นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เป็นเว็บใครหรอ ของคุณณุ หรอ
    ไว้ว่างๆ มีไฟลุกพรึ่บ จะแว่บไปเยี่ยมชมนะ

    [​IMG]
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาเห็น ... 10 สุดยอดภาพลวงโลกที่คุณจะต้องตะลึง!

    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>ภาพลวงตาเป็นภาพที่เล่นกับความสามารถในการรับรู้ของคนเรา ทั้งทางสายตาโดยตรงและทางจิตวิทยา ทำให้เรารับรู้ภาพที่อาจไม่มีอยู่จริงได้ หลายครั้งภาพที่เรา “คิดว่า” เราเห็นนั้นเป็นเพียงสิ่งที่สมองเรา “คิดว่า” เป็นแบบนั้นแบบนี้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงนั้นอาจเป็นตรงกันข้าม ซึ่งภาพประเภทนี้ถูกคิดค้นขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยนักฟิสิกส์และนายแพทย์ชาวเยอรมัน Hermann von Helmholtz เพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษาการรับรู้ทางด้านรูปทรง, สี, และความลึกของวัตถุของมนุษย์ สามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ คือ
    1. ภาพกำกวม (Ambiguous illusions) คือ ภาพที่สามารถมองได้มากกว่าหนึ่งรูปในภาพๆ เดียวกัน
    2. ภาพบิดเบี้ยว (Distorting illusions) คือ ภาพที่ถูกทำให้บิดเบี้ยว เพื่อลวงขนาด, ความยาว, หรือความโค้ง
    3. ภาพที่เป็นไปไม่ได้ (Paradox illusions) คือ ภาพวัตถุที่มีอยู่ได้แค่บนกระดาษ ไม่มีทางมีอยู่จริงในทางปฏิบัติ
    4. ภาพจินตนาการ (Fictional illusions) คือ ภาพที่ปรากฏให้เห็นทั้งๆที่ไม่ได้ถูกเขียนหรือวาดอยู่จริง
    มีคนที่ชื่นชอบภาพประเภทนี้อยู่มากทีเดียว เจ้าของเว๊ปไซด์แห่งหนึ่งที่ชอบรวบรวมภาพเหล่านี้ได้ทำการจัดอันดับของสุดยอดภาพลวงตาที่สร้างสรรค์และน่าทึ่งที่สุดจากปี 2009 มาให้ตื่นตะลึงกัน

    10.) ประติมากรรมกำกวมของ Guido Moretti

    [​IMG]


    นักประติมากรรมชาวอิตาลีที่ชื่นชอบรูปทรงผู้นี้ได้สร้างสรรค์ผลงานที่น่าทึ่งนี้ขึ้นมา โครงเหล็กนี้สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างจากด้านหน้า และเมื่อคุณหันไปมองจากด้านข้าง จะสามารถมองเห็นเป็นอีกรูปหนึ่งที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนอกจากชิ้นนี้แล้วเขายังสร้างผลงานประเภทนี้ขึ้นมาอีกหลายต่อหลายชิ้น

    9.) กังหันหมุน...ที่ไม่หมุน!

    [​IMG]


    ถ้าคุณมองภาพกังหันสีสวยนี้ซักพัก คุณจะรู้สึกว่ารูปกังหันนี้จะหมุนได้นิดหน่อย ทั้งๆ ที่จริงแล้วนี่เป็นภาพนิ่งธรรมดาเท่านั้น ... เชื่อไหมล่ะ?

    8.) คานดีด-คานงัด
    [​IMG]


    จากภาพคานสีขาวที่ตั้งในแนวระนาบ ถ้าเอาลายเส้นแนวทะแยงมาใส่เข้าไป จะทำให้รู้สึกว่าปลายคานทางด้านขวานั้นถูกกดให้ต่ำกว่าทางด้านซ้ายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ศิลปินนิรนามผู้นี้ได้ยังได้ทำเป็นภาพ GIF เพื่อให้เห็นปรากฏการณ์นี้กันอย่างจะๆ ... ถ้าคุณยังไม่เชื่ออีก ก็ลองวาดดูเอาเองก็ยังได้

    7.) น้ำตาของพระแม่ธรณี
    [​IMG]


    ช่างภาพ Michael Nolan ได้ถ่ายภาพที่ปราศจากการตัดต่อที่ธารน้ำแข็งในสแกนดิเนเวีย ภาพที่ดูราวกับหน้าคนที่กำลังโศกเศร้านี้เกิดขึ้นจากน้ำแข็งละลายและธารน้ำที่ไหลผ่านเท่านั้น และเป็นหนึ่งในภาพลวงตาที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ

    6.) วีดีโอมายากล “แก้ว กับ ลูกบอล”

    <EMBED height=225 type=application/x-shockwave-flash width=400 src=http://vimeo.com/moogaloop.swf?clip_id=6782769&server=vimeo.com&show_title=1&show_byline=1&show_portrait=0&color=00ADEF&fullscreen=1 allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true">​


    ทีมงานชาวโรมาเนียที่ใช้ชื่อว่า :weareom: ใช้เวลาเกือบ 48 ชั่วโมงในการจัดฉากเพื่อทำการถ่ายทำมายากลผสมภาพลวงตานี้ขึ้น ผลที่ได้ก็คือหนึ่งในภาพลวงตาเคลื่อนไหวที่แนบเนียนที่สุดอันหนี่ง ตอนแรกเมื่อดูๆ ไปคุณอาจจะรู้สึกว่านี่ก็เป็นแค่การเล่นกลธรรมดาๆ เท่านั้น แต่เมื่อดูไปจนเกือบจบ คุณจะต้องสะดุ้งด้วยความรู้สึกว่า “เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น” หรือ “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” และขอย้ำอีกครั้ง ว่าที่คุณเห็นทั้งหมดนั้นเป็นภาพลวงตา หาใช่มายากลใดๆไม่

    5.) อย่าคิดมาก! มันเป็นแค่...

    [​IMG]


    คุณคนหนุ่มๆ คิดว่าคุณเห็นอะไรในภาพนี้? .... คุณคิดว่ามันเป็นอย่างที่คุณคิดหรือเปล่า? ... ถ้าคุณคิดว่าใช่ละก็ คุณคิดมากเกินไปแล้ว ... มันเป็นแค่ ... กระดาษธรรมดาแผ่นหนึ่งเท่านั้นเอง!! ... คิดมากไปได้ (ฮ่า ฮ่า)

    [​IMG]
    บอกแล้วไงว่ามันเป็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้นเอง ... คิดอะไรไม่เข้าท่า :)


    4.) รถ Audi R8 ลวงตา

    [​IMG]


    คุณคิดว่ารถ Audi ทั้ง 3 คันในรูปนี้ คันไหนใหญ่ที่สุด? ...หรือทั้ง 3 คันนี้ใหญ่เท่ากัน? คิดแล้วลองดูคำตอบจากภาพเฉลยข้างล่างนี้ได้เลย ... ตรงกับที่คุณคิดหรือเปล่าล่ะ?

    [​IMG]


    3.) ภาษารัสเซียลวงตา

    [​IMG]


    ป้ายที่ดูจะเขียนด้วยภาษารัสเซียนี้ดูไม่มีอะไรพิเศษ จนกระทั่งเมื่อคุณมองมันบนกระจกเงา คุณจะพบว่ามันไม่ใช่ภาษารัสเซียเลยซักนิด!!

    [​IMG]


    2.) ภาพยักษ์กับคนแคระ

    [​IMG]


    นี่เป็นภาพของคนแคระกับคนธรรมดา หรือคนธรรมดากับยักษ์กันแน่? คำตอบคือผิดหมด!! ที่จริงแล้วทั้งสองคนเป็นคนธรรมดาที่มีส่วนสูงใกล้เคียงกันมาก ไม่เชื่อลองดูจากมุมข้างๆ สิ แล้วคุณจะเข้าใจเอง ... น่าทึ่งไหมล่ะ

    [​IMG]


    1.) ภาพเสือดาวหิมะ

    [​IMG]


    นี่เป็นหนึ่งในภาพลวงตาที่ทำได้เนียนที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยทีเดียว คุณอาจจะไม่เห็นอะไรผิดปกติในภาพหน้าเสือดาวหิมะรูปนี้เลย ... โอเค ... อย่างที่หนึ่ง ก็คือ ... ภาพนี้ไม่ใช่ภาพของเสือดาวหิมะจริงๆ ... แต่คุณเห็นอะไรมากไปกว่านี้หรือเปล่าล่ะ? ถ้ายังไม่เห็นอีกก็เลื่อนลงไปดูข้างล่างเลย

    [​IMG]


    คุณเชื่อไหมว่าภาพด้านบนกับภาพด้านข้างนี้เป็นภาพๆ เดียวกัน? ภาพนี้เป็นการสร้างสรรค์ของศิลปินชื่อ Craig Tabary โดยการวาดภาพส่วนหนึ่งลงบนแผ่นคอนกรีต และอีกส่วนหนึ่ง ... บนร่างกายของนางแบบคนหนึ่ง!! ภาพที่น่าทึ่งนี้เป็นผลงานศิลปะที่ยอดเยี่ยมที่สุดชิ้นหนึ่งของปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ ... ทั้งความเหมือนจริง ...และความสร้างสรรค์


    ที่มา:
    Vurdlak’s Top 10 Illusions in 2009

    </TD></TR></TBODY></TABLE>เครดิต
     
  4. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710

    เวป ของกลุ่มฮะ ป้าฮะ เดี๋ยวรอ ให้สมบูรณ์หน่อยนะป้าฮะ ....
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มดดำกับมดแดงกัดกัน

    โลกนี้ไม่สิ้นกลิ่นธรรม


    โดย ศิษย์อาจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก / ราชบัณฑิต



    เรื่องเล่าหลังฉัน จากพระอาจารย์อนันต์ อกิญฺจโน วัดป่าหนองป่าพง ๗๓ (วัดมาบจันทร์ จ.ระยอง) หลังจากผ่านเหตุการณ์เคอร์ฟิวอันน่าสลดคืนแรกของกรุงเทพฯ (แต่ดูหมือนรัฐบาลก็จำเป็นต้องทำ) ครั้งแรกในรอบ ๑๘ ปีของไทย, ท่านอาจารย์เองก็มีสีหน้าอันแสดงออกถึงความห่วงใยคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ (ผมสังเกตเอาเอง)...เรื่องเล่าหลังฉันเรื่องแรกในวันนี้ ท่านจึง เปรยให้ผมฟัง เรื่องมดดำมดแดงกัดกัน

    นานมาแล้ว ลูกศิษย์ในวัดของหลวงปู่กินรี กำลังเชียร์มดดำ มดแดง ที่กำลังกัดกัน ใครที่เชียร์มดดำเวลามดดำได้เปรียบ พวกเขาก็เฮดังลั่น ส่วนพวกที่เชียร์มดแดงก็เช่นกัน ในขณะที่กำลังสลับ ผลัดกันเฮอยู่นั้น หลวงปู่กินรีก็มาอยู่ข้างหลังแต่เมื่อไรไม่ทราบ ท่านก็ตะโกนบ้าง

    "เฮ้...ขึ้นสวรรค์ เฮ้...ลงนรก,

    เอ้า เฮ้...ขึ้นสวรรค์ เฮ้...ลงนรก"

    ลูกศิษย์หันมาเห็นอาจารย์เท่านั้น ก็วงแตก แยกย้ายไปตามกัน ลูกศิษย์ที่พอมีปัญญา ก็มานั่งคิดพิจารณาตามที่ท่านอาจารย์พูดอีกที ไม่นานก็เข้าใจว่า แท้ที่จริง หลวงปู่กินรี พยายามสอนให้พวกเรารู้ว่า เวลาเห็นฝ่ายเราได้เปรียบ ก็ร้องเฮ้ ดังลั่น เหมือนดั่งขึ้นสวรรค์ พอฝ่ายเราเสียเปรียบ ก็ได้ยิน เฮ้ ดังลั่นของฝ่ายตรงข้าม เหมือนกับตกนรก...ที่สลับไปสลับมา ระหว่างขึ้นสวรรค์กับลงนรกนั้น ก็คือ "จิต" ของเรานั่นเอง

    เมื่อเข้าใจ (ซาโตริ) เช่นนี้แล้ว ก็เลิกเล่นมดดำ มดแดงกัดกันโดยสิ้นเชิง แล้วหันมาปฏิบัติ ทำความเพียร เพื่อดูจิตของตน มิให้แกว่งไปมา ระหว่างนรก-สวรรค์ เช่นนั้นอีก

    เรื่องเล่าหลังฉัน เรื่องที่ ๒

    ท่านอาจารย์ไม่พูดอะไรมาก กลับเล่าด้วยการแสดงกิริยา ด้วยการยกมือขวาขึ้นมาตีแขนซ้าย ๑ ที ดังเพียะ ...แล้วก็สลับ ยกมือซ้ายขึ้นมาตีแขนซ้าย ๑ ที ดังเพียะ เช่นกัน

    แล้วท่านก็มองหน้าพวกเรา (ตอนนั้นอยู่กันหลายคน) ไม่ว่าจะเป็นมือขวาตีแขนซ้าย หรือมือซ้ายตีแขนขวา มันก็เจ็บเหมือนกันทั้งคู่

    แล้วท่านก็ปล่อยให้พวกเราไปตีความกันเอาเอง...(ผมเข้าใจว่า) สงครามของคนไทยด้วยกัน ไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้เปรียบฝ่ายไหน หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะชนะอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม มันก็เจ็บปวดทั้งสองกรณี เสมือนมือตัวเอง ที่ตีแขนอีกข้างหนึ่งของตัวเอง

    และแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้ก็ได้เกิดขึ้น แล้วมันจะผ่านพ้นไป...แล้วมันจะผ่านพ้นไป ชีวิตยังต้องดำเนินกันต่ออย่าท้อแท้ (Life goes on), แล้วคนไทยได้บทเรียนอะไรบ้าง พุทธศาสนาที่พวกเรานับถือ มิได้ช่วยอะไรได้บ้างเลยหรือ ตั้งแต่ระดับที่เข้าใจได้ง่าย เช่น การครอง "สติ" ควบคุมความโกรธ การมี "หิริโอตตัปปะ" ควบคุมความเห็นแก่ตัว ละอายชั่วกลัวบาป, ไปจนถึงระดับที่เข้าใจยากหน่อย เช่น "อิทัปปัจจยตา" คิดให้รอบทั้งระบบ ไล่เหตุไล่ผลให้ครบ ตลอดทั้งสาย ทั้งกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา-แปลว่า

    ๑. เมื่อมีสิ่งๆ นี้ สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น ; เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว ลองคิดทบทวนดู กูเผลอทำอะไรลงไปบ้าง กูทำอย่างนั้นไปทำไม เพื่อใคร กูมายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ใครโน้มน้าวให้มา ความเชื่อในลัทธิใดผลักไสให้ฉันทำสิ่งนั้นๆ หรือความนิยมชมชอบใครเป็นพิเศษ จึงได้เทใจทำสิ่งที่ก้าวล่วง เบียดเบียนสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ทำให้ส่งผลมาเป็นเช่นวันนี้ได้ แล้วที่ทำไปทั้งหมดนั่น มันเป็นมงคลต่อชีวิตไหม? (หากไม่รู้ ก็ไปเปิดมงคล ๓๘ ไล่ดู สิ่งที่พวกคุณได้ทำไปทั้งหมด เป็น ๑ ใน ๓๘ หรือไม่?) เริ่มจากมงคลที่ ๑ การไม่คบคนชั่วเป็นมิตร, เอาแค่ข้อนี้หลายคนก็อาจถึงบางอ้อได้แล้ว คนรอบข้างตัวเรา พวกเขาเป็นคนดี มีอุดมการณ์รักชาติ รักในหลวง แน่หรือ??? เหตุใดพวกเขาจึงมักที่จะเสี้ยมให้เราเกิดโทสะ กริ้วเมือง พาลคนอื่นไปทั่วตั้งแต่ดิน ไปถึงฟากฟ้า, ไยพวกเขาต้องพาเราเผาบ้านเผาเมืองด้วย ฯลฯ ต่างๆ เหล่านี้...หรือว่าพวกเขาคือ "คนชั่ว" ที่เราอาจเผลอไปนับพวกเขาเป็น "มิตร" หรือเปล่าครับ?

    ๒. เมื่อดับสิ่งนี้ สิ่งนี้ๆ ก็ดับไป ; เมื่อไล่ไปจนถึงต้นตอ บุคคลอันเป็นต้นเรื่อง ต้นทางจริงๆ (ซึ่งบุคคลต้นทางจริงๆ อาจไม่ได้อยู่ในประเทศด้วยซ้ำ) ก็จะพบความจริง ไม่สายเกินไปหรอกครับ แล้วเราก็ดับ เหตุแห่งความชั่วร้าย ความเชื่อร้ายๆ นั้นเสีย หายนะต่างๆ ก็จะดับไป นี้คือกลไกแห่งอิทัปปัจจยตา (กรณีนี้คือเหตุแห่งปัญหา)

    อย่าไปคิดแบบตัดตอน โกรธแค้นทหารที่มาสลายการชุมนุม ควรเปิดใจให้กว้าง แล้วย้อนคิดกลับไปด้วย ว่า เพราะอะไรเขาจึงต้องทำแบบนี้ มันเริ่มมาจากตรงไหน เมื่อไหร่ คิดให้ได้ว่าใคร ที่มาหลอกใช้กู จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แล้วสุดท้ายพวกเขาเหล่านั้นก็หลบหนีหายไปต่างประเทศบ้าง เข้าเซฟเฮาส์บ้าง แอบๆ หาทางลงให้ตัวเอง แบบเกี้ยเซี้ย ปลอดภัย เรียบร้อยโรงเรียนนักการเมืองไทย ตามระเบียบ...

    เมื่อเข้าใจและตาสว่างแล้ว ก็ค่อยๆ เริ่มสายแห่งปัญญาตามมา เลิกเสียซึ่งปาปมิตร เพื่อนชั่ว หลอกใช้ ให้กูไปตาย ให้กูหลงเข้าใจผิด หนีห่างจากพวกนี้ให้ไกลที่สุด อันตรายอย่างยิ่ง ถ้าไม่อันตรายจริง ไม่สำคัญจริงๆ พระพุทธเจ้าคงไม่จัดให้เป็นมงคลแรก จากทั้ง ๓๘ มงคลเป็นแน่, แล้วหันไปคบกัลยาณมิตร เพื่อนดีจริง อันเป็นมงคลที่ ๒ ที่จะช่วยนำพาเรา ชี้ทางแนะนำ ทางแห่งการพ้นทุกข์ให้กับเราจริงๆ ซึ่งเป็นทางสว่างด้วยแสงแห่งปัญญา มิใช่แสงจากไฟ ที่เผายาง เผาบ้านเผาเมืองอย่างที่เห็น

    เมื่อไหร่น้า...มดดำกับมดแดงจะเลิกกัดกัน หรือคนไทยจะเลิกเอามือมาตีแขนตัวเองกันเสียที... เฮ้อ!

    เครดิต http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1021
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 10 มิถุนายน 2553 01:00
    <!-- End Content Header -->วิบากกรรมของ 'หัวกะทิ'

    โดย : ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ
    ชายคนหนึ่งมองปรากฏการณ์ "เผาโรงเรียน" อย่างเข้าใจเพราะเคยโดนความเป็นที่ 1 หวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันนี้เขาจึงเลือกใช้ชีวิตอย่างสงบในผ้าเหลือง
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT>การที่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาวางแผนและเผาโรงเรียนนั้น สำหรับเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องร่วมสถาบัน มันอาจเป็นการกระทำที่เต็มไปด้วยคำว่า ทำไม , สำหรับสังคมและคนอื่นๆ มันคือ ความเครียด กดดัน ที่เกิดจากระบบการเรียนการสอนสำหรับเด็กหัวกะทิ และสำหรับพ่อแม่ คือ การย้อนกลับไปถามตัวเองว่า ยังอยากจะให้ลูกเรียนเก่งอยู่หรือเปล่า...

