์ของเอโนค ปู่่ของโนอาห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าเอโนคดำเนินชีวิตกับพระเจ้าและถูกนำตัวขึ้นไปยังสวรรค์เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะว่าเอโนคถูกส่งไปยังโลกจากสวรรค์ และเป็นคนหนึ่งเท่านั้นผู้ซึ่งได้ลงมาจากสวรรค์อาจจะถูกรับขึ้นกลับเข้าไปในสวรรค์ นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสเกี่ยวกับนิโคเดมัสในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ของยอห์น
    ยอห์น3:13 ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสู่สวรรค์นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์คือบุตรมนุษย์ ผู้ทรงสถิตในสวรรค์นั้น

    ข้อความในพระคัมภีร์ต่อไปนี้บรรยายเหตุการณ์ของการเรบเจอร์ของเอโนค

    ปฐมกาล 5:24 เอโนคได้ดำเนินกับพระเจ้า: และหายไป เพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป
    [​IMG]
    โนอาห์ (รุ่นหลานของเอโนค และบุตรชายของลาเมค) เป็นมนุษย์คนเดียวเท่านั้นในสายพระเนตรของพระเจ้าที่ได้พบจะเป็นที่ช่วยชีวิต ควรค่าจากที่จะไม่ทำลายพร้อมไปกับโลก ดังนั้นโนอาห์ถูกชี้แนะโดยพระเจ้าเพื่อสร้างเรืออันยิ่งใหญ่สิ่งที่ดูเหมือนค่อนข้างแปลกต่อผู้สังเกตการณ์เพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีฝนตกมาก่อนในโลกเก่า เนื่องจากความชั่วร้ายทั่วทั้งโลกเติบโตขึ้นอย่างเลวลง อย่างซ้ำซากต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน พระเจ้าตัดสินใจในอันที่จะทำลายโลกด้วยน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่และเรือโนอาห์ที่พระเจ้าได้ให้โนอาห์ สร้างขึ้นนั้น เพื่อโนอาห์และครอบครัวของ เขาจะได้รับการป้องกันและหมายความถึง เป็นการเคลื่อนย้าย ออกไปในระหว่าง น้ำท่วมอันยิ่งใหญ่
    คำว่า “อาร์ก” (เรือ) เป็นตัวแทนผู้ช่วยให้รอดเสมอและมี THREE ARKS 3 เรืออาร์ก ที่ถูกเขียนถึงในพันธสัญญาเดิมทั้งหมดของสิ่งซึ่งถูกสร้างด้วยไม้ FIRST ARKเรื่ออาร์กแรกARK of NOAHเรืออาร์กของโนอาห์ ถูกสร้างจากไม้สนโกเฟอร์ (ปฐมกาล 6:14) SECOND ARKเรืออาร์กที่สอง เรือARK of MOSESอาร์กของโมเสส ถูกสร้างจากหญ้าจำพวกกก และหญ้าแฝก (อพยพ 2:3) และTHIRD ARKเรืออาร์กที่สาม,THE ARK OF THE COVENANTเรืออาร์กของหีบพันธสัญญา ถูกสร้างจากไม้กระถินเทศ (อพยพ 37:1) ด้วยเหตุผลที่ว่าทั้งสามของเรื่ออาร์กถูกสร้างจากไม้ที่มีสองชั้น สิ่งนี้ถูกทำให้เป็นสัญลักษณ์ว่าARKSเรืออาร์ก หมายความจะเป็นสิ่งชั่วคราวในธรรมชาติอย่างที่ สิ่งเหล่านั้นหมายความถึงกระทำหน้าที่ของบุคคลเฉพาะกาลเท่านั้น ผู้ช่วยชีวิตให้รอด พวกเขาก็ยังทำจากไม้เพื่อแสดงให้เห็นออกมาว่าARKSเรืออาร์กเหล่านี้มีความสามารถที่จะลอยน้ำอยู่ เปรียบเสมือนในฝ่ายวิญญาณ กล่าวว่า เพื่อลอยอยู่บนแม่น้ำแห่งชีวิต พระคำของพระเจ้า
    ในกรณีของFIRST ARKครั้งแรกและSECOND ARKเรืออาร์กที่สอง (เรือโนอาห์และเรืออาร์กของโมเสส) พระเจ้าเห็นการทำลายของพวกเขาได้ทำให้บรรลุผลวัตถุประสงค์ของพวกเขา เรืออาร์กที่สามเรืออาร์กของ หีบพันธสัญญาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์โดยพระเจ้าและถูกนำขึ้นไปยังสวรรค์หลังจาก สิ่งนี้ได้ทำให้บรรลุผลวัตถุประสงค์บนโลก และสิ่งนี้ยังอยู่ในสวรรค์จนทุกวันนี้แท้จริง นี่คือเหตุผลว่าทำไมไม่เคยได้พบที่ไหนในโลก ว่าเรืออาร์ก หีบพันธสัญญาอยู่ไหน วันนี้นั้นบอกกับคุณในข้อความในพระคัมภีร์ของหนังสือวิวรณ์
    วิวรณ์ 11:19 แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิดออก ในพระวิหารนั้นเห็นมีหีบพันธสัญญาของพระองค์ แล้วก็มีฟ้าแลบ และเสียงต่างๆ ฟ้าร้อง แผ่นดินไหวลูกเห็บก็ตกอย่างหนัก
    ในบทที่ 7 ของหนังสือปฐมกาลโนอาห์ภรรยาของเขาและบุตรชาย 3 คนของเขาและภรรยาของพวกเขาเข้าไปในเรืออาร์ก แล้วจากนั้น พระเจ้าก็ทำลายโลกด้วยน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะน้ำท่วม ครั้งยิ่งใหญ่นั้นไม่เคยมีฝนตกเหนือโลก โลกได้รับน้ำความชุ่มชื่นโดยมาจากน้ำค้างตอน เช้า และไม่มีใครในเวลานั้นได้เคยเห็นฝนตกหนัก ดังนั้นเมื่อโนอาห์พยายาม ที่จะเตือนผู้คนเกี่ยวกับน้ำท่วมที่กำลังจะมาถึง พวกเขาพิจารณาโนอาห์เป็นคนบ้าคลั่ง และคิดว่า จะสามารถมีน้ำ ท่วมเกิดขึ้นโดยปราศจากฝนตกได้อย่างไร?
    การสร้างของเรืออาร์กและการรวบรวมของสัตว์และสัตว์ปีก (เป็ด ไก่) และแมลง เกิดขึ้นระยะเวลา มากกว่า 119 ปี มีเพียงโนอาห์ และสมาชิกครอบครัวของเขา 7 คน ช่วยเหลือในการสร้างเรืออาร์ก โนอาห์และครอบครัวของเขาใช้เวลา 1 ปีและ 10 วันบนเรืออาร์กจนกระทั่งน้ำ ได้ลดลง พวกเขาจึงออกจากเรืออาร์กและพระเจ้าอวยพระพรทั้งโนอาห์และบุตรชายของเขา และให้คำมั่นสัญญาโนอาห์ว่าพระองค์จะไม่ทำลายโลกอีก ด้วยน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ ในเวลาเดียวกันพระ เจ้าเตือนโนอาห์ และบุตรชายของเขา ของผลที่ตามมาว่า จะเกิดขึ้นต่อบรรดาผู้ซึ่งจะทำให้เลือดที่บริสุทธิ์ไหลออกมา ข้อความในพระคัมภีร์ในปฐมกาล 9:5 และ 9:6พระเจ้าทรงบอกอย่างชัดเจนแก่โนอาห์ และบุตรชายของโนอาห์ว่า บุคคลใดก็ตามทำให้ที่เลือดบริสุทธิ์ไหลออกมาจะถูกคิดบัญชี โดยพระเจ้าสำหรับการกระทำอย่างนั้น!
    ถ้าคุณได้ย้อนกลับไป ในสื่งที่ซึ่งได้อธิบายให้คุณก่อนหน้านี้ในหนังสือเล่มนี้ บุตรชายของโนอาห์ แต่ละคนเป็นตัวแทน 1 ของ 3 ประเภทของคนที่อยู่บนโลก โดยผ่านบุตรชาย เชม มาจากเมล็ดพันธุ์แห่งการอวยพร (เมล็ดพันธุ์เชื้อสายของอาดัม) และเชมเป็นในเชื้อสายโดยตรงของพระเยซูคริสต์ โดยผ่านบุตร ฮาม มาจากเมล็ดพันธุ์แห่งการแช่งสาป (เมล็ดพันธุ์เชื้อสายของคาอิน และนี่คือทำไม ฮามถูกเรียกว่าบิดาของคานาอันกับการเป็นผู้สืบสกุล ภายหลังกล่าวถึงเป็น คานาไนท์ แล้วก็ผ่านบุตร ชายยาเฟท (บุตรชายโนอาห์) มาจากเมล็ดพันธุ์แห่งคนนิสัยสัตว์ (มนุษย์สัตว์ในการทรงสร้างวันที่ 6) กับผู้สืบสกุลของยาเฟทเป็นการกล่าวถึงในข้อความในพระคัมภีร์อย่างเช่นเจนไทล์
    ครั้งหนึ่งเมื่อได้มีชีวิตรอดปลอดภัยจากน้ำท่วม เพื่อออกจากเรืออาร์ก นก (จำพวกกามีขนสีดำเป็นมัน) เป็นตัวแรกที่ได้รับการปล่อยออกจากเรืออาร์ก สำหรับนกกาสีดำเป็นตัวแทนมารซาตานผู้ซึ่ง อีกครั้งหนึ่งถูกปล่อยกลับลงบนสู่โลก นกพิราบที่ถูกปล่อยออกมาเป็นอันดับที่สองจากเรืออาร์กเป็นตัวแทนการปล่อยของพระวิญญาณบริสุทธิ์กลับลงบนโลก และนี้คือพระองค์ผู้ซึ่งค้ำจุน ความสมดุลระหว่างความดีและความชั่วบนโลก จะไม่เป็นจนกระทั่งหลังจากการปล่อยของนกกาสีดำ และนกพิราบกลับสู่บนโลก โนอาห์และครอบครัวของเขาถูกอนุญาตให้ออกจากเรืออาร์ก คนหนึ่งควรจะสามารถเห็นโดยข้อความในพระคัมภีร์ว่าโลกพระเจ้าได้ทำลายโดยน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่เป็นความชั่วร้ายมาก แม้แต่มารซาตาน (ซึ่งเป็นตัวแทนของความชั่ว) ถูกนำออกไปจากโลกและนำเข้าไปในโลกใหม่โดยทางของเรืออาร์กของโนอาห์ ! NEXT
    เรื่องราวพระคำภีร์ไบเบิ้ล 44 เล่ม (39+5) ตอนที่ 1/30

