น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    ^-^
    เมื่อไม่เคยพบเห็นจริง แล้วไม่พิสูจน์ อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนมีปัญญาได้อย่างไร??
     
  2. applegreen

    applegreen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +555
    ใครจะเชื่อยังไงก็ได้ เพราะเดี๋ยวตายไปก็รู้เอง ยังไงทุกคนก็ต้องตายอยู่แล้ว(แต่ก็สายไปเสียแล้ว) เดินตามทางของพระพุทธเจ้าดีที่สุด
     
  3. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    พุทธศาสนาจะสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อ โดยสอนว่า
    ๑. อย่าเชื่อจาก ฟังต่อบอกต่อกันมา
    ๒. อย่าเชื่อจาก เห็นเขาทำตามๆกันมา
    ๓. อย่าเชื่อจาก คำล่ำลือ​
    ๔. อย่าเชื่อจาก ตำรา
    ๕. อย่าเชื่อจาก เหตุผลตรงๆ (ตรรกะ)
    ๖. อย่าเชื่อจาก เหตุผลแวดล้อม (นัยยะ)
    ๗. อย่าเชื่อจาก สามัญสำนึกของเราเอง
    ๘. อย่าเชื่อจาก มันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่
    ๙. อย่าเชื่อจาก ผู้สอนนี้ดูน่าเชื่อถือ
    ๑๐. อย่าเชื่อจาก ผู้สอนนี้เป็นครูของเราเอง
    เมื่อได้รับคำสอนใดมา ให้นำมาพิจารณาดูก่อน ถ้าเห็นว่ามีโทษ ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเห็นว่าไม่มีโทษและมีประโยชน์ ก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าไม่ได้ผลก็ให้ละทิ้งไป แต่ถ้าได้ผลจึงค่อยเชื่อและรับเอามาปฏิบัติต่อไป

    www.whatami.net - www.whatami.8m.com เวบไซต์สำหรับบุคคลระดับอัจฉริยะเท่านั้น
     
  4. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ใครพิสูจน์ได้บ้าง ว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง?

    สิ่งที่ไม่มีจริง พิสูจน์อย่างไรก็ไม่เจอ

    จะเจอก็แต่ของปลอม

    อย่างเช่นนั่งสมาธิแล้วหลับในเห็นนรก-สวรรค์ ตามอุปาทานที่มีอยู่

    แล้วมาทึกทักว่าตนเองเห็น ถ้าเห็นจริงก็ตอบคำถามง่ายๆที่ถามไปแล้วให้ได้

    เทวดาฝรั่งก็อุปาทานกับไปแบบหนึ่ง เทวดาแขกก็อุปาทานกันไปแบบหนึ่ง

    แล้วแบบไหนของจริง???

    ****************


    www.whatami.net - www.whatami.8m.com เวบไซต์สำหรับบุคคลระดับอัจฉริยะเท่านั้น
     
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ข้อสำคัญครูที่สอนพระพุทธศาสนาจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งจึงจะไม่หลงทาง ต้องมีสัมมาทิฏฐิ หากครูหลงทางแล้วเด็กจะมืดมนเพียงใด


    ขอขอบคุณผู้ตั้งกระทู้ที่ห่วงใยวงการศึกษาค่ะ

    *******************

    รับรอง หนังสือของอาตมาไม่มีทางผิด

    แม้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยังหาความผิดไม่ได้

    เวบไซต์ของอาตมาไม่มีใครกล้าตรวจสอบและสั่งปิด

    รอให้มีคนมาตรวจสอบนานแล้ว แต่ไม่เห็นมีใครทำได้

    ถ้าผิดจริงป่านนี้คงเรียบร้อยไปนานแล้ว

    ขอให้ลืมตากันเสียบ้าง

    อย่าเอาแต่ละเมอว่าตามคนอื่น

    คนมีปัญญาเขาไม่ทำกัน

    *****************************

    www.whatami.net - www.whatami.8m.com เวบไซต์สำหรับบุคคลระดับอัจฉริยะเท่านั้น
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    แจ้งภัยศาสนาได้ที่นี่

    http://www.bpct.org/index.php

    http://www.onab.go.th/

    หรือแจ้งไปยังสถานีโทรทัศน์ต่างๆก็ได้
     
  7. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    เด็กเอ๋ย...เด็กน้อย ความรู้ยังด้อย เร่งศึกษา ...
    เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา
    เป็นเครื่องหา เลี้ยงชีพสำหรับตน
    ได้ประโยชน์ทุกสถานเพราะการเรียน
    จงพากเพียรไปเถิดจะเกิดผล...
    ถึงลำบากตรากตรำก็จำทน
    เกิดเป็นคน...ควรหมั่นขยันเอย

    %%%ท่านควรศึกษาและทำปัญญาให้ถึงพร้อม ข้าวที่ท่านฉันก็ได้รับจากผู้มีจริตศรัทธาในพระศาสนาเป็นผู้เกื้อกูล...แล้วท่านยังนำศรัทธาเจือปนยาพิษ ป้อนเขาเหล่านั้นทุกวี ทุกวัน ช่างไม่กระดากใจบ้างหรือ%%%
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2008
  8. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ก๊อปเขามาให้อ่าน...