    เราคงไม่กล้าไปสรุปหรือหาคำตอบใดๆ ในเรื่องนี้ หากมี "พระ" อยู่รูปหนึ่ง ที่หลายปีก่อน เคยสอบเอนทรานซ์คะแนนเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ได้ 2 เหรียญทองแดงจากการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิค เป็นวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากรั้วจามจุรี และได้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ก่อนจะกลับมาทำงาน และตัดสินใจก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์จนเข้าปีที่ 4 ปีนี้ และยังไม่มีโครงการลาสิกขาในอนาคตอันใกล้
    หลังจากรับรู้ข่าวไม่ค่อยสู้ดี อดีตนักเรียนห้อง king ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษารูปนี้ บอกว่า เหมือนกลับไปเห็นตัวเองสมัยก่อน และบอกสั้นๆ ว่า "อาตมาเข้าใจ อาตมาเองก็เคยเป็นแบบนี้"
    ตลอดการสนทนา ครูบาป๋อง สวนสันติธรรม อำเภอศรีราชา หรือ นายกรกฎ เชาววะวนิช ในอดีต เจ้าของคะแนนเอนทรานซ์สูงสุด ปี 2537 ไม่เคยบอกว่าตัวเองโชคดี ที่ผ่านความเครียดเหล่านี้มาได้ แต่ความเครียดที่พัดเข้ามาหาหลายระลอกต่างหาก ที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ผ่านช่วงวิกฤติ โดยเฉพาะทุกข์ครั้งสาหัสที่สุด ที่ฉุดตัวเองให้พ้นจากหลุมดำมาได้


    ตำรา A ความสัมพันธ์ F

    ประวัติการเรียนของ ด.ช.กรกฎ ดีเด่นมาตลอด ตั้งแต่มัธยม1และ 2 ที่โรงเรียนจิตรลดา จากนั้นสอบเทียบข้าม ม.3 มาอยู่ห้องคิง แผนกวิทย์-คอมพิวเตอร์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

    แต่ความเครียดก็ก่อเค้ามาตั้งแต่ ม.2 ด้วยซ้ำ...
    "ตอนนั้นทำตัวเพี้ยนๆ กับเพื่อนที่เป็นเด็กเรียน เขาชอบอ่านสามก๊ก ก็เอามุขตลกสามก๊กมาเล่น ซึ่งมันเกินวัย คนอื่นไม่เข้าใจเป็นตลกเชิงวิชาการ เป็นมุขเด็กเรียน เราขำกับเพื่อนอยู่ไม่กี่คน เพื่อนคนอื่นก็คิดว่าเราบ้า หลายคนไม่ชอบเรา แกล้งล้อ พูดจาไม่ดีด้วย แต่ไม่ถึงกับทำร้ายร่างกาย" เพียงเท่านี้ก็ทำให้ ด.ช.กรกฎเริ่มเครียดขึ้นมา พ่อแม่เองก็ไม่รู้เพราะลูกชายไม่ได้เล่า

    แต่อาการขณะนั้นยังไม่มาก เพราะยังมีเพื่อนแบบเดียวกันให้คบ ซึ่งแต่ละคนนิสัยจะคล้ายๆ กันคือ จิตใจและอารมณ์ไม่ค่อยเข้มแข็ง มีปัญหาด้านการสื่อสารและความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ แต่เรียนเก่ง
    ดีกรีความเครียดมาเพิ่มมากขึ้น เมื่อย้ายมาเป็นน้องใหม่ในรั้วเตรียมอุดมฯ แวดล้อมไปด้วยเพื่อนๆ ที่เก่งพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แถมอายุมากกว่าเพราะ เด็กชายจากจิตรลดามาแบบสอบเทียบข้าม ม.3
    "สมัยก่อนเพื่อนๆ ยังพึ่งเรา แกล้งกันยังไงก็ยังต้องพึ่งเราเพราะเราเก่ง แต่ที่เตรียมฯ ทุกคนเก่งถ้วนหน้า เลยไม่มีจุดเชื่อมระหว่างกับเรากับเพื่อนๆ ที่ไม่เก่ง มนุษย์สัมพันธ์ไม่เกิด ไม่มีใครต้องพึ่งพาเรา" ครูบาป๋อง เสริมอีกด้วยว่า ถ้าเด็กยิ่งไม่มีทักษะทางอารมณ์ ก็ไม่สามารถหาเพื่อนใหม่ได้

    สำหรับเด็กสอบเทียบอย่างเขา นอกจากจะเจอแต่เพื่อนเก่งๆ แล้ว ความที่เรียนมัธยมต้นแค่ 2 ปี จึงมีหลายวิชาที่ตามไม่ทัน หรือบางวิชาก็ไม่ได้เรียนมาก่อน แต่อาศัยว่าในห้องมีเพื่อนที่สอบเทียบมาอีก 2 คน กลุ่มนายกรกฎก็เลยคบกันอยู่แค่นี้

    การแกล้ง ล้อเลียน ไม่เป็นปัญหาในหมู่เด็กโตชั้นมัธยมปลาย แต่เรื่องน่าหนักใจกลับไปตกอยู่ที่ "ความสัมพันธ์"
    "ปัญหามันอยู่ที่ตัวเรา เราแสดงออกกับคนอื่นไม่ดี คิดอย่างไรทำอย่างนั้น ไม่ค่อยคิดถึงคนอื่น อยากทำอะไรก็ทำ อาจจะติดจากสมัยเด็กๆ เพื่อนต้องเกรงใจเพราะเราเก่ง หลายคนมองเราไม่ดี ไม่คุยกับเรา ต่อต้านเรา กับอาจารย์เองก็เคย ครั้งหนึ่งเขาสอนข้ามไปข้ามมา เราก็ยกมือแย้งถึง 2 รอบ บอกว่า ทำไมอาจารย์ไม่สอนบทนั้น บทนี้ จนอาจารย์เสียใจ เดินออกจากห้อง เพื่อนๆ ต้องพาเราเอาพวงมาลัยไปขอโทษ ซึ่งตอนนั้นเราก็รู้สึกผิด และรู้ว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์จริงๆ"
    ความตระหนักรู้มาเพิ่มขึ้นเมื่อตอนปิดภาคเรียนฤดูร้อนก่อนขึ้นม.5 กรกฎได้ไปบวชเรียน กับท่านปัญญานันทะ วัดชลประทานรังสฤษฎ์ เด็กหนุ่มใช้เวลาศึกษาธรรมมะ สุภาษิตบทสั้นๆ ที่กล่อมเกลาให้นึกถึง เห็นใจคนอื่น อ่อนน้อม
    “เปิดเทอมใหม่ เพื่อนบอกว่า เรานิสัยดีขึ้นเยอะ ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนหายไปเยอะเลย” ความเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้น
    แต่เรื่องความเครียดในการเรียน ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะหลังการสอบแต่ละครั้ง จะมีทั้งความตื่นเต้น กดดัน
    จะไม่ให้เครียดได้อย่างไร เพราะตั้งแต่ ม.4 กรกฎก็อัดเรียนพิเศษเต็มวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพื่อเรียนเนื้อหา ม.5 ม. 6 ล่วงหน้า แล้วพอขึ้นมา ม.5 คอร์สนอกห้องเรียนยิ่งเข้มข้นขึ้น
    “เสาร์-อาทิตย์เรียนประมาณ 11 ชั่วโมง เน้นวิชาเอนท์หนักๆ 3-4 วิชา เหนื่อยมาก”


    ติดบ่วงโอลิมปิค
    ระหว่างที่ยังศึกษาอยู่ชั้น ม.5 กรกฎได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปสอบคณิตศาสตร์โอลิมปิคที่ประเทศตุรกี ซึ่งก็ไม่เป็นเรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะในห้องเดียวกัน มีเพื่อนๆ ร่วมไปแข่งโอลิมปิควิชาการถึง 19 คน

    แล้วกรกฎกับเพื่อน ก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการคว้าเหรียญทองแดงกลับมา
    “ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเก่ง ฉลาดมาก คนให้การต้อนรับยกย่องเยอะ” ครูบาป๋อง ย้อนวัยกลับไปดูสภาวะจิตใจตัวเอง
    และนั่นก็เป็น "ทุกข์ก้อนที่ 2 ของอาตมา..."

    เพราะสำเร็จมาตลอด เจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิคจึงบอกกับตัวเองว่า จะต้องสำเร็จยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนความผิดพลาดจะเรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่น

    แต่ความผิดพลาดก็มาเยือนเร็วกว่าที่คิด ช่วงสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง หรือ "ทุนคิง" ในภาษาเด็กเตรียมฯ กรกฎไม่พลาดและไปพร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อย
    ปรากฎว่าเขาผ่านรอบสอบข้อเขียน 10 คนสุดท้าย แต่กลับไปตกในช่วงสอบสัมภาษณ์ 5 คน

    "เราก็รู้สึก อาย เครียด" ตามมาติดๆ ด้วยการเป็นตัวแทนไปแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิคเป็นปีที่ 2 ผลก็คือ คะแนนไปอยู่ในช่วงตรงกลางค่อนไปทางครึ่งหลัง เลยชวดเหรียญทองแดงไป
    "ทั้งอาย ทั้งทุกข์ กลุ้มใจ" แต่ 2 สัปดาห์ต่อมา เจ้าภาพครั้งนั้นคือ ฮ่องกง มีการเลื่อนเกณฑ์ลงมาเพื่อเอื้อให้ตัวแทนจากประเทศตัวเอง อานิสงส์ตกถึงกรกฎ เหรียญทองแดงที่ตอนแรกพลาด ก็ได้มาคล้องคอจนได้

    ความทุกข์ที่กัดกินใจอยู่หลายวัน แล้วจู่ๆ ก็พลิกผันกลับมาสมหวัง ทำให้กรกฎเริ่มเห็นว่า "ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้ตลอด"

    "ถ้าไม่เคยได้เหรียญมาก่อนก็ไม่กดดัน ความสำเร็จสร้างความทุกข์ให้เราจากความยึดมั่น ถือมั่น" เขาเริ่มเข้าใจบ้างแล้วว่า ความทุกข์ต้องมีเข้ามาเรื่อยๆ แต่ถ้ารู้จักทำใจยอมรับความล้มเหลวได้ ก็จะไม่เป็นอะไร
    ขนาดว่าเริ่มคิดได้ แต่เมื่อ "ทุกข์ก้อนหนักที่สุด" แวะเข้ามา เขาก็แทบจะล้มทั้งยืน
    เมื่อเรียนจบปริญญาตรีที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เขาคว้าทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ เรื่องเรียน เรื่องวิชาการไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่พอมาเจอ "ธีซิส" ก่อนจบ ที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ผ่านสักที นักศึกษาหนุ่มท้อมาก จนเคยคิดว่า ถ้าหลับไป แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นมาอีกเลย...ก็คงดี

    "เพราะไม่อยากเจอความทุกข์อย่างนี้" สภาพจิตใจที่อ่อนแอตอนนั้น ทำให้กรกฎตัดสินใจโทรหาพ่อแม่ที่เมืองไทย บอกว่า ถ้าเรียนไม่จบ จะเป็นอะไรไหม คนฟังอีกซีกโลกก็ตกใจ แต่หลังจากนั้น คนเป็นพ่อลงทุนลางานมาอยู่เป็นเพื่อน 2 เดือน มาดูแล ทำกับข้าวให้ คอยเป็นกำลังใจ จนจบปริญญาโทมาได้อย่างเฉียดฉิว
    "สุดท้าย คนที่เราพึ่งได้ก็คือคนที่รักเราที่สุด คือ พ่อกับแม่ หรือ เพื่อนดีๆ เราก็พึ่งได้" ซึ่งตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน นักเรียนไทยอาศัยอยู่คนเดียว คิดคนเดียว ทำคนเดียว ไม่มีใครให้คำปรึกษา เวลาทุกข์จึงยิ่งดิ่งลึก
    สิ่งหนึ่งที่ครูบาป๋องตั้งข้อสังเกต โดยอิงจากประสบการณ์ที่ผ่านมา คือ เมื่อความผิดพลาดหรือความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว จะมีการแสดงออก 2 อย่างคือ คิดว่าตัวเองผิด ก็จะแสดงออกผ่านทางการฆ่าตัวตาย ทำร้ายตัวเอง กับอีกอย่างคือ คิดว่าเป็นความผิดของคนอื่น ก็จะระบายออกอย่างโกรธแค้น ยกตัวอย่างเช่น กราดยิงเพื่อน (ในสหรัฐอเมริกา) ทำร้ายหรือ ทำลายสถานที่ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งไม่ว่าแบบไหนก็เป็นความรุนแรง

    ..............................................................

    "คนภายนอกมองว่าอาตมาเก่ง ไม่เคยรู้ว่าอาตมาก็เคยทุกข์ เคยล้มเหลว" ครูบาป๋อง กำลังจะบอกว่า ไม่ได้มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่เจอปัญหา "คนเราก็มองแต่ภายนอก จะมีใครไหมที่ทุกข์แล้วเอามาเล่าให้คนอื่นฟัง"
    อาจฟังดูยากแต่อดีตนักเรียนทุนในผ้าเหลืองรูปนี้ อยากให้ใครก็ตามที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เข้าใจธรรมชาติของปัญหา ว่า มันอาจจะรุนแรงแค่เฉพาะหน้า แต่พอเวลาผ่าน จะค่อยๆ ทุเลา จนเราเองก็อาจจะลืม

    "มีชาดกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวที่พระราชาสั่งให้คนคิดทำแหวน ที่ใส่แล้วฉลาด เข้าใจโลก รู้ทุกเรื่อง ช่างคนหนึ่งเลือกเขียนไว้บนตัวแหวนว่า 'เดี๋ยวมันก็ผ่านไป' ฉะนั้นไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ถ้าอดทน เราก็แข็งแรงได้"
    ทุกวันนี้ ครูบาป๋อง ยังพากเพียรตั้งใจศึกษาธรรมะต่อไป เนื้อหาอาจไม่ได้แบ่งเป็นรายวิชาอย่างทางโลก แต่ทางธรรม มุ่งศึกษาว่าร่างกายและจิตใจทำงานอย่างไร หาสาเหตุแห่งทุกข์หรือสมุทัย เพื่อพาจิตใจให้อิสระจากทุกข์ แล้วนำเอาสิ่งที่ศึกษาไปให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือผู้อื่นได้
    "ความรู้และจิตใจต้องไปควบคู่กัน โดยเฉพาะเด็กที่เก่ง มีพรสวรรค์ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการสร้างประเทศในอนาคต" หลวงพี่สอนน้อง



    'รุ่นพี่' ถึง 'รุ่นน้อง'

    มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ถึงการเรียนการสอนของ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
    แต่ ไกร (นามสมมติ) นักเรียนชั้นม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารรุ่นน้องคนดังกล่าว เพื่อนๆ ในกลุ่มของเขาก็รู้สึกเช่นนั้น แต่ก็อยากชวนให้สังคมมองพวกเขาและโรงเรียนของพวกเขาในอีกมุม
    ไกรเองย้ายมาจากโรงเรียนสาธิตฯ ปทุมวัน เมื่อเกือบ 3 ปีก่อนพร้อมกับความถนัดด้านคณิตศาสตร์ เขายอมรับว่า บางวิชาที่มหิดลฯ เข้มข้นกว่าโรงเรียนอื่นจริงๆ (จากการคุยกับเพื่อนต่างสถาบัน)

    "เข้มข้นจริง แต่เราไม่ได้เรียนเพื่อไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราเรียนเพื่อวิจัยองค์ความรู้ เพื่อนำกลับมาพัฒนาประเทศ ถ้าไม่เข้มข้นแล้ว จะไปช่วยประเทศได้อย่างไร ถ้าคนที่มีอุดมการณ์อย่างนี้ เขาก็จะเข้าใจ ว่าเขาทำอะไรอยู่
    เด็กที่เรียนที่นี่ ไม่ได้สนใจว่า ต่อไปจะเอ็นท์คณะอะไร แล้วพ่อแม่จะชอบไหม งานหาง่ายหรือเปล่า แต่เราคิดว่าเราอยากเป็นอะไร อยากรู้อะไร และอยากทำอะไรให้ประเทศ"
    ส่วนเรื่อง "ความเครียด" ที่เขาอยากสื่อสาร ไกรยอมรับว่า มี ซึ่งอาจผสมปนเปกับโรคคิดถึงบ้าน (Homesick) เพราะที่นี่ให้เด็กอยู่หอ ตั้งแต่อาทิตย์(เย็น)-ศุกร์

    และเขาก็ยืนยันว่า "สอบตก" ไม่ได้มีผลกับคะแนนภาพรวมมากนัก ประมาณ ตก 2-3 ครั้งก็ยังได้เกรด 4 เพราะจะมีการสอบเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายครั้งคอยช่วยเสริมคะแนน
    "แต่ถ้าตกจริงๆ ครูก็จะช่วยเหลือ ให้เข้า 'คลินิกวิชาการตอนกลางคืน' เพราะที่โรงเรียนไม่สนับสนุนให้เรียนพิเศษ โดยเด็กๆ สามารถเข้าไปคุยกับอาจารย์ ถามเรื่องทั่วไป เรื่องเรียน หรือบางทีผมขาดเรียน ตามไม่ทัน ก็จะเข้าไปให้อาจารย์ช่วนสอนตั้งแต่แรก" หลังเลิกเรียนก็จะมีกิจกรรมต่างๆ เช่น sportday
    เพื่อนในห้องอีก 23 คนของไกร มีหลายระดับ ทั้งเครียดน้อย เครียดมาก ไปจนถึงเครียดมากที่สุด ในทุกครั้งที่สอบ แต่หลายคนก็มีทางออกต่างกัน เช่น ปรึกษาเพื่อน เล่นเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อนหญิงบางคนเลือกตีสควอช เพราะช่วยระบายอารมณ์ได้ดีมาก
    สำหรับไกร อยู่โรงเรียนรู้สึกอิสระมากกว่าอยู่ที่บ้าน และเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนเก่า มหิดลฯ เครียดน้อยกว่า เพราะเขาได้เรียน ได้เจอกับคนแบบเดียวกัน ชอบแบบเดียวกัน ผิดกับที่เก่าที่เพื่อนมาจากทั่วสารทิศ ทั้งสอบเข้า ฝาก เพื่อนจึงมีหลากหลายมาก จะไม่ค่อยเจอใครที่เหมือนกับตัวเอง
    "แต่นั่นก็ขึ้นกับว่าอยู่กับเพื่อนกลุ่มไหน และอยู่ที่ว่าเราจะจัดการความเครียดยังไง จัดลำดับความสำคัญอย่างไร ผมเองถ้าตั้งใจอ่าน ตั้งใจทำสุดๆ แล้วก็ยังตก ก็จะปล่อยวาง ปล่อยมันไปบ้าง"

    http://www.bangkokbiznews.com/home/...yle/20100610/336766/วิบากกรรมของ-หัวกะทิ.html
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลำดับเหตุการณ์ก่อนวันสิ้นยุค

    หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- เสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2553 00:00:00 น.

    เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1996 บาทหลวงแอนดรู ผู้มีฌานญาณ (Mystic) แห่งสหรัฐ ได้เห็นเซนต์ไมเคิลในนิมิต เซนต์ไมเคิลได้เผยเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าสนใจก่อนวันสิ้นยุค
    ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดต่างๆ ซึ่งผู้จัดทำเอกสารได้เรียบเรียง โดยตั้งเป็น คำถาม แล้วใช้ คำตอบ จากเนื้อหาสาระที่ท่านบาทหลวงแอนดรูได้รับการเผยแสดงจากอัครเทวดาไมเคิล ดังต่อไปนี้
    <!--/* OpenX Javascript Tag v2.8.2 */--><SCRIPT type=text/javascript><!--//<![CDATA[ var m3_u = (location.protocol=='https:'?'https://a.ryt9.com/www/delivery/ajs.php':'http://a.ryt9.com/www/delivery/ajs.php'); var m3_r = Math.floor(Math.random()*99999999999); if (!document.MAX_used) document.MAX_used = ','; document.write ("<scr"+"ipt type='text/javascript' src='"+m3_u); document.write ("?zoneid=5"); document.write ('&cb=' + m3_r); if (document.MAX_used != ',') document.write ("&exclude=" + document.MAX_used); document.write (document.charset ? '&charset='+document.charset : (document.characterSet ? '&charset='+document.characterSet : '')); document.write ("&loc=" + escape(window.location)); if (document.referrer) document.write ("&referer=" + escape(document.referrer)); if (document.context) document.write ("&context=" + escape(document.context)); if (document.mmm_fo) document.write ("&mmm_fo=1"); document.write ("'><\/scr"+"ipt>");//]]>--></SCRIPT><SCRIPT src="http://a.ryt9.com/www/delivery/ajs.php?zoneid=5&cb=65651549432&charset=utf-8&loc=http%3A//www.ryt9.com/s/tpd/904447&referer=http%3A//http://palungjit.org/forums/นี่-ๆ-เหล่านักปฏิบัติ-จ๋าาา-ช่วยวิสัชนา-ตอบ-นู๋บี-ทีซิ-ว่า-ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา-209696-27.html" type=text.181/javascript></SCRIPT><NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>
    ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่า เหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทุกวันนี้ เป็นเหตุการณ์ของวันสิ้นยุค?
    เพราะโป๊ปเป็นผู้กล่าวเช่นนั้น พระองค์ทรงเป็นพระสันตะปาปาแต่พระองค์เดียว ในประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาต (โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2) ที่ทรงกล่าวว่า "เรากำลังมีชีวิตในช่วงเวลาแห่งพระวิวรณ์" (Apocalypse คือ การทำนายถึงมหาภัยพิบัติตอนสิ้นยุค)
    มีการกำหนดวันเวลาของวันสิ้นยุคไว้หรือเปล่า?
    ไม่มีการกำหนดว่าจะเกิดปีใด แต่ทุกอย่างจะถูกกำหนดด้วยเหตุการณ์ต่างๆ สวรรค์ไม่เคยกำหนดวันเวลา
    มหาวิปโยค (Tribulation) คือช่วงเวลา 3 ปีครึ่ง แห่งการครองอำนาจของแอนตี้ไครสต์ จะเกิดขึ้นทันทีหลัง ปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่
    เมื่อเร็วๆ นี้ (คือก่อนปี 1996 เล็กน้อย) แม่พระได้บอกบาทหลวงสเตฟาโน กอบบีว่า ระยะเวลาแห่ง มหาวิปโยค จะถูกทำให้สั้นลง ดังนั้น แทนที่จะกินเวลา 3 ปีครึ่ง อาจจะเป็นแค่เดือนไม่ใช่ปี ขอให้เป็นดังนั้นเถิด อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลา มหาวิปโยค เราจะหลงและลืมวันเดือนปี จะไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร เดือนอะไร และปีอะไร เพราะเวลาจะสับสนอลหม่าน จับต้นชนปลายไม่ถูก ต่างจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วราวติดปีก และดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เวลาของเราเสียแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะสาละวนเพื่อความอยู่รอดของตนเพียงอย่างเดียว จนไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่โมงกี่ยาม หรือเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์
    ลำดับเหตุการณ์ต่างๆ จะมีอะไรบ้าง?
    โดยทั่วไปแล้ว ลำดับเหตุการณ์ต่างๆ จะนำเราไปสู่เหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใด ว่าจะลงเอยไปแบบใด ไม่ใช่เหตุการณ์นั้นๆ ในตัวของมันเอง แต่ผม (บาทหลวงแอนดรู) ผมต้องการให้พวกเธอเตรียมตัวเตรียมใจ และให้ศึกษาเหตุการณ์ต่างๆ เอาไว้ ตัวอย่างเช่น พวกเธอต้องเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลต่างๆ การเปลี่ยนแปลงของกระแสเงินตราสกุลสำคัญๆ พวกเธอต้องเฝ้าดูปฏิติการต่างๆ ทางการทูต ภัยพิบัติทางธรรมชาติบางอย่าง
    เหตุการณ์ที่จะต้องเฝ้ามอง สำหรับชาวอเมริกันก็คือ เมื่อเรารู้ว่าเมื่อไรจะเกิด แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในภาคกลางของสหรัฐอเมริกา แผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะทำลายเมืองหนึ่ง เพราะเกิดไฟไหม้ น่าจะเป็นเมือง Kansas ทว่าเบื้องบนไม่เคยบอกว่าจะเป็นเมืองใด ดังนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องกำหนดตายตัว แต่เมืองนั้นจะถูกทำลายในคราวเกิดแผ่นดินไหวครั้งนั้น ซึ่งคะเนว่าแผ่นดินไหวเป็นเวลา 1 วัน หรือราวๆ นั้น ซึ่งจะทำให้ระฆังของโบสถ์แถวริมฝั่งของอ่าว และเข้าไปในบริเวณเมืองฟลอริดา ดังเหง่งหง่าง อันเนื่องมาจากคลื่นสั่นสะเทือนหลังแผ่นดินไหว
    แผ่นดินไหวใหญ่ครั้งนั้นจะก่อให้ เกิดรอยแยกในบริเวณบ่อน้ำมัน ในบริเวณอ่าว และบริเวณตรงกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งอยู่บนฝั่งตะวันออก ขณะที่เกิดรอยแยกในบริเวณดังกล่าว ไม่ก่อนก็หลังประเทศคิวบาจะได้รับการยอมรับจากสหรัฐอเมริกา ให้มีสัมพันธ์ทางการทูตแบบเต็มขั้น ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองจะมี การอับปางครั้งมโหฬาร ของเรือรบในมหาสมุทรแอตแลนติก ภาคเหนือของสหรัฐ อาจจะเป็นเครื่องบินโดยสารหรือเรือสำราญท่องสมุทรแบบหรูหรา เพราะว่าเบื้องบนได้บอกว่า จะมีผู้เสียชีวิตนับพันคน จะต้องเป็นเรือโดยสารที่บรรจุคนจำนวนมากอย่างแน่นอน
    เมื่อการอับปางของเรือขนาดใหญ่เพิ่งผ่านไป ก็จะเกิดอีกเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาในทันที คือการปฏิวัติ สงครามกลางเมืองในอิตาลี สงครามกลางเมืองนี้จะตามหลังสงครามที่ได้เริ่มแล้วในตุรกี กรีซ ยูโกสลาเวีย สโลวีเนีย ออสเตรีย และประเทศต่างๆ ในแถบบอลติก กระทั่งในจอร์เจีย รวมทั้งเลบานอน อิสราเอล ซีเรียและประเทศอื่นๆ ในแถบนั้น จะมีเพียงประเทศเดียวที่ไม่มีสงคราม คือ โรมาเนีย
    เมื่อสงครามได้ระเบิดขึ้นในประเทศต่างๆ เหล่านี้ อิตาลีจะถูกโจมตีภายในเวลาราว 2-3 วัน
    ประธานาธิบดีของฝรั่งเศสจะถูกสังหาร และหลังจากนั้นแค่ 2 วัน ผู้นำของเยอรมนีก็จะถูกสังหารเช่นกัน
    เมื่อสงครามต่างๆ ปะทุขึ้น และเมื่อประเทศอิตาลีถูกโจมตีจากกองทัพแดง จะเป็นเวลาที่ สมเด็จพระสันตะปาปาทรงหลบหนี เพราะสำนักวาติกันก็จะถูกโจมตีด้วยเช่นกัน เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาทรงหนี พวกเราก็จะได้รับข่าวสารว่า พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ ดังนั้น จะไม่มีการประกาศว่าพระองค์ได้ทรงหลบหนี ข่าวที่ประกาศออกมาจะไม่ตรงต่อความเป็นจริง
    เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาทรงหนี พระองค์จะเสด็จสู่ประเทศเนเธอร์แลนด์ จากเนเธอร์แลนด์จะเสด็จสู่ประเทศเบลเยียม ฝรั่งเศส และที่สุด ณ ประเทศแคนาดา พระองค์จะประทับสองสถานที่ในเวลาเดียวกัน (Bi-locate) แต่ส่วนใหญ่พระองค์จะประทับในถิ่นเนรเทศ อันเป็นส่วนหนึ่งที่ไกลโพ้นในประเทศแคนาดา การประทับของพระองค์ในแคนาดานั้น จะเป็นส่วนที่จะไม่ถูกกระทบกระเทือน ระหว่างที่แคนาดาและสหรัฐจะถูกโจมตี

    หรัฐจะถูกโจมตีเป็นเวลาประมาณ 9 สัปดาห์ หลังจากสมเด็จพระสันตะปาปาได้รับการประกาศถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ สหรัฐจะถูกโจมตี และ ถูกยึดเป็นเวลา 6 เดือน ไม่เกิน 7 เดือน เมื่อสิ้นช่วงเวลาการยึดครอง 6 เดือนนี้แล้ว ก็จะมี สัญญาณเตือนครั้งใหญ่ ปรากฏมา (พระเจ้าทรงใช้สัญญาณเตือนนี้เพื่อระงับสงครามโลกครั้งที่ 3) สหรัฐจะถูกยึดพื้นที่จากกองกำลังต่างชาติเกินกว่าหนึ่งในสาม

    กำลังจากต่างชาติที่แท้จริงก็คือ นาโต (NATO) จะเป็นทั้งนาโต และ U.N. สหประชาชาติ จะโจมตีสหรัฐ... ทหารองค์การนาโตและทหารองค์การสหประชาชาติจะโจมตีพวกเรา เหมือนกับที่พวกเราได้เคยไปโจมตีมาหลายประเทศรวมทั้งยูโกสลาเวียด้วย พวกเราได้เคยไปประเทศของพวกเขา เป็นกองกำลังรักษาความสงบเพื่อยุติการสู้รบในประเทศของพวกเขานี้เอง พวกทหารนาโตและสหประชาชาติได้ไปในสมรภูมิ โดยสวมหมวกเหล็กสีน้ำเงิน หรือหมวกเบเรต์สีน้ำเงิน และทุกคนก็ต้องล่าถอย พวกทหารเหล่านั้นได้มาเพื่อจะปลดปล่อยประเทศนั้น (ยูโกสลาเวีย) จากการยึดครองของพวกเขาเอง (พวกเซิร์บ) และครั้งนี้พวกเขาก็จะโจมตีสหรัฐด้วยรูปแบบเดียวกันนั่นเอง

    ณ เวลาที่มีการบุกโจมตีนั้น สหรัฐกำลังมีสงครามเชื้อชาติอยู่พอดีจึงเป็นโอกาสดี ที่จะมีกองกำลังต่างชาติบุกเข้ามาผสมโรงด้วย

    สหประชาชาติจะผนึกกำลังกองทัพคอมมิวนิสต์ พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเขาเข้ามาในสหรัฐเพื่อปลดปล่อยชาวอเมริกันจากกองกำลังที่เข้ามายึด นี่คือแผนการทั้งหมดของพวกเขา

    พร้อมๆ กับที่สหรัฐถูกโจมตี ทุกๆ ประเทศก็อยู่ในภาวะสงคราม สหรัฐจะต้องเข้าไปพัวพันในสงครามต่างชาติถึง 3 ครั้ง 3 หน เมื่อพวกเขา (ชาวอเมริกัน) ถูกโจมตี นั่นคือ ปัญหาที่มีเงื่อนไข พวกเราเข้าไปพัวพันในสงครามโลกถึง 2 ครั้งแล้ว ในยูโกสลาเวียและในอิหร่าน อิรัก สงครามทั้ง 2 แห่งนี้ พวกเรายังพัวพันอยู่ในปัจจุบันนี้ ขณะนี้ เราจะต้องเข้าไปพัวพันอีกเป็นสงครามที่ 3 แล้วเราก็จะรู้ว่าเหตุการณ์จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์

    เมื่อสัญญาณเตือนปรากฏมา จะทำให้สงครามต่างๆ ยุติ (ผมจะกล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสัญญาณเตือนในภายหลัง-บาทหลวงแอนดรู) แต่สำหรับขณะนี้ ทุกสิ่งจะยุติ พระคัมภีร์ระบุไว้ว่า "บรรดาดาบที่ใช้ประหัตประหารกัน จะแปลเปลี่ยนไปเป็นผาลไถนา มนุษย์ทุกคนจะวางปืน และเริ่มปฏิรูปในทันที คนเป็นล้านๆ จะละทิ้งเมือง และไปสู่ชนบท แล้วสร้างหมู่บ้านเล็กๆ มีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้น คือ พวกเขาจะไม่เข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมและจะไม่เห็นความจำเป็นของชุมชน ที่อุทิศตนในกิจกรรมทางศาสนาจนกว่าพวกเขาจะมีความรู้แจ้ง ซึ่งจะได้รับช่วงเวลาแห่ง ปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่ และ การส่องสว่างจากพระจิตครั้งที่ 2 (การส่องสว่างจากพระจิต หลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์แล้ว ก็ได้รับการส่องสว่างจากพระจิต เป็นรูปเปลวไฟลอยอยู่เหนือศีรษะ แล้วต่างก็กระตือรือร้นที่จะออกเทศนา)

    พวกเขาจะไม่เข้าใจสิ่งนี้จนกว่าจะเกิด ปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่ และ การส่องสว่างจากพระจิตครั้งที่ 2 (Second Pentecost) เนื่องจากว่าเป็นการสายเกินไปเสียแล้ว ที่จะสร้างกลุ่มเพื่อกิจกรรมทางศาสนา เหตุว่าทันทีที่เกิด ปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่ และ การส่องสว่างจากพระจิตครั้งที่ 2 หลังจากนั้นเพียง 2-3 สัปดาห์ แอนตี้ไครสต์ จะถีบตัวขึ้นมาเป็นผู้นำของมนุษยชาติ

    แอนตี้ไครสต์ จะประกาศก้องไปทั่วทั้งโลกว่า มันเองเป็นผู้ได้นำ ปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่ และการส่องสว่าง มายังโลก เพื่อจะได้นำโลกมามอบให้มัน มันจะแนะนำบรรดาผู้นำของโลก ให้มาประชุมกันที่สหประชาชาติ เมื่อผู้นำโลกมาประชุมกันที่สหประชาชาติ แอนตี้ไครสต์ กลับไม่มาปรากฏตัวและผู้นำต่างๆ ของแอนตี้ไครสต์ก็ไม่มาปรากฏตัวเช่นกัน แหละนี่ก็เป็นสัญญาณเตือนของเบื้องบนว่า อาคารสหประชาชาติ และบางส่วนของนครนิวยอร์กกำลังจะถูกทลายลง

    คำคม Nullum magnum ingenium sine mixtura dimentiae fuit
    นุลลุม มาญุม อินเจนิอุม ซีเน มิกซฺตูรา ดิเมนสิเอ ฟูอิต
    ไม่มีใครที่ฉลาดมากๆ จนไม่มีความบ๊องผสมไปด้วย
    สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 ทรงภาวนาเป็นเวลานาน ณ หลุมฝังศพของพระเยซู ที่กรุงเยรูซาเลม เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2009
    http://www.ryt9.com/s/tpd/904447
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2010
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คำพยากรณ์ของพระเยซู (ก่อนวันสิ้นยุค)

    ข้อความเหล่านี้เป็นข้อความจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ (พระคัมภีร์ไบเบิล) ที่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนจะถึงวันสิ้นยุค หรือก่อนที่จะเริ่มยุคใหม่ ซึ่งเป็นคำพยากรณ์ของพระเยซูคริสต์ที่ได้กล่าวไว้เมื่อ 2000 กว่าปีแล้ว

    จากเหตุการณ์ของโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็น สงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาดนั้น ก็สอดคล้องกับคำพยากรณ์ของพระเยซูคริสต์ โดยพระองค์ได้กล่าวเตือนไว้นานแล้วว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องบังเกิดขึ้น เพื่อให้มนุษย์ทุกคนตระหนักถึงความจริงว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงควบคุมสิ่งเหล่านี้ และพระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์ทุกคนหันกลับมาหาพระเจ้า และดำเนินในทางของพระองค์.... “ใครมีหู จงฟังเถิด”

    ฝ่ายพระเยซูทรงออกจากพระวิหารแล้วพวกสาวกของพระองค์มาชี้ตึกทั้งหลายในพระวิหารให้พระองค์ทอดพระเนตร

    พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "สิ่งสารพัดเหล่านี้พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือเราบอกความจริงแก่ท่านว่าศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็ไม่มี"

    เมื่อพระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศพวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ส่วนตัวกราบทูลว่า "ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบ

    ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไรสิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมาและวาระสุดท้ายของโลกนี้" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ระวังให้ดีอย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง

    ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเรากล่าวว่า `เราเป็นพระคริสต์' เขาจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป

    ท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงเรื่องสงครามและข่าวลือเรื่องสงครามคอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลยด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้นแต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง

    เพราะประชาชาติต่อประชาชาติราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กันทั้งจะเกิดกันดารอาหารและโรคติดต่อร้ายแรงและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ

    เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก

    ในเวลานั้นเขาจะมอบท่านทั้งหลายไว้ให้ทนทุกข์ลำบากและฆ่าท่านเสียและประชาชาติต่างๆจะเกลียดชังพวกท่านเพราะนามของเรา

    คราวนั้นคนเป็นอันมากจะถดถอยไปและทรยศกันและกันทั้งจะเกลียดชังซึ่งกันและกัน

    ผู้พยากรณ์เท็จหลายคนจะเกิดมีขึ้นและล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป

    ความรักของคนเป็นอันมากจะเยือกเย็นลงเพราะความชั่วช้าจะแผ่กว้างออกไป

    แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด

    ข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรนี้จะได้ประกาศไปทั่วโลกให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติแล้วที่สุดปลายจะมาถึง

    *อ้างอิงจาก พระธรรมมัทธิว บทที่ 24:4-14 (ฉบับไทยคิงเจมส์เวอร์ชั่น)

    ขอพระเจ้าอวยพระพร

    โจเซฟ

    http://www.oknation.net/blog/Joseph/2009/05/01/entry-1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2010
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถลกหนังไซออนนิส
    ตอนที่ 3
    รอยลัทธิซาตาน กับ ไสยศาสตร์ในเมืองไทย
    ถ้าเอ่ยถึงอิลลูมิเนติหรือฟรีเมสัน คนก็มักนึกถึงในเชิงการเมืองว่าเป็นสมาคมลับที่เข้าไปแทรกแซงอยู่ทั่วโลก แต่ว่าในความเป็นจริง เราต้องไม่แยกระหว่างศาสนาความเชื่อและการเมืองออกจากกัน ทั้งนี้หากเอ่ยถึงอิลลูมิเนติและฟรีเมสันแล้ว จะต้องรำลึกเสมอว่าพวกเขาเป็นลูกหลานชาวยิว และพวกเขาบูชาชัยฏอน (ซาตาน)
    ชาวยิวนั้นต้องยกให้ว่าเป็นบิดาแห่งวิชาไสยศาสตร์ เพราะไสยศาสตร์ทั่วโลก ก็เป็นวิชาที่ศึกษาสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากชาวยิว
    ธงชาติอิสราเอลรูปดาว 6 แฉกนั้น เป็นสัญลักษณ์ของชาวยิว มันเป็นสัญลักษณ์ของผู้บูชาชัยฏอนและเครื่องหมายทางไสยศาสตร์ ซึ่งชาวยิวเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งนบีสุลัยมาน (โซโลมอน)
    [​IMG]

