นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    ปล.สันดานเราอะนะ ไม่สวยแต่หยิ่ง และแก่ง่าย ตายยาก พูดมาก เข้าใจได้ยาก
    แถมด้วยกินจุ ดุยังกะหมา

    นี่แหละ น่ากลัวสุดๆ ผู้หญิงน่ากลัวก็ตรงนี้แหละ เผลอๆดุกว่าแม่เราอีก 555
    ภูมิใจมีแม่สองคน จู้ ฮุก กรู
     
  2. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    คุณนี่ คิดมาก
    ขอบคุณมากนะ

    คุณเป็นกัลยาณมิตร จริง ๆ
    ถึงแม้จะคนละอุดมการณ์ก็เถอะ

    ขอบคุณนะ.....เป็นพระอรหันต์แล้วจะกลับมาคุยด้วยอีก
     
  3. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    <a href="http://glitter.kapook.com/category.php?category_id=114&sid=738f4a72945efe6f4ff496a761069f46" target="_blank"><img src="http://glitter.kapook.com/files/glitter/photo/original/3/3752.gif" border="0" alt="คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ..." title="คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ..."></a>
     
  4. หมอเป่า

    หมอเป่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +687
    อย่าทำเเบบนี้เลยองค์ขรัวคือบรมครูเราท่านคือผู้ที่เข้าถึงเเล้วเป็นสาวกของพุทธองค์โดยตรงเเล้วอย่าเปิดอบายภูมิที่ใช้ปากของคุณเปิดเลยท่านขรัวมิโกรธหรอกท่านสงสารมากกกว่า
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นำมาฝากให้ได้อ่านกันนะคะ ...

    จาก
    http://www.dhammada.net/2010/10/13/5084/



    ความในใจของแม่บ้านจบ ป.4

    เคยคิดอยู่บ่อย ๆ ว่าอยากเขียนบรรยายความรู้สึกขอบคุณ ที่ได้เรียนกับหลวงพ่อปราโมทย์ แต่ไม่มีโอกาส และ บางอย่างที่จะเขียนก็ยังไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ ต้องขอขอบคุณที่ำมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทำให้เราได้มีโอกาสกล่าวคำขอบพระคุณหลวงพ่อจากใจจริงของลูกศิษย์จน ๆ คนหนึ่ง เราได้ซาบซึ้งถึงคำว่า ศรัทธาในบุคคล กับศรัทธาในคำสอนนั้นแตกต่างกันอย่างไร

    เราเคยศรัทธาและชื่นชมบุคคลหลาย ๆ คน ในกลุ่มผู้ที่ได้ออกมาร้องเรียนต่อหลวงพ่อ เคยชอบใจและชื่นชมในผลงานการเขียน ชื่นชมในการเป็นคนรวยแล้วแบ่งปันโอกาสให้คนอื่น เราได้แต่คิดว่า เขาทำได้อย่างไร เราจึงตั้งใจเป็นคนดีตามเขา ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ทำให้เราศรัทธามากยิ่งขึ้น เคยติดตามผลงานและขอลายเซ็น ยิ่งมีโอกาสได้ช่วยงานเ็ล็ก ๆ น้อย ๆ ได้พูดคุย ก็ยิ่งประทับใจที่เขาเปิดโอกาสให้เรา

    ความประทับใจนี้ทำให้เราดีใจมาก เมื่อรู้ว่าจะได้มีโอกาสได้ไปทำบุญที่สวนสันติธรรมในวันที่เปิดวัดวันแรก เรารีบไป ขอให้ได้มีโอกาสทำบุญ บุญที่เราทำไม่ได้ใช้เงิน แต่ได้ใช้แรงเข้าช่วย ตื่นเต้นตกใจ ทำไมคนมากขนาดนี้ ตอนนั้นยังไม่รู้จักหลวงพ่อ คิดว่าเป็นการเปิดวัดธรรมดา แค่ไปทำบุญแล้วก็กลับ ไปด้วยแรงศรัทธาในตัวผู้อื่นจริง ๆ

    ครั้งที่สอง ไปปลูกต้นโพธิ์ ได้ฟังเทศน์เต็มที่เป็นครั้งแรก แต่ไม่เข้าใจ (ครั้งแรกไม่ได้ตั้งใจฟัง เพราะมัวแต่ตื่นเต้นคนเยอะ) เพราะตั้งใจไปทำแต่บุญ เกิดมาจน คิดว่าทำบุญมาก ๆ แล้วจะรวย ครั้งที่สาม ขอตามเพื่อนที่ไปกราบหลวงพ่อด้วย เจตนาคิดว่าไปทำบุญ แต่พอเข้าไปนั่งฟัง กลับแปลกใจว่าหลวงพ่อสอนอะไร ทำไมคนตั้งใจฟัง ไม่พูดไม่คุยกันเหมือนที่อื่น และมีการส่งการบ้านด้วย อ้าว…ทำสมาธิภาวนา เขาทำกันอย่างนี้เหรอ งั้นเราก็ทำได้น่ะสิ ไม่ต้องไปอยู่ที่อื่นก็ทำได้ กลับมาบ้านก็พุทโธตลอด ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน อ้าว…ทำไมพุทโธหายไป หายอยู่เรื่อย ๆ บังคับอย่างไรก็ไม่อยู่ เผลอเป็นคิด มันเริ่มทำให้ได้คิด เริ่มเข้าใจคำสอนมากขึ้น ตั้งใจที่จะเรียนรู้มากขึ้น ปกติทำสมาธิไม่ได้ แต่อยู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ที่นึกไม่ถึง ตอนนั่งฟังธรรมอยู่ อยู่ ๆ จิตก็รวมกลางศาลา รอบ ๆ ตัวหายไปหมด ทำให้เริ่มเชื่อมั่นและศรัทธาในคำสอนมากขึ้นเรื่อย ๆ

    จากคนที่นั่งสมาธิได้ไม่ถึง 5 นาที ค่อย ๆ ทำจนได้ถึง 30-40 นาที โดยไม่รวมเวลาที่สวดมนต์ เดินจงกรมได้ครั้งละ 1 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น จากที่สวดมนต์บ้าง ไม่สวดมนต์บ้าง กลับมาสวดได้เช้าเย็นทุกวัน ขอยืนยันว่า มันค่อยเป็นค่อยไปจริง ๆ เพราะหลวงพ่อท่านจะให้รักษาวินัย ค่อย ๆ ให้การบ้านทีละคน ไม่ได้ให้เหมือนกันหมด โดยส่วนตัว หลวงพ่อจะเตือนเรื่องหน้าที่และการไม่เอาจริงเรื่องปฏิบัติ ทำให้เราได้หันมาสำรวจตัวเองว่าเราย่อหย่อนตรงไหน โดยทางโลก เรื่องหน้าที่ ท่านย้ำกับเรา แรก ๆ ก็งง แต่พอเจอปัญหาในชีวิต ทำให้เราเข้าใจหน้าที่ของความเป็นแม่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีี่ที่สุด

    คำสอนทางธรรมที่หลวงพ่อสอน ทำให้เรานำมาใช้ในทางโลกได้อย่างไม่มีติดขัด การมีสติ การได้รู้ตามความเป็นจริง ทำให้เรายอมรับความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น มีสติในการแก้ปัญหาให้่ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี มีจิตใจที่เข้มแข็ง ในแง่การปฏิบัติ ท่านเตือนเรื่องการไม่เอาจริง ทำให้เราคอยสำรวจตัวเองอยู่เรื่อย ๆ ได้เห็นว่าเรายังไม่เอาจริง จริง ๆ ทั้งที่ทำเหตุเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ จากการที่สังเกตละเอียดขึ้นไป จะมองเห็นว่า ถ้าเราเผลอ เราจะตามใจกิเลสทันที เวลามันครอบงำขึ้นมา เราจะหน้ามืดตามัว กลับไปทำนิสัยเดิม ๆ แต่ถ้าเราสังเกตคอยตามรู้ตามดูและมีวินัยในการทำรูปแบบ เราจะทัน และค่อย ๆ ละกิเลสแรง ๆ ไปได้เรือย ๆ โดยที่เราจะรู้ได้ด้วยตัวเราเอง

    คำสอนที่ได้ผลกับตัวเอง ทำให้เราไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลนในคำหลวงพอ ส่วนการศรัทธาตัวบุคคล เราเริ่มงง เพราะเท่าที่เราเคยรู้ การปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ต้องมีให้อภัย เสียสละ ละออก ยอมรับความจริง นิ่ง ไม่โต้ตอบ แต่สิ่งที่หลายคนกำลังทำ ทำให้เราค่อย ๆ เสื่อมศรัทธาลงเรื่อย ๆ แต่แปลกที่เราไม่เสื่อมศรัทธาในศาสนา ยิ่งทำใ้ห้เราเห็นโทษในการเกิดไม่รู้จบ ลึก ๆ ลงไป เราเห็นความภูมิใจในการเป็นคนจน ที่มีกิเลสอยากทำแต่ความดี เพื่อเกิดใหม่จะได้ไม่ลำบาก แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันน่ากลัวทั้งนั้น

    เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้เห็นความจริงขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งคือ ทุกครั้งที่โต้เุีถียงกับคนอื่นหรือคนใกล้ตัว หรืออธิบายให้คนอื่นเข้าใจว่าเราถูก ก็ล้วนเป็นการรักตัวเอง ไม่อยากให้ใครว่าเราไม่ดี เสียหน้าถ้าเขาเข้าใจผิด แต่หลวงพ่อสอนให้เราเห็น มันทำให้เราหนักแน่น มั่นคง ไม่หวั่นไหว ใจตั้งมั่น ภูมิใจที่ได้เกิดในศาสนาพุทธ มีโอกาสได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ ที่สอนให้เรารู้จักการละวาง

    ยังมีอีกคนที่เราขอกราบขอบพระคุณ นั่นคือคุณแม่ชีอรนุช ที่ท่านคอยให้กำลังใจทุกครั้งที่มีปัญหา ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ความอบอุ่นร่มเย็นของแม่ ทำให้เรามีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไป ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม จะขอปฏิบัติบูชาจนกว่าจะไม่ต้องเกิดอีกต่อไปในสังสารวัฏนี้

    เรื่องของแม่บุญมา

    ขอเล่าเรื่องของแม่บุญมา พงษ์จินดา อายุ 75 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เส้นเลือดสมองตีบ เป็นอัมพฤกษ์ที่โคนลิ้น พูดไม่ชัด แขนยกไม่ขึ้นไปหนึ่งข้าง แม่นั่งรถมาจากชุมพร เพื่อมาแสดงพลังบริสุทธิ์ต่อองค์หลวงพ่อถึงศรีราชา มาเองโดยไม่ต้องให้ไปรับที่สายใต้ แม่เข้มแข็งมาก พอทราบข่าว แม่ก็รีบบอกว่าอยากมา ปกติแม่จะไม่ค่อยได้ดูข่าว เราบอกน้อง ๆ ไปว่า ไม่ต้องเล่าให้แม่รู้ แต่แม่ก็รู้จนได้ แม่ร้องไ้ห้ โทรมาบอกว่าสงสารหลวงพ่อ เราก็บอกไปว่า ไม่ต้องสงสารหรอก หลวงพ่อปกติดี ลูกยังไปกราบหลวงพ่อเหมือนเดิม แม่เลยบอกว่าอยากมาที่สวนฯ เราก็ไม่ค่อยมีเงิน สามีของเพื่อน ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อด้วยกัน ตัวเองก็กำลังป่วยอยู่ ขอออกค่ารถใ้ห้แม่มากราบหลวงพ่อ ต้องขอโมทนาด้วย