    <TABLE width="80%" border=1><TBODY><TR><TD width="100%" bgColor=#e8fdec>หนีกฎหมายได้ หนีกรรมไม่ได้ :: 28 มีนาคม 2547</TD></TR><TR><TD width="100%">ยินกระแส แลโถม เป็นคลื่นซัด
    แม้เสียงชัด จัดเจน ฤๅเชื่อได้
    เห็นกับตา ก็ยังว่า ไม่แน่ใจ
    ว่าเชื่อได้ สิ่งที่เห็น เป็นเรื่องจริง...

    เพียงใจเรา สดับเรา เรายังยาก
    โลกภายนอก ยิ่งลำบาก ยากอย่างยิ่ง
    ไม่ได้เห็น กับตา จะว่าจริง
    จิตจะวิ่ง เจือปน กิเลสไป...

    ใครก่อกรรม ทำเลว ไม่รอดหรอก
    ขึ้นบัญชี มีบอก โกงไม่ได้
    ยังเป็นคน กินบุญเก่า เอารอดไป
    หมดเมื่อใด ก็จะได้ รู้สำนึก...

    กรรมของเขา เราอย่าคิด ให้จิตหมอง
    มันเป็นไป ตามครรลอง ให้ตรองตรึก
    เขาเป็นตาม กรรมอันใด ลองระลึก
    ให้รู้สึก ชั่วอย่างนี้ เราไม่ทำ

    แผ่เมตตา ให้ทุกคน ห่างคนบาป
    สันดานหยาบ ให้ห่างไกล อย่ากรายกล้ำ
    ให้ทุกคน ประพฤติดี มีศีลนำ
    ประพฤติธรรม ให้รู้แจ้ง กระจ่างใจ

    ให้คนเรา เข้าใจพรหม วิหารสี่
    เราจะมี ความรุ่งเรือง ความสดใส
    ในสังคม จะลด หมดทุกข์ภัย
    แผ่นดินไทย วัฒนา สถาพร...
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ศาสนามีข้อเสียอย่างไรบ้าง?

    คำสอนดั้งเดิมหรือแก่นแท้หรือหัวใจของทุกศาสนานั้นจะ สอนให้ทุกคนเป็นคนดี รักผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เบียดเบียนใครๆ และสอนให้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ประหยัด งดเว้นสิ่งที่ไม่ดี เช่น สิ่งเสพติด สิ่งฟุ่มเฟือย การพนัน การดื่มสุรา เป็นต้น และสอนให้ขยัน อดทน เสียสละ เป็นต้น ซึ่งคำสอนเหล่านี้นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่ปฏิบัติได้และต่อสังคมโดยรวม

    ความจริงแล้วหลักคำสอนดั้งเดิมของทุกศาสนาจะมีไม่มาก แต่ภายหลังได้มีการแต่งเติมคำสอนออกไปมากมาย ซึ่งก็มีทั้งที่ตรงกับหลักคำสอนดั้งเดิม และผิดเพี้ยนจากหลักคำสอนดั้งเดิมออกไปจนกลายเป็นเรื่องราวและการปฏิบัติที่งมงายไร้เหตุผล ที่ไม่ได้ช่วยให้ผู้นับถือหรือผู้มาศึกษาเกิดความรู้ความเข้าใจในชีวิตอย่างถูกต้องขึ้นมาได้ รวมทั้งไม่ได้ช่วยทำให้ความทุกข์ของผู้ที่นับถือลดน้อยลงหรือหมดสิ้นไปได้อย่างแท้จริงเลย

    สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือพิธีกรรมในศาสนา ซึ่งจัดว่าเป็นส่วนเกินของศาสนาที่คนรุ่นหลังๆแต่งเติมขึ้นมาเพื่อให้ผู้นับถือปฏิบัติเพื่อให้มีระเบียบแบบแผนและสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่กลับเป็นว่าผู้คนที่นับถือกลับมายึดถือพิธีกรรมว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ และสำคัญมากกว่าหลักคำสอนเสียอีก จนทำให้ผู้นับถือเกิดความเห็นผิดว่าพิธีกรรมเป็นหัวใจของศาสนามากกว่าหลักคำสอนที่เป็นหัวใจ

