ให้บูชาวัตถุมงคลประจำปี ๒๕๖๘

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย phumiput, 2 มกราคม 2025.

  1. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6,011
    ค่าพลัง:
    +16,591
    รายการที่ ๑๐๔
    ให้บูชาคู่ (ช้างคู่บารมีพระแม่เจ้าจามเทวี)

    รายการแรก รูปหล่อช้างพญางาเขียวศัตรูพินาศ(พญาช้างปู้ก่ำงาเขียว) ช้างเผือกคู่บารมีพระนางเจ้าจามเทวี เนื้อโลหะผิวไฟ จำนวนการสร้าง ๕๐๐ องค์ สำหรับเนื้อนี้ สร้างปี 59

    ข้อมูลเกี่ยวกับพญาช้างปู้ก่ำงาเขียว จากเว็บวัดท่าขนุน (ซึ่งไม่ใช่การเสกรุ่นนี้นะครับ)
    พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๒๗ ไปพุทธาภิเษกที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ญาติโยมทำบุญกับอาตมาไว้มาก อาตมาก็ยกเข้ากองกฐินของวัดไป ตุ๊พ่อสิงห์ท่านไม่ยอม ท่านคว้าซองไปเรี่ยไรโยมมาถวายใหม่ ท่านบอกว่าอย่าไปใส่ขัน ใส่ขันแล้วครูบาเล็กท่านคืนมาหมด ท่านเลยไปเรี่ยไรโยมมาใหม่ ตั้งใจจะถวายกลับวัด อาตมากลับวัดก็เอาเข้าบัญชีสร้างพระทองคำ เห็นศรัทธาโยมอยากทำก็ต้องการให้เขาได้บุญมาก นับไปนับมาตั้ง ๓ หมื่นกว่าบาทก็ตกใจ ทำไมถวายกันมาเยอะนัก
    ที่ขำที่สุดก็คือ ไม่รู้หรอกว่าที่นั่นมีช้างของท่านแม่จามเทวีอยู่ ท่านแม่จามเทวีมีช้างคู่บารมี ซึ่งพอพระองค์ท่านขึ้นครองราชย์ก็ตั้งให้เป็นพญางาเขียวศัตรูพินาศ คำว่า "เขียว" ก็คือดำนั่นแหละ เป็นช้างเผือกงาสีดำ คำว่า "นิล" บางคนเขาบอกว่าเป็นสีเขียว บางคนบอกว่าเป็นสีดำ ต้องเข้าใจว่าดำจนเขียวเป็นอย่างไร ดำจริง ๆ แบบที่เขาบอกว่าพระรามผิวเขียว จริง ๆ แล้วก็คือดำมาก
    คราวนี้อาตมาไปทำบวงสรวงให้ ปรากฏว่าพญาช้างท่านก็มา พญาช้างนี้เขาเรียกทั่ว ๆ ไปว่าปู้ก่ำงาเขียว ก็คือช้างพลายงาดำ คราวนี้พอท่านมา ท่านบอกว่าขอพวงมาลัยสักพวงหนึ่ง เพื่อแสดงออกว่ายินดีให้ท่านมาช่วยงาน จึงเรียนให้ตุ๊พ่อสิงห์ทราบ อาตมาก็ยังคิดว่าต้องไปถึงโน่น อนุสาวรีย์พระแม่เจ้าจามเทวีที่ในตัวเมืองลำพูน เพราะว่าเขาทำอนุสาวรีย์รูปช้างปู้ก่ำงาเขียวที่นั่น ปรากฏกว่าตุ๊พ่อสิงห์สร้างช้างไว้หน้าศาลา อาตมาไม่เคยมองเห็นเลย เพราะว่าทุกครั้งที่ไปงานจะติดเต็นท์โรงทาน แล้วคนเต็มไปหมด มองไม่เคยเห็นช้างสักที พญาช้างปู้ก่ำงาเขียว ที่ออกรบที่ไหนไม่เคยแพ้ ช่วยให้พระแม่เจ้าจามเทวีสามารถสถาปนาอาณาจักรหริภุญชัยได้ยิ่งใหญ่ ครอบคลุมทั่วทั้งภาคเหนือ
    เก็บตกบ้านวิริยบารมี พฤศจิกายน ๕๖
    พระแม่เจ้าจามเทวีมีสัตว์คู่พระทัยอยู่ ๓ ชนิด อย่างแรกเป็นช้างทรง ชื่อ พญางาเขียวศัตรูพินาศ ชาวบ้านเรียกว่า ปู้ก่ำงาเขียว คำว่าปู้คือช้างตัวผู้ ช้างพลายนี่เอง คำว่าเขียวของโบราณก็คือดำ ดังนั้น..เราจะเห็นว่าพระรามมีร่างกายสีเขียว ก็คือสีดำ คงจะดำสนิทที่เรียกว่าดำจนเขียว ดังนั้น ช้างพลายคู่พระทัยของพระนางเจ้าจามเทวีเป็นช้างเผือกงาดำ
    เก็บตกเก็บตกงานสงกรานต์ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๔