    ปล. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กๆควรมีผู้ปกครองให้คำแนะนำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    The mating of ANGELS, a FORBIDDEN ACT!


    การจับคู่ผสมพันธุ์ของทูตสวรรค์ เป็นการกระทำต้องห้าม!


    [​IMG]

    ก่อนที่พวกเราจะเจาะลึกลงไปในเรื่องราวของโนอาห์ มีหลายสิ่งที่คุณต้องเข้าใจเกี่ยวกับทูตสวรรค์ โดยปราศจากความรู้เหล่านี้การอธิบายข้อพระคัมภีร์เรื่องราวของโนอาห์และครอบครัวของเขาอาจจะสับสนบ้าง
    อย่างที่เราได้ทำความเข้าใจในช่วงสั้นๆ เรื่องราวก่อนหน้าในหนังสือเล่มนี้ ทูตสวรรค์ในสวรรค์ไม่มีเพศ แต่อย่างไรก็ตาม มีการยกเว้นต่อกฏข้อบังคับนี้ มีเพียง ทูตสวรรค์ในสวรรค์ 5 ท่าน เป็นผู้ซึ่งมีเพศ ไม่นับรวมลูซิเฟอร์ด้วย ผู้ซึ่งเป็นทูตสวรรค์เพศชาย ทูตสวรรค์อื่นๆ ทั้งหมดของสวรรค์ไม่เป็นทั้งเพศชายหรือเพศหญิง แต่มีคุณลักษณะของทั้งสองเพศอยู่รวมกันทูตสวรรค์ ทั้ง 4 ท่านใน 5 ท่านเป็นผู้ที่มีเพศคือทูตสวรรค์ ซาเรล (Zarail) ชาเมียล (Chamuel) เอสาพท์ (Asaph) และยาเอล (Jael) ทูตสวรรค์ทั้ง 4 ท่านนี้เป็นเพศหญิงและพวกเขาเป็นทูตสวรรค์แห่งพันธสัญญา ผู้ซึ่งเป็นคู่ฝ่ายวิญญาณละภรรยาสำหรับ4 เสราฟิม
    ทูตสวรรค์ที่ 5 มีเพศเป็นทูตสวรรค์ RAPHAEL ราฟาเอล ผู้ซึ่งเป็นเพศชาย และ RAPHAEL ราฟาเอลเป็นทูตสวรรค์ของการรับใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทูตสวรรค์พันธสัญญาทั้ง 4เป็นเพศหญิง และมีเพียงราฟาเอลเท่านั้นเป็นเพศชาย ลูซิเฟอร์ (มารซาตาน) ผู้ซึ่งก่อนหน้าที่จะร่วงหล่นไปจากพระคุณของพระเจ้า ได้เคยดำรงตำแหน่งของราฟาเอล และอดีตนั้นเคยเป็นทูตสวรรค์ของการรับใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น ลูซิเฟอร์ยังมีเพศชาย เหมือนทูตสวรรค์ราฟาเอล
    เสราฟิม 4 ท่านทั้งหมด เป็นเพศชาย แต่เสราฟิมเป็นบุตรชายของพระเจ้าดำรงตำแหน่งสูงกว่าทูตสวรรค์ และไม่กล่าวอ้างในสวรรค์ เป็นเหมือนกับ ทูตสวรรค์ทั้งหลาย ถึงแม้ทูตสวรรค์ของการรับใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นมีเพศ แต่ได้ถวายตัวของเขาเองเพื่อการถือศีลบริสุทธิ์ถือครองการเป็นโสด (การละเว้นมีเพศสัมพันธ์)คล้ายคลึงกับขันทีกระทำปฏิญาณถือความเป็นโสดบริสุทธิ์ก่อนเข้าสู่ความเป็นปุโรหิต ทูตสวรรค์ของการรับใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์มีระดับตำแหน่งอาวุโสสูงสุดของบรรดาเหล่าทูตสวรรค์ ในสวรรค์และได้สาบานตัวของเขาเองเพื่อการครองตัวเป็นโสดโดยการทำสัตย์สาบานต่อพระเจ้า ลูซิเฟอร์ได้ทำลายฝ่าฝืนกฏโดยการผิดคำสัตย์สาบานตน ต่อพระเจ้าเนื่องจากได้มีประสบการณ์ทางเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง เอวา!
    เมื่อทูตสวรรค์ท่านหนึ่งลงมายังโลกเพื่อเป็นผู้หญิง (เช่นเดียวกันกับทูตสวรรค์แห่งพันธสัญญา) และในขณะที่บนโลกมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเสราฟิม ผู้ซึ่งยังได้ลงมายังโลกเพื่อเป็นมนุษย์ผู้ชาย ผู้สืบสกุลของพวกเขา (เชิ้อสายสืบทอดการเป็นบุตร) เป็นเรื่องปกติในการยอมรับเคารพด้วยกันทั้งหมด บุตรที่สืบเชื้อสายเหล่านี้ เมื่อพวกเขาได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มวัย จะมีการปรากฏเป็นผู้ชาย คนหนึ่ง หรือเป็น ผู้หญิง คนหนึ่ง ซึ่งขนาดของส่วนสูงนั้นจะปกติ (ขนาดความสูง) เพราะว่าการกระทำเหล่านี้ไม่ได้เป็นการกระทำต้องห้ามโดยพระเจ้า
    แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทูตสวรรค์ลงมายังโลกเพื่อเป็นผู้ชาย และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทูตสวรรค์ ท่านอื่น ผู้ซึ่งได้ลงมายังโลกเพื่อเป็นผู้หญิง แล้วผู้สืบสกุลเชื้อสายของพวกเขาจะผิดปกติ (ไม่เป็นที่ยอมรับ) ความผิดปกตินี้เกิดขึ้นสำหรับทูตสวรรค์ เพราะว่าการจับคู่ผสมพันธุ์ของทูตสวรรค์ พระเจ้าถือว่าเป็นการกระทำต้องห้าม ผู้สืบสกุล (เชื้อสายที่เป็นบุตร) ของสองทูตสวรรค์ที่มีการจับคู่ผสมพันธุ์จะมีขนาดความสูงใหญ่กว่าขนาดปกติ และคล้ายคลึงกับเป็นคนร่างยักษ์ สิ่งนี้อาจไม่เกิดขึ้นเสมอไปกับผู้สืบสกุลรุ่นแรกและอาจจะไม่เกิดขึ้นสำหรับรุ่นหลังถัดๆไป แต่จะเกิดขึ้นอย่างน้อยหนึ่งครั้งในผู้สืบสกุลทุกๆ รุ่นที่เจ็ดหรือเร็วกว่านั้น ของบุตรเชื้อสายทูตสวรรค์! นี่คือคำแช่งสาปที่พระเจ้าได้วางไว้ในการกระทำต้องห้ามนี้ของทูตสวรรค์ที่จับคู่ผสมพันธุ์กับทูตสวรรค์ท่านอื่น!
    [​IMG]
    คำแช่งสาปเดียวกันนี้จะประยุกต์ใช้ด้วย เมื่อ เสราฟิม มีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงธรรมดา ในขณะที่อยู่ในรูปร่างของเสราฟิมเมื่อตอนที่อยู่บนโลก เสราฟิม สามารถอยู่บนโลกในรูปแบบของมนุษย์ผู้ชายหรือพวกเขายังสามารถอยู่บนโลกในรูปแบบของเสราฟิม มีเพียงทูตสวรรค์พันธสัญญาและเสราฟิมสามารถเป็นคู่แต่งงานในสวรรค์ เมื่อเสราฟิม อยู่บนโลกเป็นเหมือนมนุษย์ ผู้ชาย คำแช่งสาปนี้ไม่ได้ประยุกต์ใช้ แต่อย่างไรก็ตาม คำแช่งสาปนี้กับทูตสวรรค์จะประยุกต์ใช้ได้เสมอ ไม่ว่าพวกเขาอยู่ในฟอร์มของผู้ชาย ผู้หญิง หรือในรูปร่างของทูตสวรรค์ ดังนั้นสิ่งที่กำลังกล่าวถึงนี้ นั่นคือทูตสวรรค์ต้องไม่เคยจับคู่กับทูตสวรรค์ท่านอื่นๆ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในรูปแบบของทูตสวรรค์หรือในรูปแบบของบุคคลของผู้สืบสกุลเชื้อสายของทูตสวรรค์
    บัดนี้ให้จดจำไว้ข้อมูลที่ผมพึ่งได้ให้คุณ ในส่วน(รื่องราวเกี่ยวกับของ ทูตสวรรค์ ให้เราไปต่อกับเรื่องราวของโนอาห์ หลังจากโนอาห์ออกจากเรืออาร์ก (ปัจจุบันหลักฐานทางประวัติศาสตร์อยู่ที่เทือกเขา อารารัต ประเทศตรุกี) และปักหลักตั้งถิ่นฐานสถานที่อยู่อาศัยในโลกใหม่ เขาจึงปลูกพืชทำไร่องุ่น วันหนึ่งหลังจากโนอาห์ได้ดื่มเหล้าองุ่นเต็มที่ เขาก็เมาและเหตุการณ์ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้น