    สาเหตุที่แม่ดั้นด้นมาด้วยตัวเอง ด้วยวัยชราและป่วยอยู่ โดยที่เราไม่ได้ไปรับ เป็นเพราะแม่เคยมาฟังธรรมหลวงพ่อและนำไปปฏิบัติได้ผล แม่ป่วยมาเกือบ 4 ปีแล้ว ตอนแม่ป่วยใหม่ ๆ แม่อยากตาย เคยคิดจะเดินให้รถชนตายด้วยซ้ำ เพราะแม่พูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง พอเราทราบ ก็พยายามดึงแม่มาฟังธรรม มาได้ปีละ 1 ครั้ง ครั้งละแค่ 1 เดือน แล้วก็เอาซีดีกลับไปฟังที่บ้าน ปีแรกแม่หงุดหงิดมาก ฟังไม่เข้าใจ แต่ขอนั่งแถวหน้า ๆ เพราะบอกว่าได้ยินเสียงหลวงพ่อแล้วสบายใจ ปีที่สอง แม่เริ่มสนใจมากขึ้น เริ่มถามว่า กิเลสเป็นยังไง ทำไมหลวงพ่อตอบได้หมดทุกเรื่อง เราก็ได้อธิบายเท่าที่เราพอรู้ให้แม่ฟัง แล้วบอกให้พี่สาวที่มากับแม่กลับไปทำบ้าง แม่บอกว่าหลวงพ่อสั่งไม่ให้ทำอะไร ให้รู้เฉย ๆ เอ๊ะ… แม่เราทำได้แล้วนี่นา

    ทุกวันนี้ แม่สวดมนต์ไหว้พระด้วยการฟังซีดีเสียงสวด (เพราะแม่สวดเองไม่คล่อง) และทำสมาธิทุกวัน ขอยืนยัน แม่ไม่ได้อ่อนแออย่างที่มีคนกล่าวหาว่าลูกศิษย์หลวงพ่อ แม่ไม่ได้ต้องมาหาหลวงพ่อด้วยตัวเอง แม่แค่มีรูปหลวงพ่อไว้เคารพบนหัวเตียง แต่ก็ปฏิบัติตามสิ่งที่หลวงพ่อสอนจนอาการที่ป่วยดีขึ้นมาก แขนที่ชายกไม่ขึ้น ก็ค่อย ๆ หายไป พูดได้ชัดและยาวขึ้น ทางด้านจิตใจก็แจ่มใสเบิกบานขึ้น หงุดหงิดน้อยลง มีศีล 5 มั่นคง กลัวบาปมากขึ้น และยังใส่บาตรทุกวัน มีศรัทธาในศาสนามากขึ้น

    จริง ๆ แม่แ่ค่อยากทำดี เพื่อได้ไปสวรรค์ แต่สิ่งที่แม่ทำตอนนี้ ทำให้เราเชื่อว่า แม่ได้ไปไกลกว่าสวรรค์อีก ถ้าแม่ตามรู้กายรู้ใจไปได้แบบนี้ เป็นความภูมิใจของเราที่สามารถดึงแม่มาเรียนธรรมได้ ภูมิใจว่าได้ทดแทนพระคุณของท่านได้อย่างดีที่สุดแล้ว

    โดยคุณมณี (แม่บ้านจบ ป.4) <!--MsgFile=45-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=1><TBODY><TR><TD vAlign=top width=75 noWrap>จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=45-->เย็นฟ้าหมองฝน [​IMG] </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=75 noWrap>เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=45-->15 ต.ค. 53 20:31:33</TD></TR></TBODY></TABLE>

    PANTIP.COM : Y9807605
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE border=0 width="100%" height=36><TBODY><TR><TD vAlign=top width="80%"><BIG><BIG>สื่อมวลชน แฉ..พระ ปกป้องพุทธศาสนาจริงหรือ ????</BIG></BIG></TD><TD vAlign=top width="20%" noWrap align=right> <!--InformVote=0--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT> </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <!--TopicParent=9807605-->
    วันนี้มีสอน คุยกันหลายเรื่อง โดยมี Theme ที่จะชี้ชวนให้เด็กๆ มองเห็นประเด็นว่า..พวกเขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสื่อมวลชนอย่างไร..


    และเอาเข้าจริงๆ แล้ว เราได้อะไร และเสียอะไร จากการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนบ้าง..


    ก็คุยกันหลายๆ เรื่อง มีเรื่องหนึ่งเกี่ยวข้อกับสถาบันศาสนา


    เพราะเด็กถามว่า "ครูคะ ตกลงเรื่องพระปราโมทย์นี่ยังไงกันคะ ผิดจริงไหมคะ ??"

    เด็กถามก็กะจะเอาคำตอบ.. แต่ครูไม่มีคำตอบสำเร็จรูป... มีแต่เลคเช่อร์ยาวววววว.......


    เอามาเล่าสู่กันฟัง.. ใครชอบอ่านยาวๆ เชิญ.. ใครไม่ชอบอ่านก็ผ่านไปเลย.. เพราะว่าเรื่องนี้ยาว....


    เรา : จากคำถามนี้ ยังไม่ขอตอบ แต่ขอเล่าเรื่องเมื่อวานที่พาน้องปี 3 ไปทำบุญที่วัดให้พวกเราฟังก่อน เป็นกรณีศึกษา

    เหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ เมื่อวาน..พาลูกศิษย์ปี3..ไปปิดคอร์ส ด้วยการทำสังฆทาน.. ที่วัดใกล้บ้าน.. เอ้ย..ใกล้โรงเรียน.. เด็กคนนึงกระเป๋าเงินหาย และป่วยด้วย เพื่อนๆ ก็คุยกันว่าน้อง ก. นี่ทำไมช่วงนี้ป่วยบ่อย มีแต่เรื่อง.. เข้าทางครูเลย..ครูจัดให้.. เดี๋ยวไปรดน้ำมนต์กัน ฟังดูงมงายหน่อยนะ.. แต่ลองไปดูเหอะ..ดี.. เด็กๆ ก็ตกลงจะไปกับครู...

    ก็เลยขนกันไป 7 คน ไปหาหลวงปู่เทียบ หลวงปู่สามัญประจำบ้านของเรา.. ไปนั่งรอท่านทำวัตรเย็น ประมาณครึ่งชั่วโมง.. ตอนนั้นก็ประมาณ 5 โมงแล้ว (ตอนแรกนัดกัน 4 โมง แต่เด็กคุยงานเพลินกะจะเบี้ยว..แต่ครูไม่ยอม เพราะได้บอกกันแล้วว่าจะไปก็ต้องไป)

    ตอนนั่งรอ พระเณรกำลังทำความสะอาดวัด เล่นน้ำมั่ง สบงหลุดลุ่ย บางพวกก็ทำการบ้าน บางพวกก็ทำงาน บางพวกก็นั่งคุยกัน..

    นักศึกษามีเวลานั่งรอ..มองไปมองมาแล้ว ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ คุยไปคุยมา เด็กคนหนึ่งก็ระลึกได้ว่า..วัดนี้ใช่ไหม..ที่เคยเป็นข่าว.. ว่าเณรมีพฤติกรรมไม่ดี.. คนนึงบอกว่า ดีนะที่เพื่อนอีกคนไม่มา..ถ้ามาคงจะรับไม่ได้ ว่าครูพามาวัดที่เป็นข่าวฉาว.. ออกทีวีหลายช่องเลย..

    ครูยังไม่ทันอธิบายต่อ หลวงปู่มา.. หลวงปู่เห็นครูแล้วก็ยิ้ม
    เพราะปกติครูชอบพาคนนั้นคนนี้มาทำบุญกับหลวงปู่ ท่านก็รีบบอกให้ไปจุดธูปเทียนบูชาพระ

    ครูก็เป็นเจ้ดันให้เด็กเพศชาย(แต่ไม่ใช่ผู้ชาย) ไปเป็นผู้นำจุดธูปเทียน..หลวงปู่ถามอาราธนาศีลได้ไหม.. เงียบ... หลวงปู่เลยกล่าวนำ.. ให้ทุกคนกล่าวตาม ทุกคนได้บูชาพระ รับศีล ถวายสังฆทาน.. รับพร กรวดน้ำ (โดยหลวงปู่กล่าวนำช้าๆ ทุกขั้นตอน) ก่อนกลับหลวงปู่แจกพระด้วย.. เสร็จพิธีบริบูรณ์

    ก็ชื่นมื่นชุ่มเย็นกันถ้วนหน้า..

    แต่วันนี้ครูรู้สึกหลวงปู่ดูรีบนิดหน่อย ซึ่งในที่สุดหลวงปู่ก็เอ่ย..ว่า นัดหมอฟันไว้ ต้องไปทำฟัน.. พวกเราเลยต้องขอโทษหลวงปู่แล้วรีบต้อนทุกคนออกมาจากกุฏิ..

    ดูซิ..ท่านไม่บอกเราก่อนเลย ท่านเมตตาเราจนเสร็จพิธี ท่านจึงรีบไปตามนัดหมอ..


    ก่อนกลับบ้าน ก็ได้ถามลูกศิษย์ว่า เป็นไง..พระองค์นี้ผ่านไหม..น่าเชื่อถือพอไหม.. เรารู้สึกดีกันไหม.... ทุกคนพยักหน้า แย่งกันพูดว่า หลวงปู่ใจดี รู้สึกดีมากๆ เมื่อท่านให้พร พรมน้ำมนต์ให้ รู้สึกดีที่ได้ทำบุญ..

    แล้วเราก็ถามเด็กๆ ว่า..

    "ได้ทำบุญใส่บาตรหรืออะไรอย่างนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่.."

    เด็กตอบว่า "นานมาก..จำไม่ได้แล้ว.. บางคนก็บอกว่าหลายเดือน บางคนก็ว่าหลายปี.."

    เราก็ถามว่า "ที่ทำไปนี่ดีไหม.. รู้สึกดีไหม.." เด็กว่า.. "รู้สึกดี"

    "แล้วความรู้สึกดีของเรายามได้ทำบุญ มันเกี่ยวอะไรกับข่าวฉาว..ที่เราได้รับรู้มาเกี่ยวกับวัดนี้ไหม.."

    เด็กบางคนบอกว่าไม่ บางคนบอกว่าเกี่ยว..

    ถามต่อว่า "เกี่ยวยังไง.."

    เด็กว่า "เพราะทำให้ไม่ศรัทธาวัดนี้.."

    ถามว่า "ทำไมล่ะ.."

    เด็กว่า "ก็มีเณรทำไม่ดี..วัดเป็นสถาบัน ก็พลอยเสื่อมเสียไปด้วย..หนูไม่ชอบ.."

    เราก็ถามว่า..

    "แล้วนักศึกษาในคณะเรา เป็นคนดีทุกคนหรือเปล่า..ถ้ามีคนเขามาพูดว่า นักศึกษาคณะเราทำเรื่อง "ฉาว" มันหมายความว่าพวกเราทุกคน "ฉาว" ไปด้วยหรือเปล่า.."

    เด็กบอกว่า "ไม่เกี่ยว.."

    "อ้าว..แล้วทำไม เณรคนเดียวหรือสองคนที่ฉาว.. ทำให้วัดทั้งวัดและพระดีๆ ในวัด ต้องฉาวไปด้วยล่ะ.."

    "ก็ข่าว..เขาว่าอย่างนั้น.. หนูดูข่าวแล้วหนูก็ไม่ชอบวัดนี้ ไม่ศรัทธาพระ..ทำไมไม่ดูแลเณรให้ดี.."

    "แล้วหนูคิดว่า ครูอย่างครูจะดูแลหนูให้ดีได้ทุกคนไหม.. เอาแค่หกคนนี้ ครูควบคุมพฤติกรรมของหนูได้ทุกเวลาไหม.. กลางคืนครูจะรู้ไหมว่าหนูไปฉาวที่ไหน.. "

    เด็กเริ่มอึ้ง.. ครูได้ทีรีบต่อ..