    อีกสิ่งหนึ่งก็คือเรื่องการอาศัยศาสนาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ โดยนักสอนศาสนา (หรือนักบวชของศาสนา) บางคนที่หวังผลประโยชน์ทางวัตถุ ก็อาศัยศาสนาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ โดยอาศัยศาสนาบังหน้าเพื่อให้ผู้ที่เชื่อถือนำเงินหรือสิ่งของหรือเกียรติยศชื่อเสียงมาให้ ถ้าใครจะหันหน้าเข้าหาศาสนาก็จะต้องเสียเงินจึงจะได้รับความสนใจ แต่ถ้าใครไม่มีเงินก็จะไม่ได้รับความสนใจ คือแทนที่ศาสนาจะเป็นฝ่ายให้แต่กลับจะเป็นฝ่ายเอาเพียงอย่างเดียว ซึ่งส่วนมากแล้วศาสนาจะร่ำรวยแต่ว่าผู้นับถือกลับยากจน จึงทำให้ศาสนาถูกมองว่าเป็นธุรกิจแสวงหาผลประโยชน์จากผู้นับถือไปในที่สุด

    อีกเรื่องหนึ่งคือศาสนามักสอนให้คนเห็นแก่ตัว คือศาสนาส่วนใหญ่จะมีคำสอนเรื่องการบริจาคทรัพย์ให้แก่ทางศาสนา แล้วบอกคล้ายกับว่านี่เป็นการสั่งสมหรือฝากทรัพย์เอาไว้ เพื่อไปรับเอาในโลกหน้าภายหลังจากตายจากโลกนี้ไปแล้วตามความเชื่อของศาสนา อีกทั้งยังสอนว่าถ้าบริจาคเพียงเล็กน้อย ก็จะได้รับผลมากมายในโลกหน้า ยิ่งถ้าบริจาคมาก ก็จะยิ่งได้รับผลทวีคูณหลายร้อยหลายพันเท่าเลยทีเดียว นี่เองที่ทำให้คนที่นับถือเกิดความเห็นแก่ตัว คือคนมีทรัพย์มากก็คิดว่าในโลกนี้ตนเองก็มีทรัพย์ใช้สอยอย่างสุขสบายอยู่แล้ว แต่เมื่อตายไปทรัพย์ที่เหลือก็จะไม่สามารถเอาไปด้วยได้ จึงได้เสียดายทรัพย์เหล่านั้น และอยากที่จะเก็บทรัพย์เหล่านั้นเอาไปไว้ใช้สอยในโลกหน้า ที่เชื่อว่าจะมีอีกตามความเชื่อของศาสนา เขาจึงได้เอาทรัพย์จำนวนมากไปบริจาคไว้กับทางศาสนา เพื่อหวังจะไปรับเอาในโลกหน้าอีก แทนที่จะบริจาคเพื่อช่วยเหลือสังคม

    นี่เองที่ทำให้ศาสนาถูกมองว่า สอนให้คนเห็นแก่ตัว คือทำอะไรๆเพื่อตัวเอง ไม่ได้เสียสละเพื่อสังคมด้วยใจบริสุทธิ์โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆอย่างแท้จริง แม้บางคนจะมองว่าผู้บริจาคนั้นเป็นคนมีจิตใจงดงามและเสียสละก็ตาม ซึ่งแม้คนที่มีทรัพย์น้อยก็ยังเห็นแก่ตัว ด้วยการเจียดทรัพย์ที่มีน้อยของตนไปบริจาคแข่งขันกัน เพื่อหวังไปรับเอาในโลกหน้าด้วยเช่นกัน คือเรียกว่า​
     
  10. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ขออภัยนะค่ะ อ่านจบแล้ง งง*สับสน เล๊ยกดเป็นอนุโมทนาบุญไป เวรกรรม

    ตกลงคุยกันด้วยเรื่องอะไร บอกมาให้ชัดเจนหน่อย ว่าท่านกำลังกล่าวถึงศาสนาไหน แล้วท่านนับถือศาสนาอะไร อยู่ในเพศบรรพชิตตัวจริงรึป่าว สังกัดพวกไหน....ไอ้ที่กล่าวมาข้างต้นนะมันเหมือนกระจกเงานะ คงยังห่างอีกมากมาย ขวนขวายให้มาก ๆ เถิดก่อนจะสายเกินไป และก็ไม่ต้องมองไหนไกล ตัวท่านเองนะคนแรกเลย ที่ควรรีบ ๆ แก้ไขโดยด่วน