    ปฐมกาล 9:20 โนอาห์ เริ่มเป็นชาวสวนและเขาทำสวนองุ่น9:21 ท่านได้ดื่มเหล้าองุ่นจนเมาและท่านก็เปลือยกายอยู่ในเต็นท์ของท่าน9:22 ฮาม บิดาของคานาอัน เห็นบิดาของตนเปลือยกายอยู่ จึงบอกพี่น้องทั้งสองคนของเขาที่อยู่ภายนอก9:23 เชมกับยาเฟทเอาผ้าผืนหนึ่งพาดบ่าของเขาทั้งสองคนเดินหันหลังเข้าไปปกปิดกายบิดาของพวกเขาที่เปลือยอยู่ และมิได้หันหน้าดูกายบิดาของพวกเขาที่เปลือยอยู่นั้น9:24 โนอาห์สร่างเมาแล้วจึงรู้ว่าบุตรชายสุดท้องของเขาได้ทำอะไรแก่ท่าน9:26 ท่านพูดว่า “คานาอันจงถูกสาปแช่ง และเขาจะเป็นทาสแห่งทาสทั้งหลายของพี่น้องของเขา”
    ตอนแรกให้สังเกตชำเลืองมองการปรากฏจากข้อความในพระคัมภีร์ว่า บุตรชายฮามได้เข้าไปในเต็นท์ของโนอาห์ และเห็นบิดาของเขา โนอาห์นอนเปลือย และนี่คือแน่นอนว่าเป็นแบบนั้น อย่างไรก็ตาม สิ่งนั้นมีความหมายลึกลงไป เป็นการกระทำที่ต้องห้ามข้อความบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ เมื่อบุตรชายไม่ปกคลุมร่างเปลือยกายของบิดาของเขา ซึ่งหมายความว่า เขาได้ทำให้เป็นมลทินเปรอะเปื้อนที่นอนของบิดาของเขา ให้เราพิจารณาทบทวนความหมายคำว่าเป็นมลทินอย่างที่อธิบายโดยโมเสสของเรื่อง “Uncovering your Father's Nakedness".ไม่ปกคลุมร่างเปลือยเปล่าของบิดาของเจ้านี้”
    เลวีนิติ 18:8 เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของบิดาเจ้าหรือกายที่เปลือยเปล่าของมารดาเจ้า นางเป็นมารดาของเจ้า เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของนางเลย
    พระราชบัญญัติ 22:30 ห้ามมิให้ผู้ชายคนใดเอาภรรยาของบิดามาเป็นภรรยาของตน และห้ามมิให้เปิดผ้าของนางผู้เป็นของบิดา 27:20ผู้ใดสมสู่กับภรรยาของบิดาตน เพราะเขาได้เปิดผ้าของนางผู้เป็นของบิดา ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง ให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า เอเมน
    สิ่งที่ซ่อนปิดบังความจริงวางอยู่ภายในข้อความในพระคัมภีร์ในปฐมกาล 9:20 ถึง 9:25 นั่นคือฮามข่มขืนมารดาของเขา สิ่งนี้อาจดูเหมือนผิดปกติว่า โนอาห์ และ ภรรยาของเขายังคงสามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศในวัยชราของเขาทั้งสอง โนอาห์ และ MEATERAH มีอาเทราห์ ในช่วงเวลาของเหตุการณ์นี้อายุแก่มากแล้ว ซึ่งโนอาห์อายุ 605ปี และมีอาเทราห์อายุ 585 ปี คนหนึ่งอาจจะคิดว่าพวกเขาแก่เกินกว่าที่จะมีสัมพันธ์ทางเพศ
    อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสองได้ปรากฎ (เหมือนอายุของคนในโลกทุกวันนี้) ประมาณ 35 - 40 ปี นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาทั้งสองยังคงรักษาบางอย่างของยีนส์ มิลลิเนียม (ยีนส์ โคโมโซมที่มีอายุยืนราว หนึ่งพันปี) จากบรรพบุรษของพวกเขา ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขาถึงมีอายุเสื่อมลงอย่างช้ามาก และการปรากฎเปลี่ยนแปลงน้อยมาก แม้แต่กับวัยชราของพวกเขา ตัวอย่างเช่น เมธูเสราห์เสียชีวิตเมื่ออายุ 969 ปี และพระเจ้าได้ตรัสบอกผมว่า แม้แต่ในช่วงเวลาของการตายของเขา เขามีลักษณะภายนอกปรากฏออกมาของคนอายุราว 45 ปีในอายุของมนุษย์ปัจจุบัน! อาจจะยังสังเกตจากข้อความในพระคัมภีร์ว่าบิดาของโนอาห์ ลาเมคอายุ 182 ปีที่เวลาของการกำเนิดโนอาห์ และลาเมคได้คิดว่า ณเวลานั้นยังเป็นเวลาค่อนข้างจะยังอ่อนเยาว์ ที่จะมีบุตรเมื่อเปรียบเทียบกับอายุของเขากับบรรพบุรุษของเขา
    อย่างที่ได้บอกคุณก่อนหน้านี้ในหนังสือเล่มนี้ MEATERAHมีอาเธราห์ ภรรยาของโนอาห์เป็นผู้หญิงของทูตสวรรค์ สำหรับเธอเป็น วิญญาณของยาเอล คุณยังได้รับรู้ถึงการบอกกล่าวก่อนหน้านี้ว่า ฮามเป็นเมล็ดพันธุ์ (เชื้อสาย) ของคาอิน และกับคาอินเป็นเมล็ดพันธุ์ (เชื้อสาย)ของลูซิเฟอร์ เขาเป็นผู้สืบสกุลของทูตสวรรค์ลูซิเฟอร์ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เราจะกล่าวต่อไป เข้าไปถึงเชื้อสาย (ผู้สืบสกุล) ของบุตรชาย 3 คนของโนอาห์ ที่ครอบคลุมในบทที่ 10 ของหนังสือปฐมกาล คุณจะเห็นว่าฮามได้บุตรชายชื่อ “คูช” โดยมารดาของเขา MEATERAH มีอาเธราห์ ขณะนี้ คูช บุตรชายของฮามเป็นของสัดส่วนของร่างกายปกติ (หมายความถึงขนาดของความสูงปกติธรรมดา) และคูชมีบุตรชาย 4 คนซึ่งยังเป็นในขนาดปกติ อย่างไรก็ตาม ต่อมาภายหลัง คูช มีบุตรชายคนที่ห้า เขาตั้งชื่อว่า “นิมโรดผู้ซึ่งเป็นบุตรของคำแช่งสาป !
    นิมโรดเป็นสัดส่วนของร่างกายที่สูงใหญ่มาก เหมือนคนร่างยักษ์ click และทั้งหมดของคนร่างยักษ์ทุกๆคนเป็นคนสูงมากมีความสูงระหว่าง 8 - 10 ฟุตคนร่างยักษ์ผู้ซึ่งถูกเรียกว่า Anakim อนาคิม” ต่อมาในข้อความพระคัมภีร์ ทั้งหมดมาจากเชื้อสายของนิมโรดเป็นคนร่างยักษ์ หนึ่งในคนร่างยักษ์นั้น คือ โกลิอัท สืบเชื้อสายของนิมโรด เขาเป็นคนร่างยักษ์ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางคนฟีลิเตียและถูกฆ่โดยดาวิดบุตรชายของเจสซี!
    เนื่องจากนิมโรดมีรูปร่างสูงใหญ่อย่างมาก มากกว่าผู้คนอื่นๆ ของแผ่นดิน นั่นเป็นสิ่งที่คนยินยอมให้เขามีอำนาจเหนือและปกครองพวกเขา โดยมอบอำนาจให้กับนิมโรด ที่จะสถาปนาตัวเขาเองในอาณาจักรดินแดนของ “Shi' -nar ชินาร์” ที่ภายหลังเรียกว่า “Babel บาเบล” ในอาณาจักรของบาเบล ผู้คนได้ดำเนินชีวิตหลงห่างไกลจากพระเจ้า ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขากระทำ พวกเขาได้ถวายเครื่องบูชาเกี่ยวกับมนุษย์ และนมัสการรูปเคารพแกะสลักของไม้และหิน แทนที่จะเป็น พระเจ้า เมื่อระยะเวลาหนึ่งนั้นมาถึงราชอาณาจักรของบาเบล ได้ตัดสินใจ ที่จะสร้างหอคอยอันยิ่งใหญ่ให้สูงไปถึงสวรรค์ โดยสิ่งนี้เป็นตัวแทนสำหรับคนที่อยู่ในหอบาเบลว่า พวกเขามีความสามารถที่จะไปถึง ปีนขึ้นสูงไปถึงสวรรค์ โดยการทำงานที่ทำด้วยมือทั้งสองของพวกเขาเองและการกระทำสิ่งนี้ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยอย่างมาก
    [​IMG]
    ครั้งหนึ่งเมื่อพระเจ้าทรงเห็นสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ได้กำลังกระทำการสร้างหอคอย เป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์เจ็บปวดพระทัยยิ่งนัก จากนั้นพระเจ้าจึงแตกภาษาพูดโดยทั่วไปในภาษาฮีบรูวาห์ของพวกเขาไปเป็นหลายภาษาเฉพาะกลุ่ม ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถสื่อสารเข้าใจกับอีกกลุ่มหนึ่ง ผู้คนของหอบาเบลจึงได้กระจัดกระจายออกในแต่ละเมืองของพวกเขาเอง และได้เดินทางไปจากไป
    ในกลุ่มเล็กๆ ที่พูดภาษาเดียวกัน กลุ่มคนเหล่านี้ออกไปในทุกทิศทาง กระจัดกระจายพวกเขาเองไปทั่วทุกหนแห่งทั่วโลก พวกเขาได้แตกกระจัดกระจายออกไป เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับกลุ่มคนอื่นๆได้อีกต่อไป เหมือนที่พวกเขาได้อาศัยอยู่ท่ามกลางหอบาเบลในสมัยก่อน
    หมายเหตุ:เผ่าพันธุ์ทั้งหมดของผู้คนที่คงอยู่ในโลกทุกวันนี้เป็นผลมาจากแตกแยกภาษาสื่อสารพื้นฐานโดยของพระเจ้า ในท้ายที่สุดร่างกายของมนุษย์ได้ปรับให้เข้ากับถิ่นฐานที่ตั้งใหม่ในโลก เมื่อระยะเวลาได้ผ่านไป และนี่เป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ของผู้คนในโลก เหตุผลว่าทำไมแต่ละเผ่าพันธุ์มีภาษาของเขาเอง!
    http://www.purifysoul.com/index.php...=39:-milk-for-new-believer-&Itemid=76&lang=th
    ปล. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กๆควรมีผู้ปกครองให้คำแนะนำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นิทานชาดก นกหัวขวานกับราชสีห์