    "วัดนี้มีเณรมาบวชเรียน คือบวชเพื่อเรียนฟรี ฐานะทางบ้านยากจน ต้องมาบวชเรียน พระเลี้ยงเด็กผู้ชายหลายวัย มีจำนวนเป็นร้อยสองร้อยคน.. คิดว่าพระไม่กี่รูปจะดูแลเด็กผู้ชายหลายวัยจำนวนขนาดนี้ได้หมดทุกคนไหม..ส่วนใหญ่พระก็ชราแล้ว จะทันเด็กมันไหม.."

    เด็กส่ายหน้า..ไม่น่า..ค่ะ..

    "เออนั่นสิ.. แล้วจากเณรสองร้อยคนนี่.. ตามธรรมชาติ มันจะไม่มีโอกาสเกเรเกตุง หลงผิดทำชั่วบ้างเลยสักคนสองคนหรือ.."

    "สองร้อยคนสี่ร้อยพ่อแม่ สองร้อยครอบครัว แค่มาบวชห่มผ้าเหลือง เพื่อจะได้เรียนฟรี กินฟรี นอนฟรี.. จะให้ดีหมดสองร้อยคนเลยเหรอ.."

    "พ่อแม่คุณส่งพวกคุณมาเรียนเสียเงิน วิชานึงเรียนกันแค่ 7 คน ครูยังสอนให้คุณดีอย่างใจไม่ได้ทั้ง 7 คนเลย.. "

    "ถ้าคุณจะบอกว่าเณร พระ ต้องทำตัวให้ดี เพื่อสถาบันศาสนา..
    ลองย้อนกลับมามองซิว่า.. คุณเป็นนักศึกษา แล้วคุณรักษาภาพพจน์ของนักศึกษาที่สมบูรณ์ได้แล้วหรือยัง.. ชุดก็ไม่ชอบใส่.. กลางคืนไปนั่งกินเหล้าปั่น.. ไม่เห็นว่าคุณจะแคร์ภาพพจน์นักศึกษาสถาบันเลย.."

    เด็กอึ้ง...กิมกี่.. บอกอ่อยๆ ว่า "จริงค่ะครู"

    แต่..เสียใจ เรื่องนี้ไม่จบง่าย.. ครูต่อกัณฑ์เทศน์..


    <!--MsgEdited=0-->

    [SIZE=-1]แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 53 21:06:46[/SIZE] <!--MsgFile=0-->
    <CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#204080><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#204080><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=1 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=bottom width="10%">จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=0-->chaosy [​IMG] [​IMG] [​IMG] </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width="10%">เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=0-->15 ต.ค. 53 21:03:39 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    "เรื่องของเณรที่เราดูข่าวหลายช่องนั้น มีผลกับการเข้าวัดของเราบ้างหรือไม่ คือมีผลทำให้จากที่เราเข้าวัด พอดูข่าวแล้วเลิกเข้าวัดไหม..หรือจากที่ไม่เคยเข้าวัด ทำให้เราเข้าวัดไหม..??"

    เด็กบอก "ไม่เกี่ยว.."

    "เออ.. จะดูข่าวหรือไม่ดู เราก็ไม่เข้าวัดเหมือนเดิมใช่ไหม.."

    เด็กพยักหน้า.. "จริงค่ะ"

    " แต่ว่ามันมีผลทำให้เราไม่เชื่อมั่นในวัดเพิ่มขึ้นใช่ไหม.."

    เด็กพยักหน้า..

    "มีผลทำให้เราลังเลสงสัยในการทำบุญครั้งนี้ด้วยใช่ไหม.."

    เด็กพยักหน้า..


    " นั่นแหละ.. สิ่งนี้..เขาเรียกอกุศลจิต "



    พวกเราบางคนไม่เคยทำสังฆทาน บางคนไม่ได้ทำนานมาก..

    พอจะทำสักที เกิดมีศรัทธาเพราะเชื่อครู หรือยากจะเอาใจครูไม่รู้ล่ะ..มีความอยากจะทำเพราะมีเหตุไม่สบายใจอย่างไรก็ตาม.. กว่าจะมาถึงวัดได้ จากสามโมงครึ่ง ปาเข้าไปเกือบห้าโมงครึ่ง มีอุปสรรคต่างๆ นาน.. แต่ในที่สุดก็มาถึงแล้ว เจอหลวงปู่ก็ว่าท่านน่าเชื่อถือดี.. อุตส่าห์ถวายสังฆทาน..เสียเงินเสียทอง

    พอจะได้บุญกุศล.. ข่าวเณรคนไหนไม่รู้ เมื่อใหร่ก็จำไม่ได้ มาสิงสู่จิตใจให้เกิดอกุศลจิตซะอย่างงั้น.. แทนที่จิตใจจะชื่นมื่นเต็มร้อย..เพราะได้ทำบุญ ใจกลับไปนึกถึงเรื่องไม่ดีเรื่องอกุศลของเณรที่เราเองไม่รู้จัก..

    อย่างนี้ตกลงใครได้ใครเสียกันแน่..


    สื่อมวลชนรายการนั้นครูก็รู้จัก.. เขาก็คิดว่าเขาทำดี ทำประโยชน์ให้ศาสนา ด้วยการจับผิดพระเณร.. ขุดคุ้ย ล่อซื้อ.. เอาตำรวจไปจับ เปิดโปง แฉความผิดนั้นให้คนรู้กันทั่วประเทศ.. นัยว่า..จะได้กำหราบคนไม่ดี..หรือให้ชาวพุทธหูตาสว่าง..


    ขนาดพวกเราอยู่กันคนละจังหวัด.. ยังรู้เรื่องของวัดนี้เลย..เพราะสื่อได้เปิดตัววัดเล็กๆ ให้เป็นที่รู้จักโดยทั่วกัน.. เพียงแต่เปิดตัวด้วยเรื่องฉาวๆ..ที่ว่านั้น.. ตกลงหูตาสว่างกันไหม.. ดูข่าวนี้แล้วชีวิตดีขึ้นไหม..??

    เรื่องดีๆ อย่างหลวงปู่องค์นี้ เมตตาช่วยเหลือผู้คน ขนาดเรามาเย็นแล้ว ท่านยังเมตตาสงเคราะห์เราก่อน ทั้งๆที่ท่านมีนัด ตรงนั้นมีเณรตั้งใจเรียนหนังสือ.. ตรงนั้นแม่ชีกับน้องเณรช่วยกันดูแลพระชราที่อาพาธเช็ดอึฉี่อย่างไม่รังเกียจ.. เรื่องอย่างนี้สื่อเขานำเสนอไหม..

    "ไม่มีค่ะ..ข่าวอย่างนี้ ขายไม่ได้ค่ะ.."


    ถามอีกหน่อย.. ถ้าเราไม่ได้รับรู้ข่าวนั้นมาก่อนเลย.. มันจะเปลี่ยนอะไรไปไหม.. เราจะเข้าวัดมากหรือน้อยกว่าเดิมไหม.. จะศรัทธาพระมากหรือน้อยกว่าเดิมไหม..

    เด็กบอกว่า "ก็ไม่เปลี่ยน คือคงไม่ได้เข้าวัดเหมือนเดิม และคงจะไม่ได้ศรัทธามากหรือน้อยไปกว่าเดิม..คือปกติก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว.. "

    "แต่ที่แน่ๆ.. ถ้าเราไม่เคยรู้เรื่องราวเหล่านั้นมาก่อน.. วันนี้พวกเราคงจะมีความรู้สึกดีๆ เต็มร้อยใช่ไหม.. "


    เด็กบอกว่า..


    " ใช่.. ก็คงจะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ.. เพราะหลวงปู่ใจดี.. เวลาเห็นเณรก็คงจะไม่คิดไปในทางอกุศล ว่าเณรพวกนี้หรือที่ฉาว.. คนไหนนะ..ที่ฉาว.. ก็คงจะเห็นว่าเป็นเณรธรรมดาๆ"

    "แล้วตกลง ข่าวเปิดโปงที่ว่านั่น..เป็นประโยชน์กับใครบ้าง.."


    ทำให้คนศรัทธาศาสนามากขึ้นไหม ทำให้คนทำบุญมากขึ้นไหม..
    ทำให้วัดบริสุทธิ์ขึ้นไหม.. ชำระสิ่งสกปรกในศาสนานี้ได้จริงไหม..


    ความผิดของเณรคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเด็กวัยรุ่นเกเรคนนึง เมื่อแฉออกสื่อไปแล้ว..หมายถึงความผิดของพระทั้งวัด.. ทำให้เณรอีกร้อยเก้าสิบเก้าคน อาจหมดโอกาสที่จะได้รับการยอมรับจากสังคม ชาวบ้านอาจจะดูข่าวแล้ว เลยหมดศรัทธา ไม่ตักบาตรทำบุญ พระดีๆ อาจจะหมดกำลังใจสึกดีกว่า หรือย้ายวัด.. ฯลฯ นี่คือผลเสีย.. แล้วมีผลดีบ้างไหม.."

    อย่างมากก็แค่ทำให้คนได้รู้ว่า "วัดนี้มีเณรฉาว ทำตัวไม่ดี พระไม่ดูแลให้ดี ทำให้ศาสนาเสื่อม..จบข่าว.."



    มาถึงตรงนี้ เด็กๆ ของเรา มีท่าทีครุ่นคิด... (ไม่รู้คิดอะไร)

    เราก็ตบท้ายว่า..


    ตกลงเป็นข่าวแล้วทำนุบำรุงศาสนาตรงไหนเนี่ย.. ???


    เป็นข่าวแล้ว เด็กจะเกเรน้อยลงไหม.. จะทำให้ปัญหาเณรฉาวหมดไปได้จริงไหม.. จะรับประกันไหมว่าจะไม่มีเณรทำไม่ดีอย่างนั้นอีก..

    เณรรุ่นนี้เรียนจบสึกไป เณรใหม่ก็เข้ามา.. จะห้ามไม่ให้ทำตัวฉาวได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม.. ? ก็ไม่ได้..


    "งั้นการทำข่าวฉาว ช่วยชำระพระศาสนาได้ตรงไหนล่ะ.."


    ถ้าเรารู้ว่ามีนักศึกษาทำไม่ดี เช่นขายตัว.. เราจะทำยังไง..ไปบอกสื่อมวลชนให้มาทำข่าว เพื่อเป็นการปกป้องชื่อเสียงของสถาบันไหม...

    เด็กส่ายหน้า..


    "ก็ต้องบอกอาจารย์ บอกกิจการนักศึกษา บอกผู้ใหญ่.."


    นั่นซี..ทำไมเณรทำไม่ดีคนเดียว หรือสองคน เราถึงต้องไปฟ้องสื่อ เปิดโปงทั่วประเทศเลยล่ะ.. ทำไมเราไม่บอกเจ้าอาวาส หรือต้นสังกัดของเขา แล้วให้เขาจัดการกันตามขั้นตอน เป็นเรื่องที่ต้องชำระกันภายใน นิ้วไหนร้ายก็ตัดนิ้วนั้น..

    ทำไมเณรไม่ดีคนเดียว มีอิทธิพลทำให้เราไม่เข้าวัด ไม่ศรัทธาพระ.. ทำไมเขามีอิทธิพลกับเราจัง..

    ที่สำคัญ.. เรื่องชั่วๆ ของคนอื่นแท้ๆ.. ทำไมมาเป็นปัญหาของเราได้..

    ทำไมเณรไม่ดีคนนึง ขัดขวางเราจากโอกาสดีๆ ที่ทำได้ยาก..คือโอกาสที่จะทำบุญทำกุศลกับหลวงปู่ซึ่งเป็นพระเถระที่ใจดีมีเมตตากับเรามากขนาดนี้..


    "เณรคนนั้นเขาทำเรา สื่อมวลชนทำเรา หรือเราทำตัวเราเอง.."