    ทั้งนี้เพราะฮารูตและมารูตได้นำวิชาไสยศาสตร์มาสอนแก่มนุษย์ แต่ชาวยิวได้เข้าใจผิดมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันว่าไสยศาสตร์เป็นวิชาที่ถูก สอนโดยนบีสุลัยมาน เพราะท่านมีความสามารถพิเศษที่มนุษย์ทั่วไปไม่มี ซึ่งอัลลอฮฺได้ชี้แจงตอบโต้ในเรื่องนี้ว่า “และพวกเขาได้ปฏิบัติตาม สิ่งที่บรรดาชัยฏอนในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธา โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่มะลาอิกะฮฺทั้ง สอง คือฮารูตและมารูต ณ เมืองบา บิล(บา บิโลเนีย) และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาจะใช้มันยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่าแน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น ในปรโลกก็ย่อมไม่มีส่วนได้ใด ๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริง ๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้” (ความ หมายอัลกุรอาน 2:102) กล่าวคือ ไสยศาสตร์คือวิชาที่มะลาอิกะฮฺ (Angel) ฮารูตและมารูตนำมาเพื่อทดสอบมนุษย์ว่าจะรับหรือไม่รับวิชาที่ชั่วช้านี้ แต่แล้วชาวยิวก็รับวิชานั้นมาโดยการสอนของชัยฏอน
    จริง ๆแล้วความสามารถของท่านนบีสุลัยมานนั้นไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เป็นมุอฺญิซะฮฺ ปาฏิหาริย์ที่อัลลอฮฺได้มอบแก่บรรดารอซูลแต่ละคน ซึ่งอัลลอฮฺจะช่วยให้มีสิ่งเหนือกฎธรรมชาติที่พระองค์สร้างไว้เป็นบางครั้ง บางคราว แต่สำหรับนบีสุลัยมานนั้น ท่านได้รับสิ่งพิเศษมากที่สุดคือ สามารถกระทำสิ่งเหนือกฎธรรมชาติได้ตลอดไม่ว่าจะคุมฟ้าคุมฝน การใช้ญิน การคุยกับสัตว์ ฯลฯ
    สิ่งเหล่านั้นเป็นอำนาจพิเศษที่แตกต่างจากไสยศาสตร์โดยสิ้นเชิง เพราะไสยศาสตร์หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยเรื่องการใช้ญินให้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด (ไม่ว่าจะคุ้มครองตนเอง, ทำร้ายผู้อื่น, รักษาโรค, แก้ไสยศาสตร์, ทำเสน่ห์) โดยมีเงื่อนไขว่าต้องทำสิ่งที่เป็นกุฟรฺก่อน ซึ่งจะมีขั้นมีตอนตามเงื่อนไขที่ญินต้องการ
    การทำไสยศาสตร์นั้น ทั้งผู้ทำและผู้ที่มีวิชา ไม่จำเป็นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับญินเลย (และโดยมากทั้งคนทำและหมอไสยศาสตร์ก็มักเป็นคนที่ไม่มีความรู้ในอากีดะฮฺที่ ถูกต้อง) จะเห็นได้ว่าคนแถบบ้านเรา อย่างคนไทยและคนเขมร ก็เชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เข้าใจผิดว่าวิญญาณคนตายมีอำนาจและกลับมาได้ ไม่รู้จักญินและชัยฏอนเลย แต่เขาก็สามารถทำไสยศาสตร์ได้ โดยหากมีคาถา มียันต์ มีกระบวนการทำที่ตรงเงื่อนไขของมันแล้ว ก็จะได้รับอำนาจไสยศาสตร์ทันที
    จะเห็นได้ว่ากระบวนการเหล่านี้เป็นชีริก เป็นกุฟรฺ ซึ่งสำหรับโลกมุสลิม พิธีทางไสยศาสตร์ก็ต้องทำสิ่งที่เป็นการปฏิเสธเช่นเดียวกัน เช่นการเขียนอัลกุรอานด้วยเลือดประจำเดือน หรือการลบหลู่อัลกุรอานด้วยวิธีการต่าง ๆของหมอไสยศาสตร์ การมีเครื่องรางของขลัง ว่ากันว่าไสยศาสตร์ที่แรงที่สุดนั้นอยู่ที่ประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นแหล่งอวิชชาโบร่ำโบราณของชาวยิว
    [​IMG]

    สำหรับการครองโลกของอิลลูมิเนตินั้นก็พึ่งพาอำนาจของชัยฏอนเช่นกัน เพราะคนกลุ่มนี้จะมีพิธีกรรมบูชาชัยฏอน สัญลักษณ์ของพวกเขาก็มักจะอิงประวัติศาสตร์บาบิโลนและอียิปต์
    ที่มา http://assabikoon.wordpress.com/2009/07/29/%E0%B8%96%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA-3/#comments
    เครดิต http://www.oknation.net/blog/Joseph/2010/04/12/entry-2
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
    โลกนี้ถูกชักใยโดยกลุ่มยิวนายทุน
    [​IMG]
    นายทุนยิว Federal reserve เจ้าของนโยบายของประเทศอเมริกา อังกฤษและฝรั่งเศษที่แท้จริง​
    ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากผลพวงของสงครามโลกทำให้สหรัฐอเมริกา และพันธมิตรผู้ชนะสงคราม อังกฤษ ฝรั่งเศษ เป็นผู้กุมองค์ความรู้ และวิทยาการ มีความได้เปรียบเหนือประเทศทั้งหลายในโลก ทุกประเทศต่างต้องพึ่งพาสหรัฐอเมริกาในการพัฒนาประเทศ ประเทศผู้ชนะมีสิทธิออกกติกา และวางนโยบายเพื่อใช้ในการปกครองประเทศต่างๆ ด้วยการจัดตั้ง สหประชาชาติ และองค์การต่างๆที่ถูกจัดตั้งเพื่อดูแลปกครองประเทศต่างๆทั่วโลก ทว่าที่จริงแล้วมันคือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลผลประโยชน์และรักษาสิทธิความได้เปรียบของบรรดาประเทศผู้ชนะสงคราม เพื่อเข้าไปแทรกแซงการเมืองและสังคมเศรษฐกิจ หลังจากแต่งตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดเป็นผลสำเร็จแล้ว รัฐบาลเหล่านั้นจะทำหน้าที่ดูแลและเอื้อผลประโยชน์ให้แก่แม่ทัพนายทุนและกองทัพบริษัทข้ามชาติของชาวยิวไม่ว่าจะมาจากประเทศต่างๆที่นายทุนยิวเข้าไปลงทุนทั่วโลก เมื่อผู้นำประเทศใดอยากพัฒนาประเทศก็จำเป็นที่จะต้องหยิบยืมเงินและเทคโนโลยีวิทยาการของพวกเขา ชาวยิวได้ผลประโยชน์ผ่านธนาคารโลกที่ชาวยิวเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ พวกเขามีสิทธิที่จะบุกเข้ายึดตลาดเงินของประเทศที่ตกเป็นเหยื่อและเล่นสนุกกับการปั่นหุ้นและการทำลายค่าเงินในประเทศต่างๆทั่วโลก ในทุกวิกฤตการณ์ต่างๆของโลกจึงล้วนมีต้นเหตุมาจากนายทุนชาวยิวแทบทั้งสิ้น ในปัจจุบันวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้นรุนแรงจากการหลอกลวงอำพรางข้มูล และควบคุมสื่อทุกประเภทเพื่อสร้างฝันให้ชาวอเมริกัน ทำให้พวกเขาไม่อาจรู้ความจริงต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศของพวกเขาเอง และเชื่อฟังทุกสิ่งที่สื่อยัดเยียดให้ ว่าประเทศของตนเป็นฮีโร่ผู้ปกป้องโลก ทุกสิ่งที่รัฐบาลทำจะเป็นผลดีต่อประเทศต่างๆทั่วโลกอย่างแน่นอน และเมื่อความจริงของระบบเริ่มปรากฏขึ้นผู้คนเหล่านั้นก็ตกอยู่ภายใต้ภาระหนี้สิน พร้อมรับข่าวความจริงของวิกฤติการเงินในประเทศต่างๆทั่วโลกไปเสียแล้ว
    จะชนะได้ต้องทันเกมไม่รบอยู่ในสนามที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าแพ้

    ปัจจุบันอังกฤษ ฝรั่งเศษ และสหรัฐตกอยู่ใต้อำนาจของพวกมันจากภาระหนี้ที่ชดใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดเพื่อแลกกับความเป็นประเทศมหาอำนาจและภาพลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของประเทศตะวันตก แต่อำนาจที่แท้จริงกลับตกอยู่ในกำมือของพวกมันที่อิสราเอล อำนาจของพวกมันแข็งแกร่งจนไม่มีประเทศไหนกล้าต่อต้านอีกแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่อาจต่อกรได้ วิธีการต่อกรกับพวกมันก็คือการยกเลิกไม่เล่นไปตามเกมที่พวกมันวางเอาไว้ให้ การกำหนดกฏกติกาของสังคมขึ้นใหม่ ไม่เอาวัตถุนิยมบริโภคนิยมฟุ้งเฟ้อ การกู้ยืมที่มีดอกเบี้ย ค่านิยมเงินคือพระเจ้า อำนาจบารมีจากการคดโกงคือเกียรติยศหน้าตาในสังคมและหลงไหลกับสิ่งยั่วยุบนโลกดุนยา ศาสนาเดียวในโลกที่วางกฏกติกาซึ่งสามารถล้มกฏกติกาอุบาทว์ของพวกมันมาแล้วก็คืออิสลาม และนี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ชาวตะวันตกที่ถูกชาวยิวกดขี่เมื่อทราบความจริงแล้วก็หันมาเข้ารับอิสลามกันอย่างมากมาย
    หนทางที่จะต่อสู้คือการเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ และความจริงเกี่ยวกับองค์กรนี้ให้สาธารณชนได้รับทราบ และเข้าใจถึงที่มาที่ไป กลยุทธ แผนการณ์ และสถานการณ์ในปัจจุบันที่กำลังขับเคลื่อนไป ประกาศให้สาธารณชนได้ทราบถึงภยันนตรายร้ายแรง ไซออนิสต์คือภัยคุกคามต่อมวลมนุษยชาติทุกคน ทุกคนต้องเลิกพึ่งพาระบบหรือเลิกเล่นไปตามเกมกติกาที่พวกมันวางเอาไว้ ยิ่งผู้คนเรียนรู้ความจริงของพวกมันได้มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้แผนการณ์ของพวกมันบรรลุสู่ความสำเร็จได้ยากขึ้นเท่านั้น ทุกคนในโลกจำเป็นต้องสังเกตุเหตุการณ์และข่าวคราวของโลก เพื่อระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากการรับฟังข่าวให้มากยิ่งขึ้น แม้จะทราบดีว่าถึงอย่างไรโลกในยุคสุดท้ายก็ย่อมเกิดสงครามใหญ่ระหว่าง อิสลามกับยิวอย่างแน่นอน

    http://assabikoon.wordpress.com/2009/08/23/%e0%b8%96%e0%b8%a5%e0%b8%81%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b9%84%e0%b8%8b%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%aa-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-6/

    ปล.ความเห็นส่วนตัว
    ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงของพวกเรา ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นทางรอด
    แบบยั่งยืน พึ่งพาตัวเอง ต่อสู้กับโรควัตถุนิยม สวนกระแสลัทธิเงินคือพระเจ้า รู้จักพอใจในสิ่งที่
    ตนเองมี ลดการแก่งแย่งทรัพยากร การใช้จ่ายเกินตัว และการเป็นหนี้สิน ไม่สนใจอำนาจบารมี
    จากการคดโกงคือเกียรติยศหน้าตาในสังคมและหลงไหลไปกับสิ่งยั่วยุบนโลก
    มีชีวิตอย่างเป็นสุขในแบบไทยๆ แบบสังคมพุทธ ที่รักสงบแต่ถึงเวลาต้องรบก็ไม่ขลาดเขลาเบาปัญญา

    หวังว่าประเทศไทยและคนไทย จะรอดพ้นหายนะไปได้ พร้อมๆกับคนดีคนมีศีลธรรม ในทุกส่วนๆของโลกใบนี้
    ถ้าฟองสบู่การเงินถูกปั่นป่วนจนแตกดังโพละ มีการชักดาบหนี้สาธารณะ ล้มละลายทางด้านสกุลเงิน
    คงจะเป็นเวลาของ เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง รึป่าว
    คนเป็นหนี้เยอะๆ ก็อยากล้มกระดานล้างหนี้เพราะไม่เห็นหนทางใช้คืน ก็ยอมเป็นบุคคลล้มละลายไป
    คนเป็นเจ้าหนี้ก็ร้อนๆหนาวๆว่าจะถูกชักดาบ ไม่ได้อะไรคืน
    โลกของคนใช้เงินเกินตัว ใช้ทรัพยากรฟุ่มเฟือยเกินตัว ก็ย่อมต้องมีจุดสิ้นสุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2010
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>หยิ่นหลางรู่ซื่อ : ชักนำจิ้งจอกเข้าห้องหับ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>15 มิถุนายน 2553 16:08 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> <CENTER>《引狼入室》 </CENTER>
     
    引(yǐn) อ่านหว่า หยิ่น แปลว่า ชักนำ
    狼(láng) อ่านว่า หลาง แปลว่า สุนัขจิ้งจอก
    入(rù) อ่านว่า รู่(ยู่) แปลว่า เข้า
    室(shì) อ่านว่า ซื่อ แปลว่า ห้อง


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>ภาพจาก http://img.blog.163.com</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> มีคนเลี้ยงแกะผู้หนึ่ง ปล่อยแกะกินหญ้าอยู่ในหุบเขาลึก วันหนึ่งเขาพบว่าในที่ห่างไกลออกไปนั้น มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งค่อยๆ เลาะเลียบติดตามฝูงแกะอยู่ ช่วงเวลาดังกล่าวคนเลี้ยงแกะจึงได้เพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

    เวลาผ่านไปหลายเดือน สุนัขจิ้งจอกยังคงตามฝูงแกะอยู่ห่างๆ เช่นเดิม ทว่าไม่ได้เข้าใกล้ฝูงแกะมากขึ้นแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ได้ทำร้ายแกะแม้สักตัวเดียว ทำให้คนเลี้ยงแกะค่อยๆ เปลี่ยนความคิดระแวดระวังในตัวสุนัขจิ้งจอกลงเรื่อยๆ ต่อมาคนเลี้ยงแกะถึงกับคิดว่าการที่มีสุนัขจิ้งจอกตามหลังฝูงแกะนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้ไม่ต้องคอยระวังภัยจากสัตว์ป่าอื่นๆ จะมาทำร้ายฝูงแกะ จากนั้นอีกไม่นานนัก คนเลี้ยงแกะจึงยึดถือว่าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นเป็นเพียงสุนัขเลี้ยงแกะไม่มีพิษสง ถึงกับเรียกให้มันมาทำหน้าที่ดูแลฝูงแกะและคอยต้อนแกะ

    สุนัขจิ้งจอกทำหน้าที่ดูแลแกะโดยอยู่ในสายตาของคนเลี้ยงแกะตลอดเวลา คนเลี้ยงแกะเห็นว่าสุนัขจิ้งจอกทำหน้าที่ได้อย่างดี ในใจคิดว่า "ผู้คนต่างเห็นว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ร้ายไว้ใจไม่ได้ แต่ข้ากลับเห็นว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น..."

    วันหนึ่ง คนเลี้ยงแกะมีธุระต้องเดินทางเข้าไปในเมือง จึงได้ฝากให้สุนัขจิ้งจอกดูแลฝูงแกะตามลำพังด้วยความไว้ใจ มิคาด...เมื่อคนเลี้ยงแกะลับตาไป สุนัขจิ้งจอกกลับเปล่งเสียงกู่ร้องเรียกฝูงสุนัขจิ้งจอกออกมาจากป่า จากนั้นจึงจับฝูงแกะกินเป็นอาหารจนราบคาบ

    สำนวน "หยิ่นหลางรู่ซื่อ" หรือ "ชักนำจิ้งจอกเข้าห้องหับ" ใช้เปรียบเทียบกับการนำคนชั่วหรือศัตรูมาไว้ใกล้ตัวก็ไม่ต่างกับการนำเภทภัยมาไว้ข้างกาย สุดท้ายกลับส่งผลร้ายต่อตนเองเกินกว่าที่จะคาดคิด มีความหมายคล้ายคลึงกับคำว่า "ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน" ในภาษาไทย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000080650
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <embed src="http://www.youtube.com/v/JzGyA4MkozY&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" height="385" width="480"></object>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2010
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/U1ZidtDkGzI&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/U1ZidtDkGzI&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/j4H2ELDMQgU&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/j4H2ELDMQgU&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/RyylG8HOWDg&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/RyylG8HOWDg&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โครงการกำเนิดอาวุธมหาประลัย HAARP (แผนยึดครองโลก)
    HAARP(High Frequency Active Auroral Research Project) คืออะไร??

    - HAARP คือศูนย์วิจัยไอโอโนสแฟร์ (ionosphere คือชั้นบรรยากาศช่วงที่อยู่ห่างระหว่าง 80-1000 กิโลเมตรจากพื้นผิวโลก) ในเมือง Gakona รัฐ Alaska
    ซึ่งได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัย Alaska, Massachusetts, Stanford, Penn State, Tulsa, Clemson, Maryland, Cornell, UCLA และ MIT ในการดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อศึกษาคุณสมบัติการสะท้อน (resonant properties) ของโลกและชั้นบรรยากาศของโลก

    HAARP ตั้งอยู่บนแนวคิดของนาย Bernard Eastlund เจ้าของสิทธิบัตรสามใบที่จดในอเมริกา ชื่อของสิทธิบัตรของเขาได้แก่: วิธีการและเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงบริเวณในชั้นบร รยากาศของโลก, วิธีการและเครื่องมือในการสร้างเครื่องเครื่องเร่งอิ เล็คตรอนไซโคลตรอน (electron cyclotron) ด้วยความร้อนพลาสมา, วิธีการผลิตอนุภาคสัมพัทธภาพ (relativistic particles) เหนือพื้นผิวโลก ซึ่งจริงๆแล้วทฤษฏีเหล่านี้ เป็นการค้นคว้าต่อจากทฤษฏีของนาย Nicola Tesla นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่โลกลืม ชาว Croatia แทบทั้งนั้น(และแล้วเราก็นอกเรื่องอีกจนได้)

    มันคืออะไร?

    มันคือโครงการณ์ลับของอเมริกาที่อเมริกาออกมาอ้างว่ามันคือเสาส่งกระแสไฟฟ้าหาคลื่นใต้ดินเพื่อหาแหล่งน้ำมันแต่รู้โดยทั่วไปว่ามันคืออาวุธทำลายล้างชนิดใหม่ที่บังคับสภาพดินฟ้าอากาศได้!!

    หลักการคือยิงคลื่นแม่เหล็กหลาย พันล้านโวลต์ขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ซึ่งส่งผลให้ชั้นบรรยากาศ บริเวณนั้นเปลี่ยนแปลงและมีผลกับกระแสแม่เหล็กโลกจนทำให้เกิดพายุหรือแผ่นดินไหว!!