    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวันเมืองราชคฤห์ ทรงปรารภความอกตัญญูของพระเทวทัต ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกหัวขวานอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีราชสีห์ตัวหนึ่งเที่ยวหากินอยู่ในบริเวณเดียวกัน วันหนึ่ง ราชสีห์กินเนื้อด้วยความมูมมามจึงทำให้กระดูกติดคอจนคอบวม มันไม่สามารถจับเหยื่อหากินได้นอนปวดร้าวทรมานอยู่ หลายวันต่อมานกหัวขวานบินเที่ยวหากินไปพบมันเข้าจึงจับกิ่งไม้ร้องถามไปว่า
    ” ท่านราชสีห์ ท่านนอนร้องครวญครางอยู่ เป็นอะไรหรือ ? ”
    ” กระดูกติดคอเรานะสิ เรานอนเจ็บปวดทรมานมาหลายวันแล้ว ช่วยเราด้วย ” มันร้องตอบ
    นกหัวขวานพูดว่า ” เราอยากจะช่วยท่านอยู่ แต่ไม่กล้าจะเข้าไปในปากท่าน กลัวท่านจะกินเรา” ราชสีห์อ้อนวอนว่า ” ท่านอย่ากลัวไปเลย เราไม่กินท่านดอก ช่วยเราด้วยนะ”
    นกหัวขวานใจอ่อนด้วยความกรุณาสงสารราชสีห์จึงรับคำช่วยเหลือ ให้ราชสีห์นอนตะแคงแล้วใช้ท่อนไม้ค้ำปากของมันให้อ้าปากไว้ เพื่อไม่ให้มันหุบปากได้ แล้วเข้าไปในปากราชสีห์ ใช้ปากจิกกระดูกให้เคลื่อนเข้าไปในท้องของมันแล้วจิกท่อนไม้ให้ล้มลง บินขึ้นไปจับบนกิ่งไม้ตามเดิม ทำให้ราชสีห์หมดทุกข์เที่ยวจับเหยื่อกินได้เป็นปกติ
    อีกหลายวันต่อมา นกหัวขวานบินหากินไปพบราชสีห์กำลังนอนแทะเนื้ออยู่ คิดจะทดสอบจิตใจของราชสีห์ จึงจับบนกิ่งไม้เหนือราชสีห์นั้นแล้วพูดว่า ” ท่านจอมแห่งไพร ขอแสดงความเคารพ เราเคยได้ช่วยเหลือท่านอย่างหนึ่ง แล้วท่านจะมีอะไรตอบแทนกันบ้างหนอ”
    ราชสีห์ตอบว่า ” เจ้านกหัวขวานเอ๋ย ในวันนั้น ขณะที่เจ้าอยู่ในปากของเรา เจ้าเอาชีวิตรอดออกมาได้ก็นับว่าเป็นบุญของเจ้าแล้วละ เจ้าจะเอาอะไรอีก ”
    นกหัวขวานได้ฟังเช่นนั้นแล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
    ” ผู้ไม่รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นทำแล้ว ผู้ที่ไม่เคยทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ใคร
    ผู้ที่ไม่ตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำให้แล้ว
    น่าตำหนิ ความกตัญญูไม่มีในผู้ใด การคบหาผู้นั้น ก็ไร้ประโยชน์ .
    แม้อุปการคุณที่กระทำต่อหน้า มิตรธรรมยังหาไม่ได้ในบุคคลใด
    บัณฑิตไม่ริษยา ไม่ด่าบุคคลนั้น พึงค่อย ๆ หลีกห่างออกจากบุคคลนั้นไปเสีย ”
    กล่าวจบก็บินหนีเข้าป่าไป
    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล
    ผู้ไม่รู้บุญคุณที่เขาทำไว้แล้ว ไม่ควรคบสมาคมด้วย