    ไปเก็บขยะของคนอื่นกลับมาบ้านเราทำไม.. ก็สื่อเขานำเสนอ..เออ..แล้วเราก็เชื่อเขา.. คิดตามเขา เขาสั่งให้ไม่ชอบก็เลยไม่ชอบตามเขา.... เราจะรู้ได้ไงว่าเรื่องที่เขาเสนอมันจริงหรือไม่จริง.. ก็ไม่รู้ แต่เผลอด่าไปกับเขาแล้ว คิดตามเขาไปแล้ว..


    ก็เลยต้องพลอยลงนรกไปกับเขาด้วยเหรอเนี่ย... ถ้านรกไม่มีจริงไม่เป็นไร.. แต่ถ้ามันมีจริงขึ้นมาล่ะ.. มันจะคุ้มไหม..


    ลองมองย้อนกลับสิ.. ในขณะที่ไม่มีใครได้อะไรดีๆ จากข่าวเณรฉาว ไม่ว่าจะเป็นพระในวัด เณรในวัด ชาวบ้านรอบวัด พวกเราที่เป็นนักศึกษาใกล้วัด สื่อรายการนั้นได้อะไรจากกรณีนี้..

    "ได้ค่าโฆษณา ได้เรตติ้ง ได้ทำหน้าที่.."

    เออ.. ตกลงใครได้ และใครเสีย..


    จากสถานการณ์เด็กปี 3 เมื่อวานนี้ที่ฟังมา..

    เข้าใจปัญหาการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนไหม..



    เด็กรีบบอกว่า..เข้าใจ.. หนูเข้าใจแล้วค่ะ.. (จะได้ไม่มีกัณฑ์ที่ 3) <!--MsgFile=2-->


    <CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#224422><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#224422><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><CENTER> </CENTER>
    แล้วพวกหนูคิดว่า กรณีของหลวงพ่อปราโมทย์แตกต่างจากกรณีเณรฉาวนั้นไหม.. " เรื่องอิทธิพลของสื่อที่ส่งผลต่อการทำบุญเข้าวัดของน้องปี 3 "

    จะแตกต่างจากเรื่องของพวกเราปี 4 ไหม..


    "แต่หนูไม่ได้คิดว่าพระท่านผิด หนูแค่สงสัยเฉยๆ"


    เออ..ต่อไปนี้ลองพิจารณาดูก่อนว่า ไม่ว่าพระท่านจะผิดหรือถูก มันเกี่ยวอะไรกับเราไหม..

    "ไม่เกี่ยวค่ะ.."

    ถ้าไม่เกี่ยวก็ไม่ต้องไปยุ่ง.. ไม่ต้องไปหาบาปใส่ตัว

    "แล้วถ้าเกี่ยวล่ะคะ"

    ถ้าเกี่ยวเช่นเราเคยไปกราบไหว้พระองค์นั้น ก็ถามตัวเองว่า พระผิดแล้วยังไง พระไม่ผิดแล้วยังไง..

    "พระผิดหนูก็หมดศรัทธา.."

    ก็หมดไปซี.. ก็ไปหาพระองค์อื่นก็ได้นี่.. ไม่เชื่อไม่ชอบก็ไม่ต้องไปวัดนั้น..

    เขาไม่ได้บังคับเราให้เข้าวัดนั้น ต้องทำบุญกับพระองค์นั้นซะหน่อย..

    ถ้าเราไม่เชื่อ เราก็ไม่ต้องสนใจ หลีกหนีให้ไกล ก็เป็นเรื่องดีสำหรับเรา.. แต่อย่าไปสร้างกรรม เช่นด่าท่าน เมาท์ท่านหรือพูดจาให้ร้าย..

    การด่าท่าน เมาท์ท่าน พูดจาให้ร้ายท่าน ไม่ใช่กรรมของพระแล้ว เป็นกรรมของเราเต็มๆ เลย ไม่ว่าท่านจะถูกหรือผิดจริง..เรารับกรรมที่เราทำเต็มๆ..


    สรุป...


    เห็นรึยังว่าเราโดนหลอกตลอดเวลา..


    โดนหลอกให้สนใจข่าว


    โดนหลอกให้รู้สึกมีส่วนร่วมกับข่าว


    โดนหลอกให้เกิดความต้องการจะวิพากษ์วิจารณ์ ตัดสิน ประเมินค่า บุคคลในข่าว..


    ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนั้น.. มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย..


    และเราก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากข่าวเหล่านั้น...


    แล้วใครกันที่ได้ประโยชน์...


    "หนูรู้แล้วค่ะครู"


    เออ.. แล้วหนูจะออกไปเป็นสื่อมวลชน.. หนูฉลาดพอหรือยัง.. ไม่ใช่แค่ทำสื่อเป็นทำข่าวเป็น ทำรายการเป็น..


    หนูฉลาดพอรึยังจะไม่เป็นเหยื่อ..เป็นผู้ทำบาปโดยไม่ได้ตั้งใจ


    และไม่เป็นผู้ที่ชักจูงให้คนอื่นมาร่วมทำบาปโดยไม่ได้ตั้งใจ..


    ถ้าสมมติบาปคือความคิดที่ไม่ดี.. การที่หนูทำให้คนเกิดความคิดที่ไม่ดี ความรู้สึกที่ไม่ดี เพื่อหวังให้เกิดความดีงามขึ้นในสังคมจะเป็นได้ไหม..


    เห็นมั้ย..แค่รักษาตัวไม่ให้เป็นเหยื่อของสื่อ ไม่ให้ถูกสื่อหลอกก็เวียนหัวแย่แระ..

    ยังมีแรงจะไปวิพากษ์วิจารณ์ความผิดของพระอีกไหม..


    "จริงค่ะครู.." <!--MsgFile=3-->

    <CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#224422><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#224422><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    <TABLE border=0 cellSpacing=1><TBODY><TR><TD vAlign=top width=75 noWrap>จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=3-->chaosy [​IMG] [​IMG] [​IMG] </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=75 noWrap>เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=3-->15 ต.ค. 53 21:37:48 <!--MsgIP=3--></TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9809325/Y9809325.html
    <!--MsgFile=1-->
     
  7. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=KXopdPKT53s&feature=related"]ฤดูที่ฉันเหงา...[/ame]......ขอโพสต์หน่อยนะมันไม่ไหวจริง ๆ
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มีของมาฝากสำหรับคนขี้เหงา

    สหายมิใช่แค่คนรู้จัก : วีรบุรุษสำราญ (ตอน1)
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=center align=left>15 ตุลาคม 2553 19:31 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    คอลัมน์ : บู๊ลิ้ม
    โดย : พชร สมุทวณิช

    “สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้ อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น...”

    ข้อความที่ผมยกมาข้างต้น เป็นข้อความที่เอ่ยขึ้นจากปากของ “อี้ฉิก” หนึ่งในสี่ตัวละครสำคัญของนิยายจีนกำลังภายในเรื่อง “วีรบุรุษสำราญ” หนึ่งในวรรณกรรมของ “โกวเล้ง” ที่ผมชอบในฐานะเป็นการสะท้อนภาพความสัมพันธ์ของน้ำใจเชิงมิตรสหาย ได้อย่างสนุกสนาน

    4 สหายใน “วีรบุรุษสำราญ” ประกอบด้วย “ก๊วยไต่โล่ว-เฮ้งต๋ง-ลิ้มไท้เพ้ง-อี้ฉิก”

    “วีรบุรุษสำราญ” เล่มนี้ถือเป็นเล่มโปรดของผมด้วยเหตุผลหลัก 3 ประการด้วยกัน

    ประการแรก เป็นเรื่องของ “คุณธรรมน้ำมิตร” ระหว่าง “เพื่อนกับเพื่อน” ทั้งเล่ม ไม่ได้เป็นการสอดแทรกประเด็นน้ำใจมิตรสหายแทรกเอาไว้ในโครงสร้างเรื่องหลักด้านอื่น พูดง่ายๆ คือเป็นเรื่องของ “เพื่อน” โดยมีฉากและเรื่องราวทางยุทธจักรเป็นองค์ประกอบรองลงมา

    ประการที่สอง เป็นเรื่องสไตล์ “โกวเล้ง” ที่เต็มไปด้วยลีลาวาทะเด็ด เต็มไปแทบจะทุกหน้า อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า “โกวเล้ง” นั้นเป็นสุดยอดแห่ง “ประโยคคม-วาทะเด็ด” เขียนเรื่องราวแฝงไปด้วยหลักคิดผ่านตัวอักษรเรียงเป็นประโยคที่ลึกล้ำและคมคาย ส่วนตัวผมนั้น ผมคิดว่า “วีรบุรุษสำราญ” เล่มนี้ เป็นเรื่องที่ “โกวเล้ง” ปล่อยของด้านนี้ไว้เยอะมาก

    ประการที่สาม ผมชอบใจใน “การวางโครงเรื่องเรียบง่ายแต่รายละเอียดซับซ้อน” ของ “วีรบุรุษสำราญ” เล่มนี้ โดยที่มีการสร้าง “ฉาก” ขึ้นมาก่อน ก็คือ “เคหารุ่มรวย” จากนั้นก็ ใส่ตัวละครหลัก 4 คนเข้าไป จากนั้นก็เดินเรื่องด้วยตัวละครแต่ละคนที่มี “ฉากความเป็นมาเป็นไป” ในรูปแบบของตนเอง จากนั้นก็มาคลี่คลายเป็นเปลาะๆ แล้วก็ร้อยเรียงเข้าด้วยกันในช่วงตอนสุดท้ายของท้องเรื่อง เป็นการเดินเรื่องได้เราได้อ่านอย่างเพลิดเพลินจริงๆ (แม้ว่าผมจะไม่ค่อยชอบตอนจบมากเท่าไรนักก็ตาม เรื่องนี้จะคุยถึงในตอนหน้า)

    ดังนั้น ผมจึงจะเขียนเรื่อง “วีรบุรุษสำราญ” นี้โดยแบ่งเป็นสองตอน โดยจะเขียนเล่าและถกประเด็นต่างๆ สำหรับนิยายจีนกำลังภายในเรื่องนี้ในตอนหน้า แต่สำหรับตอนแรก ผมขออนุญาตเขียนถึงประเด็น “เพื่อน” ในมุมมองส่วนตัวของผมก่อน โดยยังไม่ชวนคุยถึงเรื่อง เพื่อน 4 คน ในนิยายจีนกำลังภายใน “วีรบุรุษสำราญ” โดยเก็บไว้ในตอนถัดไป

    อนึ่ง สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่ได้ติดตามผมมาตั้งแต่แรกๆ ขออนุญาตย้ำตรงนี้อีกสักครั้งนะครับ ว่าคอลัมน์นี้ไม่ได้เป็นคอลัมน์วิพากษ์วิจารณ์นิยายจีนกำลังภายใน แต่ผมเปิดคอลัมน์นี้ขึ้นมาก็เพื่อจะพูดคุยถึง ประสบการณ์ในการอ่านนิยายจีนกำลังภายในของผม และการพูดคุยกับคนรอบข้าง โดยเฉพาะปรัชญานิยายจีนกำลังภายในที่ได้มาจากการพูดคุยกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ที่เป็นต้นเรื่องที่ผมคิดอย่างจะเขียนคอลัมน์นี้ขึ้นมา โดยหลักการพูดคุยก็มุ่งประเด็นที่ว่า นิยายจีนกำลังภายในนี้ มันสามารถสะท้อนปรัชญาหรือข้อคิดใดในชีวิตประจำวันได้บ้าง

    มิตรสหายเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะในความคิดของผู้ชาย ผมเองนั้นตั้งแต่เด็กมาแล้ว ใช้ชีวิตในโรงเรียนประจำชายล้วนมาตั้งแต่ป.3 ดังนั้น เรื่องของ “เพื่อน” จึงเป็นเรื่องปกติที่กลุ่มผู้ชายที่มีประสบการณ์เช่นนี้ มักจะให้ความใหญ่โตกับเรื่องเพื่อนมากเป็นพิเศษ