    ที่มา board.upmaxclub.com/index.php?topic=27418.0
    www.thaigaming.com/forward-mail/39041.htm

    รู้สึกว่ามันจะใช้การยิงเลเซอร์ ไปที่ไอออนบนท้องฟ้า โดยการยิงจาก
    ดาวเทียมที่โคจรรอบโลกน่ะครับ รู้สึกว่าอเมริกามันจะรู้ว่าการไปยุ่งเกี่ยวกับ
    ชั้นบรรยากาศโลกชั้นอะไรซักอย่างนี่แหละ ไอโอโนสเฟียร์มั้งครับ โดยการ
    ยิงเลเซอร์ไปยกชั้นบรรยากาศชั้นนั้นขึ้น มันส่งผลต่อสนามแม่เหล็กโลก
    ซึ่งสามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้น่ะครับ นี่ก็เท่าที่รู้มาคร่าวๆน่ะครับ
    ตอนนี้กำลังค้นคว้าโครงการนี้มากกว่าอ่ะครับ เพราะรู้สึกว่าโครงการนี้
    Project blue beam มันจะมีอะไรแอบแฝงไว้เยอะกว่าที่จะคาดคิด
    ไว้มากนะครับ อาทิ ในอนาคตอเมริกาจะใช้ศาสนาทำอะไรซักอย่างน่ะครับ
    แบบว่าใช้ดาวเทียมยิงเลเซอร์ไปบนท้องฟ้าเป็นรูปพระเจ้า พระเยซู หรือ
    พระเจ้าของชาวมุสลิม ทำให้มันดูน่าเชื่อถือ แล้วอาจใช้อาวุธสภาพอากาศ
    โจมตีโลก โดยให้พวกเราเข้าใจว่าเป็นการลงทัณฑ์จากพระเจ้า และอาจจะ
    ตั้งให้ที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้เป็นศูนย์กลางของมนุษยชาติ แล้วตั้งมนุษย์กลุ่มหนึ่ง
    ขึ้นมาปกครอง ซึ่งแน่นอนพวกรัฐบาลอเมริกันกับนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิจากทั่วโลก
    จากเหตุนี้เองทำให้การที่พวกนั้นจะทำการทดลองใดๆจะไม่มีการคัดค้านได้
    ทำให้วิวัทนาการมนุษย์ก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดได้สูง และนำมาซึ่งยุคอวกาศ
    แบบไวกว่าที่คิด เท่าที่รู้ก็แบบนี้แหละครับ พวกนั้นพยายามเชื่อมโยงศาสนามาใช้
    เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ซึ่งเป็นไปได้มากๆว่ากำหนดการนั้นคือเดือนธันวาคม
    ในปี 2012 ครับ โปรดสังเกตุให้มองลึกๆครับ ช่วง 5 -6 ปีมานี้มีการฮือฮา
    เป็นอย่างมากถึงการทำนายจากทั่วทุกมุมโลกไม่เว้นแม้แต่ใบเบิ้ล(รหัสลับใบเบิ้ล)
    ว่าในปี2012นี้จะเกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่จนถึงขั้นมนุษย์อาจสูญพันธุ์เลยที่เดียวครับ
    ก็อยากให้ช่วยกันค้นคว้าข้อมูลนี้เยอะๆพร้อมทั้งช่วยอัพเดทสถานการณ์ปัจจุบัน
    ไปด้วยอ่ะครับ ตอนนี้มีกลุ่มแฮ็กเกอร์ทั้งดาร์คและไวท์กำลังพยายามรวบรวมข้อมูล
    มาเผยแพร่ต่อสาธารณะชนอยู่ครับ แต่ไม่ทราบว่ากำหนดลงในเว็ปไซต์ไหน
    ใครสนใจก็ช่วยๆกันนะครับ เรื่องนี้อาจใหญ่กว่าที่พวกเราจะทันคิดได้ซะอีกนะครับ
    บางทีกว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว

    ที่มา โดย fernezzo
    เครดิต http://www.sookjai.com/index.php?topic=1121.0;wap2

    บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
    ขอบคุณสำหรับวีดีโอที่ส่งมาเพิ่มเติมเรื่อง HAARP และเฮติครับ
    เลยต้องเข้าไปค้นดู log file เพื่อไปดูการตรวจวัดหรือบันทึกการทำงาน
    ของเครื่อง HAARP ที่ตั้งอยู่ที่ Alaska ครับ ก็ไปเจอบางอย่างดูแล้วน่าสนใจทีเดียว
    ลองเข้าเวบของ HAARP ที่อลาสก้า แล้วทำตามขั้นตอนตามนี้ครับ

    เวบไซท์ของอลาสก้า HAARP http://www.haarp.alaska.edu/
    คลิกเข้าไปที่ On-Line Data ที่เมนูด้านบน
    จะไปยังหน้า Data Index ซึ่งเป็นตัวเลขและกราฟเพื่อตรวจวัดและบันทึก
    ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งสามารถดูย้อนหลังได้ครับ
    กราฟบันทึก 4 ตัวแรกน่าสนใจครับ ลองเข้าไปที่กราฟแต่ละตัว
    โดยการคลิกที่ตัวกราฟได้เลยครับ คือ Magnetometer,
    VHF Classic Riometer, HAARP HF Ionosonde และ
    Induction Magnetometer ***เน้นที่ตัวนี้ครับ จะมีทั้งเสียงด้วย
    เมื่อเข้าไปแล้ว จะเป็นสถานะการตรวจวัดค่าต่างๆ ณ ปัจจุบัน
    ให้ลองถอยกลับโดยการคลิกที่ Back หรือ Previous ไปวันที่ 9 หรือ
    10 มกราคมที่ผ่านมาครับ ซึ่งจะเป็นรูปเส้นกราฟที่ปรกติ
    แล้วค่อยๆ คลิก Next หรือ Forward กราฟจะเปลี่ยนเป็น
    ช่วง 24 ชั่วโมง ของวันถัดมาครับ
    ลองคลิกมาจนถึงวันที่ 10-11-12 มกราคมที่ผ่านมา หรือใส่
    วันที่ๆ ต้องการดู(ตามแบบที่เค้ากำหนด)ในกรอบด้านล่าง แล้วกด Enter
    เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเฮติเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มกราคม
    เวลา 16:53:10 (เวลาท้องถิ่น) ลองดูกันครับว่าช่วงเวลาก่อนและ

    กำลังเกิดแผ่นดินไหว เจ้าเครื่อง HAARP มีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่ http://en.wikipedia.org/wiki/2010_Haiti_earthquake
    ผมเพียงแต่ตั้งข้อสงสัย ส่วนคำตอบขอให้ทุกท่านค้นหา เชื่อในสิ่งที่เห็นและ
    หลักฐานข้อมูลต่างๆ ที่กำลังทยอยออกมาจะดีกว่าครับ.......


    ที่มา
    www.jimmysiri.blogspot.com/2010/01/haarp.html
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เพื่อนบ้านของโลกมาเยือนทุกๆรอบ 13,000 ปี
    ของจริงที่กำลังมาปรากฏให้เห็นด้วยตา เป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่ ทางองค์การนาซ่าตรวจพบเมื่อ ค.ศ.1982 และติดตามสังเกตการณ์เรื่อยมา จนข้อมูลมาต่อเชื่อมกับดาวดวงเดียวกันกับที่ชาวสุเมเรียลได้บันทึกเอาไว้ในอดีต หลายพันปี ปัจจุบันนี้ชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ได้เห็นดาวสีส้มโตเท่าลูกกอล์ฟขึ้นทางทิศใต้เป็นปกติ นั่นคือ ดาวนิบิรุ ที่มีลักษณะรีคล้ายลูกรักบี้เป็นดาวฤกษ์ใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดีประมาณ 2 เท่า โคจรเป็นวงรีควง 2 กาแลกซี่รอบดวงอาทิตย์ 2 ดวง ในเพลนทะแยงมุม 30 องศากับระนาบวงโคจรของโลกและดาวเคราะห์อื่นๆในระบบสุริยะ
    เราลองแวะดูข่าวสารข้อสรุป ของ AndrosEnigmaxในวิดีโอนี้ เพื่อเสริมสร้างสติปัญญาของเรา ที่ชาวโลกได้เริ่มมองเห็นดาวดวงนี้ด้วยตาเปล่ากันมากขึ้นแล้ว ช่วงระยะที่ ดาวนิบิรุ ทำยูเทิร์นดวงอาทิตย์ด้วยวงรีจะเร่งอัตราความเร็วเนื่องจากอยู่ในโค้งข้อศอก และเป็นขณะเดียวกับโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เข้าไปในระหว่างระยะทางของนิบิรุและดวงอาทิตย์พอดี ช่วงนั้นพลังเส้นแรงแม่เหล็กของดาวนิบิรุและดาวบริวารอีก 5 ดวง ซึ่งมีขนาดใหญ่พอๆกับโลก จะเหนี่ยวนำให้ขั้วเหนือแม่เหล็กโลก เคลื่อนโน้มลงประมาณ 90 องศา
    นักดาราศาสตร์คาดการณ์เอาไว้ว่าจะเกิดขึ้นประมาณ 14 ก.พ. 2013 ดาวนิบิรุ เป็นดาวฤกษ์ที่มีขนาดพอๆกับดาวพฤหัสฯ มีผงฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่รอบตัวและมีส่วนหางยาว ดังนั้นประมาณ กลางปี 2011 เป็นต้นไปช่วงที่โลกโคจร รอบดวงอาทิตย์ และเข้าไปอยู่ใต้ดาวดวงนี้ซึ่งมีระนาบโคจรทะแยงมุมกับระนาบโคจรของสุริยะจักรวาลประมาณ 30 องศา โลกจะได้รับปรากฏการณ์ฝนดาวตก ลงมาจากผงฝุ่นและส่วนหางของดาวนิบิรุ ซึ่งอาจมีโลหะหรือของแข็งที่ไหม้ไม่หมด ในชั้นบรรยากาศของโลก หลุดรอดลงมาถึงพื้นโลกได้
    ซึ่งได้ทราบเพิ่มเติมจากญาณทัสสนะของ พระอาจารย์รัตน์ ว่า ขั้วเหนือใหม่จะไปอยู่ที่สฟิงซ์ที่ประเทศอียิปต์ ในช่วงเวลานี้ที่จะมีปรากฏการณ์ธรรมชาติมากมายเกิดขึ้นแก่โลก ที่อาจเรียกว่าเป็นการร่อนตะแกรงครั้งสุดท้ายของธรรมชาติ ที่มนุษย์ชาติที่เหลือรอดตายประมาณ 10 % ตามพุทธทำนาย ส่วนผู้เตรียมวิดีโอนี้ ได้สรุปไว้ว่า ประชากรของโลกจะสูญเสียรอบแรกไป 2 ใน 3 ส่วนที่เหลือจะอดอยากและเผชิญความแร้นแค้นในระยะ 6 เดือนไปอีก 2 ใน 3 ทั้ง 2 ช่วง ก็จะมีประชากรโลกรอดชีวิตอยู่ประมาณ 10 %


    มีความเห็นจาก skywatchMedia ต่อดาว นิบิรุ ที่จะเริ่มโคจรสวนทางแทรกกลางระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ในวันที่ 21 ค.ศ. 2012 นั้น
    • a week before the passage, the Earth stops rotation and the world waits....
    • then...in one hour the Earth rotates 90 degrees as it realigns the Poles to the magnetic pull of Nibiru, the 12th Planet, as it passes between the Earth and the Sun.
    • Money....becomes meaningless to All.
    • As the red planet passes, jiant waves watch over Earth, volcanoes erupt worldwide, and earthquakes destroy All Cities.
    • Dying comes Easy, and living comes Hard. 90% of Mankind is Dead or Dying. Mighty Nations are No More.
    • Soon after passes, the Earth resumes rotation. Herricane force winds sweep the World. Volcanic ash darkens the Skies.
    • The struggle for Life on Planet Earth begins Anew....
    รับชม วีดีโอ.....

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=mkv4chj47XY"]YouTube - Nibiru-Planet of the Crossing[/ame]
    <TABLE class=tborder style="MARGIN: 10px 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 425=""><THEAD><TR><TD class=tcat style="TEXT-ALIGN: center" colSpan=2>

    </TD></TR></THEAD><TBODY><TR><TD class=panelsurround align=middle>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ดาวนิบิรุจะโคจรมาทำยูเทิร์นกับดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะ กินเวลาประมาณ 2 ปี โดยมี ดาว นิบิรุ โคจรอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์และโลก เป็นเวลา ประมาณ 2 ปี นั้น ชาวโลกที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น 2 ดวง จนดาว นิบิรุเริ่มตีวงจากไกลดวงอาทิตย์ออกไป ทั้งนี้มีความเห็นจากนักดาราศาสตร์ไว้ว่า ต้นปี 2012 ที่ นิบิรุ ได้เริ่มโคจร เข้าใกล้โลก จะมีฝนดาวตกจากเศษดาว นิบิรุ ลงมาที่โลก และอาจมีวัตถุก้อนใหญ่ๆ ที่อาจไหม้ในบรรยากาศของโลกไม่หมดจะตกลงมาเป็นอันตรายต่อชาวโลก


    [​IMG]
    ผลดีของการมาของดาว นิบิรุ ในรอบนี้ จะช่วยปรับย้ายระบบสุริยะและโลก ไปสู่แรงดึงดูดของกาแลกซี่ ไตรแอง กุลัม หรือกาแลกซี่เบาทางด้านทิศตะวันออก โลกจะได้รับพลังคลื่นสีขาว เหลือง หรือพลังดี เป็นพลังปราณ และพลังมโนธาตุและธาตุว่างอย่างเต็มที่ ตรงกันข้ามกับธาตุหนักของกาแลกซี่ทางช้างเผือก เป็นการนำโลกไปสู่ยุคใหม่ใต้อิทธิพลของกาแลกซี่นี้ไปอีก 13,000 ปี แล้วจึงจะสลับกลับมาสู่กาแลกซี่ทางช้างเผือกอีก 13,000 ปี เป็นวัฏจักรของสุริยะจักรวาล และกาแลกซี่อื่นๆที่ครอบสุริยะจักรวาลอยู่
    สำหรับหลายๆท่านยังต้องการจะรู้จักดาวดวงนี้ให้ละเอียดละออยิ่งขึ้น ก็ลองแวะที่นี่ได้..2012 - Planet X - Nibiru - Hundreds of Pages, Videos and Audios For Free

    [​IMG]

    การที่ระบบสุริยะจักรวาลทั้งหมดจะย้ายที่ได้นั้น ย่อมต้องการทั้งแรงดูดและแรงผลักในอวกาศเกิดขึ้นทั้ง 2 อย่าง แรงดูดนั้นปัจจุบันกาแลกซี่ไตรแองกุลัมได้ดูดสุริยะจักรวาลเข้ามาใกล้ขอบแล้ว ยังขาดแต่แรงผลักจากกาแลกซี่ทางช้างเผือกเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในปลายปี 2012 เป็นต้นไป ลั่นไกเมื่อดาวทุกดวงในระบบสุริยะและดาวนิบิรุมาเข้าแถวอยู่ในระนาบเดียวกันเป็นเส้นตรง ส่งเชื่อมพลังสนามแม่เหล็ก บวก-ลบ ๆ เพิ่มกำลังแรงแม่เหล็กเต็มที่ ส่งพลังไปยังศูนย์กลางของกาแลกซี่ทางช้างเผือก จุดประกายขึ้นทั่วจักรวาล ทั้งแสงและเสียง ส่งพลังคลื่นแม่เหล็กสะท้อนกลับมายังดาวต่างๆ ที่เข้าแถวอยู่ให้เคลื่อนตัวไปสู่กาแลกซี่ไตรแองกุลัม เริ่มขบวนการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่กลางดึกของ 21-12-2012

    คัดมาบางส่วน อ่านทั้งหมดได้ที่นี่
    http://ainews1.com/article286.html
    ข้อมูลอื่นๆที่น่าสนใจ
    http://palungjit.org/threads/นี่คือ...าnibiru-และความเกี่ยวข้องกับปี-2012-a.159777/<!-- google_ad_section_end -->​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2010
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=createdate vAlign=top colSpan=2>อาทิตย์, 06 มิถุนายน 2010 </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ดวงดาว...กำเนิดปฏิทินโลก" นวัตกรรมการบอกวันเวลาที่มีมาแต่โบราณ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 มีนาคม 2553 01:07 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>"ปฏิทิน" เครื่องมือบอกวันเดือนปี และบอกเล่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมยุคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>อาจารย์สิทธิชัย จันทรศิลปิน</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>อาจารย์สิทธิชัย จันทรศิลปิน ขณะบรรยายพิเศษเรื่อง "ดวงดาว...กำเนิดปฏิทินโลก สู่ปฏิทินไทย"</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ปฏิทินแขวนที่พบเห็นได้ทั่วไปตามสถานที่ต่างๆ แต่บางชิ้นให้ข้อมูลดีๆ แก่เราด้วย เช่น ปฏิทิน 50 ปี เทคโนโลยีเลเซอร์</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ปฏิทินตั้งโต๊ะหลากหลายรูปแบบ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ปฏิทินสมุดบันทึก นอกจากบอกวันเวลา ยังให้เราสามารถบันทึกเหตุการณ์ที่น่าจดจำในแต่ละวันลงไปได้ด้วย</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ดูปฏิทินให้ดีๆ นอกจากรู้วันเวลาแล้ว เรายังอาจได้ความรู้เพิ่มเติมจากปฏิทินด้วย</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ลองนึกดูกันเล่นๆ ว่า ถ้าทุกวันนี้เรายังไม่มี "ปฏิทิน" ไว้ใช้งาน ชีวิตของเราจะยุ่งยากสักแค่ไหน หากต้องคอยสังเกตดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว เพื่อคำนวณวันเวลาสำหรับวางแผนทำกิจกรรมในแต่ละวัน แล้วใครกันหนอที่ช่างคิดช่างทำ นำวิถีการโคจรของวัตถุท้องฟ้าบรรจุลงบนวัสดุบางอย่างเพื่อเป็นเครื่องมือบอกให้รู้วัน เดือน ปี อย่างง่ายดาย

    ดวงดาว...กำเนิดปฏิทินโลก

    "คนยุคโบราณใช้ดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นเครื่องกำหนดนับวันเดือนปี" อาจารย์สิทธิชัย จันทรศิลปิน หัวหน้าฝ่ายท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ เริ่มต้นย้อนอดีตการกำเนิดปฏิทินโลก และเล่าต่อว่า เดิมทีมนุษย์ดำรงชีวิตตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อเกิดภัยธรรมชาติที่รบกวนวิถีชีวิตปกติ ทำให้มนุษย์เริ่มสังเกตสิ่งรอบตัว รวมทั้งท้องฟ้าและดวงดาว กระทั่งพบว่าบางครั้งภัยธรรมชาติมาพร้อมกับดาวบางดวงบนฟ้า จึงเริ่มสนใจสิ่งที่อยู่บนฟ้า และนำมาเทียบเคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา ซึ่งมีทั้งที่ตรงและไม่ตรง แต่สิ่งที่ตรงตามการคาดคะเนก็ถูกจดจำต่อเนื่องเรื่อยมา จนกระทั่งรู้การครบรอบของสิ่งที่อยู่บนฟ้า เช่น การครบรอบของดวงจันทร์ข้างขึ้นข้างแรม

    ต่อมาในยุคเมโสโปเตเมีย เมื่อประมาณ 5,000 ปีที่แล้ว คนในสมัยนั้นเริ่มใช้ดวงจันทร์เป็นเครื่องกำหนดนับช่วงระยะเวลาที่ปัจจุบันเราเรียกว่า "เดือน" ซึ่งง่ายกว่าการสังเกตดวงอาทิตย์ ที่สามารถนับได้เหมือนกัน แต่บอกช่วงเวลายาวนานเป็นรอบปี โดยมีชาวบาบิโลเนียเป็นชนชาติแรกที่กำหนดนับวันโดยวัดระยะเชิงมุมของดวงอาทิตย์ ซึ่งในแต่ละวันดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ไปประมาณ 1 องศา และครบรอบ 360 องศา ในระเวลา 1 ปี

    เมื่อ 4,000 ปีก่อน ชาวอียิปต์โบราณใช้ปฏิทินจันทรคติสังเกตดาว "ซิริอุส" (Sirius) ที่สว่างสุดบนฟ้าในเวลากลางคืนเป็นเครื่องบอกเวลา เช่น หากเมื่อใดเห็นดาวซิริอุสอยู่บนท้องฟ้าด้านทิศตะวันออกก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แสดงว่าแม่น้ำไนล์จะเริ่มเอ่อล้น และเป็นเวลาเริ่มต้นฤดูกาลเพาะปลูก แต่หากช่วงไหนไม่เป็นดาวซิริอุสบนฟ้าในยามค่ำคืน แสดงว่าช่วงนั้นคือฤดูร้อน

    กระทั่งพบว่า ทุกๆ 4 ปี ดาวซิริอุสจะปรากฏในตำแหน่งเดิมช้าไป 1 วัน ทำให้รู้ว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ เป็นเวลา 365 วัน และอีก 1/4 วัน และนำมาปรับใช้กันปฏิทินจันทรคติ

    ส่วนปฏิทินของชาวมายาได้ชื่อว่าเป็นปฏิทินที่มีความละเอียดสูงมากกว่าอารยธรรมอื่นๆ เพราะใช้ทั้งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวฤกษ์ และดาวศุกร์ เป็นเครื่องกำหนดเวลา และปฏิทินของชาวมายายังมีหลายรูปแบบ ใช้ประโยชน์แตกต่างกันไป เช่น ปฏิทินสำหรับการประกอบพิธีกรรม, ปฏิทินการปกครอง และปฏิทินทางศาสนา แต่หลักๆ ใช้ปฏิทินที่มีลักษณะเป็นวงกลมหลายๆ วงซ้อนกัน มีหลายละเอียดสูง และมีการแบ่งช่วงเวลาเป็นยุคสมัยต่างๆ รวมแล้วเป็นระยะเวลา 5126 ปี