    ดังนี้นรุ่นนี้พญาช้างปู้ก่ำงาเขียว ท่านก็มาช่วยเสกครับ ที่จังหวัดลำพูนจะมีกู่ช้าง กู่ม้า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งของจังหวัดลำพูน
    ประวัติ : กู่ช้าง กู่ม้า เป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่คู่กัน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอีกแห่งหนึ่งที่ชาวลำพูนให้ความเคารพนับถือ เมื่อต้องการ สมหวังในสิ่งใด ก็มักจะมา ขอพรกันที่นี่ เรียกได้ว่าเป็นทั้งโบราณสถานที่มีความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ตลอดจนเป็น ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ของคนในชุมชน ด้วยความเชื่อว่าเป็นสุสานช้างศึก - ม้าศึก คู่บารมีของพระนางจามเทวี
    กู่ช้าง ตามตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นเพื่อบรรจุซากพระยาช้าง ชื่อ ปู่ก่ำงาเขียว หมายถึงช้างสีคล้ำ งาสีเขียว เป็นช้างคู่บารมีของ พระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญไชย ปู่ก่ำงาเขียวเป็นช้างที่มีฤทธิ์มาก เมื่อออกศึกสงคราม เพียงแค่ช้างหันหน้าไปทาง ศัตรู ก็ทำให้ศัตรูอ่อนแรงลงได้ หลังจากช้างปู่ก่ำงาเขียวล้มเมื่อวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 พระนางจามเทวีโปรดให้นำซากช้างมาฝังไว้ที่นี่ และเนื่องจากเมื่อยังมีชีวิตอยู่เป็นช้างที่มีอิทธิฤทธิ์วิเศษ หากงาช้างชี้ไปทางใด ก็จะทำให้เกิดภัยพิบัติและผู้คนล้มตาย พระนางจึงโปรด ให้สร้างเจดีย์ทรงสูงครอบไว้โดยให้ปลายงาชี้ขึ้นฟ้า กู่ช้าง เป็นเจดีย์ฐานเขียงกลม ซ้อนเหลื่อมกันขึ้นไปห้าชั้น รองรับฐานบัวคว่ำ องค์ระฆังเป็นทรงกลม แต่จะยืดสูงขึ้นไปกว่าปกติ ลักษณะคล้ายทรงกรวยก่อด้วยอิฐสูง ประมาณ 30 เมตร ยอดเจดีย์ไม่แหลมอย่างเจดีย์ทั่วไป แต่เป็นยอดตัดมีปล่องคล้ายบ่อน้ำด้านบน ลักษณะคล้าย เจดีย์บอบอคยีใน อาณาจักรพยู ทางตะวันตกเฉียงใต้ของพม่า และ เจดีย์ง๊ะจเวนะตาว ในเมืองพุกาม และเจดีย์บริวารรอบๆ เจดีย์มหาโพธิ์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย สันนิษฐานได้ว่ากู่ช้างได้รับอิทธิพลมาจากเจดีย์แบบพม่า
    ชาวลำพูนให้ความเคารพนับถือกู่ช้างมาก มีการสร้างศาลเจ้าพ่อกู่ช้างไว้ในทางทิศตะวันออกใกล้กับองค์เจดีย์ด้านหน้า ศาลเจ้าพ่อกู่ช้าง มีรูปปั้นจำลองของปู่ก่ำงาเขียว เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มาสักการะ เชื่อกันว่าหากได้ลอดท้องพระยาช้างเชือกนี้ จะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา ในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี จะมีงานรดน้ำดำหัว และบวงสรวงเจ้าพ่อ เพื่อขอขมาลาโทษ และขอพรให้ปกปักษ์รักษาประชาชนจากความทุกข์ทั้งปวง