    ลองนึกภาพเด็กประถม 3 ที่จากบ้านจากครอบครัวมาอยู่รวมกันกับมิตรสหายวัยเดียวกัน กินอยู่หลับนอนร่วมกัน ใช้ชีวิตเช้าจรดเย็นด้วยกัน เพื่อนในวัยเด็ก ที่องค์ประกอบของชีวิตประจำวันไม่มีอะไรมากนัก จึงคบหาสนิทสนมในพื้นฐานเรียบง่ายในแบบเดียวกัน รูปแบบโครงสร้างเดียวกัน กระบวนการการหล่อหลอมทางวัฒนธรรมรูปแบบเดียวกัน เพื่อนในวัยเด็กจึงเป็นการคบหาระหว่าง “คนกับคน” ในรูปแบบพิเศษที่น่าประทับใจ

    เพื่อนของผมในวัยเด็กนั้น เป็นการคบหาในแบบคำนำหน้าชื่อของทุกคนเป็น “เด็กชาย” จึงเป็นการคบกันแบบที่ไม่มีองค์ประกอบยศ ตำแหน่ง หรือหน้าที่การงาน ตลอดจนความสัมพันธ์เชิงอื่น ไม่ว่าจะเป็น สามี-ภรรยา พ่อ/แม่-ลูก เจ้านาย-ลูกน้อง ฯลฯ. เข้ามาเกี่ยวข้อง

    ดังนั้น เด็กคบกันจึงเป็นอะไรที่ใสๆ และปราศจากสิ่งต่างๆ มาแต่งเติม ทุกวันนี้แม้ เพื่อนวัยเด็กของผมอาจจะห่างๆ กันมาก ด้วยเหตุที่ชีวิตประจำวันเมื่อเติบโตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่เวลามาเจอกัน สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ วัยเด็กของเรามันจะหวนกลับมาเป็นฉากหลังอยู่เสมอ

    ผมกับเพื่อนวัยเด็กมักจะมีความสัมพันธ์กันแบบที่นานๆ เจอกันที แต่เจอกันแล้วยังรู้สึกเหมือนได้เจอกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ต้องระวังตัวอะไรมากมาย ด่ากันได้ไม่ต้องกลัวโกรธกัน และบางครั้งมองตากันก็รู้แล้วว่าอีกคนคิดอย่างไร

    เพื่อนในวัยนี้เรียกได้ว่า คบหากันแบบไม่ต้องมีคำอธิบายต่อท้ายยืดยาว

    ผมจึงมีความคิดว่า รูปแบบของการคบหากันของคนนั้น จะมีรูปแบบต่างไปตามกาลเวลา ที่เมื่อกาละเปลี่ยน เทศะก็จะเปลี่ยน ดังนั้น รูปแบบความสัมพันธ์ของเพื่อนก็จะต่างกันออกไป

    เพื่อนของผมในยุคถัดมา ก็คือเพื่อนวัยมัธยมปลาย ผมออกจากวชิราวุธวิทยาลัย โรงเรียนประจำชายล้วน มาเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท เมื่อย้อนไปคิดถึงตอนนั้นก็จะพบว่า เป็นสถานการณ์ที่เรายังอยู่ในวัยรุ่น และเป็นช่วงที่ต่างจากเดิมที่สมัยเรียนวชิราวุธ ที่เพื่อนๆ จะมีประสบการณ์และพื้นฐานที่ถูกหล่อหลอมและเรียนรู้มาด้วยกัน

    แต่เพื่อนสมัยมัธยม เป็นคนที่มาจากต่างสถานที่ ต่างประสบการณ์ ต่างการรับรู้ในเรื่องความสัมพันธ์ ตลอดระยะเวลา 3 ปีของมัธยมปลาย ผมจึงสนุกกับการคบหาเพื่อนในอีกรูปแบบลักษณะ ที่อาศัยทักษะการปรับตัวค่อนข้างสูง แต่เมื่อผ่านขั้นตอนช่วงนั้นไปได้ เพื่อนในวัยนี้ก็ถือเป็นอีกรูปแบบที่สนุกสนานในการคบหา

    เพื่อนในยุคถัดมาของแต่ละคนก็คือ เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนในส่วนนี้ ด้านหนึ่งก็เช่นเดียวกันช่วงมัธยมที่ต่างคนมาจากต่างประสบการณ์ แต่อีกด้านหนึ่งที่พื้นฐานความรับรู้เหมือนกันก็คือ การเลือกแล้วในแนวทางว่าในอนาคตเราจะเดินไปทางไหน เช่น ผมเลือกเรียนคณะรัฐศาสตร์ เพราะสนใจการเมือง เพื่อนๆ รอบข้างก็เป็นกลุ่มที่อยากรับประสบการณ์ตรงนี้เช่นกัน

    เพื่อนในสมัยมหาวิทยาลัยของเรา จึงเป็นกลุ่มเพื่อนในช่วงวัยรุ่นที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านสู่วัยผู้ใหญ่ ดังนั้นรูปแบบการคบหาจึงไม่ว่างเปล่าและใสไม่มีสีเหมือนเพื่อนวัยเด็ก และก็ไม่ต้องอาศัยการปรับตัวเข้าหากันมากเหมือนเพื่อนยุคมัธยมปลาย แต่ก็จะเป็นการคบหาที่มีองค์ประกอบอื่นในเชิงสังคมรอบข้างเพิ่มเสริมมากขึ้น

    การคบหาระหว่างกลุ่มเพื่อนในมหาวิทยาลัย จึงถือเป็นการคบหาที่ปูพื้นฐานสำหรับการดำเนินชีวิตผู้ใหญ่ไปในเวลาเดียวกัน เพื่อนกลุ่มนี้อาจจะต่อเนื่องไปสู่เพื่อนที่อยู่ในแวดวงการทำงานของเราในอนาคต

    นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนช่วงมหาวิทยาลัยนี้ จะมีองค์ประกอบเรื่องฐานะความเป็นอยู่เข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง เช่น เพื่อนกลุ่มมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะคบหากันในหมู่คนที่มีฐานะคล้ายคลึงกัน หรือมีองค์ประกอบพื้นฐานอื่นในการใช้ชีวิตคล้ายกัน เช่น กลุ่มที่ครอบครัวของแต่ละคนอยู่ในสถาบันทางสังคมอื่นๆ เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่พ่อแม่อยู่ในสโมสรกีฬาเดียวกัน เช่นนี้เป็นต้น

    การบริหารจัดการเพื่อนของผมในช่วงมหาวิทยาลัยจึงสนุกไม่แพ้เพื่อนกลุ่มอื่นๆ การเลือกคบเพื่อนในกลุ่มที่หลากหลายเป็นเรื่องสนุกสนานสำหรับผม ไม่ว่าจะเปลี่ยนกลุ่มที่คนสมัยนั้นเรียกว่า กลุ่มไฮโซ ก็ดี กลุ่มชอบทำกิจกรรมก็ดี หากเราสามารถบริหารจัดการความหลากหลายได้ เพื่อนกลุ่มนี้ก็จะเป็นการคบหาที่พิเศษไม่แพ้เพื่อนในยุคอื่นๆ

    อาจจะมองได้ว่า การคบหาเพื่อนในช่วงนี้เป็นเรื่องยาก แต่หากผ่านประสบการณ์ต่างๆ และคบหากันแล้ว กลุ่มเพื่อนในวัยนี้ เวลาผ่านไป จำนวนจากกลุ่มใหญ่อาจจะเหลือไม่มากนัก แต่กลุ่มเล็กๆ ดังกล่าวจะกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ยืนยาว

    เพื่อนยุคสุดท้ายของเราก็คือเพื่อนวัยทำงาน การคบหากันระหว่างเพื่อนในช่วงเวลานี้เป็นเรื่องที่จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะถึงที่สุดแล้วก็กลายเป็นว่า ต้องเจอกันทุกวัน ทำงานร่วมกัน เป็นกลุ่มเพื่อนที่ ณ ปัจจุบันเจอกันบ่อยที่สุด

    อย่างไรก็ดี แต่ละคนต่างก็ที่มา บางทีก็ต่างวัย ต่างครอบครัว ต่างรูปแบบการใช้ชีวิต ต่างความชอบในชีวิตประจำวัน ต่างรูปแบบและต่างสไตล์ แต่ละคนเต็มไปด้วยความแตกต่าง

    รูปแบบการคบเพื่อนในวัยทำงานจึงเป็นการคบหาสร้างสัมพันธ์ในเชิงจัดการกับ “ความหลากหลาย” ให้มากลมเกลียวกันเพื่อที่จะให้ชีวิตการงานเดินไปได้ อย่างไรก็ดี ความท้าทายของผมในการคบเพื่อนที่เต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลายในส่วนของแต่ละคนนั้น มันสนุกในจุดที่ เราจะสร้างสัมพันธ์ในการคบหา โดยดึงเอารูปแบบของการคบเพื่อนในวัยต่างๆ มาผสมผสานและจัดการให้พอดีได้อย่างไร

    ความสำเร็จของการคบเพื่อนวัยทำงาน ด้วยการจัดการให้มีบางส่วนเป็นรูปแบบของการคบหาเพื่อนวัยเด็ก ก็เป็นเรื่องที่สนุก และท้าทาย บางครั้งความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงาน ที่เวลามีข้อขัดแย้งบนโต๊ะประชุม แต่อาศัยความสัมพันธ์ของบางมุมที่คบกันนอกเวลาทำงานสไตล์แบบเด็กๆ ก็อาจจะลดข้อขัดแย้งที่ต้องปะทะกันในสถานะผู้ใหญ่เพื่อนร่วมงานและทำให้งานส่วนรวมเดินต่อไปได้อย่างราบรื่น

    ผมขอจบตอนแรกของ “วีรบุรุษสำราญ” ด้วยประโยคเกี่ยวกับ “สหาย” ที่ “เฮ้งต๋ง” กล่าวกับ “ก๊วยไต่โล่ว” ดังนี้...

    “สหายสามารถแบ่งปันความสุขของท่าน และแบกรับความทุกข์ของท่านได้ หากท่านมีความยุ่งยากลำบาก สหายล้วนยินยอมช่วยเหลือท่าน หากประสบภัยอันตราย สหายยินยอมทะยานออกรับแทน”

    http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000145606

    ปล.เพื่อนที่ดีที่สุดของเราคือตัวของเราเอง ค้นพบเขาได้เมื่อไร คุณจะหายเหงาในทันใด
    เพื่อนฝูงภายนอกนั้นไม่เที่ยง บังคับไม่ได้ ยิ่งอยากได้อยากมีก็จะยิ่งไม่ได้ ถ้าไม่อยากได้
    ไม่อยากมี ก็กลับมีมาเอง ส่วนเพื่อนที่อยู่ภายในตัวเรามีอยู่แล้ว เพียงแต่เราหยุดแสวงหา
    เพื่อนภายนอก เราจะพบเพื่อนที่ซื่อสัตย์รอคอยเราอยู่เสมอมา เพียงรอเวลาให้เรา ชายหางตา
    ไปหาเขา ใส่ใจเขา สนใจเขา แล้วเขาจะเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์และซื่อตรงต่อเรามากเท่าที่เรา
    ไม่เคยคิดว่าได้รับจากใครที่ไหนอีก เราจะอิ่ม จะหายเหงาตลอดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2010
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คำคมจากเพื่อนสาวจากสมาคมนิยมคาน ยิ่งชีพ อิอิ

    จะ สุข หรือ ทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ คนอื่น ทำ แต่อยู่ที่ เรา เลือก ^ 0 ^[​IMG]

    [​IMG]