    โรมัน...กำเนิดปฏิทินยุคปัจจุบัน

    อาจารย์สิทธิชัย บอกว่าปฏิทินที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีที่มาจากปฏิทินของชาวโรมันเมื่อประมาณ 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นปฏิทินแบบสุริยคติ โดยชาวโรมันประยุกต์มาจากปฏิทินของอารยธรรมอื่นอีกทีหนึ่ง กษัตริย์โรมันในยุคแรกกำหนดให้ปฏิทินมี 10 เดือน สันนิษฐานว่าอิงตามเลขฐาน 10 โดยให้เดือน มี.ค. (March) เป็น เดือน 1 ทั้งนี้ เพราะชาวโรมันให้ความเคารพ "มาร์ส" (Mars) เทพเจ้าแห่งสงครามมากเป็นพิเศษ และในแต่ละเดือนจะมี 30 หรือ 31 วัน สลับกันไป ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับปฏิทินจันทรคติ เรื่อยไปจนถึงเดือนสุดท้ายคือเดือน ธ.ค. (December) รวมแล้วมีทั้งหมด 304 วัน

    ทว่าเมื่อชาวโรมันใช้ปฏิทินดังกล่าวไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าฤดูกาลเริ่มไม่ตรงตามปฏิทิน จนในสมัยกษัตริย์นูมา ปอมปิเลียส (Numa Pompilius) (700 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) กำหนดให้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 2 เดือน คือเดือน ม.ค. (January) และ ก.พ. (February) รวมแล้วมีทั้งสิ้น 355 วัน

    กระทั่งในสมัยกษัตริย์จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) (45 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ปรับเปลี่ยนวันในแต่ละเดือนเสียใหม่ ให้เดือน มี.ค. มี 31 วัน เดือนต่อๆ ไปมี 30 และ 31 วันสลับกันเรื่อยๆ จนถึงเดือนสุดท้ายคือ ก.พ. ให้มี 29 วัน รวมเป็น 365 วัน แต่ถ้าปีไหนเป็นปีอธิกสุรทิน ซึ่งมี 366 วัน ให้เดือน ก.พ. มี 30 วัน พร้อมทั้งเปลี่ยนให้เดือน ม.ค. ซึ่งตั้งชื่อเดือนตามเทพเจ้า "เจนัส" (Janus) ผู้มีสองพักตร์ และมีหน้าที่เฝ้าประตูสวรรค์ ให้เป็นเดือนแรกของปี และเรียกปฏิทินนี้ว่า "ปฏิทินจูเลียน" (Julian calendar) รวมถึงเปลี่ยนชื่อเดือนที่ 5 (เดือน ก.ค. เมื่อนับเดือน มี.ค. เป็นเดือน 1) จาก "ควินติลิส" (Quintilis) เป็น "จูไล" (July) ตามชื่อของจูเลียส ซีซาร์

    ต่อมากษัตริย์ออกัสตุส ซีซาร์ (Augustus Caesar) ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของจูเลียส ซีซาร์ ต้องการให้มีชื่อตัวเองในปฏิทินเหมือนผู้เป็นบิดาบุญธรรม จึงเปลี่ยนชื่อเดือนที่ 6 (เดือน ส.ค. เมื่อนับเดือน มี.ค. เป็นเดือน 1) จาก "เซกติลิส" (Sextilis) เป็น "ออกัส" (August) และเพิ่มวันให้มี 31 วัน เท่ากับเดือนของพ่อด้วย โดยไปลดเดือน ก.พ. ให้เหลือ 28 วัน ในปีปกติ และเหลือ 29 วันในปีอธิกสุรทิน และนี่คือที่มาของปฏิทินที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ โดยได้มีการเพิ่มเติมรายละเอียดต่างๆ ในสมัยต่อมา แต่ได้มีการชำระปฏิทินในสมัยพระสันตปาปาเกรกอรีที่ 13 (Gregory XIII) เมื่อประมาณปี 1582 เนื่องจากวันในปฏิทินเริ่มเกินไปจากความเป็นจริง และเรียกว่า "ปฏิทินจูเลียน-เกรกอเรียน" ที่ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้

    ปฏิทินโลก สู่ปฏิทินไทย

    ประเทศไทยเริ่มนำปฏิทินจูเลียน-เกรกอเรียน เข้ามาใช้อย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี 1888 (พ.ศ.2431) โดยนำมาปรับใช้ร่วมกับปฏิทินจันทรคติที่ใช้กันมาแต่เดิม ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาของอินเดียในการใช้ดวงจันทร์เป็นเครื่องกำหนดเวลาและประกอบพิธีทางศาสนาและประเพณีต่างๆ โดยยึดเอาวันมหาสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 หรือประมาณช่วงกลางเดือน เม.ย.

    ในปี พ.ศ.2432 รัชกาลที่ 5 ทรงเปลี่ยนให้วันที่ 1 เม.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับปฏิทินสุริยคติที่เริ่มนำมาใช้กัน และต่อมาจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เปลี่ยนให้วันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 ม.ค. ตามแบบสากล โดยเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. พ.ศ.2484 เป็นต้นมา

    อย่างไรก็ดี การพิมพ์ปฏิทินครั้งแรกในประเทศไทยมีขึ้นเมื่อวันที่ 14 ม.ค. พ.ศ. 2385 ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้พิมพ์ แต่คาดว่าน่าจะเป็นหมอบรัดเลย์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพิมพ์

    ทั้งนี้ ปฏิทินสุริยคติ เป็นปฏิทินบอกฤดูกาลจากการสังเกตดวงอาทิตย์ โดยมีกลุ่มดาวจักรราศีเป็นตัวช่วยในการกำหนดนับ ซึ่งเมื่อเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏอยู่ในกลุ่มดาวใด ก็จะรู้ได้ว่าเดือนนั้นเป็นเดือนอะไร และดวงอาทิตย์จะกลับมาปรากฏที่ตรงตำแหน่งเดิมบนท้องฟ้าทุกๆ 1 ปี และจากการที่ดวงอาทิตย์ให้พลังงานแก่โลก และแกนสมมติของโลกเอียงทำมุมกับดวงอาทิตย์ ทำให้ภูมิอากาศในแต่ละเดือนแตกต่างกัน จึงเกิดเป็นฤดูกาลต่างๆ

    ส่วนปฏิทินจันทรคติ มีที่มาจากการสังเกตดวงจันทร์ โดยเทียบเคียงกับกลุ่มดาวจักรราศีเช่นกัน แม้จะบอกฤดูกาลได้ไม่ตรง แต่มีความเกี่ยวเนื่องกับการประกอบประเพณีและพิธีทางศาสนาต่างๆ มาตั้งแต่อินเดียสมัยโบราณ จึงใช้ปฏิทินจันทรคติเพื่อบ่งบอกเทศกาลและวันสำคัญต่างๆ เช่น วันสำคัญทางศาสนา วันลอยกระทง เป็นต้น

    ปฏิทินในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ เช่น ปฏิทินแขวน ปฏิทินตั้งโต๊ะ ปฏิทินโปสเตอร์ ปฏิทินพก และปฏิทินสมุดบันทึก ซึ่งปฏิทินไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือบอกวันเดือนปีแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นสื่อที่บอกเล่าเรื่องราวได้อย่างหลากหลายให้ผู้คนในสังคมได้รับรู้ รวมทั้งสะท้อนให้เห็นวิวัฒนาการและความเป็นไปของสังคมในยุคสมัยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และอาจบอกได้ว่า ปฏิทินคือสิ่งหนึ่งที่มีคุณค่าเหนือกาลเวลา

    (ที่มา การบรรยายพิเศษเรื่อง "ดวงดาว...กำเนิดปฏิทินโลก สู่ปฏิทินไทย" โดยอาจารย์สิทธิชัย จันทรศิลปิน หัวหน้าฝ่ายท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพฯ ในงานเสวนา "ปฏิทินโลก ปฏิทินไทย" สู่เส้นทางชีวิต : 3 ทศวรรษรางวัลสุริยศศิธรวันที่ 25 ม.ค. 53 ณ ห้องประชุมเอนกประสงค์ อาคารหอประชุม กรมประชาสัมพันธ์)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เครดิต Welcome to Phuket Data - ปฏิทินโลกจากดวงดาว<!-- google_ad_section_end -->
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Satan/The Fallen Angel Revealed: เปิดโปงโฉมหน้าซาตาน

    หลายท่านคงยังสงสัยว่า ซาตานคือใคร และมาจากไหน



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    ซาตานนั้นก็ถูกให้กำเนิดให้เป็นวิญญาณบริสุทธิ์โดยพระเจ้าผู้ทรงสร้างตั้งแต่ก่อนสร้างโลกใบนี้แล้ว และดูเหมือนว่าซาตานนั้นมีหลายชื่อและครั้งหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าเรียกเขาว่า ลูซีเฟอร์(Lucifer) ดังปรากฏหลักฐานในพระธรรมอิสยาห์ 14:12 ที่ว่า...




    <CENTER>"โอ ลูซีเฟอร์เอ๋ย โอรสแห่งรุ่งอรุณ
    เจ้าร่วงลงมาจากฟ้าสวรรค์แล้วซินะ
    เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ
    เจ้าผู้ซึ่งกระทำให้บรรดาประชาชาติตกต่ำ" </CENTER>






    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ลูซีเฟอร์นั้นมีรูปงามและสมบูรณ์แบบ พระเจ้าเคยแต่งตั้งเขาให้คอยดูแลสวนเอเดน...




    <CENTER>"12....เจ้าเป็นตราแห่งความสมบูรณ์แบบ
    เต็มด้วยสติปัญญา และมีความงามอย่างพร้อมสรรพ
    13 เจ้าเคยอยู่ในเอเดน พระอุทยานของพระเจ้า
    เพชรพลอยทุกอย่างเป็นเสื้อของเจ้า
    คือทับทิม บุษราคัม เพชร พลอยเขียว
    พลอยสีน้ำข้าว และหยก ไพทูรย์ มรกต
    พลอยสีแดงเข้มและทองคำ
    ความเชี่ยวชาญแห่งรำมะนาและปี่ของเจ้า
    ได้จัดเตรียมไว้ในวันที่สร้างเจ้าขึ้นมา
    14 เจ้าเป็นเครูบผู้พิทักษ์ที่ได้เจิมตั้งไว้
    เราได้ตั้งเจ้าไว้ เจ้าเคยอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์แห่งพระเจ้า
    และเจ้าเคยเดินอยู่ท่ามกลางอัญมณีอันส่องประกายโชติช่วงดุจไฟ
    15 เจ้าก็ปราศจากตำหนิในวิธีการทั้งหลายของเจ้า
    ตั้งแต่วันที่เจ้าได้ถูกสร้างขึ้นมา จนพบความชั่วช้าในตัวเจ้า" เอเสเคียล 28:12-15</CENTER>


    ต่อมาลูซีเฟอร์และพวกได้ละเมิดกฎเกณฑ์ของพระเจ้าเมื่อครั้งที่โลกและมนุษย์ถูกสร้างขึ้นใหม่ๆ...

    "...ต่อมาเมื่อมนุษย์เริ่มทวีมากขึ้นบนพื้นแผ่นดินโลก และพวกเขาให้กำเนิดบุตรสาวหลายคน บุตรชายทั้งหลายของพระเจ้า(หมายถึงเหล่าฑูตสวรรค์)เห็นว่าบุตรสาวทั้งหลายของมนุษย์สวยงาม และพวกเขารับเธอทั้งหลายไว้เป็นภรรยาตามชอบใจของพวกเขา" ปฐมกาล 6:1-2





    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    จากพระธรรมเอโนค 7:2:11

    Note: หนังสือที่ถูกตัดออกจากการเป็นพระคัมภีร์เมื่อประมาณช่วงศตวรรษที่ 2 โดยรีบบีชื่อ Simeon ben Jochai เพราะซาตานไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องราวของมัน มันมักแอบทำอะไรแบบลับๆล่อเสมอ เช่น พฤติกรรมของบรรดาสมาชิกของสมาคมลับต่างๆที่บูชาซาตานนั่นเอง

    "....2. เหล่าฑูตสวรรค์ มองดูพวกนาง จึงเกิดความลุ่มหลงในพวกนาง และกล่าวแก่กันและกัน: 'มา ให้พวกเราเลือกบุตรหญิงในหมู่มนุษย์มาเป็นภริยา และ.ให้กำเนิดลูกของเรากันเถิด'
    3. และ Samyaza ที่เป็นผู้นำของพวกเขากล่าวแก่พวกเขาว่า: 'ฉันกลัวพวกเจ้าจะไม่เต็มใจที่จะกระทำการเช่นนี้
    4. และฉันคนเดียวจะต้องจ่ายการลงโทษในความผิดอันใหญ่หลวง.'
    5. และพวกเขาทั้งหมดตอบเขาและกล่าวว่า'เราทั้งหมดสาบาน
    6. และผูกมัดตัวเองโดยทั้งสองฝ่ายโดยกระทำการอันชั่วช้าร่วมกัน ไม่ละทิ้งแผนนี้แต่ให้ทำสิ่งนี้. '
    7. แล้วพวกเขาทั้งหมดสาบานและผูกพันด้วยตนเองโดยทั้งสองฝ่าย กระทำการอันชั่วช้าร่วมกัน พวกเขาทั้งหมดมีจำนวนสองร้อย ผู้ที่ได้ลงมาสู่อาร์ดีส ที่อยู่บนยอดเขาอาร์โมน (เฮอร์โมน)
    8. และพวกเขาจะเรียกภูเขาอาร์โมน(เฮอร์โมน) เนื่องจากพวกเขาได้สาบานและผูกพันด้วยตนเองโดยทั้งสองฝ่ายที่นั่น
    9. และเหล่านี้คือชื่อของผู้นำ: Samyaza ผู้นำของพวกเขา, Urakabarameel, Akibeel, Tamiel, Ranuel, Danel, Azkeel, Saraknyal, Asael, Armers, Batraal, Anane, Zavebel, Samsaveel, Ertael, Turel, Yomyael, Arayal. ทั้งหมดมีครบถ้วนในจำนวนสองร้อย
    10. พวกเขาก็ได้เลือกภริยาสำหรับตนเอง และพวกเขาได้เริ่มเข้าหาพวกเธอ หา และพวกเขาก็สอนวิชาหมอผี เวทมนต์คาถา การปลุกเสก รวมทั้งวิชาการทำลายล้าง(การทำสงครามในปัจจุบัน-ผู้เรียบเรียง) ให้กับภริยาที่พวกเขาอยู่ร่วมนั้น
    11. และพวกผู้หญิงก็ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรเป็นมนุษย์ร่างยักษ์
    12. แต่ละคนมีรูปร่างสูง 300 ศอก คนยักษ์เหล่านี้กินอาหารทั้งหมดของมนุษย์ที่มีอย่างตะกละตะกลาม จนกระทั่งมนุษย์ไม่สามารถเลี้ยงพวกเขาได้
    13. แล้วพวกมันจึงต่อสู้กับมนุษย์ เพื่อจะได้มากินมนุษย์.
    14. และพวกเขาเริ่มทำร้ายนกและสัตว์ และสัตว์เลื้อยคลาน และปลา แล้วก็ฆ่ากันเอง "





    <CENTER><EMBED src=http://www.youtube.com/v/D5aOP-azKzs&hl=en&fs=1&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999&border=1 width=445 height=364 type=application/x-shockwave-flash allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED></CENTER>





    <CENTER></CENTER>[​IMG][​IMG]



    <CENTER></CENTER>




    <CENTER>หลักฐานการขุดพบซากมนุษย์ยักษ์โบราณ</CENTER>




    เอโนค บทที่ 9
    1. แล้วไมเคิล, กาเบรียล, ราฟาเอล และ ยูเรียล มองลงมาจากฟากฟ้า เห็นการกระทำอันชั่วร้าย และเลือดนองบนแผ่นดิน. พวกท่านกล่าวต่อกันว่า ‘นี่เป็นเสียงร้องเรียกจากพวกเขา’
    2.บุตรมนุษย์แห่งแผ่นดินโลกร้องเสียงกึกก้อง ถึงประตูชั้นฟ้าสวรรค์
    3.และตอนนี้ก็ถึงท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งชั้นฟ้าแล้ว วิญญาณของมนุษย์คร่ำครวญ ร้องเรียกหาการพิพากษาจากองค์ผู้สูงสุด แล้วพวกท่านจึงทูล จอมกษัตริย์ จอมเจ้านายแห่งเจ้านาย พระเจ้าของพระทั้งปวง กษัตริย์ของกษัติย์ทั้งปวง พระบัลลังค์ของพระองค์อยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล เป็นพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่สรรเสริญ พระองค์ผู้ทรงศักดิ์สิทธิ์และทรงสมควรสรรเสริญ
    4.พระองค์ผู้ทรงสร้างสิ่งสารพัด ผู้ทรงครอบครองทุกสิ่ง และทุกสิ่งก็เปิดเผยและประจักษ์จำเพาะพระพักตร์พระองค์ พระองค์ทรงเห็นทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดถูกปิดบังจากพระองค์เลย
    5.พระองค์ทรงเห็นสิ่งที่ Azazyel ได้กระทำแล้ว เห็นวิธีที่เขาสอนความชั่วทุกอย่างบนโลก และได้เปิดเผยสารพัดความลับที่ทำในชั้นฟ้าต่อชาวโลก
    6.Samyaza ก็สอนเวทมนตร์แก่ผู้ที่ องค์บริสุทธิ์ใด้ให้อยู่ใต้การดูแลของเขา และก็ไปกับเขาด้วย เขาไปสู่บุตรหญิงของมนุษย์ด้วยกัน และได้สมสู่ ทำให้มีมลทิน
    7.และกระทำความบาปผิดต่อพวกนาง
    8.และหญิงเหล่านั้นก็ได้ให้กำเนิดคนยักษ์
    9.ดังนั้น ทั่วทั้งแผ่นดินโลกจึงนองไปด้วยเลือด และความบาป
    10.และ ดูซิ วิญญาณของผู้ตายเหล่านั้น ร้องออกมา
    11.และเสียงคร่ำครวญ ก็ดังมาถึงประตูสวรรค์
    12.เสียงครวญครางของพวกเขาก็ขึ้นมา เขาไม่สามารถหลีกหนีจากความชั่วร้าย ที่มีอยู่บนแผ่นดินโลกได้เลย พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง ตั้งแต่ก่อนที่มันจะดำรงอยู่
    13.พระองค์ทรงทราบสิ่งเหล่านี้ และสิ่งที่พวกเขาได้กระทำนั้นแล้ว แต่พระองค์ไม่ทรงตรัสแก่เรา
    14.จากสิ่งเหล่านี้ เราความทำสิ่งใดแก่พวกเขาเล่า

    เอโนค บทที่ 10
    1.แล้วองค์สูงส่ง องค์บริสุทธิ์และเกรียงไกร ทรงตรัส
    2. และส่ง ยูเรียล (Uriel) บุตรของลาเมช ( Lamech)
    3. และกล่าวว่า บอกเขาในนามของเราว่า "จงซ่อนตัวเอง!"
    4. และเปิดเผยแก่เขาถึงที่สิ้นสุดที่จะเกิดขึ้น การรื้อฟื้นอย่างสมบูรณ์จะบังเกิดขึ้น จะเกิดน้ำท่วมทั่วทั้งแผ่นดินและสิ่งสารพัดที่อยู่บนนั้นจะถูกทำลาย
    5.และสั่งสอนเขาถึงวิธีการที่เขาอาจหนีไปได้และเมล็ดพันธ์แห่งเขาอาจหลงเหลืออยู่บนโลก
    6.และอีกครั้ง พระเจ้ากล่าวต่อราฟาเอล ( Raphael) ว่า 'มัดมือและมัดเท้าของ Azazyel และโยนเขาลงไปในความมืดและเปิดทะเลทรายซึ่งอยู่ใน ดาเดล(Dadael) และโยนเขาไปในนั้น
    7.โยนหินที่เป็นปุ่มปมลงไปบนเขา แล้วคลุมเขาไว้ด้วยความมืด
    8.ที่นั่น เขาจะอยู่ตลอดกาล ปกหน้าเขาไว้ เพื่อเขาจะไม่ได้เห็นแสงสว่าง
    9.และในวันพิพากษาอันยิ่งใหญ่ เขาจะถูกโยนลงไปในบึงไปนรก
    10.จงไปฟื้นฟูแผ่นดินโลกที่พวกเขาเหล่านั้นได้ทำให้เสียหาย และจงประกาศชีวิต ซึ่งเราจะฟื้นขึ้นมาใหม่