    รายการที่สอง เหรียญเจ้าพ่อกู่ช้าง รุ่น 3 รุ่นสร้างหอชัยหนึ่งพันสี่ร้อยปี จ.ลำพูน ปี 2540
    รุ่นนี้มีอีกชื่อเรียกว่า “ รุ่นน้ำมนต์เดือด “ ที่มาจากคำว่าน้ำมนต์เดือดคือวันที่ทำการปลุกเสกหม้อน้ำมนต์ในพิธีได้เดือดขึ้นมาเหมือนหม้อน้ำที่ตั้งไฟร้อนจนเดือดปุ๊ดๆๆ และยังไม่พอบริเวณรอบๆงานปลุกเสกนั้นได้มีรถดับเพลิงมาจอดแล้วอยู่ดีๆก็มีเสียงช้างร้องออกมาสองครั้ง ซึ่งในรถก็ไม่มีคนอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด และเกิดอภินิหารบ่อยมากปัจจุบันถือเป็น 1 ใน 3 ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ประจำจังหวัด( มีพระธาตุหริภุญไชย และอนุสาวรีย์เจ้าแม่จามเทวี )
    สำหรับเจ้าพ่อกู่ช้างน้างชาวลำพูนนับถือท่านมาก เพราะท่านคือ ช้างปู่ก่ำงาเขียว เป็นช้างคู่พระบารมีของพระนางเจ้าจามเทวี แห่งอาณาจักรหริภุญไชย
    จากข้อมูลของเชียงใหม่นิวส์ ได้กล่วว่า กู่ช้าง หรือ ศาลเจ้าพ่อกู่ช้าง โบราณสถานศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งที่ชาวลำพูนให้ความเคารพสักการะ ด้วยความเชื่อที่ว่า “กู่ช้าง” เป็นเจดีย์บรรจุซากช้างพลายคู่บารมีของพระนางจามเทวีที่มีฤทธิ์ในการทำศึก ดังนั้น เมื่อมีเหตุต้องเดินทางไกลชาวบ้านจึงมักมากราบไหว้ขอพร ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ช่วยปกป้องคุ้มครอง กระทั่งปัจจุบันกู่ช้างได้กลายมาเป็นที่พึ่งทางใจของชาวลำพูนในการบนบานช่วยให้สอบได้ หรือแม้แต่ขอให้สมหวังในสิ่งที่คิดไว้
    ประวัติและความเป็นมาของช้างผู้ก่ำงาเขียวกล่าวว่า ในรัชสมัยของพระนางจามเทวีพระองค์ทรงมีช้างคู่บารมีชื่อ “ผู้ก่ำงาเขียว” เป็นช้างที่มีฤทธิเดชมาก เมื่อช้างเชือกนี้หันหน้าไปทางศัตรูก็จะทำให้ศัตรูอ่อนกำลังลงทันที ช้างผู้ก่ำงาเขียวเชือกนี้ มีบทบาทในฐานะช้างศึกของเจ้าอนันตยศและเจ้ามหันตยศ เมื่อครั้งทรงออกศึกสงครามต้านทัพของหลวงวิรังคะ จนกระทั่งช้างเชือกนี้ล้มลงซึ่งตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 เหนือ เจ้าอนันตยศและเจ้ามหันตยศ จึงได้นำสรีระของช้างใส่ลงไปในแพไหลล่องไปตามลำน้ำกวง แต่พระองค์ก็ได้ทรงเปลี่ยนพระทัย ที่จะนำสรีระของช้างกลับขึ้นมาฝังบนฝั่ง เพราะว่าช้างเชือกนี้ เป็นช้างศักดิ์สิทธิ์คู่บุญบารมีของพระนางจามเทวี หากว่าปล่อยให้ล่องลงไปกับแพแล้ว จะทำให้ประชาชนที่อยู่ทางทิศใต้ลงไปได้รับความเดือดร้อน จึงได้อัญเชิญร่างของช้างลากกลับขึ้นมายังบริเวณท่าน้ำวัดไก่แก้ว แล้วลากมาฝังไว้ที่บริเวณกู่ช้างในปัจจุบัน