    ป้านู๋บี - บัวเหล่าที่ 5 เองจร้าาาาาา

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#edede5><TBODY><TR><TD width=57 background=../template/theme/8/images/left.gif></TD><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD></TD></TR><TR><TD><!-- Comment 4--></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD></TD></TR><TR><TD><!-- Comment 4--></TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ชมรมคนไม่มีเหงา อิอิ...
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=bsonjb&group=2&month=28-09-2010&gblog=5
     
  10. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Wq7wZcIYrEA&feature=related"]รอเธอหันมา....[/ame].........ผมเห็นคนเค้าทะเลาะกันแล้วผมไม่อยากทะเลาะด้วย
    โพสต์เพลงดีกว่า ไม่ต้องทะเลาะกับใครก่อเวรเฉย ๆ
    ทะเลาะเสร็จก็ทำให้ใจขุ่นมัว เชื่อมั้ยพวกนี้ภาวนาจิตไม่ลงหรอก
    ผมบอกได้เลยว่า ภาวนาจิตไม่ลง
    อ้าวดีไม่ดีก่อเวรกันไป ลากกันลงนรกได้นะนี่
    เพราะอะไร ทะเลาะกันจิตก็เป็นอกุศลใช่มั้ย
    จิตเศร้าหมองใช่มั้ย แล้วผลจะเป็นยังไงล่ะ

    อย่างน้อยก็ก่ออกุศลกรรมบถ 10 ล่ะ
    คือถ้าเห็นท่าไม่ดีว่า
    จะต้องทะเลาะหรือขัดแย้งให้หยุดเลยดีกว่า

    ถ้าทะเลาะเสร็จกลับมาภาวนาจิตไม่ลง
    ล้างอารมณ์ในจิตไม่หมด ยังคงเศร้าหมอง
    แล้วสิ่งที่ได้รับล่ะคืออะไร

    ที่สำคัญนะ...ทะเลาะกับใครมา
    หรือว่าจิตเศร้าหมองนะ
    ให้รีบกลับมาภาวนา
    เอาจิตให้ลง ให้สงบละเอียดให้ได้
    อารมณ์ที่ค้างมาจะถูกล้างออกไปได้หมดนะ

    แต่อย่ากลับไม่เอามาคิดมาปรุงใหม่ล่ะ
    มันกลับมาได้อีก

    ถ้าภาวนาจิตสงบละเอียดแล้วล่ะก็
    ล้างอารมณ์เศร้าหมองนี้ได้เป็นพัก ๆ นะ
    นี่ความดับเพราะสมาธิได้ผลอย่างนี้

    ส่วนผมไม่อยากทะเลาะล่ะ
    ล้างไม่ไหว ล้างเท่าไหร่ก็ไม่หมด....


    อืม...
    ที่มาโพสต์ไม่ใช่อะไรนะ
    อยากให้....รู้ว่าผมยังอยู่....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2010
  11. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    อืม....ผมมีเรื่องเล่าให้ฟัง
    เรื่องก่อเวรกันนี่แหละ

    มีคนสองคนเป็นญาติห่าง ๆ กัน
    ร่วมทำงานด้วยกัน ไปซื้อรถมาคันหนึ่งเพื่อรับจ้าง
    คนนึงเป็นคนออกเงินซื้อรถ
    ส่วนอีกคนนึงเป็นคนขับรถรับจ้าง
    ได้กำไรมาก็แบ่งกัน

    แต่ซื้อรถนี่สิ ไปใช้ชื่อของคนขับเป็นผู้ซื้อรถเป็นเจ้าของรถ
    ไม่ได้ใช้ชื่อของคนออกเงิน เป็นเจ้าของรถ
    แต่ก็รู้กันอยู่ว่ารถเป็นของคนที่ออกเงิน

    แต่คนที่ขับรถโลภอยากได้รถมาเป็นของตน
    ก็ถือรถว่าเป็นของตน ตนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
    และก็มีปัญหากับคนที่เป็นเจ้าของรถตลอดเวลา
    เรื่องอ้างกรรมสิทธิรถ ว่าใครเป็นเจ้าของ

    ต่อมาวันนึงคนขับรถเสียชีวิต
    โดยถูกรถคันที่ตนขับนั้นทับเสียชีวิต
    แต่ด้วยความโลภทำให้จิตเกาะอยู่ที่รถ
    เกิดเป็นเปรตเฝ้ารถคันดังกล่าวอยู่
    พอญาติพี่น้องตนตายตามไป
    ก็จะเป็นบริวารของตน

    เปรตคนขับรถนี้ เป็นเปรตตัวใหญ่มีอำนาจ
    บริวารที่ตายตามไป จะไปเกิดเป็นเปรตตัวเล็ก
    ห้อยอยู่ตามแขน ตามตัวของเปรตตัวใหญ่ตัวนั้น
    เปรตตัวนี้นอกจะเฝ้ารถแล้ว
    ยังคอยอาฆาตเจ้าของคนออกเงินซื้อรถ
    คือเมื่อเจ้าของออกเงินซื้อรถตายเมื่อไหร่
    เปรตตัวนี้จะลากเอาลงนรกไปด้วยกัน
    คือจะลากลงนรกไปด้วยกันด้วยความโกรธความแค้นเลย

    พระอรหันต์ท่านต้องให้ผมไปตามญาติพี่น้องของเปรตตัวนั้นมา
    เพราะเปรตตัวนั้นอยากได้รถ อยากได้ให้ญาติพี่น้องตน
    เพราะถ้าผมตามญาติพี่น้องของเปรตมาได้
    เปรตตัวนั้นจะติดตามญาติพี่น้องตัวเองมาด้วย
    เมื่อเปรตได้มากราบพระอรหันต์ท่านก็จะเมตตาเปรตตัวนั้นได้

    สุดท้ายคือญาติพี่น้องของเปรตได้รถไป
    ด้วยความเต็มใจของเจ้าของรถ
    (เจ้าของรถไม่รู้นะว่าเกิดอะไรขึ้น ผมปิดบังไว้ไม่บอก)
    เพราะเจ้าของรถเป็นคนใจบุญ ไม่ตระหนี่

    ตัวเปรตผมก็ไม่รู้ว่าจากอานิสงส์ในการฟังธรรมจากพระอรหันต์ท่าน
    เค้าจะไปเกิดที่ไหน ผมไม่รู้

    แต่เจ้าของรถนี่ตายไปแล้ว
    แต่ไม่ได้ลงนรกนะ เพราะถ้าแก้ไขเหตุการณ์นี้ไม่ได้อาจลงนรกกันหมด
    แต่เจ้าของรถ ปรากฎว่า
    เป็นพระอริยะบุคคลขึ้นมาในวาระสุดท้ายก่อนจะตาย....

    นี่เรื่องจริงเข้าไปเกี่ยวข้องเอง
    เป็นคนเข้าไปแก้ไขให้เรื่องร้ายกลับกลายเป็นดี
    ด้วยความเมตตาของพระอรหันต์ ท่านให้สร้างบารมี....

    จะหาว่าโม้ก็ตามเถอะ....แต่โม้ในเรื่องจริง....ก็จะให้ว่าไง
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ก็ตามสบายนะ ทำอะไรแล้วสบายใจ จิตไม่ติดข้อง เป็นอิสระจากอกุศลจิต และกุศลจิตได้
    ก็ดีทั้งนั้นกระทู้นี้ของป้าบัวเหล่าที่5 เขาอนุญาติให้ทุกคนมาร่วมทำกรรมร่วมกันได้ ไม่จำกัด
    เข้าไม่ติดข้องในกรรมของตัวเองและของกรรมของคนอื่น
    เราชอบนโยบายของป้าบัว5 ก็เลยมาสิงอยู่ที่นี่ เพราะทำด้วยความสบายใจ

    ตามสบายนะ คิดว่าเป็นรีสอร์ทใจ สปาใจ ก็แล้วกัน ตามสะดวก
    ที่นี่เขาไม่ยึดมั่นถือมั่น มีแต่เห็นอกเห็นใจและเคารพการเป็นปัจเจกชนซึ่งกันและกัน
    ------------------------------
    คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ใบหน้า
    คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
    คนจะแ่ก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
    คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต
    China - Manager Online -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2010
  13. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    - - .... กระทู้ แมวเหมียว ง๊าววว เงี๊ยววว
     
  14. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ขอนอกเรื่องนิดดนึงอ่ะคับ พี่"ชากะ" หายไปไหนมาคับ ผมไม่เห็นซะหลายวัน ผมคิดถึงน่ะครับ คิดว่าพี่เป็นอะไรไปเสียแล้ว อิอิ
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วิถีแห่งกระบี่ เล่งฮู้ชง มันอยูในใจของคนทุกผู้

    ข้าพเจ้าเป็นเพียงแค่ ไอ้ กระบี่หัก ลมปราณพิลึก ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ติด ๆ ขัด ๆ
    ตามแต่ อารมณ์ กุศล อกุศลในใจ เมื่อ จิตท่านว่าง วาง จาง คลาย ท่านก็จะได้ในทุกสิ่ง

    ได้โดย ไม่ต้องแบก ไม่ต้องประกาศ ไม่ต้องอยู่ในกรงแห่งโลกธรรมแปด

    พิชิต โดย ไม่ต้อง พิชิต ดวงจิตขับลำนำแห่งฟ้ากว้าง

    พระเอก เล่งฮู้ชง ไม่ยึดติด ใน หน้ากาก แห่งฝ่ายธรรมะ และ อธรรม

    ใน หน้ากากแห่งความดี หน้ากากแห่งความชั่ว มีจริงหรือไม่

    สำแดงเพียง เปลือก เพียงมายา หรือ สำแดงจากใจดิบ ๆ แห่งท่าน

    ใจดิบ ๆ แห่งความดีงาม ดุจกายรุ้ง ที่พุ่งออกจาก ความว่าง

    มิต้อง เติมแต่ง ดิบ ๆ เพียว ๆ ธรรมชาติ ไม่ข้องใน โลกแห่งธรรมคู่ หรือ อยู่ฟากฝั่งไหน

    ผมว่า จะกลับไป อ่านผลงานของกิมย้ง อีกรอบแล้ว

    ความว่าง ความไม่ยึดติด การปล่อยว่าง นี่สุดยอดแห่งปรัชญา กระบี่ ภูมิปัญญาแห่งทุกศาสตราในโลกนี้

    อยู่ ใน ความว่าง วาง ไม่แบก ไม่ยึด อากาสดดิบ จากใจ

    มือ ที่กำ ย่อมจับอะไรไม่ได้

    แบ มือ ออกมา จะพบว่า ในมือ ท่านนั้น ว่างเปล่า และว่างพอที่จะหยิบจับในสรรพสิ่ง

    ในในทางธรรมนั้น ยิ่งให้ ยิ่งวาง ยึ่งว่าง ยิ่งได้
    ได้โดยไม่ต้อง แย่ง

    แบมือ แล้ว จะเกิด รูปกายแห่งความกรุณา ที่มือไร้ประมาณ จับทุก ๆ เคล็ดวิชา กลางอากาศ

    ข้าพเจ้า นั้น พยายามอยู่ ว่างแบบ บรรจุได้ในทุกสิ่ง ทุก ๆ พลัง

    ฮ่าๆๆๆๆๆ ช่วงหลัง หลังจากเจอ สารพัดคมอาวุธ

    กำลังรัก รักษา อาการ ธาตุไฟเข้าแทรกอยู่ ค่อยเป็นไป นะ อย่ารีบ

    ขอมอบ วิถีแห่งเพลง แห่งกระบี่เย้ยยทธจักรให้ท่าน นะ ขอให้ได้มัน โดยมิต้องแบก

    สาธุ สาธุ สาธุ


    จ อ ม ยุ ท ธ์ ~ . .('_^)b - P 2 W a r s h i p

    โดยมดเอ๊กซ BlogGang.com : : itoursab :
     
  16. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    <a href="http://glitter.kapook.com/category.php?category_id=16&sid=70a3267697dfab90fdbabfcf555ad34f" target="_blank"><img src="http://glitter.kapook.com/files/glitter/photo/original/3/3768.gif" border="0" alt="คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ..." title="คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ..."></a>
    อุ๊ยยยส์....
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ----------------------------------------------
    ธรรมหมุนรอบทิศ ธรรมไม่ติดกรอบ

    ไม่ทอดกรอบ จนมันกรอบ กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ
    แห้งแล้ง ตายซาก กลายเป็นกรงขังจิตวิญญาณของท่าน

    จงก้าว ออกมา จากกรอบ จากคอก มาอยู่นอกคอก

    นอกคอก แบบ มี สติ สมาธิ ปัญญา อามณ์ขันบ้าง นะ
    ------------------------------------
    [​IMG]

    โดย มดเอ๊กซ เจ้าเก่า อิอิ
    BlogGang.com : : itoursab :
     
  18. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    การเมตตาต่อกันนับเป็นเรื่องที่ดี
    เมื่อเมตตาผู้อื่นก็อย่าลืมเมตตาตนบ้าง

    การเมตตากรุณาต่อผู้อื่น
    ก็คือการเฉลี่ยเผื่อแผ่น้ำใจ
    จนกระทั้งสิ่งของหรือการกระทำอันเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
    นั่นคือเราจักต้องมักน้อยมีอัปปิฉตาธรรม
    เพื่อจะได้มีส่วนที่จะเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่นได้ตามกำลังตน

    ส่วนเมตตาตนนั้น...เมตตาอย่างไร?