    <H2>นิทานชาดก – ลิงเจ้าปัญญา


    </H2>
    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ทรงปรารภพระเทวทัต ผู้พยายามปลงพระชนม์พระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาลิงมีรูปร่างใหญ่โตสวยงาม มีพละกำลังเท่าช้าง อาศัยอยู่ที่ราวป่า คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่ง ในแม่น้ำนั้นมีจระเข้สองผัวเมียอาศัยอยู่ วันหนึ่ง จระเข้ตัวเมียเห็นร่างกายของพญาลิงแล้วเกิดแพ้ท้องอยากกินหัวใจลิงตัวนั้น
    “พี่ช่วยนำมันมาให้น้องหน่อยนะจ๊ะ”
    สามีพูดว่า “น้องจ๋าเราเป็นสัตว์ในน้ำ ลิงเป็นสัตว์บนบก พี่จะจับลิงได้อย่างไรละจ๊ะ”
    เมียพูดด้วยความน้อยในว่า “พี่ต้องหาวิธีจับมันมาให้ได้ มิเช่นนั้นน้องขอตายดีกว่า”
    สามีจึงพูดปลอบใจว่า “น้องจ๋า อย่างเพิ่งตายเลยจ๊ะ พี่จะไปจับมันมาเดี๋ยวนี้ละจ๊ะ”
    ว่าแล้วก็ไปหาพญาลิงที่กำลังลงมาดื่มน้ำที่ฝั่งพอดี ร้องถามขึ้นว่า “ท่านลิง ท่านกินแต่กล้วยที่ฝั่งนี้ไม่เบื่อรึไง ไม่คิดอยากจะข้ามไปกินผลไม้ฝั่งโน้นบ้างหรือ”
    ลิงตอบว่า “ท่านจระเข้ แม่น้ำนี้กว้างใหญ่ไพศาล เราจะข้ามไปได้อย่างไร”
    จระเข้ ได้ทีจึงเสนอตัวว่า “ถ้าท่านจะไปจริง ๆ ก็ขึ้นบนหลังของเราไปก็ได้ เราอาสาจะไปส่ง”
    ลิงเชื่อคำพูดของมันจึงได้กระโดดขึ้นบนหลังจระเข้ไป
    จระเข้พอพาลิงไปถึงกลางแม่น้ำก็มุดลงดำน้ำ ลิงร้องถามว่า “ท่านแกล้งเรา จะให้เราจมน้ำตายรึไง”
    จระเข้ตอบว่า “เรามิได้คิดอาสาจะพาท่านไปฝั่งโน้นจริง ๆ หรอก เมียเราแพ้ท้องอยากกินหัวใจท่าน เราจะพาท่านไปให้เมียเรากินต่างหาก”
    ลิงพูดขึ้นด้วยเล่ห์ว่า “เพื่อนเอ๋ย ท่านบอกมาก็ดีแล้ว หากหัวใจอยู่ในท้องเราเมื่อกระโดดไปมาบนต้นไม้ หัวใจเราก็แหลกหมดนะสิ หัวใจไม่ได้อยู่กับเรา”
    จระเข้หลงกลถามไปว่า “แล้วท่านเอาหัวใจไปไว้ที่ไหนละ”
    ลิงจึงชี้ไปที่ต้นมะเดื่อต้นหนึ่งที่ไม่ไกลนักมีผลสุกเป็นพวงอยู่ พร้อมกับพูดว่า “นั่นไง หัวใจของเราแขวนอยู่ที่ต้นมะเดื่อนั่นไง”
    จระเข้พูดว่า “หากท่านให้หัวใจแก่เรา เราจะไม่ฆ่าท่าน”
    ลิงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านพาเราไปที่นั้นสิ เราจะให้หัวใจแก่ท่าน”
    จระเข้จึงพาลิงไปส่งที่ต้นมะเดื่อนั้น ลิงกระโดดขึ้นต้นมะเดื่อไปแล้ว พร้อมกับพูดว่า
    “เจ้าจระเข้หน้าโง่ หัวใจสัตว์ตัวไหนจะอยู่บนยอดไม้ เจ้าใหญ่แต่ตัวเสียเปล่า หามีปัญญาไม่” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
    “เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลหว้า และผลขนุนที่ท่านเห็นฝั่งสมุทรโน้น ผลมะเดื่อของเราต้นนี้ดีกว่าร่างกายของท่านใหญ่โตเสียเปล่าแต่ปัญญาไม่สมกับ ร่างกายเลย จระเข้..ถูกเราลวงแล้วนัดนี้เจ้าจงไปตามสบายเถิด”
    จระเข้พอทราบว่าหลงกลลิงแล้วก็เป็นทุกข์เสียใจซึมเซาเหมือนกับเสียพนัน มุดกลับยังถิ่นที่อยู่ของตนตามเดิม
    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด รู้จักใช้ปัญญาเอาชีวิตรอดมาได้เป็นยอดดี


    กากินน้ำทะเล
    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระอุปนันทเถระผู้ไม่รู้จักพอแล้วเที่ยวสอนภิกษุอื่นให้รู้จักพอ จึงตรัสพระคาถาว่า
    ” บุคคลควรตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน แล้วพึงสั่งสอนผู้อื่นในภายหลัง
    บัณฑิตจะไม่พึงเศร้าหมอง ”
    แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเทวดารักษาสมุทร สมัยนั้นมีกาน้ำตัวหนึ่งบินเที่ยวหากินอยู่ในมหาสมุทรนั้นมักร้องห้ามฝูงนก ฝูงปลาว่า
    ” ท่านทั้งหลาย จงดื่มกินน้ำทะเลเพียงเล็กน้อยนะ ช่วยกันประหยัดน้ำทะเลด้วย ”
    เทวดาเห็นพฤติกรรมของมันแล้วจึงถามไปว่า
    ” ใครนะ ช่างบินวนเวียนอยู่แถวนี้ เที่ยวร้องห้ามฝูงนกฝูงปลาอยู่ ท่านจะไปเดือดร้อนอะไรกับน้ำทะเลด้วยละ ”
    มันจึงตอบว่า ” ข้าพเจ้าคือกาผู้ไม่รู้จักอิ่ม ปรารถนาจะดื่มน้ำทะเลผู้เดียว กลัวว่าน้ำทะเลจะหมดก่อน จึงต้องร้องห้ามอย่างนั้น ”
    เทวดาได้ฟังเช่นนั้นจึงกล่าวเป็นคาถาว่า
    ” ทะเลใหญ่นี้จะลดลงหรือเต็มอยู่ก็ตามที
    ที่สุดของน้ำแห่งทะเลใหญ่นั้นที่บุคคลดื่มแล้ว ใคร ๆ ก็รู้ไม่ได้
    ทราบว่า สาครอันใคร ๆ ไม่อาจดื่มให้หมดสิ้นไปได้ ”
    ว่าแล้วก็แปลงร่างเป็นรูปที่น่ากลัวขับไล่กาน้ำนั้นให้หนีไป
    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    อย่าไปพะวงอะไรกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะจะทำให้จิตฟุ้งซ่านไปเปล่า ๆ