    หลังจากนั้นจึงได้ลงมือสร้างสถูปเป็นเวลาถึง 8 เดือนจึงแล้วเสร็จ ในการฝังช้างผู้ก่ำงาเขียวจะให้ซากของช้างหันหน้าขึ้นไปบนฟ้า ส่วนงาทั้งสองข้างของช้างถูกนำไปบรรจุไว้ ในสถูปที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระนางจามเทวีภาย ในสุวรรณจังโกฏหรือกู่กุดที่วัดจามเทวีกู่ช้าง ตั้งอยู่ห่างจากวัดไก่แก้วไปทางทิศตะวันออกประมาณ 200 เมตร ลักษณะของกู่ช้าง เป็นสถูปที่มีรูปทรงแปลกแตกต่างไปจากสถูปที่พบเห็นโดยทั่วไปในภาคเหนือ เพราะเป็นสถูปทรงกลมตั้งอยู่บนฐาน 3 ชั้น องค์สถูปมีลักษณะเป็นทรงกระบอกปลายมน (ทรงลอมฟาง) เหนือสถูปขึ้นไปมีแท่นคล้ายบันลังก์ของเจดีย์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่า เจดีย์กู่ช้าง จะสร้างในสมัยใด รูปทรงเป็นแบบไหน ไม่ใคร่มีความสำคัญมากนักต่อชาวเมืองลำพูน ทว่าด้วยความสำคัญในฐานะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง และศรัทธาอันแรงกล้าต่างหาก ที่ทำให้ชาวลำพูนพากันไปกราบสักการะอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ท่านได้เคยกล่าวถึงช้างปู้ก่ำงาเขียว ในเก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ (ผมขอนำข้อความบางช่วงบางตอนมาให้อ่านครับ)
    ที่ขำที่สุดก็คือ ไม่รู้หรอกว่าที่นั่นมีช้างของท่านแม่จามเทวีอยู่ ท่านแม่จามเทวีมีช้างคู่บารมี ซึ่งพอพระองค์ท่านขึ้นครองราชย์ก็ตั้งให้เป็นพญางาเขียวศัตรูพินาศ คำว่า "เขียว" ก็คือดำนั่นแหละ เป็นช้างเผือกงาสีดำ คำว่า "นิล" บางคนเขาบอกว่าเป็นสีเขียว บางคนบอกว่าเป็นสีดำ ต้องเข้าใจว่าดำจนเขียวเป็นอย่างไร ดำจริง ๆ แบบที่เขาบอกว่าพระรามผิวเขียว จริง ๆ แล้วก็คือดำมาก
    คราวนี้อาตมาไปทำบวงสรวงให้ ปรากฏว่าพญาช้างท่านก็มา พญาช้างนี้เขาเรียกทั่ว ๆ ไปว่าปู้ก่ำงาเขียว ก็คือช้างพลายงาดำ คราวนี้พอท่านมา ท่านบอกว่าขอพวงมาลัยสักพวงหนึ่ง เพื่อแสดงออกว่ายินดีให้ท่านมาช่วยงาน จึงเรียนให้ตุ๊พ่อสิงห์ทราบ อาตมาก็ยังคิดว่าต้องไปถึงโน่น อนุสาวรีย์พระแม่เจ้าจามเทวีที่ในตัวเมืองลำพูน เพราะว่าเขาทำอนุสาวรีย์รูปช้างปู้ก่ำงาเขียวที่นั่น ปรากฏกว่าตุ๊พ่อสิงห์สร้างช้างไว้หน้าศาลา อาตมาไม่เคยมองเห็นเลย เพราะว่าทุกครั้งที่ไปงานจะติดเต็นท์โรงทาน แล้วคนเต็มไปหมด มองไม่เคยเห็นช้างสักที
    และอีกข้อความหนึ่งว่า(นำข้อความบางช่วงบางตอนมาให้อ่านครับ)
    ให้มีชัยชนะในทุกทิศ เหมือนพญาช้างปู้ก่ำงาเขียว ที่ออกรบที่ไหนไม่เคยแพ้ ช่วยให้พระแม่เจ้าจามเทวีสามารถสถาปนาอาณาจักรหริภุญชัยได้ยิ่งใหญ่ ครอบคลุมทั่วทั้งภาคเหนือ