    แต่จำได้ว่า องค์หลวงพ่อของยิ้ม สอนให้รู้จักทำบุญตามกำลังใจของตน ไม่เคยสอนให้ทำบุญเอาหน้า หวังผลทางโลก....ให้หวังนิพพานผลเป็นที่พี่ง ท่านยังหากอีกโข จิตก็ยังหยาบกระด้างนัก โปรดสำรวมจิตให้มากเภิด
     
  11. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ
    วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


    21. ธรรมโอวาท

    เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในวงของผู้ปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านได้ให้ โอวาทเตือนผู้ปฏิบัติไว้ว่า "การมาอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกัน มากเข้าย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ทิฏฐิความเห็นย่อมต่างกัน ขอให้เอาแต่ส่วนดีมาสนับสนุนกัน อย่าเอาเลวมาอวดกัน" การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจ้วงจาบในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือท่านที่มีศีล มีธรรมก็ดี จะเป็นกรรมติดตัวเราและขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า ดังนั้น หากเห็นใครทำความดี ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย แม้ต่างวัด ต่างสำนักหรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม ไม่มีใครผิดหรอก เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุดเท่านั้น ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า "แล้วเราล่ะ ถึงที่สุดแล้วหรือยัง ?"

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7979<!-- / message --><!-- attachments -->
     
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    อคติ ๔
    อคติ แปลว่า ความลำเอียง ซึ่งมีอยู่ ๔ อาการคือ

    ๑. ลำเอียงเพราะชอบ (เมื่อรู้สึกชอบก็เลยว่าดี)

    ๒. ลำเอียงเพราะชัง (เมื่อรู้สึกไม่ชอบก็เลยว่าไม่ดี)

    ๓. ลำเอียงเพราะกลัว (เมื่อรู้สึกกลัวก็เลยยอมสยบ)

    ๔. ลำเอียงเพราะโง่ (เมื่อไม่รู้ความจริงก็เลยโมมะโมเม-เดา)

    เราควรสำรวจตัวเองว่า เรากำลังมีความลำเอียงอยู่ในจิตใจหรือไม่?

    ถ้ามีมันก็จะมาปิดกั้นจิตของเราไม่ให้เกิดความดี คือไม่ให้เกิดสมาธิ(เพราะมันเป็นกิเลส)

    เมื่อไม่มีสมาธิ ก็จะไม่มีปัญญา

    เมื่อไม่มีปัญญาก็จะไม่มีความหลุดพ้น(วิมุติ)