    คนชั่วสรรเสริญกันเอง
    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตกับพระโกกาลิกะต่างสรรเสริญกันเอง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาประจำอยู่ที่ต้นละหุ่ง ในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง วันหนึ่งมีโคแก่ตัวหนึ่งในบ้านนั้นได้ตายลง เจ้าของบ้านได้ลากซากศพมันไปทิ้งเป็นอาหารสัตว์ไว้ที่ข้างต้นละหุ่งนั้น ต่อมาไม่นานมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมาแทะกินเนื้อโคนั้นอยู่ และมีกาตัวหนึ่งบินมาจับที่ต้นละหุ่งนั้น ด้วยหวังจะกินเนื้อโคนั้นเช่นกัน จึงพูดยกย่องสุนัขจิ้งจอกขึ้นว่า ” ท่านพญาเนื้อ ผู้มีร่างกายเหมือนโคถึก มีความองอาจดังราชสีห์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแก่ท่าน ทำอย่างไร ข้าพเจ้าจักได้อาหารสักหน่อยหนึ่ง ”
    สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำยกย่องนั้นแล้วชื่นใจพูดตอบว่า ” กุลบุตรย่อมสรรเสริญกุลบุตรด้วยกัน ท่านกาผู้มีสร้อยคองามเด่นเช่นนกยูง เชิญท่านลงมาจากต้นละหุ่ง มากินเนื้อให้สบายใจเถิด”
    รุกขเทวดาเห็นกากับสุนัขจิ้งจอกกล่าวยกย่องกันตามที่ไม่เป็นจริง จึงกล่าวคาถาว่า
    ” บรรดามฤคชาติทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เลวที่สุด
    บรรดาปักษีทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ที่เลวที่สุด
    และบรรดารุกขชาติทั้งหลาย ต้นละหุ่งเป็นต้นไม้ที่เลวที่สุด
    ที่สุด ๓ อย่าง มาประจวบกันเข้าแล้ว ”
    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    คนเลวยกย่องกันเอง ชื่อเสียงมักไม่ปรากฏ
    คนดียกย่องคนดีเหมือนกัน ชื่อเสียงย่อมปรากฏ

    บุญที่ให้ทานแก่ปลา
    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพ่อค้าโกงชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายของพ่อค้าตระกูลหนึ่งในเมืองพาราณสี มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้วสองพี่น้องได้ปรึกษาหารือกันเรื่องบริหารกิจการค้า ขาย ตกลงกันเดินทางไปสะสางบัญชีการค้าที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้เงินพันหนึ่งแล้วก็เดินทางกลับมานั่งกินข้าวห่อรอเรือข้ามฟากที่ริมฝั่ง แม่น้ำคงคา
    หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ให้อาหารที่เหลือแก่ปลาในแม่น้ำแล้วอุทิศส่วนบุญกุศลให้สรรพ สัตว์รวมถึงเทวดาที่แม่น้ำนั้นด้วย เทวดาพออนุโมทนารับส่วนบุญเท่านั้น ก็เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยลาภยศอันเป็นทิพย์ เมื่อให้อาหารปลาหมดแล้วเขาก็ลาดผ้าบนหาดทรายล้มตัวลงนอนหลับไป ส่วนน้องชายของเขามีนิสัยเป็นหัวขโมยมาตั้งแต่เด็ก นั่งคิดวางแผนฉกเอาทรัพย์จึงห่อก้อนหินขึ้นห่อหนึ่งขนาดเท่ากับถุงห่อเงิน นั้น
    เมื่อเรือข้ามฟากมาถึง เขาก็ปลุกพี่ชายแล้วถือถุงสองถุงขึ้นเรือไปก่อน เมื่อเรือไปถึงกลางแม่น้ำ เขาก็ทำให้เรือโครงเครงทำทีเป็นเสียหลักโยนถุงหนึ่งลงน้ำไปพร้อมกับพูดขึ้น ว่า
    ” พี่ ถุงห่อเงินตกน้ำไปแล้ว เราจะทำอย่างไรละทีนี้ ”
    ” เมื่อมันตกน้ำไปแล้วก็ช่างมันเถอะ อย่าคิดถึงมันเลยหาเอาใหม่ได้มากกว่านี้ ” พี่ชายตอบ
    เทวดาประจำแม่น้ำคงคาเห็นเหตุการณ์นั้นตลอดจึงบันดาลให้ปลาปากกว้างตัว หนึ่งมากลืนกินถุงเงินนั้นไป ฝ่ายน้องชายเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็รีบแก้ถุงเงินอีกถุงหนึ่งออกดูด้วยความ กระหยิ่มใจ แต่พอแก้ห่อดูกลับเป็นถุงห่อก้อนหินจึงได้แต่นั่งคร่ำครวญเสียใจอยู่คนเดียว ที่หลงทิ้งถุงห่อเงินลงน้ำไป ฝ่ายพี่ชายก็กลับไปบ้านของตนโดยไม่คิดอะไร
    หลายวันต่อมา พวกชาวประมงไปหาปลาจับได้ปลาปากกว้างตัวนั้น จึงเที่ยวเดินขายปลาอยู่ว่า
    ” ปลาสดๆ จ้า ตัวนี้ขายตัวละ ๑,๗๐๐ บาท สนไหมครับ ”
    ชาวบ้านพากันหัวเราะเยาะว่า ” ปลาอะไรจะแพงขนาดนั้นละ ” จึงไม่มีใครซื้อไป พวกเขาเดินขายไปจนถึงประตูร้านบ้านของพระโพธิสัตว์ได้ร้องขายปลาอยู่หน้า ร้านนั้น
    พระโพธิสัตว์เดินออกมาดูปลา สนใจปลาปากกว้างตัวนั้นจึงถามราคาว่า
    ” ปลาตัวนี้ราคาเท่าไหร่จ้ะ ”
    ” ผมขายให้ ๒๘ บาทละกันครับ ” ชาวประมงตอบ
    เขาจึงซื้อปลาตัวนั้นไปมอบให้ภรรยาปรุงอาหาร พอภรรยาผ่าท้องปลาเท่านั้นก็พบถุงเงินจึงมอบให้เขา เขาเปิดดูเห็นตราประทับห่อของตนก็จำได้ จึงนั่งคิดแปลกใจอยู่คนเดียวว่า
    ” แปลกจัง ชาวประมงร้องขายปลาให้คนอื่น ๑,๗๐๐ บาท แต่ขายให้เราเพียง ๒๘ บาท เราได้เงินคืนมาเพราะอะไรหนอ ”
    ขณะนั้น เทวดาได้ปรากฏร่างยืนอยู่ในอากาศพูดว่า
    ” เราเป็นเทวดาประจำแม่น้ำคงคา ท่านให้อาหารปลาวันนั้นแล้วอุทิศส่วนบุญแก่เรา เราจึงขอมอบทรัพย์แก่ท่านคืน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแผนการณ์ของน้องชายท่านเอง ชื่อว่าความเจริญย่อมไม่เกิดแก่คนผู้มีจิตคิดร้ายผู้อื่น ”
    แล้วได้กล่าวคาถาว่า
    ” ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของพี่น้องและของพ่อแม่
    ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้มีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่นับถือเขา ”
    กล่าวคาถาจบก็หายร่างไป
    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    ผลบุญกุศลช่วยให้ผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายได้รับของคืน แม้เทวดาก็สรรเสริญยกย่อง