    ให้บูชาคู่นี้ 700 จัดส่ง 40 จองได้สามวันครับ ปิดรายการ

    20250426_012857.jpg 20250426_012915.jpg 20250426_012922.jpg IMG_4110.JPG IMG_4111.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2025 at 07:46
  2. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6,011
    ค่าพลัง:
    +16,591
    รายการที่ ๑๐๕
    เหรียญในหลวงนั่งบัลลังค์ ฉลองครองราชย์ 50 ปี พ.ศ. 2539 เนื้ออัลปาก้า
    สำหรับข้อมูลของเหรียญรุ่นนี้มีดังนี้
    เป็นเหรียญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จัดสร้างโดยกระทรวงมหาดไทยในวาระเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อ พ .ศ. 2539 การสร้างเหรียญเสมาที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเฉลิมฉลองทรงครองศิริราชสมบัติครบ 50 ปี ผู้จัดสร้างได้นำเนื้อโลหะชนวนมวลสารโลหะจากพิธีสำคัญๆ เช่น ชนวนโลหะพระกริ่งดำรงราชานุภาพในงาน 100 ปี กระทรวงมหาดไทยจัดสร้างเมื่อปีพ.ศ. 2533 และชนวนโลหะพระนิโรคันตรายที่กระทรวงมหาดไทยและประชาชนทั่วประเทศจัดสร้างเพื่อน้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2538 และแผ่นจารอาคมจากพระเกจิอาจารย์ทุกภาคทั่วประเทศ ทั้งนี้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกทรงประกอบพิธีเจริญจิตภาวนาด้วยพระองค์เอง ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร การจัดสร้างเหรียญครั้งนี้ เหรียญ มีราคาถูกเป็นพิเศษเพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าแสดงความจงรักภักดีและเฉลิมพระเกียรติแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดกาลนาน รายได้ทั้งหมดนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายโดยพระราชกุศลมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นเหรียญดีมีคุณค่า ประสบการณ์ดังในด้านแคล้วคลาดของทหารและตำรวจ เหรียญเป็นรูปทรงใบเสมามีหู ด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับนั่งบนบัลลังก์ ด้านหลังตราสามง่าม และ จักร เหรียญมีขนาดขนาด 2.8 X 4 เซนติเมตร ชื่อเป็นทางการของเหรียญรุ่นนี้เรืยกว่า เหรียญทรงเสมา(อาร์ม)ที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเฉลิมฉลองทรงครองศิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน ปีพ.ศ. 2539 กระทรวงมหาดไทยได้ขอบรมราชานุญาตจัดสร้าง พระบรมรูป(อย่างหนึ่ง)และเหรียญเสมาที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯออกแบบโดยกรมศิลปากร เหรียญเสมาที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัวฯด้านหน้าเป็นพระบรมสาทิสลักษ์ประทับเหนือพระที่นั่งพุดตาลกาญจนสิงหาส์บนบัลลังก์มีข้อความว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” ด้านหลังเป็นรูปสัญลักษณ์ตราจักรีโดยมีข้อความว่า ”พ.ศ.2539” มีบล็อกที่นิยมคือ บล็อกกระบี่ยาวและบล็อกเส้นพระเกศาชัด ถือว่าเป็นเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกที่มีความนิยมมาก มีประสบการณ์มาแล้วดังที่เป็นข่าวใน นสพ.เดลินิวส์มีผู้ประสบรถคว่ำสภาพพังยับเยินและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.ขณะปฏิบัติหน้าที่ทางภาคใต้ถูกผู้ก่อการร้ายซุ่มยิ่งแต่ไม่ได้รับอันตรายเนื่องจากคล้องเหรียญนั่งบัลลังก์ เนื่องเพราะสร้างด้วยเจตนาบริสุทธิ์มหากุศลจากมวลสารที่ดีเยี่ยม
    มีจำนวน 3 เหรียญ ให้บูชาเหรียญละ 230 บาท จัดส่ง 40 จองได้สามวัน
    ปล. ถ้าบูชาหมด 3 เหรียญคิด 500 บาท

    20250427_093307.jpg 20250427_093109.jpg 20250427_093125.jpg 1474431745496.jpg
     
  3. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6,011
    ค่าพลัง:
    +16,591
    รายการที่ ๑๐๖
    ให้บูชาเหรียญเจริญพรรษา 7รอบ เนื้อกะไหล่อง ของ หลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน ปี34 สำหรับรุ่นนี้ตอกโค๊ตที่หูเหรียญด้านหลังครับ
    สำหรับเหรียญรุ่นนี้ว่ากันว่าหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ บอกกับลูกศิษย์ชาวอยุธยาเก็บเหรียญรุ่นนี้ เหรียญรุ่นนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ได้รับความนิยม กะไหล่ทองจัดสร้างน้อยกว่าเนื้อทองแดงครับ
    หลวงปู่ชื้นท่านเคยบอกกับลูกศิษย์ว่าพระเครื่องของท่านกันนิวเคลียร์ได้ครับ
    ให้บูชา 500 จัดส่ง 40 จองได้สามวันครับ
    20250428_013226.jpg 20250428_013234.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...