    เมื่อจิตไม่หลุดพ้นก็จะยังมีความทุกข์อยู่ต่อไป

    www.whatami.net - www.whatami.8m.com เวบไซต์สำหรับบุคคลระดับอัจฉริยะเท่านั้น
     
  13. niramon

    niramon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +76
    อยากให้ท่านลองเข้าไปศึกษาในเว็ป สหปฎิบัติ ดูคะ ท่านปู่ธวัช คณิตกุล ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องของเทพ เทวดา ไว้ได้ดีทีเดียวคะ หวังว่าท่านคงพอจะมองออกว่า ชีวิตของเราถูกกำหนดมาแล้วตายตัวจากดวงชะตาราศี หรือเปล่า ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    http://yantassana.sahapatibati.org/2007_06_01_archive.html<O:p></O:p>
    ข้อความบางส่วน<O:p></O:p>
    ใครกำหนดชะตาชีวิต ใครกำกับชะตาชีวิต(2) <O:p></O:p>
    เรื่องมหาเทพนั้นมีอยู่คู่ชีวิตตั้งแต่เราเกิดส่งพลังมาหาเราเป็นรังสีในลักษณะบุคคลาธิฐานหากจะเปรียบเทียบกับองค์พรหมนั้นอุปมาเทียบได้กับองค์พรหมภาคนั่งอันหมายถึงพรหมลิขิตที่กำหนดชีวิตเราให้ไปตามที่กำหนดของชีวิตคนแต่ละคนซึ่งจะแตกต่างกันแต่ละคนขึ้นอยู่กับสัญญากรรมของแต่ละคนที่ได้กระทำมาในอดีตชาติเมื่อเรามาเกิดแล้วชีวิตเราก็จะถูกกำกับให้เป็นไปตามชนกกรรมตามที่กำหนดอุปมาดั่งองค์พรหมภาคยืนหรือพญายมที่จะคอยกำกับชีวิตเราให้ไปตามทิศทางที่กำหนดไว้ตามพรหมลิขิต ว่าไปแล้วชนกกรรมก็คือสัญญากรรมที่ถูกเลือกกำหนดมาให้เรามาทำในชาตินี้ว่าเราเกิดมาแล้วต้องมาทำกิจนั้นตามสัญญาแห่งชนกกรรมที่ส่งมาเกิดโดยมีกาลเวลาเป็นตัวควบคุมหากใครหมดกาลเวลาแล้วยังไม่ทำตามชนกกรรมถือว่าผู้นั้นผิดคำมั่นสัญญาผู้นั้นก็จะมีโอกาสพบปัญหา สอบตก อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารโทรมได้หากเรามีตัวรู้ หรือมีครูผู้ชี้แนะที่ดี สามารถเข้าถึงชนกกรรมได้รู้ว่าชนกกรรมคืออะไร ต้องรู้ว่าคนเราเกิดมาตามกรรม เกิดมาใช้กรรม เกิดมาสร้างกรรมเราต้องรู้ว่าต้องทำกรรมใดเงื่อนไขใด รู้จักวิธีใช้กรรม รู้วิธีบริหารกรรมเมื่อเราทราบชนกกรรมทั้งหมดแล้ว แล้วเราต้องพยายามปฏิบัติให้ได้ตามชนกกรรมให้ครบเมื่อเราได้ทำตามคำมั่นสัญญาของเราหรือสามารถผ่านการทดสอบตามกติกาแห่งเทพมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับสัญญากรรมในกฏแห่งกรรมกรณีเทพที่ลิขิตเรามักจะใช้เกมกลกรรมในบุพเพสันนิวาสมาทดสอบเราตามกติกาแห่งเทพหากปฏิบัติได้ครบแล้วเส้นทางชีวิตของผู้นั้นก็จะเดินทางไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จหรือได้รางวัลชีวิตได้ในที่สุด แต่หากปฏิบัติได้ไม่ครบทุกข้อก็จะต้องแบ่งส่วนกันระหว่างรางวัลชีวิตและอาญากรรมมากน้อยตาม<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 พฤษภาคม 2008
  14. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    เรื่อง กาลามสูตร ให้สอนตัวเองเถอะ
    และให้ดูตัวเองเถอะ
    และอย่าหลงตัวเอง มีมานะว่าตนยิ่งกว่าคนอื่น
    อย่าคิดว่าเรียนจบสูง แล้วจะข่มคนอื่นได้

    แน่จริงให้มาพิสูจน์ อย่าตั้งคำถามเป็นคนบ้า วนไปวนมาอยู่ในอ่าง

    "ท่านทั้งหลายจงมาดูเถิด" นี่เป็นคำท้า ของพระพุทธเจ้า
    อย่าทำตัวเป็นคนบ้า ทำศาสนาเสื่อม
    นอกจากหลงตัวเองแล้ว ยังหลอกตัวเองอีก
    หลอกตัวเองไม่พอ หลอกคนอื่นด้วย
    ทุกท่านระวังโดนหลอก โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านเถิด
     
  15. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    อนัตตา หัวใจของปัญญาในพุทธศาสนา

    ธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งสูงสุดนี้ จะมีกฎสูงสุดอยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นพระเจ้า ที่ครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ซึ่งกฎสูงสุดนี้จะมีใจความโดยสรุปว่า
     
  16. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    โทษของการสอนค้านกับคำสอนของพระพุทธเจ้า


    ถาม : หนูฟังเทศน์ที่พระที่ท่านนับถือครูบาอาจารย์ที่ใครไปนิพพานที่ไม่ถูกอย่างนี้ ท่านชักจูงหรือท่านสอนทางธรรมแล้ว เกิดสมมุติว่าคนฟังแล้วก็คล้อยตาม พระรูปนั้นบาปด้วยหรือเปล่าคะ ?