    เมตตาตนนั้นตรงข้ามกับเมตตาผู้อื่น..
    เมตตาผู้อื่นนั้นต้องมักน้อย
    ส่วนเมตตาตนนั้นต้องไม่มักน้อย

    ไม่มักน้อยในทาน ในศีล ในการภาวนา...

    การภาวนาหมายถึง....
    การอบรมจิตใจเราให้เป็นธรรม
    อันได้แก่ สมาธิ ปัญญา

    การจะ้เจริญสมาธิ เจริญปัญญาได้นั้น
    ต้องอยู่ตัวคนเดียว...
    กายต้องวิเวกก่อน
    เมื่อกายวิเวก จิตก็วิเวก
    เมื่อจิตวิเวกได้ อุปธิวิเวกคือสงัดจากกิเลสทั้งปวงจึงเกิดขึ้นได้
    นี่ต้องเป็นขั้นเป็นตอนอย่างนี้
    สำคัญคือ กายต้องวิเวก ก่อน เป็นขั้นเป็นตอนไป

    กายวิเวกคืออยู่ตัวคนเดียว
    แม้พระพุทธองค์ก็ทรงสละทุกสิ่งทุกอย่าง
    อยู่ลำพังแต่พระองค์ เพื่อค้นหาทางพ้นทุกข์

    ดังนั้น...ผู้ปฏิบัติหากหวังพ้นจากสังสารวัฏ อย่างแท้จริง
    การมีครอบครัวจึงเป็นอุปสรรคอย่างมาก

    เดี๋ยวแต่งงานไป...อยากปฏิบัติก็ทำไม่ได้
    เดี๋ยวสามี หรือ ภรรยา ก็บอกว่า
    ให้รอสัก 5 ปี ก่อน พอ 5 ปี ผ่านไป
    ก็บอกให้รอ อีก 5 ปีก่อน สุดท้ายก็เป็น 10 ปี
    ยิ่งอยู่นานไปความรักความผูกพันยิ่งหนาแน่น
    สุดท้ายไม่อยากออกปฏิบัิติ เพราะเป็นห่วงกันและกัน
    มัดกันเอาไว้ เกิดตายอยู่อย่างนี้ต่อไป

    ยิ่งถ้ามีูลูก....
    ก็ต้องเลี้ยงดูเค้าจนกระทั่งเค้าช่วยตัวเองได้
    จึงจะเป็นไท เป็น อิสระ แก่ตนได้
    และยิ่งหากเป็นหญิง
    เมื่อมีลูกแล้ว ตัวเองจะติดลูกไปจนแก่
    จนหาทางออก เล็ดลอดให้ตนเองไม่ได้

    จนสุดท้ายคือแก่แล้ว...
    ไม่มีกำลังปฏิบัติแล้ว
    สุดท้ายชาตินี้เป็นอันหมดสิทธิ์พ้นทุกข์
    ต้องรอไปชาติหน้า...ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสมาพบพระพุทธศาสนาอีกหรือไม่

    เมื่อมีโอกาสให้เร่งปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ให้เต็มกำลัง
    อย่าคิดเลยว่าการมีครอบครัวจะมีความสุข
    มันไม่มีหรอก...
    ความอยากมันเป็นอุบายของกิเลสหลอกเราให้ติดอยู่ในโลกเท่านั้นแหละ

    เร่งปฏิบัติเถอะ....เอาให้จิตสงบ
    ในขั้นสมาธินี่ก็พอตัวแล้ว
    ติดสุขในสมาธินี่ก็พอตัวแล้ว

    ความรู้ ความปิติ ความสุข...
    ก็อยู่ท่ามกลางอกนี่แหละ
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ครั้งหนึ่งที่เมืองโกสัมพีพระองค์ก็ถูกนางมาคันทิยา พระมเหสีของพระเจ้าอุเทน ว่าจ้างคนกล่าวร้ายพระองค์ด้วยวิธีการต่างๆ

    สาเหตุที่นางมาคันทิยาอาฆาตพระองค์ก็เนื่องจากว่า ก่อนหน้านี้พ่อแม่ของนางที่เลื่อมใสในพระองค์ได้ยกนางให้กับพระองค์เพราะความไม่รู้ พระองค์ไม่รับและเปรียบเทียบร่างกายของนางทีสวยงามมีแต่อุจจาระปัสสาวะ

    เมื่อนางมาคันทิยาจ้างคนว่าร้ายพระองค์อย่างนี้ ทำให้พระอานนท์ทนไม่ไหว จึงทูลให้พระองค์เสด็จไปเมืองอื่น พระองค์ตรัสว่า หากไปที่เมืองนั้นมีคนว่าร้ายอีกจะทำอย่างไร พระอานนท์ก็ทูลให้เสด็จไปเมืองอื่นเรื่อย ๆ

    พระองค์ตรัสว่า "อาวุโส! ตราบใดที่บุคคลยังพอใจด้วยคำสรรเสริญ เขาย่อมยังต้องหวั่นไหวเพราะถูกนินทา ที่เป็นกฎที่แน่นอน พระตถาคตเจ้าทำพระมนัสให้เป็นเช่นแผ่นดินหนักแน่น และไม่ยินดียินร้ายว่าใครจะไปโปรยปรายของหอมดอกไม้ลงไป หรือใครจะทิ้งเศษขยะของปฏิกูลอย่างไรลงไป"
    พระอานนท์ กราบทูลพระองค์ว่า
    "พระองค์ผู้เจริญ! อย่าอยู่เลยที่นี่ คนเขาด่ามากเหลือเกิน"
    "จะไปไหน อานนท์" พระศาสดาตรัส มีแววแห่งความเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและสีพระพักตร์
    "ไปเมืองอื่นเถิดพระเจ้าข้า สาวัตถี ราชคฤห์ สาเกต หรือเมืองไหนๆ ก็ได้ ที่ไม่ใช่โกสัมพี"
    "ถ้าเขาด่าเราที่นั่นอีก?"
    "ก็ไปเมืองอื่นอีก พระเจ้าข้า"
    "ถ้าที่เมืองนั้นเขาด่าเราอีก?"
    "ไปต่อไป พระเจ้าข้า"
    "อย่าเลย อานนท์! เธออย่าพอใจให้ตถาคตทำอย่างนั้น ถ้าจะต้องทำอย่างเธอว่า เราจะไม่มีแผ่นดินอยู่ มนุษย์เราอยู่ที่ไหนจะไม่ให้มีคนรักคนชังนั้นเห็นจะไม่ได้ เรื่องเกิดขึ้นที่ใด ควรให้ระงับลง ณ ที่นั้นเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป อานนท์! เรื่องที่เกิดขึ้นแก่ตถาคตนั้นจะไม่ยืดยาวเกิน 7 วัน คือจะต้องระงับลงภายใน 7 วันเท่านั้น"
    แล้วพระพุทธองค์ก็ตรัสต่อไปว่า "อานนท์! เราจะอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น เหมือนช้างศึกก้าวลงสู่สงคราม ต้องทนต่อลูกศรซึ่งมาจากทิศทั้ง 4 เพราะคนในโลกนี้ส่วนมากเป็นคนชั่ว คอยแส่หาแต่โทษของคนอื่น เธอจงดูเถิด พระราชาทั้งหลายย่อมทรงราชพาหนะตัวที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ชุมนุมชน เป็นสัตว์ที่ออกชุมนุมชนได้ อานนท์เอย! ในหมู่มนุษย์นี้ผู้ใดฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด ม้าอัสดร ม้าสินธพ พญาช้างตระกูลมหานาคที่ได้รับการฝึกแล้วจัดเป็นสัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ แต่คนที่ฝึกตนดีแล้วยังประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น
    ดูก่อนอานนท์! ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้ แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตน เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุดผู้มีความอดทน มีเมตตา ย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เปิดประตูแห่งความสุขความสงบได้โดยง่าย สามารถขุดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้ คุณธรรมทั้งมวล มีศีลและสมาธิ เป็นต้น ย่อมเจริญงอกงามแก่ผู้มีความอดทนทั้งสิ้น
    ในที่สุดทาสและกรรมกร ที่พระนางมาคันทิยาว่าจ้างมาด่าพระมหาสมณะก็เลิกราไปเอง เพราะเขาทั้งหลายรู้สึกว่าเขากำลังด่าเสาศิลาแท่งทึบซึ่งไม่หวั่นไหวเลย ความพยายามของพระนางมาคันทิยาเป็นอันล้มเหลว อาวุโส! พระศาสดาเคยตรัสไว้ว่า ภูเขาศิลาล้วนย่อมไม่หวั่นไหวด้วยลมจากทิศทั้ง 4 ฉันใด บัณฑิตย่อมไม่หวั่นไหวเพราะคำนินทาและสรรเสริญฉันนั้น <!--MsgFile=0-->

    <TABLE cellSpacing=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom width="10%">จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=0-->aunemaek2</TD></TR></TBODY></TABLE>
    PANTIP.COM : Y9824984
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตัวกู - ของกู โดยคุณ สันตินันท์

    เขียนเมื่อ วัน จันทร์ ที่ 26 มิถุนายน 2543 19:17:00

    อ่านหลายกระทู้ในลานธรรม ที่แนะนำให้มองทุกอย่างให้ว่างจาก ตัวกู - ของกู
    และอ่านกระทู้ ความวิปลาส ของคุณพัลวันในวิมุตติแล้ว
    เห็นว่าเราน่าจะคุยกันเรื่อง ตัวกู - ของกู สักครั้งหนึ่ง

    ช่วงที่ผมคลั่งคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส
    ผมรู้สึกว่าตนเองเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างถึงแก่นแท้แล้ว
    คือถ้าพยายามมองอะไรแบบว่างจาก ตัวกู - ของกู เสียอย่างเดียว
    ทุกสิ่งก็เป็นความว่าง ทั้งว่างจาก ตัวกู - ของกู และว่างจากกิเลสตัณหา
    เมื่อถึงความว่างอย่างนี้แล้ว ก็คือพ้นจากความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง
    เป็นอันว่าจบหลักสูตรพระพุทธศาสนา จัดเป็นผู้รู้จริงคนหนึ่ง
    เพราะเข้าถึงแก่นธรรม หรือหัวใจของพระพุทธศาสนาที่ว่า
    "สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ - ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น"