    วิธีการหลอกลวง
    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุลูกศิษย์ของพระสารีบุตรผู้ถามถึงวิธีการได้ลาภสักการะด้วยการ หลอกลวง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มีลูกศิษย์อยู่ประมาณ ๕๐๐ คน ตั้งสำนักเรียนอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง วันหนึ่งมีลูกศิษย์คนหนึ่งเข้าไปถามถึงวิธีได้เงินทองว่า ” อาจารย์ครับ ผมเรียนใกล้จะจบแล้ว ผมอยากทราบว่าชาวโลกเขา มีวิธีการหลอกลวงให้ได้เงินทองโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างไรครับ ” อาจารย์ตอบว่า ” ฟังนะเธอ ชาวโลกเขามีวิธีการหลอกลวงให้ได้เงินทองโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเลย อยู่ ๔ วิธี คือ
    “ไม่ใช่คนบ้าทำเป็นเหมือนคนบ้า ไม่ใช่คนพูดส่อเสียดทำเป็นเหมือนคนพูดส่อเสียด
    ไม่ใช่นักฟ้อนรำทำเป็นเหมือนนักฟ้อนรำ ไม่ใช่คนพูดพล่อยทำเป็นเหมือนคนพูดพล่อย
    ย่อมได้เงินทองจากคนผู้หลงงมงาย นี่เป็นคำสอนสำหรับเธอ ”
    ” มันมีความหมายว่าอย่างไรครับ อาจารย์ช่วยอธิบายให้ทราบด้วยครับ ” ลูกศิษย์ซักไซ้ต่อ อาจารย์จึงอธิบายให้ฟังว่า ” คนบ้า ผู้คนมักจะไม่ถือโทษโกรธเคือง เขาจะหยิบฉวยอะไรไปก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร ขนม หรือเงินทอง คนที่ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่กลัวนรก มีความโกรธ ถูกตัณหาครอบงำ ย่อมทำกรรมชั่วทุกอย่าง ได้เช่นกันกับคนบ้า เขาจะแสวงหาเงินทองมาด้วยวิธีการแบบคนบ้า
    คนพูดส่อเสียด ย่อมสามารถพูดคำไม่เป็นจริงให้เป็นจริงได้ สามารถใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นให้เสียหายได้ ฉะนั้น ผู้ต้องการเงินทองก็ต้องรู้จักพูดส่อเสียด
    นักฟ้อนรำ ย่อมไม่มีหิริโอตตัปปะ ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ทรัพย์มา ฉะนั้น ผู้ต้องการเงินทองก็ต้องเป็นเหมือนนักฟ้อนรำ
    คนพูดพล่อย ย่อมทำตัวเป็นคนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างว่าใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ผู้คนกลัวคนผู้นี้จะประจานจึงมอบทรัพย์ให้เขาเพื่อปิดปาก ทรัพย์จำนวนมากจึงเกิดขึ้นแก่เขา ฉะนั้น ผู้ต้องการเงินทอง จึงต้องรู้จักเป็นคนพูดพล่อย ”
    ลูกศิษย์ได้ฟังแล้วจึงพูดตำหนิวิธีการหลอกลวงให้ได้ลาภมาโดยไม่คำนึงถึง คุณธรรมว่า ” อาจารย์ครับ ถ้าเป้นเช่นนี้การออกบวชจะประเสริฐกว่าการแสวงหาลาภโดยไม่มีคุณธรรมเลย ” ว่าแล้วจึงตัดสินใจออกบวชเป็นฤาษี บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าจนตราบเท่าชีวิต
    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    วิธีการหลอกลวงของผู้คนในโลกนี้มีอยู่ ๔ วิธีหลัก ให้พึงระวังเข้าไว้

    http://xn--12cr4akjb8ocn.whitemedia.org/
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    กลาย เป็น คริสต์ไปแล้ว

    นี่แหละ เขาเรียกว่า จลศรัทธา ยังคลอนง่อนแง่น

    ยังมี สีลพตรปรามาส ยังจับหลักจับเกรฑ์ไม่ถูก

    ยังมี วิจิกิจฉา คือ ยังไม่รู้ว่า จะเอายังไงกับชีวิต ยังสงสัย ยังลังเล กับ ตัวเอง


    ทีนี้ คนทั่วไป จะมีก็ไม่แปลก แต่ เราต้องอย่าตามความคิดตัวเอง ให้ตามพระศาสดา โดยเอาศรัทธา นำไป เขาให้ทำอย่างไรก็ทำไป ไม่ใช่ว่า พอทำไม่ได้เรื่องได้ราว แล้วเปลี่ยน
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไปอ่านมาแล้ว เท่าที่อาเหล่ายายคิดเองเออเองนะ
    วิถีที่ผิดแปลกไปจากการกระทำความดี ไม่มีคุณธรรม ผิดศีลธรรม
    มุ่งขยายอาณาจักรแบบเพี้ยนๆ ที่ดูแล้วผิดวิสัยของผู้มีจิตใจที่บริสุทธิ์เนี่ย
    ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เอาพระคริสต์บังหน้าแต่ใจฝักใฝ่ในซาตาน นะ
    แบบว่ามีความเชื่อที่ผิดหลักคนชอบธรรม ผิดหลักคนมีธรรม มีแต่กิเลสนำ
    มุ่งขยายอาณาจักรโดยการเบียดเบียน โจมตี บ่อนทำลายผู้อื่นเนี่ย
    ก็เป็นวิสัยของมาร ปีศาจคาบคัมภีร์ อะแหละ ไม่ดีทั้งนั้น
    มันก็ไม่ได้บ่อนทำลายศาสนาอื่นอย่างเดียวนะ แต่บ่อนทำลายศาสนาตัวเองด้วย
    เพราะคนที่มีคุณธรรมความดีโดยเนื้อแท้ โดยจิตใจที่บริสุทธิ์จริงๆ น่ะ
    เขาทำความชั่วช้าเลวทรามไม่ลงหรอก ที่แต่คนเลว สาวกมาร สาวกซาตาน
    เท่านั้นที่ทำได้ แล้วคนดีๆเขาก็จะออกจากศาสนาของผู้นำที่เลวๆนั้นๆไปเอง

    วาติกันคาทอริคเองก็โดนพวกเดียวกันโจมตีเหมือนกันนะ
    มีบางกลุ่มปฏิรูปศาสนาแยกตัวออกมาเป็นนิกายโปรแตสแตนท์ ก็มี
    ถือคัมภีร์เล่มเดียวกัน แต่ตีความและดำเนินหลักปฏิบัติต่างกัน รวมถึงความเชื่อต่างกันไปอีกด้วย
    จริงๆก็เข้าข่าย บิดเบือนหลักธรรมคำสอนไปตามใจของผู้นำของศาสนานั้นแหละ
    ส่วนใครจะตีความถูกหรือผิด ก็ดูที่วัตรปฏิบัติและเจตนารมณ์ วิธีการที่เขาใช้
    การจะดูว่าดีหรือชั่ว มีธรรมหรือไม่มีธรรม รวมถึงคุณธรรมต่างๆ
    ก็ดูไม่ยากหรอก จะนำคนไปสู่นรกหรือสู่สวรรค์ คนที่ศึกษาธรรมย่อมรู้แก่ใจ
    ตัดสินได้ไม่ยาก การนำศาสนามามอมเมาผู้คนให้คนหลงเชื่อและยอมทำตาม
    ก็มีในทุกศาสนาแหละนะ ศาสนาพุทธเราเองก็มี เพราะเหลือบมันมีทุกวงการ
    และศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ทำถูกตามที่พระศาสดาสอนก็มี
    ที่ทำผิดก็มาก มีแต่คนหลงไปทำกรรมอะ น่ากลัวที่สุด เดินหน้าทำบาปกรรม
    เพื่ออำนาจบารมีของตัวเอง เพื่อความเชื่อของตัวเองแต่กลับคิดว่าทำเพื่อพระ
    ศาสดาของตัวเองซะงั้น หลงขนาดหนัก

    ถ้าผู้นำศาสนาไหนนำคนไปผิดทาง คนที่รู้ทันเขาก็จะตีตัวออกห่างไปเอง
    ศาสนานั้นๆก็จะเสื่อมลงไปตามกรรมที่ทำนั้นแหละ เวรกรรมมีจริงอยู่แล้ว
    ใครทำกรรมไว้กับศาสนาของตัวเอง ก็จะถูกลงโทษหนักด้วยผลของกรรมนั้น
    ศาสนาพุทธของพวกเรา จะรอดพ้นหายนะได้หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ศาสนาอื่นเขา
    จะทำอะไรกับเราอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่คนในศาสนาพุทธรู้แจ้งเห็นจริง ตีความ
    คำสอนและดำเนินชีวิตได้ถูกตามหลักธรรมของพระพุทธองค์ด้วยหรือไม่
    ถ้าคนพุทธเองหลงทางมันก็เสื่อมลงแน่นอนอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับศาสนาอื่น
    เขาจะมารุกล้ำอธิปไตยทางศาสนาหรือไม่ สนิมที่เกิดจากเนื้อในตนมันลามเร็ว
    และเสื่อมเร็วกว่าสนิมจากภายนอกเยอะ