    ตอบ : ถ้าหากว่าท่านสอนผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอน เท่ากับว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนคนเป็นมิจฉาทิฐินี่โทษสาหัสมาก มีอยู่รายหนึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่น่านับถือทั้งในประเทศ และต่างประเทศด้วย สอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ

    วันหนึ่งกำลังภาวนาตอนเช้าจิตมันหลุด มันลงไปที่โลกันตนรกไปเห็นเข้า เอ๊ะ ปกติแล้วสัตว์นรกมีแต่ผอมๆ ทำไมรายนี้มันอ้วนแท้ ปรากฏว่าถ้าเขาไม่อ้วนแล้วเราจำเขาไม่ได้ เขาทำให้เห็นลักษณะเดิม แล้วหลังจากนั้นก็แปลกใจเขาตายแล้วหรือ ถึงได้ลงมาอยู่ที่นี่ ปรากฏว่า พอตอนช่วงเช้าออกไปที่หน่วยป่าไม้ หัวหน้าเขาบอกว่าตายแล้ว ของเรามันหมกอยู่แต่ในป่า ข่าวคราวมันก็ไม่มี มันต้องไปถามข้างนอกคนดูหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ เขาบอกว่าตายแล้ว เขายืนยันแต่ว่าตายมา ๓ วันแล้ว เพิ่งจะไปเจอ ตายตั้งแต่วันที่ ๘ นะไปเจอเอาวันที่ ๑๑ โน่นก็สงสัยว่า ทำไมเขาลงถึงโลกันตนรก ปกติอเวจีสำหรับเราก็ถือว่าสาหัสแล้ว โลกันต์นี่มันคูณ ๔ คือโทษ ๔ เท่าของอเวจีถึงได้ลงโลกันต์

    ปรากฏว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนค้านคำสอนพระพุทธเจ้า คนที่เป็นมิจฉาทิฐิต้องลงอเวจีมหานรกกว่าจะผ่านนรกแต่ละขุม กว่าจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ มันทำให้เขาห่างความดีได้ขนาดนั้นโทษก็เลยสาหัสหน่อย

    ถาม : แล้วเจ้าตัวเขารู้มั้ย ?
    ตอบ : เจ้าตัวตอนนั้นรู้แล้ว กำลังรับโทษอยู่ (หัวเราะ) แต่ตอนที่ทำนั่นคิดว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้น ท่านก็สอนของท่านไปเรื่อย

    ถาม : แล้วถ้าเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างพระที่สอนคน คือสอนทางธรรมแล้วคนปฏิบัติหรือว่าไปในทางที่ดี ถือก็ว่าท่านมีบุญบารมีขึ้นด้วยหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วสิ่งที่ท่านทำอยู่ ถ้ารู้จริงสอนถูกต้องส่วนใหญ่จะเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ถ้าสำหรับเป็นพระอริยเจ้าแล้วคำว่า อริยะ แปลว่า เจริญ ไม่มีคำว่าเสื่อม มีแต่จะก้าวหน้าขึ้นไป เพราะอย่างงั้นถ้าถามว่าเป็นบุญมั้ย ? เป็นอยู่จะส่งผลให้ท่านดีขึ้นมั้ย ? ดีขึ้นแน่ ๆ เพราะว่าท่านไม่มีวันเสื่อมแล้ว

    ถาม : แล้วสมมุติว่า บางคนเขาไม่ตั้งใจถือว่าเป็นกรรมเก่ามั้ย ที่เขา.....?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วมันก็เป็นกรรมเก่าอยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมเขาที่อื่นเยอะแยะไปที่เราคิดว่าดี?ทำไมเขาไม่ไปเขาเลี้ยวเข้าไปในสำนักอย่างงั้น ก็คงจะเคยสร้างบารมีร่วมกันมา แต่ว่าไม่แน่นะบางรายอย่างพระสุธรรมเถร บาลีเขาเรียก ตุจโฉโปฏฐิละ เถรใบลานเปล่า คือ ตัวเองไม่ได้อะไรสอนตามพุทธวัจนะเฉยๆ ลูกศิษย์กลายเป็นพระอรหันต์เป็นพันๆ เลย ลูกศิษย์ฉลาดสอนตรงตามพระพุทธเจ้าสอนก็ทำตามนั้นก็ได้ แต่อาจารย์ไม่ได้อะไรเลย เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าท่านก็เรียกเถรใบลานเปล่า นี่เป็นกุศลโลบายอย่างหนึ่งให้รู้สึกตัว

    ก่อนนั้นก็ยิ้มรับนะไป ๆ มา ๆ เอ๊ะทำไมพระพุทธเจ้าเรียกเราอย่างนี้ นึกไปนึกมา อ๋อ..ที่แท้เราเองดีแต่สอนคนอื่นเขา เหมือนยังกับเปิดตำราเปิดใบลานสอนอย่างนี้ แต่ว่าตัวของเราเองไม่ได้มีความดีอะไรตามนั้นเลย ก็เหมือนกับใบลานเปล่า ตั้งใจจะปฏิบัติไป ขอให้ลูกศิษย์ที่เป็นพระอริยเจ้า คือพระอรหันต์แล้วสอนไม่มีใครกล้าสอน ท่านก็ต้องขอไล่ไปเรื่อยๆ เขาโบ้ยไปเรื่อยๆ ไปจนถึงเณรองค์สุดท้ายโน่น เณรก็เป็นอรหันต์แล้ว เณรเหลียวไปมองเอ้า...ไม่มีใครจะให้โบ้ยแล้วก็เลยต้องรับเป็นอาจารย์...(หัวเราะ)...