    ความรู้ความเห็นที่ให้มองอะไรๆ ให้ว่างจาก ตัวกู - ของกู
    มีผลในทางทำให้กิเลสในใจเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกัน
    อย่างจะโกรธใครสักคน ก็คิดว่าเขาไม่ได้ด่าเรา เพราะเราไม่มี
    ตัวเขาเองก็ไม่มีอะไร มีแต่แค่เสียงกระทบหู
    แล้วจิตที่โง่ก็ไปคิดว่า "เขา" ด่า "เรา" จึงเป็นทุกข์ขึ้นมา
    การคอยคิดเรื่อง ตัวกู - ของกู ช่วยให้จิตใจสบายขึ้นได้จริงๆ

    นอกจากนี้ก็อิ่มใจ ภูมิใจ ว่าเราเข้าถึงแก่นธรรมแล้ว
    ส่วนคนอื่นๆ ยังเป็นคนที่วิ่งเลาะอยู่ริมฝั่ง
    เช่นยังหลงอยู่กับพิธีกรรมต่างๆ อันเป็นเปลือก เป็นกระพี้ศาสนา

    จนเมื่อได้มาปฏิบัติอย่างจริงจังแล้วนั่นแหละ จึงพบว่า
    การจะให้เห็น ตัวกู แล้วขจัดได้จริงๆ
    หรือการมองทุกอย่างเป็นความว่าง ทั้งจิตก็ว่าง และไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง
    เป็นงานที่ยากแสนยาก และทำไม่ได้ด้วยการคิดๆ เอาเอง

    มีแต่การเจริญสติปัฏฐานอย่างจริงจังเท่านั้น
    จิตจึงจะพ้นจากตัณหาและทิฏฐิ และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ได้จริง
    จิตที่คิดแต่เรื่องความว่าง ความไม่มี ตัวกู - ของกู
    คือจิตที่มีทิฏฐิถูกต้องครอบงำ
    คือเห็นว่า "ความเห็นหรือทิฏฐินี้ สมควรแก่เรา.. เราเชื่ออย่างนี้"
    ซึ่งยังห่างไกลจากความว่าง หรือความไม่มี ตัวกู - ของกู แบบคนละเรื่องทีเดียว

    *********************************************

    ต่อไปนี้ ขอเปลี่ยนจากคำว่า กู เป็น เรา
    เพราะไม่เกี่ยวกับท่านอาจารย์พุทธทาสแล้ว

    สิ่งที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรา หรือเป็นตัวกูนั้น
    ก็เริ่มจากการรู้สึกว่า ร่างกายนี้แหละคือตัวเรา
    แต่พอเจริญสติสัมปชัญญะเข้า ก็เริ่มเห็นว่า
    อ้อ กายนี้ไม่ใช่ตัวเราหรอก แต่เป็นกายของเรา
    เพราะกายนี้ถูกเห็น ถูกรู้อยู่ต่อหน้าต่อตา
    จึงลดระดับจากกายที่เป็น ตัวเรา เหลือเพียงเป็น กายของเรา
    (เหมือนที่รู้สึกว่า นี่แขนของเรา นี่ขาของเรา นี่ศีรษะของเรา
    ชี้ลงที่อวัยวะใด ก็ล้วนแต่เป็นอวัยวะของเรา
    ไม่มีอวัยวะใดที่ชี้แล้วเรียกว่า ตัวเรา ได้เลย)

    แม้เวทนา สัญญา และสังขาร ก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้เช่นเดียวกับกาย
    มันจึงปรากฏชัดว่า เป็นเวทนา สัญญา และสังขารของเรา
    แล้วก็จะเหลืออยู่แต่จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้คิด ผู้นึก ผู้ยินดียินร้าย
    ตัวนี้แหละดูอย่างไรก็รู้สึกว่า เป็น ตัวเรา

    เรื่องความเป็นตัวเราของจิตนั้น มันซ้อนกันอยู่ 2 ระดับ
    คือ ความเห็นว่าจิตเป็นเรา อย่างหนึ่ง
    และ ความยึดว่าจิตเป็นเรา อีกอย่างหนึ่ง

    การทำลายความเห็นผิด ว่าจิตเป็นเราก็ดี
    การทำลายความยึดมั่น ว่าจิตเป็นเราก็ดี
    ทำไม่ได้ด้วยการคิดๆ เอา ว่าไม่มีตัวกู - ของกู
    เพราะคิดอย่างไรก็คือ กูคิด - กูรู้ อยู่นั่นเอง
    แต่ทำได้ด้วยการเจริญสติปัฏฐานให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเท่านั้น

    ผมเคยไปนั่งพับเพียบจับเข่าท่านอาจารย์พุทธทาสแล้วเรียนถามท่านว่า
    "ท่านอาจารย์เขียนหนังสือตั้งมากมาย
    ถ้าผมอ่านให้หมด แล้วคิดตาม ผมจะรู้ธรรมได้หรือไม่"
    ท่านตอบว่า "ไม่รู้หรอก"
    ผมจึงถามท่านว่า "แล้วทำอย่างไรจึงจะรู้ธรรม"
    ท่านตอบว่า "ต้องเจริญสติเอาเอง"
    กล่าวแล้ว ท่านอาจารย์ก็กำหนดสติรู้ลมหายใจของท่าน

    ความเห็นว่าจิตเป็นเรา อันจัดเป็นสักกายทิฏฐินั้น
    ไม่สามารถล้างได้ด้วย การคิด ว่าจิตไม่ใช่เรา
    แต่จะขาดได้ด้วย ความรู้ชัด ว่าจิตไม่ใช่เรา
    และความรู้ชัดนั้น จิตเขาต้องรู้ชัดของเขาเอง
    ผู้ปฏิบัติทำได้เพียงการเจริญสติสัมปชัญญะ
    รู้สภาวธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงเท่านั้น

    ความแปลกประหลาดของธรรมอันหนึ่งอยู่ตรงนี้ครับ
    คือผู้ปฏิบัติเจริญสติด้วยการระลึกรู้ กาย เวทนา จิตสังขาร
    หรือธรรมอันเป็นกลไกการทำงานของจิต
    ไม่ได้เจริญสติสัมปชัญญะรู้ตรงเข้าไปที่จิต
    (เพราะการใช้จิตไปแสวงหาจิต เป็นสิ่งที่ไม่มีใครกระทำได้)
    ในขณะปฏิบัติ ไม่เคยคิดเลยเรื่องจิตจะเป็นเราหรือไม่
    แต่ตอนที่ความรู้เกิดนั้น
    กลับไปเกิดความรู้รวบยอดเอาที่การเห็นชัดว่า จิตไม่ใช่เรา
    เหมือนมองดูเงาหน้าของตนเองในกระจก
    ไม่เคยมองหน้าจริงๆ ของตนเองสักครั้ง
    แต่พอถึงจุดหนึ่ง ก็รู้จักหน้าตาของตนเอง ว่าเป็นอย่างไร
    การรู้กาย เวทนา จิต ธรรม ก็เหมือนการดูเงาของจิต
    เมื่อดูถึงจุดหนึ่ง ก็รู้จักจิต


    อนึ่ง ในขณะที่เจริญสติสัมปชัญญะอยู่นั้น จะรู้ชัด ในทันที ว่า
    กาย เวทนา จิต หรือธรรมที่ถูกรู้นั้น
    เป็นสิ่งที่ถูกรู้และแยกออกต่างหากจากจิต
    ไม่ใช่รู้กายวันนี้ แล้วมะรืนจึงเห็นกายแยกเป็นคนละส่วนกับจิต
    ถ้าระลึกลงในกายแล้ว ยังไม่เห็นว่ากายฯลฯ เป็นสิ่งถูกรู้และไม่ใช่จิต
    ก็แสดงว่ายังเจริญสติปัฏฐานไม่ถูกต้องเท่าที่ควรจะเป็น

    เมื่อเจริญสติปัฏฐานต่อเนื่องเข้าถึงจุดหนึ่ง
    จิตจะวางอารมณ์ภายนอกทั้งหมด
    ดับความจงใจที่จะปฏิบัติ ดับความคิดนึกปรุงแต่ง
    เหลือเพียงธรรมชาติที่เกิดขึ้น และดับไป
    โดยไม่มีสัญญาหรือความสำคัญมั่นหมายว่า สิ่งนั้น คือสิ่งนั้น
    เป็นการเจริญวิปัสสนาโดยอัตโนมัติของจิตที่อบรมมาดีแล้ว

    เมื่อจิตรู้จริงถึงธรรมที่เป็น สังขารธรรมหรือธรรมฝ่ายปรุงแต่งแล้ว
    จิตก็จะประจักษ์ชัดถึง วิสังขารธรรมหรือธรรมที่พ้นความปรุงแต่ง

    เมื่อความปรุงแต่งขาดไป ความเห็นว่าจิตเป็นเราก็ขาดลงเพียงนั้น
    เพราะความเห็นว่าจิตเป็นเรา เกิดจากสังขารขันธ์เข้าไปปรุงแต่งจิต
    เมื่อจิตผ่านสภาวะอันนั้นมาแล้ว
    ความเห็นว่าจิตเป็นเราจะไม่ย้อนกลับมาอีก
    แม้ในฝันก็ไม่มีความเห็นว่าจิตเป็นเรา แม้แต่น้อยหนึ่ง
    แต่ความยึดว่าจิตเป็นเรา ยังมีอยู่อย่างเหนียวแน่น
    เนียน และเร้นลึก จนยากจะสังเกตเห็นได้

    ผมเองก็ทำได้เพียงการรู้ถึงความยึดว่าจิตเป็นเราได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น
    คือจะรู้ได้ ต่อเมื่อยามใดเจริญสติสัมปชัญญะอยู่
    แล้วรู้ชัดถึงความปรากฏขึ้นของสังโยชน์เบื้องสูง 4 ประการ
    อันได้แก่รูปราคะ อรูปราคะ มานะ และอุทธัจจะ อันใดอันหนึ่ง
    สิ่งเหล่านี้คือเงาของจิตที่ถูกยึดว่าเป็นตัวเรา
    เมื่อเห็นเงา แล้วเฉลียวนิดหนึ่ง ก็เห็นถึงจิตที่ถูกยึดว่าเป็นตัวเรา
    เพราะถ้าไม่มีจิตที่เป็นตัวเรา ก็ย่อมไม่มีราคะในฌาน
    ไม่มีความถือตัว และไม่มีความฟุ้งไหวเล็กๆ เพราะความหิวธรรมอย่างเร้นลึก
    พอเห็นจิตที่เป็นตัวเรา ความเป็นตัวเราก็สลายออกจากจิตทันที
    จิตก็เข้าถึงสภาพธรรมที่รู้ ตื่น และเบิกบาน
    จากนั้นก็จะหมดความสามารถที่จะเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งได้
    เพราะจิตยังประกอบด้วยอวิชชา มันจึงเคลื่อนออก ส่งออก ไปรู้สิ่งภายนอก
    โดยไม่สามารถจะทรงตัวรู้อยู่กับ จิตหนึ่ง หรือจิตเดิมแท้ ได้อย่างถาวร

    การปฏิบัติธรรมเป็นของละเอียดและลาดลึกไปตามลำดับ
    เป็นเรื่องที่ต้องประจักษ์ถึงสภาวะจริงๆ ที่กำลังปรากฏ
    ด้วยจิตที่พร้อมด้วยกำลังทั้งสติ ธรรมวิจัย วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา
    ไม่ใช่เรื่องที่จะพูด หรือคิดฟุ้งซ่านไปถึง ความว่าง ความไม่ยึดมั่นถือมั่น
    หรือ ความไม่มีตัวกู ของกู

    มิฉะนั้น ก็จะเข้าถึงเพียงสภาวะที่ว่า
    กู ไม่มีตัวกู ของกู
    ยึดมั่น ในความไม่ยึดมั่น

    [กระทู้เก่ามาเล่าใหม่] ตัวกู - ของกู โดยคุณ สันตินันท์
     

แชร์หน้านี้

Loading...