    ที่อาเหล่ยายเห็นอะนะ พฤติกรรมคนพุทธบางหมู่เหล่า ที่เห็นผิดเป็นชอบ
    ทำลายโจมตีเอง ด้วยความคิดความเชื่อที่เต็มไปด้วยอกุศลจิต ทำให้ชาวพุทธ
    ด้วยกันเองเบื่อหน่ายขี้เกียจอ่าน ขี้เกียจรู้ ก็เป็นเรื่องที่สร้างหายนะให้กับพุทธ
    ศาสนาไม่น้อยกว่าเรื่องอื่นเหมือนกัน

    คนพุทธเองที่นิยมวิชาคลุมเครือกล่าวร้าย ไม่ใช้วิธีทำให้แจ่มแจ้งนั่นแหละ
    คือคนที่ทำลายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตัวจริง
    วิธีที่ทำให้แจ้ง ก็มีเยอะแยะ นำเข้ากระบวนยุติธรรมของสงฆ์
    เอาพยานหลักฐานที่มีอยู่จริงฟ้องร้องให้เป็นเรื่องราว
    ไม่พูดเรื่องที่ได้ยินต่อๆกันมา พูดเฉพาะเรื่องจริงที่รู้แน่แก่ใจสัมผัสความจริงนั้นๆมาด้วยตนเองเท่านั้น
    หรือพระด้วยกันเห็นว่าไม่ถูกต้องตรงไหน ก็เดินหน้าไปเผชิญตัวจริงเสียงจริง
    เอาให้รู้แจ้งเห็นจริง ดีกว่ามาพูดทางนี้ทีหนึ่ง ทางโน้นทีหนึ่ง
    หรือดิสเครดิตกันต่างๆนาๆ ไม่ใช่แต่ชาวพุทธด้วยกันที่เสียใจ หดหู่ใจ สลดใจ
    ในการกระทำแบบนี้นะ คนที่ไม่ประสงค์ดีต่อพระพุทธศาสนาก็คงดีใจ
    ไม่ต้องทำลงมือทำอะไร ปล่อยให้คนพุทธทำร้ายกันเองไป
    เป็นที่อับอายขายหน้าเขาอีก แค่นี้เขาก็เสื่อมศรัทธาพุทธแบบเราๆนี้แล้ว
    วันๆเอาแต่ทะเลาะเบาะแว้ง ฉันรู้จริงกว่า ฝ่ายนี้ถูก ฝ่ายโน้นคลาดเคลื่อน
    คนที่มันพูดแบบนี้แปลว่าต้องรู้แจ้งเข้าขั้นพระอริยะแล้วชัวร์ๆถึงกล้าพูดได้
    เต็มปากเต็มคำว่า ฉันถูก เธอผิด

    คนที่ยึดคัมภีร์ไว้ ก็ใช่ว่าจะเข้าใจถูกได้ตามจริง
    เพราะหลวงปู่มั่นยังสอนไว้ พระธรรมเมื่อเข้าสู่ใจปุถุชนก็กลายเป็นพระสัทธรรมปฏิรูป
    คำสอนหลวงปู่มั่นนี้ อาเหล่ายายกล้ารับประกันเลยว่า
    หาคนเข้าใจจริงได้ยาก เพราะยังมีคนพูดตามคัมภีร์ยึดตามคัมภีร์แล้วกล่าวว่า
    นั่นคือถูก แต่ไม่เข้าใจว่าบัญญัติตามคัมภีร์นั้น มันดิ้นได้ตามใจคน
    คัมภีร์บทหนึ่งปุถุชน2คนอ่านก็เกิดเป็น2ความหมาย กลายเป็น 2 คนยลตามช่อง
    ในใจของ2คนก็เกิดเป็นพระสัทธรรมปฏิรูปไปแล้ว 2 ความหมาย
    แต่ถ้าเป็นผู้รู้จริงไม่บิดเบือน ย่อมเข้าใจความหมายได้ตรงกัน
    ผู้รู้จริงรู้แจ้งอริยสัจแล้วเท่านั้น ถึงจะเข้าใจได้ตรงความหมายไม่บิดเบือน
    แต่ก็อีกเท่าที่เห็นที่เถียงกันไปมา ก็พวกที่ยึดว่าฉันรู้ถูกแล้วเท่านั้น
    คนที่รู้ตัวว่าไม่รู้ เขาก็ไม่เถียงกับใคร เพราะรู้ว่าไม่รู้ มันก็จบ เถียงไปก็มีแต่ไม่รู้
    เถียงกับไม่รู้ พวกที่เถียงๆกันไม่ยอมจบซักทีเนี่ย อาเหล่ายายฟันธงเลยมีแต่
    ไม่รู้ว่าไม่รู้ ทั้งนั้นแหละ ปักใจเชื่อในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูกว่าจริงแล้วเท่านั้น
    ไม่พ้นเป็นเหยื่อของอวิชชาซักคน

    เหนื่อย !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลุงๆๆๆ
    กลับมาก่อน
    ไปถึงไหนล่ะนั่น
    ระวังความคิดของตัวเองให้ดี เถอะ
    คิดเอง เออเอง ไปตัดสินเรื่องของคนอื่น ไปใส่ความคนอื่น
    มันเป็นบาปนะลุง พูดเรื่องมุสา โดยที่ไม่รู้จริง เดี๋ยวคุณธรรมก็เสื่อมเร็วหรอก
    ขาดสติ อยู่เรื่อย นะลุง

    ทำเป็นรู้ดีอีก ว่าใครทำได้ ใครทำไม่ได้ มีเจโตฯ มีอนาคตังฯ หรือไงลุง
    ถึงได้รู้ดีในเรื่องของคนอื่น ขนาดนั้น มั่วไม่รู้ว่ามั่ว นะลุง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010
  18. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    [​IMG]
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ข้อดีของการไปอ่านเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลก็คือ
    เมื่อก่อนเวลาเราอ่านเรื่องเล่าในชาดก แล้วเจอเรื่องของ ยักษ์มั่ง เทวดามั่ง
    เรื่องสัตว์พูดภาษาเดียวกับคนได้มั่ง เราก็ตะขิดตะขวงใจนะ ว่ามันจะมีแบบนี้ด้วยหรือ
    เพราะเรายึดมั่นอยู่ในเรื่องราวที่เรารู้ในปัจจุบัน แล้วใช้ตัดสินทุกเรื่องที่เราไปรู้
    บางที่เราก็ตัดสินผิด เพราะเรื่องที่มันไม่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้แปลว่ามันไม่เคยมีอยู่ในโลก
    บางเรื่องที่ปัจจุบันมันไม่มี แต่ในอดีตมันจะมีจริงๆก็ได้ มันทำให้เรารู้ว่า ในทุกๆเรื่อง
    อย่าไปตัดสินว่ามันมีจริงหรือไม่มีจริง มันถูก หรือมันผิด เพราะเราไม่รู้อะไรเลย
    เรารู้ได้แค่เรื่องในปัจจุบันเท่านั้น ดังนั้นเรื่องราวต่างๆที่เราไปอ่านไปรู้ อันไหนที่เป็น
    เรื่องเกินคาดหมาย เกินกว่าที่เราเข้าใจ เราก็แค่รู้ ไม่จำเป็นต้องไปเชื่อหรือไม่เชื่อ
    ก็แค่เป็นความรู้เพื่อรู้รอบไว้เฉยๆ รู้เอาเพลิน เอาสนุก อันไหนเป็นข้อคิดข้อธรรมดีดี
    ก็เอาไปใช้ในการดำเนินชีวิต อันไหนมันพิศดารมากไม่เกี่ยวกับการขัดเกลาจิตใจ
    หรือไม่มีประโยชน์ก็แค่รู้ไว้ประเทืองปัญญาว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่ในโลกด้วยนะ
    เผื่อวันหนึ่งเราเจอเรื่องราวคล้ายในนิทานชาดก หรือตำนานเรื่องเล่าต่างๆ มันมาเกิดขึ้น
    จริงในชีวิตเรา เราก็ยังมีข้อมูลความรู้ที่เคยรู้เอามาเปรียบเทียบและตัดสินใจได้ถูก
    ว่าเรื่องมันเคยมีมาแบบนี้ ก็หลีกเลี่ยงได้ถูกกาลเทศะ ดีกว่าคนไม่รู้อะไรเลย
    ไม่เคยเปิดใจรับรู้ความจริง ความลวง ของโลก ก็จะขาดปัญญาทำให้ถูกหลอกลวงได้ง่าย
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    [​IMG] ......[​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...