    เสร็จแล้วท่านก็กลายเป็นพระอรหันต์ได้ ถึงเณรสอนก็เถอะใช่มั้ย ? เพราะว่าสามเณรอรหันต์ คำว่าพระอรหันต์นี่ถือเป็นผู้ใหญ่ พระพุทธเจ้าเรียกเป็นพระเถระ ไม่มีคำว่าเด็กแล้วนะ ตัวนี้แหละโบราณเขาเคยผูกเป็นโคลงเอาไว้ว่า
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    วิญญาณในพุทธศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์

    .......ในสมัยพุทธกาลแม้ภิกษุบางรูปก็ยังชื่อว่าตายแล้วยังมีวิญญาณไปเกิดใหม่ได้อีกตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ อย่างเช่น....

    ........ภิกษุชื่อสาติที่เที่ยวพูดว่า
     
  18. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    ------------------------------------------------------------------------

    วิญญาณก็ดับพร้อมกับขันธ์ก็ถูกแล้วไงครับท่านเตชปัญโญ
    ไม่มีใครค้านข้อนี่นะครับ... ท่านกำลังเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า??
     
  19. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ข้อเสียของความเชื่อเรื่องมีจิตหรือวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลกรรม

    พุทธศาสนา แปลว่า คำสั่งสอนของท่านผู้รู้ หรือผู้ที่มีสติปัญญาสูงสุด แต่ว่าในปัจจุบันหลักคำสอนของพุทธศาสนาได้ถูกครอบงำจากคำสอนของศาสนาพราหมณ์ จนทำให้หลักคำสอนที่แท้จริงของพุทธศาสนาผิดเพี้ยนไป และไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้นับถืออย่างแท้จริง โดยความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ที่สำคัญ ที่เข้ามาครอบงำพุทธศาสนาก็คือ ความเชื่อเรื่องจิตหรือวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลกรรมในชาติต่อๆไป ซึ่งความเชื่อเรื่องว่ามีจิตหรือวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลกรรม ตามที่เราเชื่อกันอยู่นี้จะมีผลเสียตามมามากมาย อันได้แก่

    ๑. เห็นแก่ตัว คือเมื่อเชื่อว่าตายแล้วยังจะไปเกิดใหม่ได้อีก และถ้าทำบุญไว้ในชาตินี้ก็จะได้รับผลบุญนั้นอีกอย่ามากมายในชาติหน้า จึงทำให้ผู้ที่มีความเชื่อเช่นนี้เกิดความโลภมากขึ้น โดยจะพยายามกอบโกยทรัพย์สมบัติเอาไว้ในชาตินี้มากๆ แม้จะในทางที่ผิดก็ตาม แล้วก็เอาไปทำบุญเพื่อหวังไปรับเอาในชาติหน้า เหมือนฝากธนาคารเอาไว้เพื่อไปรับเอาในวันต่อไป แต่เมื่อโลภแล้วถูกขัดขวางหรือไม่ได้ตามที่โลภ ก็จะโกรธคนที่มาขัดขวาง แล้วก็ทำให้เกิดการทำร้ายกันขึ้นมาอีกอย่างเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน (ส่วนคนที่ไม่เชื่อเช่นนี้แต่เชื่อเรื่องเหตุผลก็จะไม่เห็นแก่ตัว และพยายามช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลใดๆตอบแทน แต่ถึงแม้จะทำไม่ได้ก็ไม่โกรธหรือเสียใจ)

    ๒. ไม่พัฒนา คือเมื่อเชื่อว่า ชีวิตถูกเรื่องเวรรกรมจากชาติปางก่อนกำหนดเอาไว้แล้วก็จะฝืนไม่ได้ ต้องเป็นไปตามเวรกรรมเสมอ ดังนั้นจึงทำให้คนที่เชื่อนี้จะไม่พัฒนา เพราะเชื่อว่าถึงพัฒนาไปถ้ายังไม่หมดเวรกรรมก็จะไม่มีทางเจริญ แต่ถึงจะอยู่เฉยๆ ถ้าหมดเวรกรรมหรือมีโชควาสนาก็จะมีความเจริญขึ้นมาได้เอง นี่เองจึงทำให้คนที่เชื่อเรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อนจะไม่พัฒนา และล้าหลัง จนส่งผลให้ประเทศชาติล้าหลังอยู่ทุกวันนี้ (ส่วนคนที่ไม่เชื่อเช่นนี้แต่เชื่อเรื่องเหตุผล ก็จะมีการพัฒนาตนเองอย่าเสมอ)