    มีคาเอลและทูตสวรรค์ต่อสู้กับซาตาน

    "...มีสงครามเกิดขึ้นในสวรรค์ มีคาเอลและพวกทูตสวรรค์ของท่านได้ต่อสู้กับพญานาค และพญานาคกับพวกทูตของมันก็ต่อสู้...แต่ฝ่ายพญานาคแพ้ และพวกพญานาคไม่มีที่อยู่ในสวรรค์อีกเลย... พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่า พญามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก พญานาคและพวกทูตของมันก็ถูกผลักทิ้งลงมาในแผ่นดินโลก" วิวรณ์ 12:7-9

    พระเยซูตรัสว่า "เราเห็นซาตานตกจากฟ้าสวรรค์เหมือนฟ้าแลบ" ลูกา 10:18




    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    ซาตานนั้นโกรธและทะนงตน นอกจากการขาดความยำเกรงในพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขามา....และแล้วหลังจากนั้นมันก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อเทียบเทียมพระเจ้า





    <CENTER>[​IMG]</CENTER>




    <CENTER>"... เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า `ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์
    ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า
    ข้าจะนั่งบนขุนเขาชุมนุมสถาน ณ ด้านทิศเหนือ...
    ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ
    ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด'
    อิสยาห์ 14:13-14</CENTER>

    ซาตานได้กลายมาเป็นผู้ครอบครองโลก และชักนำให้ผู้คนต่อต้านพระเจ้า ซึ่งมีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ดังนี้



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>



    <CENTER>" ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น(หมายถึงไม่เชื่อพระเจ้า)
    พระของยุคนี้ได้กระทำใจของเขาให้มืดไป
    เพื่อไม่ให้ความสว่างของข่าวประเสริฐอันมีสง่าราศีของพระคริสต์
    ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้า ส่องแสงถึงพวกเขา"
    2 โครินทร์ 4:4</CENTER>

    Note: ในทางกลับกัน ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยหัวใจแห่งการเชื่อฟังจริง ก็มีหัวใจที่สว่าง หมายถึงตาสว่างขึ้นมองเห็นความจริง แยกแยะได้ว่าสิ่งใดมาจากพระเจ้า สิ่งใดเป็นการล่อลวงของซาตานนั่นเอง


    <CENTER>[​IMG][​IMG]</CENTER>



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ซาตานยังได้พยายามแยกมนุษย์ให้หนีห่างจากพระเจ้าตลอดเวลา จึงไม่แปลกใจที่หลายๆคนเมื่อได้ยินเรื่องจริงเกี่ยวกับพระเจ้าแล้วปิดใจ หรือมีความคิดว่าคนที่พูดถึงพระเจ้านั้นงงงาย ไร้สาระหรือบ้าไปแล้ว เหตุเพราะเขาถูกครอบงำจากวิญญาณชั่วต่างๆนั่นเอง.... ด้วยมีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า



    <CENTER>"....พวกเขาพินาศเพราะปฏิเสธที่จะรักความจริงซึ่งนำไปสู่ความรอด
    เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงให้ความลุ่มหลงมาครอบงำเขา
    ให้เขาเชื่อสิ่งที่เท็จเพื่อคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อความจริง
    แต่ยินดีในการไม่ชอบธรรม จะได้ถูกลงพระอาชญาทุกคน"
    2 เธสะโลนิกา 2:11-12</CENTER>

    ซาตานและลูกสมุนของมันทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะพาคนให้ลงไปอยู่ในนรกกับพวกมันให้มากที่สุด ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้

    พระเจ้าได้เตือนไว้แล้วสำหรับเรื่องนี้ว่า..."



    <CENTER>ท่านทั้งหลายจงเป็นคนใจหนักแน่น จงระวังระไวให้ดี
    ด้วยว่าศัตรูของท่าน คือพญามาร วนเวียนอยู่รอบๆดุจสิงโตคำราม
    เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้" 2 เปโตร 5:8</CENTER>

    ชาวโลกส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นตกอยู่ภายใต้การครอบงำของผีมารซาตาน เขาจึงยังชอบที่จะดำเนินชีวิตตามใจตนเอง ซึ่งกล่าวชัดๆก็คือตามใจที่ถูกชักนำและควบคุมโดยวิญญาณชั่วต่างๆนั่นเอง

    เขากระทำสิ่งที่ชั่วทั้งๆที่รู้ว่าชั่วแต่เขาไม่สามารถเลิกทำได้ หรือไม่เขาก็เสพติดความชั่วเหล่านั้นไปเลย เช่น การรักผิดประเภท กามวิปริต ชอบหลอกลวงผู้อื่นเพื่อตัวเอง เขาไม่มีความรักที่แท้จริง แม้แต่กับคนในครอบครัวก็ยังเป็นความรักแบบเห็นแก่ตัว เขาไม่ชอบแบ่งปัน และแม้บางครั้งที่แบ่งปันก็ยังทำเพื่อเชิดหน้าชูตาตนเอง วัยรุ่นส่วนใหญ่ก็ชอบที่จะอยากเด่นอยากดัง เป็นที่ยอมรับในหมู่พวก แคร์สายตาคนอื่นว่าเขาจะมองตนอย่างไร บ้างก็ลามก เสพสิ่งเสพติด ติดการพนัน ปล้น ฆ่า ล่วงประเวณี

    เขาโลภอยากได้ตลอดเวลาไม่เคยมีความอิ่มหรือเพียงพอในจิตใจ เขาโหยหาตลอดเวลา แม้บางครั้งก็ไม่รู้ว่าหาอะไร วิ่งวุ่นเหมือนหนูถีบจักร ไม่เคยมีเวลาหยุดพัก ไม่มีสันติสุขหรือความสงบสุขในใจเลย เขารักการสนุก รักสมบัติ เสพติดทรัพย์สิน หาเท่าไรก็ไม่พอ ไม่มีเวลาที่จะอบรมสั่งสอนลูกหลาน เลี้ยงลูกด้วยเงิน หรือเกมส์คอมพิวเตอร์ที่ซาตานทำมาให้เล่น

    เขาคิดว่าความสนุกคือความสุข แต่พอหายสนุกก็ทุกข์หนักขึ้นไปอีก ผู้คนมีชีวิตที่วนเวียนอยู่อย่างนี้แล้วออกจากวงจรอุบาทว์นี้ไม่ได้

    เพราะเขาได้กลายเป็นทาสของซาตานโดยฝ่ายวิญญาณและทำให้สำแดงออกมาในเชิงพฤติกรรม ชีวิตของเขาจึงอยู่ในความเสี่ยงตลอดเวลา ตราบใดที่เขายังไม่กลับใจมาหาพระเจ้า



    <CENTER>"....ดำเนินตามวิถีของโลกนี้ตามเจ้าแห่งอำนาจในย่านอากาศ
    คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในบุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง" เอเฟซัส 2:2</CENTER>



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ปฏิปักษ์พระคริสต์ (The Antichrist)



    <CENTER>".....บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาว่า ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์จะมา บัดนี้ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ก็มีอยู่มากแล้ว
    ฉะนั้นเราจึงรู้ว่าบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว เขาเหล่านั้นได้ออกไปจากพวกเรา แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ใช่พวกเรา เพราะว่าถ้าเขาเป็นพวกของเรา เขาจะอยู่กับเราต่อไป แต่เขาได้ออกไปแล้ว ซึ่งก็เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า เขาเหล่านั้นหาใช่พวกของเราทุกคนไม่....ใครเล่าเป็นผู้ที่พูดมุสา ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูมิใช่พระคริสต์ ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร ผู้นั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์"
    1 ยอห์น 2: 18-19,22</CENTER>



    <CENTER>"คนอย่างนั้นเป็นอัครสาวกเทียม เป็นคนงานที่หลอกลวง
    ปลอมตัวเป็นอัครสาวกของพระคริสต์
    การกระทำเช่นนั้นไม่แปลกประหลาดเลย
    ถึงซาตานเองก็ยังปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์แห่งความสว่างได้
    เหตุฉะนั้นจึงไม่เป็นการแปลกอะไรที่ผู้รับใช้ของซาตานจะปลอมตัวเป็นผู้รับใช้ของความชอบธรรม
    ท้ายที่สุดของเขาจะเป็นไปตามการกระทำของเขา
    2 โครินทร์ 11:13-15</CENTER>



    <CENTER>"....คนแห่งการบาปนั้นจะประจักษ์แจ้ง คือลูกแห่งความพินาศ
    ผู้กีดกั้นขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้อะไรๆที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้า
    หรืออะไรๆที่เขาไหว้นมัสการนั้น
    แล้วมันก็นั่งในพระวิหารของพระเจ้าเหมือนอย่างพระเจ้า
    ประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า" 2 เธสะโลนิกา 2:3-4 </CENTER>

    ซาตานมักจะเข้ามาในมาดที่ดูดีเสมอ เพื่อล่อลวงและผูกมัดใจคน อีกทั้งมันยังสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจอีกด้วย เพราะว่าซาตานเองก็ยังปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์แห่งความสว่างได้นั่นเอง



    <CENTER>"....อำนาจลับๆของคนนอกกฎหมาย(Antichrist)นี้ก็กำลังทำงานอยู่แล้ว....

    ผู้นั้นที่มาโดยการดลบันดาลของซาตาน
    พร้อมกับบรรดาการอิทธิฤทธิ์และหมายสำคัญ
    และการมหัศจรรย์แห่งความเท็จ และอุบายชั่วทุกชนิดอันล่อลวงบรรดาผู้ที่กำลังจะพินาศ
    พวกเขาพินาศเพราะปฏิเสธที่จะรักความจริงซึ่งนำไปสู่ความรอด"
    2 เธสะโลนิกา 2:8-10</CENTER>



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>



    <CENTER>"...บัดนี้ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกนี้แล้ว
    เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกโยนทิ้งออกไปเสีย"
    ยอห์น 12:31</CENTER>

    ซาตานนั้นเป็นแหล่งที่มาของความชั่วช้าทั้งสิ้นบนแผ่นดินโลก เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง การก่อตั้งศาสนาเทียมเท็จ การกราบไหว้บูชาและลัทธิความเชื่อผิดๆแปลกๆทั้งหมดที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้าง เช่น การไหว้รูปเคารพ การบูชายัญ บูชาพระอาทิตย์พระจันทร์ การดูหมอ ดูฤกษ์ดูยาม ไสยศาสตร์ ทรงเจ้าเข้าผี และการสอนให้ยกย่องกำลังและความรู้ของตัวเองเป็นที่ตั้งในการดำเนินชีวิต แทนการพึ่งพาในพระผู้เป็นเจ้า ฯลฯ

    พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนว่า...



    <CENTER>"อย่าทำตัวฉลาดตามสายตาของตนเอง
    จงยำเกรงพระเยโฮวาห์
    และออกไปเสียจากความชั่วร้าย"

    สุภาษิต 3:7</CENTER>



    <CENTER>"อย่ามีพระอื่นใดนอกเหนือจากเรา
    ...อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น"

    เฉลยธรรมบัญญัติ 5:7,9</EMBED></CENTER>



    <CENTER>[​IMG][​IMG]</CENTER>




    <CENTER>พระเยโฮวาห์ตรัสว่า...

    "....บาปของเจ้าทั้งหลายก็กันสิ่งที่ดีไว้เสียจากเจ้า
    เพราะท่ามกลางประชาชนของเราจะพบคนชั่ว
    เขาซุ่มคอยเหมือนคนดักนกซุ่มอยู่
    เขาวางกับไว้ เขาดักคน

    เรือนของเขาเต็มด้วยความหลอกลวงเหมือนกระจาดที่มีนกเต็ม
    เพราะฉะนั้นเขาจึงใหญ่โตและมั่งมี

    เขาจึงอ้วนพีจนตัวเกลี้ยงเกลา
    ในเรื่องการกระทำความชั่วเขาล้ำหน้า
    เขามิได้ตัดสินคดี คือคดีของลูกกำพร้าพ่อ ด้วยความยุติธรรม
    ถึงกระนั้นเขาก็เจริญ
    เขามิได้ป้องกันสิทธิของคนขัดสน"

    พระเยโฮวาห์ตรัสว่า
    "เพราะสิ่งอย่างนี้เราจะไม่ทำโทษเขาหรือ
    และไม่ควรที่จิตใจเราจะแก้แค้นประชาชาติที่เป็นอย่างนี้หรือ

    สิ่งที่น่าตกตะลึงและน่าหวาดเสียวได้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้
    คือผู้พยากรณ์ได้พยากรณ์เท็จ
    และบรรดาปุโรหิตก็ปกครองตามการชี้นิ้วของเขา
    และประชาชนของเราชอบที่มีการอย่างนี้
    แต่เจ้าทั้งหลายจะกระทำอะไรเมื่อกาลสุดปลายมาถึง"

    เยเรมีย์ 5:25-31</CENTER>
    Note: นิมโรดคือชายคนแรกที่ได้รับการดลใจจากซาตานให้เขาหันหนีจากพระเจ้ามานับถือตัวเอง และเขาก็ได้ก่อการกบฎต่อพระเจ้าอย่างชัดเจน และจากตำนานเรื่องของนิมโรดแห่งบาบิโลนนี่เองที่ได้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของศาสนาต่างๆทั่วโลกในปัจจุบัน
    โปรดอ่านเพิ่มเติม: http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=debunk&date=29-09-2009&group=1&gblog=2

    ****การดำเนินชีวิตในเส้นทางของพระเจ้าไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้าง(Creator) กับผู้ถูกสร้าง(Creatures)*****

    ซาตานนั้นจะทำทุกอย่างเพื่อเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าผู้สร้าง

    แต่พระเจ้าได้เคยกำชับไว้แล้วผ่านทางโมเสสว่า...



    <CENTER>"...ผู้ที่มอบเชื้อสายของตนให้แก่พระโมเลค(อีกภาพหนึ่งของซาตาน-ผู้เรียบเรียง)

    ผู้นั้นต้องมีโทษถึงตายเป็นแน่ ให้ประชาชนแห่งแผ่นดินเอาหินขว้างเขาเสียให้ตาย
    และเราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้ผู้นั้น และจะตัดเขาออกเสียจากท่ามกลางชนชาติของตน
    เพราะว่าเขาได้มอบเชื้อสายของเขาแก่พระโมเลค
    กระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทิน และลบหลู่นามบริสุทธิ์ของเรา
    และถ้าประชาชนในแผ่นดินนั้นไม่เอาใจใส่ที่จะฆ่าคนนั้นเมื่อเขาให้เชื้อสายแก่พระโมเลค
    เราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้ผู้นั้น และต่อสู้กับครอบครัวของเขา
    และจะตัดเขาและผู้ใดที่ทำตามเขาในการเล่นชู้กับพระโมเลคออกเสียจากชนชาติของตน
    ผู้ที่หันไปหาคนทรงเจ้าเข้าผีหรือพวกพ่อมดหมอผี เล่นชู้กับเขา
    เราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้ผู้นั้นและจะตัดเขาออกเสียจากชนชาติของตน
    เหตุฉะนั้นเจ้าจงชำระตัวให้บริสุทธิ์ เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า
    จงรักษากฎเกณฑ์ของเราและกระทำตาม
    เราคือพระเยโฮวาห์ผู้ตั้งเจ้าไว้ให้บริสุทธิ์"
    จากพระธรรมเลวีนิติ 20:2-8</CENTER>


    ในปัจจุบันชาวโลกส่วนใหญ่ได้ติดตามซาตานทั้งที่โดยรู้ตัวและยอมรับอย่างออกหน้าออกตา ดังจะเห็นได้ว่ามีคริสตจักรซาตานเกิดขึ้นทั่วโลก ในขณะเดียวกันก็มีผู้หลงติดตามมันไปแบบไม่รู้ตัว และติดตามแบบรู้ตัวแต่ทำอย่างลับๆ

    โปรดสังเกตรูปกางเขนด้านหลังโป๊ป : ไม้กางเขนหัวกลับเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านพระเจ้า



    <CENTER>[​IMG][​IMG]</CENTER>




    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    Ref:
    http://www.thaipope.org/webbible/49_002.htm
    http://www.sacred-texts.com/bib/boe/
    http://www.sabbathcovenant.com/Catholicism/satanism.htm
    http://theconspiracyzone.podcastpeople.com/posts/32574
    http://www.cephas-library.com/catholic/catholic_upside_down_cross.html



    <CENTER>ไม่ว่าจะเป็นคริสมาส อีสเตอร์ ฮาโลวีน และโดยเฉพาะ Black Mass ซึ่งบรรดาผู้นำระดับโลก และสมาชิกสมาคมลับต่างร่วมกันทำกิจเหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมที่ใช้ในการแสดงความเคารพบูชาต่อซาตานทั้งสิ้น</CENTER>




    <CENTER>
    "......คนทั้งโลกติดตามสัตว์ร้ายนั้นไปด้วยความอัศจรรย์ใจ
    เขาทั้งหลายได้บูชาพญานาคที่ได้ให้อำนาจแก่สัตว์ร้ายนั้น
    เขาได้บูชาสัตว์ร้ายนั้น" วิวรณ์ 13:3-4</CENTER>



    <CENTER>[​IMG][​IMG]

    กลยุทธ์ในการครอบครองโลกของสมาคมลับ
    Problem - Reaction - Solution (PRS)
    สร้างปัญหา - ดูปฏิกริยาตอบสนองของสังคม - เสนอแนวทางแก้ไข

    เช่น:
    Problem : เหตุการณ์ 911 ตึกเวิร์ดเทรดเซ็นเตอร์ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายถล่ม จัดให้มีกลุ่มรับผิดชอบเป็นมุสลิม อัลไคดะ เพื่อให้ชาวอเมริกันเกลียดชัง และ มีบินลาเดนเป็นโต้โผ (แต่จริงๆแล้ว บินลาเดนคือซีไอเอ คนหนึ่งที่เขาใช้ให้ไปเฝ้าไร่ฝิ่นที่อัฟกานิสถาน ฉะนั้นจึงมีการเสนอข่าวออกมาเป็นระยะๆว่าจับบินลาเดนไม่ได้ซักที อ้อ! อย่าแปลกใจเลย สมาคมลับคุมสำนักข่าวใหญ่ทั่วโลก เขาจะนำเสนอข่าวเฉพาะสิ่งที่เขาต้องการให้เรารู้ และข่าวก็มีทั้งข่าวจริงและข่าวหลอกอีกต่างหาก เราๆจึงต้องมีการพิจารณากันให้ดี)

    Reaction: ชาวอเมริกันเกิดความโกรธแค้น จึงสนับสนุนให้ทำสงคราม ลงขันกันยกใหญ่จากพันธบัตรรัฐบาลที่ออกมาเพื่อระดมทุนในการทำสงครามโดยเฉพาะ

    Solution: รัฐบาลโดยมีกลุ่มสมาคมลับอยู่เบื้องหลังได้ปรับแก้กฎหมายหลายฉบับซึ่งไปในแนวของระบบคอมมิวนิสต์ ในขณะเดียวกันก็ทำสงครามในตะวันออกกลาง บุกอิรักเข้าไปเอาทรัพยากรน้ำมันของเขาซะดื้อๆ

    และทั้งหมดนี้มีวาติกันซึ่งเป็นตัวแทนของซาตานอยู่เบื้องหลัง เขาใช้ประเทศอเมริกาเป็นฐานอำนาจและเป็นมือเป็นเท้าในการทำงาน ทั้งยังมีประเทศต่างๆในสหภาพยุโรปเป็นฝ่ายสนุบสนุน
    ท่านอาจจะแปลกใจว่าทำไมซาตานมันมีอำนาจนักหนาในการครองใจคน รวมทั้งการพัฒนาวิชาการต่างๆรวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ การผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ ฯลฯ