    ๓. ใจดำ คือทำให้ไม่คิดจะช่วยเหลือคนที่กำลังประสบความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะเชื่อว่านั่นเป็นเพราะเวรกกรมที่เขาทำไว้จากชาติปางก่อน หรือถึงช่วยไปเขาก็ยังต้องไปรับผลกรรมของเขานั้นอีกในอนาคตอยู่ดี ส่วนคนที่ช่วยก็ไม่ได้ช่วยเพราะความเมตตา แต่ช่วยเพราะต้องการผลประโยชน์ตอบแทน เช่น หวังให้มีคนนับถือยกย่อง หรือหวังผลทางวัตถุ เป็นต้น นี่เองที่ทำให้คนที่เชื่อเช่นนี้จะปล่อยให้คนยากคนจนถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างหน้าตาเฉย เพราะเชื่อว่านั่นเป็นเวรกรรมของเขาเอง หรือการที่เรากินเลือดกินเนื้อของสัตว์อื่นอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่มีคิดสงสารสัตว์ที่ต้องตายอย่างทรมานเพื่อมาเป็นอาหารของเรา เพราะเชื่อว่าเป็นเวรกรรมของสัตว์ที่ต้องรับผลเช่นนั้น นี่เองที่ความเชื่อเรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อนนี้จะทำให้คนที่เชื่อเป็นคนใจดำหรืออำหิตโดยไม่รู้ตัว (ส่วนคนที่ไม่เชื่อเช่นนี้แต่เชื่อเรื่องเหตุผลก็จะเป็นคนมีเมตตา คิดช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ)

    ๔. โง่เขลา คือทำให้ผู้ที่เชื่อเช่นนี้จะจมอยู่ในความเชื่อที่ไร้เหตุผล และไม่รู้จักใช้ความคิด เพราะเชื่อว่าถึงจะคิดไปก็ไม่มีทางเฉลียวฉลาดขึ้นได้ เพราะเชื่อว่าเราทุกคนถูกกำหนดมาแล้วตายตัวว่าต้องเป็นเช่นนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงทำให้ผู้ที่เชื่อเช่นนี้ถูกมองจากคนที่มีปัญญาว่าเป็นคนไม่รู้จักคิด งมงาย โง่เขลา และเมื่อมีความโง่เช่นนี้ครอบงำ ก็จะทำให้เป็นคนที่ไม่ใช้เหตุผลในการดำเนินชีวิตและแก้ปัญหา จึงทำให้ชีวิตต้องประสบกับปัญหาและความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่ร่ำไป อีกทั้งสติปัญญาก็จะไม่พัฒนา อันจะทำให้เป็นคนดักดานโง่เขลาไปตลอดชีวิต แล้วก็ส่งผลให้ประเทศชาติมีแต่คนโง่เขลาเต็มไปหมด สักวันก็ต้องตกเป็นทาสของประเทศชาติอื่นที่เขาฉลาดกว่าอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่เปลี่ยนความเชื่อนี้ให้ดีขึ้น (ส่วนคนที่ไม่เชื่อเช่นนี้แต่เชื่อเหตุผลก็จะเป็นคนที่เฉลียวฉลาด)


    จาก www.whatami.net - www.whatami.5u.com เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ
     
  20. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ใครเคยพบเห็นบ้าง?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • hell3[1].jpg
      hell3[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.2 KB
      เปิดดู:
      42
    • hell7[1].jpg
      hell7[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.6 KB
      เปิดดู:
      46
    • hell11[1].jpg
      hell11[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.9 KB
      เปิดดู:
      43
    • hell12[1].jpg
      hell12[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.9 KB
      เปิดดู:
      47
    • hell14[1].jpg
      hell14[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.3 KB
      เปิดดู:
      46
    • hell15[1].jpg
      hell15[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.6 KB
      เปิดดู:
      45
    • hell16[1].jpg
      hell16[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.7 KB
      เปิดดู:
      45
    • hell17[1].jpg
      hell17[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.9 KB
      เปิดดู:
      49

แชร์หน้านี้

Loading...