    คำตอบคือว่า ซาตานนั้นเป็นวิญญาณและพระเจ้าเคยให้อำนาจมันมาก่อน และพวกนี้ได้สติปัญญาที่มาจากสวรรค์ทั้งสิ้น แต่นำมาใช้ในการมอมเมามนุษย์และการทำลายล้าง เพื่อแย่งมนุษย์มาจากพระเจ้า มันจึงใช้ความพยายามทำทุกอย่างเพื่อล่อลวงมนุษย์ให้หลงไปติดตามมัน ซาตานและพวกวิญญาณชั่วต่างๆสามารถแปลงร่างไปได้มากมายหลายรูปแบบ จะทำให้ดูหล่อดูสวยเหมือนนางฟ้าเทวดาหรือจะทำให้ดูน่าเกลียดน่าขยะแขยงแค่ไหนก็ได้ มันยังมีความสมารถเข้าควบคุมจิตใจของมนุษย์ได้ด้วย ไปนำให้กระทำการอันชั่วร้ายต่างๆ ที่เราเห็นอยู่ประจำในเหตุการณ์ปัจจุบัน ไปกระตุ้นให้เกิดความไม่สงบสุขในจิตใจต่างๆเช่น ตัญหา ราคะ ความโกรธ โลภ หลง ความวุ่นวายใจ หงุดหงิด ฯลฯ ดังนั้นมนุษย์ธรรมดาๆจึงถูกล่อลวงและติดตามพวกมันไปได้อย่างง่ายดาย มารสามารถให้พรได้ด้วย ทำให้คนร่ำรวย แต่ขอให้สังเกตดูว่า ผู้ที่ร่ำรวยจากกิจการหรือกิจกรรมต่างๆที่มาจากมารซาตานนั้น ทรัพย์สมบัติที่พวกเขาหามาได้จะอยู่ไม่นาน หรือทรัพย์มาพร้อมกับความเจ็บป่วย หลายคนนั้น...ที่สุดแล้วทรัพย์ก็หมดไปกับการรักษาโรคร้ายต่างๆ หรือตายไปอย่างกระทันหัน หรือเกิดเหตุการณ์ต่างๆที่ทำให้เสียหาย เพราะพรที่มาจากมารนั้นมาพร้อมกับความโศกเศร้า

    แต่พระพรที่พระเจ้าประทานมาให้นั้น เป็นพระพรล้วนๆ พระองค์ไม่ได้แถมความโศกเศร้ามาด้วย ตามพระสัญญาที่กล่าวไว้ในพระธรรมสุภาษิต 10:22ว่า " พระพรของพระเยโฮวาห์กระทำให้มั่งคั่ง และพระองค์มิได้แถมความโศกเศร้าไว้ด้วย"

    แต่..ยังมีมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งที่ติดตามพระเจ้า และพวกเขาได้รับพระพรและสติปัญญาจากพระองค์ จึงได้รู้เท่าทันกลเกมณ์ต่างๆของซาตานและสมุนของมันไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่ด้วยกับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ จะทำให้พวกเขามองภาพต่างๆออกและเข้าใจถึงที่มาที่ไป แล้วจึงได้นำมาเปิดเผยนี่เอง

    สุภาษิต 2:6-12
    6 เพราะพระเยโฮวาห์ทรงประทานปัญญา ความรู้และความเข้าใจมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์
    7 พระองค์ทรงสะสมสติปัญญาไว้ให้คนชอบธรรม พระองค์ทรงเป็นโล่ให้แก่ผู้ที่ดำเนินในความเที่ยงธรรม
    8 พระองค์ทรงรักษาระวังวิถีของความยุติธรรม และทรงสงวนทางของวิสุทธิชนของพระองค์ไว้
    9 แล้วเจ้าจะเข้าใจความชอบธรรมและความยุติธรรม และความเที่ยงตรง คือวิถีที่ดีทุกสาย
    10 เมื่อปัญญาจะเข้ามาในใจของเจ้า และความรู้จะเป็นที่ร่มรื่นแก่จิตใจของเจ้า
    11 ความเฉลียวฉลาดจะคอยเฝ้าเจ้า และความเข้าใจจะระแวดระวังเจ้าไว้
    12 เพื่อช่วยเจ้าให้พ้นจากทางแห่งคนชั่วร้าย จากคนที่พูดตลบตะแลง

    สุดท้ายแล้วนั้น ซาตานและบรรดาลูกสมุน
    คือผีร้ายวิญญาณชั่วต่างๆ รวมทั้งมนุษย์ผู้ที่ติดกับดักการล่อลวงของมัน
    ทั้งได้ติดตามมันและนมัสการมันนั้น ก็จะถูกทิ้งลงไปในบึงไฟนรก

    "....ส่วนพญามารที่ล่อลวงเขาเหล่านั้น
    ก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน
    ที่สัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จอยู่นั้น
    และมันต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวัน
    และกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์ "
    วิวรณ์ 20:10

    "...ผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย
    ยืนอยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
    และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกม้วนหนึ่งก็เปิดออกด้วย
    คือหนังสือแห่งชีวิต
    และผู้ที่ตายไปแล้วก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น ตามที่เขาได้กระทำ..
    และผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต
    ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ"
    วิวรณ์ 20:12-15
    [​IMG]

    **ผู้เรียบเรียงมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เนื้อหาสาระเหล่านี้น่าจะเพียงพอที่จะเปิดมุมมองใหม่ให้ท่านผู้ที่เปิดเข้ามาอ่านได้เข้าใจ และเป็นข้อมูลพื้นฐานในการตัดสินใจเลือกทางเดินที่ถูกต้องให้กับชีวิตของตนเองได้ ขอพระเจ้าพระเยซูคริสต์ช่วยท่านให้รอดจากบ่วงมารด้วยเถิด....^_^
    ที่มา Bloggang.com : Narno7 - Satan/The Fallen Angel Revealed:

    ปล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กๆควรมีปกครองคอยให้คำแนะนำ
    </CENTER><!-- google_ad_section_end -->
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สมาคมลับเหนือสมาคมลับครองโลก ตอนที่ 3 (Knights Templar)

    ใครคือ The Templar????





    <CENTER>[​IMG][​IMG]</CENTER>

    กางเขนอัศวินเทมพลาร์




    สัญลักษณ์อัศวินเทมพลาร์





    <CENTER>[​IMG][​IMG]</CENTER>



    เทมพลาร์บูชาปีศาจบาโฟเมต(Baphomet/Satan)






    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    เทมพลาร์เป็นที่มาของฟรีเมสัน





    <CENTER>[​IMG]</CENTER>จากข้อมูลของ Nesta H. Webster, Secret Society and Subversive movement, (Christian Book of America, 1924)พบว่า ในปี 1118 ซึ่งเป็นเวลา 19 ปีหลังจากสงครามครูเสดครั้งแรกสิ้นสุดลงซึ่งมุสลิมพ่ายแพ้นั้น

    อัศวินเทมพลาร์ ถูกก่อตั้งขึ้นโดย Hughes de Payens ชนชั้นสูงจากฝรั่งเศส พร้อมกับอัศวินผู้ติดตามอีก 8 คน ก่อตั้งกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายในการปกป้องผู้แสวงบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ กษัตริย์ Baldwin II แห่งเยรูซาเลม ได้อนุญาตให้ทั้ง 9 คนไปอาศัยอยู่ที่บริเวณทิศใต้ของ Temple Mount ซึ่งทั้งชาวคริสต์และอิสลามถือกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ

    ชาวคริสต์เชื่อกันว่าโบสถ์นี้ตั้งอยู่บนซากปรักพังของ Temple of Solomon ในคัมภีร์ไบเบิล และสำหรับชาวมุสลิม กาหลิบอุมัยยะห์อับด์ อัล-มาลิคเคยสร้าง วิหาร โดมทองแห่งเยรุซาเล็มซึ่งภายในบรรจุก้อนหินที่ศาสดามูฮัมหมัดได้รับจากสวรรค์ ณ ที่ตรงนี้

    ซึ่งการที่อัศวินเทมพลาร์มาอาศัยอยู่ในสถานที่สำคัญทางศาสนาอย่างยิ่งยวดเช่นนี้ ทำให้ในภายหลัง กลายเป็นบ่อเกิดของตำนานต่างๆนานา ของ Knights Templar ที่เล่าลือกันว่า พวกเขาพบ The Holy Grail (จอกเหล้าองุ่นที่พระเยซูคริสต์ใช้ในการรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย/The last supper)

    ในช่วงเริ่มต้นนั้น พวกอัศวินเทมพลาร์ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ประทังชีวิตด้วยของบริจาค จึงได้รับการขนานนามว่า อัศวินผู้ยากไร้ และหลังจากที่อัศวินเทมพลาร์ไปอาศัยอยู่ในสถานที่ ที่เชื่อกันว่าเคยเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Temple of Solomon จึงได้รับการขนานนามอีกว่า อัศวินแห่งโบสถ์โซโลมอน

    9 ปีต่อมา เชื่อเสียงของอัศวินผู้สมถะผู้อุทิศตัวเพื่อปกป้องผู้แสวงบุญ และผลงานดีเด่นต่างๆ แพร่เข้าไปในยุโรป มีผู้บริจาคทรัพย์สินเงินทองมากมาย ทั้งที่ดิน และเงินทองไหลบ่าสู่พวก Knights Templar มากมาย ชนชั้นสูงชาวยุโรปหลายคนยังส่งลูกหลานของตัวเองให้เข้าร่วมกลุ่มด้วย Knights Templar จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว และในปี 1139 อัศวินเทมพลาร์ได้รับเกียรติยศอันสูงสุด เมื่อพระสันตปาปา อินโนเซนต์ที่ 2 ประกาศให้พวกอัศวินเทมพลาร์อยู่เหนือกฎหมายของทุกประเทศ ไม่ต้องเสียภาษี และสามารถเดินทางผ่านดินแดนใดก็ได้โดยมิให้ผู้ใดขัดขวาง

    ถึงแม้อัศวินเทมพลาร์จะเป็นกลุ่มที่เน้นหนักไปในด้านการทหาร แต่สมาชิกที่ไม่ได้เป็นนักรบก็มีหน้าที่คอยบริหารจัดการทรัพย์สินต่างๆและอำนวยความสะดวกให้กับนักรบ โดยในกลุ่มอัศวินเทมพลาร์แบ่งออกเป็น 4 ส่วน - อัศวิน ถูกฝึกฝนในแบบของทหารม้าหนัก แต่งกายด้วยสีขาวและสัญลักษณ์กางเขนสีแดง - Sergeants มาจากชนชั้นที่อยู่ต่ำกว่าอัศวิน ทำหน้าที่ในฐานะทหารม้าเบา พวกนี้จะสวมชุดสีน้ำตาล - the serving brothers ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินของกลุ่ม และทำหน้าที่ติดต่อค้าขาย -the chaplains พระที่ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณและทางศาสนาให้กลุ่มพวกอัศวินเทมพลาร์เข้าร่วมสมรภูมิสำคัญๆในดินแดนแถบนี้ในฐานะกองทหารชั้นยอด และยังเคยเข้าร่วมกับกองทัพของ Louis VII แห่งฝรั่งเศส และ King Richard I แห่งอังกฤษ ในการรบในดินแดนปาเลสไตน์

    อัศวินเทมพลาร์คือผู้ริเริ่มรูปแบบระบบการธนาคาร

    อัศวินเทมพลาร์มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาล และเริ่มให้ผู้แสวงบุญชาวเสปนยืมเงินสำหรับใช้เดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิในปี 1135

    ปี 1150 Knights Templar ก็เริ่มใช้ระบบใหม่ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของระบบธนาคาร นั่นคือ เมื่อมีผู้แสวงบุญในยุโรปประสงค์จะเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ พวกเขาจะนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนไปฝากไว้กับฐานของอัศวินเทมพลาร์ในประเทศของตน ซึ่งทางอัศวินเทมพลาร์จะออกใบเสร็จซึ่งจดบันทึกรายการทรัพย์สินที่ฝากเอาไว้ให้ผู้แสวงบุญติดตัวไป และเมื่อผู้แสวงบุญกำลังเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ หากต้องการใช้เงินเมื่อไหร่ ก็นำใบเสร็จนี้ไปยื่นต่ออัศวินเทมพลาร์ที่เจอระหว่างทาง และเอาทรัพย์สินของตนออกมาใช้ได้ ด้วยวิธีนี้ผู้ แสวงบุญจะปลอดภัยจากการถูกปล้นชิงกลางทาง เพราะไม่ได้นำของมีค่าติดตัวไปด้วย

    นอกจากมีระบบฝากเงินแล้ว ด้วยความร่ำรวยของอัศวินเทมพลาร์จึงมีหลายต่อหลายคนในยุโรปเข้ามาขอยืมเงิน ไม่ว่าจะเป็นขุนนางมายืมเงินเพื่อไต่เต้าตำแหน่ง แม่ทัพยืมเงินไปสร้างกองทัพ พ่อค้ายืมเงินไปทำธุรกิจ แม้แต่พระก็ยังมายืมเงินจากอัศวินเทมพลาร์เนื่องจากการคิดดอกเบี้ยเป็นเรื่องต้องห้ามของศาสนจักร พวกอัศวินเทมพลาร์จึงไม่ได้คิดดอกเบี้ย แต่คิด"ค่าเช่า"แทน
    อัศวินเทมพลาร์กลายเป็นกลุ่มที่ร่ำรวยและมีอำนาจอย่างมาก ครอบครองที่ดินทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง สร้างปราสาทและโบสถ์มากมาย มีฟาร์มหลายแห่ง ค้าขายสินค้าทั้งส่งออกและนำเข้า มีกองทัพเรือของตัวเอง และครอบครองเกาะไซปรัสทั้งหมด


    อัศวินเทมพลาร์ถึงการณ์ล่มสลาย

    เมื่อกรุงเยรูซาเลมพ่ายต่อสุลต่าน ซาลาดิน การสนับสนุนจากยุโรปก็ตกต่ำลง ในช่วงท้ายปี 1300 กษัตริย์ ฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ได้ยืมเงินจำนวนมากจากอัศวินเทมพลาร์เพื่อใช้ในการทำสงครามกับอังกฤษ แต่ไม่มีเงินพอที่จะใช้คืนได้ เลยหาเหตุเบี้ยวหนี้ สั่งสอบสวนผู้นำของ Templar Grand Master Jacques de Molay ในฐานะเป็นพวกนอกรีต ซึ่งเจ้าตัวให้การปฏิเสธ

    ในวันศุกรที่ 13 ปี 1307 ฟิลิปจับกุมตัวสมาชิกอัศวินเทมพลาร์ทั้งหมดในฝรั่งเศส กล่าวหาว่าพวกอัศวินเทมพลาร์บูชาปีศาจบาโฟเมต(ซาตาน) เป็นพวกนอกรีต และสั่งประหาร ซึ่งทำให้ฟิลิปรอดพ้นจากการเป็นหนี้พวกอัศวินเทมพลาร์ซ้ำฟิลิปยังยึดทรัพย์สินของพวกอัศวินเทมพลาร์ทั้งหมดในฝรั่งเศส


    ด้วยแรงกดดันจากฟิลิป พระสันตปาปาคลีเมนต์จึงสั่งยุบกลุ่มอัศวินเทมพลาร์ที่ดินของอัศวินเทมพลาร์ถูกโอนไปให้พวก Hospitallers และพวกผู้นำในยุโรปก็เอาตามอย่างฟิลิป ประกาศให้พวกอัศวินเทมพลาร์เป็นพวกนอกรีตและยึดทรัพย์สิน ในปี 1314 ผู้นำของอัศวินเทมพลาร์ทั้ง 3 คน ถูกจับเผาทั้งเป็น


    ***ตำนาน ศุกร์ที่ 13
    หลายคนเชื่อว่า ความเชื่อที่ว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้าย มีสาเหตุมาจากที่พวกอัศวินเทมพลาร์ถูกจับในข้อหาเป็นพวกนอกรีตในวันศุกร์ที่ 13 นี่เอง***



    ตามประวัติ พวกอัศวินเทมพลาร์ตั้งฐานบัญชาการแห่งแรกใกล้ๆ Temple Mount ซึ่งถือเป็นสถานทีศักดิ์สิทธิของคริสเตียน ยิว และมุสลิม


    เชื่อกันว่าTemple Mount ตั้งอยู่บนซากปรักหักพังของโบสถ์โซโลมอนในไบเบิ้ล มีคำล่ำลือมากมายเกี่ยวกับโบสถ์นี้ว่า เป็นสถานที่เก็บวัตถุศักดิ์สิทธิยิ่งยวดเอาไว้ เช่น เป็นสถานที่เก็บ หีบแห่งพันธสัญญา ที่โมเสสใช้ติดต่อกับพระเจ้า บางตำนานก็ว่ามีอุโมงค์ลับใต้วิหารซึ่งเป็นที่เก็บ ชิ้นส่วนของไม้กางเขนที่ใช้ตรึงพระเยซู บางตำนานก็กล่าวว่าในนั้น เก็บเอกสารสำคัญบางอย่างที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซู ด้วยเหตุหลายคนจึงเชื่อกันว่า พวกอัศวินเทมพลาร์พบเจออะไรบางอย่างในโบสถ์นั้น และสิ่งนั้นทำให้ Knights Templar ก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุด

    นักวิชาการบางคน เช่น Hugh J. Schonfield มีข้อสันนิษฐานว่า พวกอัศวินเทมพลาร์อาจไปเจอคัมภีร์โบราณ Copper Scroll "ม้วนบันทึกทองแดง" ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้พวก Knights Templar ถูกข้อกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต


    (คัมภีร์ Copper Scroll คือส่วนหนึ่งของคัมภีร์ Dead Sea Scrolls และ Lilith of Dead Sea ซึ่งมีการค้นพบในถ้ำคูมรัน เป็นคัมภีร์โบราณที่เกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับที่เขียนไว้เป็นรหัสลับ ต้องมีการติดต่อกับวิญญาณต่างๆจึงจะเข้าใจ และคัมภีร์นี้เองเป็นที่มาของลัทธินอสติค (Gnosticism) และในขณะนั้นทางวาติกัน(คาทอลิค)ได้สั่งห้ามไม่ให้มีการเผยแพร่คัมภีร์นี้ออกสู่สาธารณะ)

    ถึงแม้อัศวินเทมพลาร์จะล่มสลายลง แต่ยังคงเหลือสมาชิกอีก 100 คนที่ยังหลงเหลือในยุโรป กองเรือของพวกอัศวินเทมพลาร์ได้หลบซ่อนตัวเองและตั้งชื่อใหม่ว่า “the Knights of Christ”


    จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์พบว่า ภรรยาของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เป็นลูกสาวของ Knight of Christ คนหนึ่ง และในเรือของโคลัมบัสก็มีกางเขนของเทมพลาร์อยู่ในนั้นด้วย โคลัมบัสได้ล่องเรือข้ามมหาสมุทรเพื่อแสวงหาแผ่นดินใหม่คือประเทศอเมริกาปัจจุบัน



    สมาคม Freemasonry รับธรรมเนียมปฏิบัติและพิธีกรรมมากจากกลุ่ม Knights Templar ซึ่งก็คือลัทธิบูชาซาตานหรือปีศาจบาโฟเมตนั่นเอง

    “อัศวินเทมพลาร์หลายคนได้ออกเดินทางไปกอบกู้สถานศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนปาเลสไตน์จากชาวSaracen (แขกซาราเซน, ชาวมุสลิมโบราณ) และได้ก่อตั้งสมาคมลับชื่อ “สมาคมฟรีเมสัน” เพื่อสานต่อเจตนารมรณ์เดิมคือการสร้างวิหารโซโลมอนขึ้นมาใหม่” (จาก Secret Society and Suversive Movement, Nesta Webster, (South Pasadena, California:Emissary Publication, 1980 Origin pubished in 1924) p.139)


    [​IMG][​IMG]


    เทมพลารปัจจุบัน



    [​IMG]

    [​IMG][​IMG]



    เทมพลารปัจจุบัน คือ สมาคม Freemason



    To be continue...



    ที่มา Bloggang.com : Narno7 -

    http://www.bloggang.com/viewblog.php...roup=1&gblog=1
    http://www.bloggang.com/viewblog.php...roup=1&gblog=2
    http://www.bloggang.com/viewblog.php...roup=1&gblog=4
    http://www.bloggang.com/viewblog.php...roup=1&gblog=5
    http://www.bloggang.com/viewblog.php...roup=1&gblog=6

    ปล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กๆควรมีผู้ปกครองคอยให้คำแนะนำ
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...