นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. คัน

    คัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +67
    นับถือคนไม่ยึดติด ไม่ยึดติดขนาดหนักเลย
    ต่อ เรื่องคนตั้งกระทู้พระพุทธเจ้าเป็น....กลับชาติมาเกิด และ เหล่าผู้มีปัญญาท่วมหัวจนมิยึดติดผู้ร่วมอนุโมทนากรรมกับผู้ตั้งกระทู้นั้น
    ดูว่าท่านจะมีปัญญามากเสียจนมิรู้สึกรู้สาอะไรกับการเอาพระพุทธเจ้ามาล้อเล่น จะว่าท่านมิเคารพศรัทธาในพระพุทธเจ้าก็คงมิใช่ แต่ท่านบรรลุธรรมขั้นสูงส่งเสียแล้ว ก้าวข้ามการยึดติดใดๆได้สนิทแล้วสิ
    งั้นถ้าสมมุติผมจะกล่าวว่า ท่านผู้ไม่ยึดติด แลผู้ตั้งกระทู้พระพุทธเจ้าเป็น...กลับชาติมาเกิด
    พวกท่านก็ล้วนแล้วแต่เป็นเหี้ยกลับชาติมาเกิดทั้งนั้น แลรวมไปถึงบิดา มารดาที่ท่านผู้ไม่ยึดติดแลผู้ตั้งกระทู้นั้นเคารพรักก็เป็นเหี้ยกลับชาติมาเกิดด้วยเช่นกัน
    แลโคตรบิดา โคตรมารดาของท่านผู้ไม่ยึดติดก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวเหี้ยกลับชาติมาเกิดทั้งโคตร...
    ท่านผู้ไม่ยึดติด คงมิรู้สึกรู้สาใดๆเลยสินะ

    นับถือ นับถือ ท่านผู้ไม่ยึดติด อย่าลืมกดอนุโมทนาให้กระผมด้วยนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 กรกฎาคม 2010
  2. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    อันนี้เห็นด้วยจ้า
    แต่ประเด็นในมุมมองของเหล่าฮูคือ เรื่องการกล่าวแก้ปรัปวาทน่ะที่เหล่าฮูเห็นว่าพระพุทธองค์ถึงขั้นจะไม่เสด็จปรินิพพาน หวังให้พุทธบริษัทมีคุณสมบัติถึงพร้อมก่อน

    แต่หากเป็นเรื่องอื่น เราก็ว่ากันเอง ไม่ให้บ้านอื่นเขามาด่าเรา
    เราว่ากันเองตรวจสอบกันเอง เราต้องปกป้องศาสนาในฐานะเจ้าของร่วม เหมือนอยู่คอนโดน่ะ ไฟกำลังไหม้ก็มาช่วยกันดับ ไม่มัวแต่ก่นด่าหรือเหนื่อยหน่ายคนจุดไฟ มันไม่พอ มันต้องร่วมแรงร่วมใจน่ะ

    ที่ว่าทำลายโจมตี ก็เป็นแง่มุมที่ต้องออกมาช่วยกันปกป้องด้วย มิฉะนั้น คนที่ออกมาเป็นฝ่ายกระทำก็ได้ทีที่พุทธมามกะวางเฉยเกินไป บางเรื่องก็คงต้องแสดงท่าทีเหมือนกัน เหมือนพวกที่เอาพระพุทธรูปไปตัดเศียรทำหัวกระได อย่างนี้ก็คงต้องแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย แต่หากมุ่งโจมตีทำลายล้างเหมือนกรณีท่านคุณานันทะที่ศรีลังกา ท่านก็ต้องออกมาแสดงท่าทีน่ะ

    ไว้มาว่าต่อจ้า
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อย่าโกรธถ้าถูกด่าว่า "เหี้ย"

    posted on 08 Dec 2009 13:25 by terasphere in Special-Report
    เพราะพระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเป็นพญาเหี้ยมาแล้ว
    อ้างอิง
    อรรถกถา โคธชาดก
    ว่าด้วย คบคนชั่วไม่มีความสุข

    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ทรงปรารภภิกษุผู้คบหาฝ่ายผิดรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า น ปาปชนสํเสวี ดังนี้.

    เรื่องปัจจุบัน ก็เช่นเดียวกับเรื่องที่กล่าวแล้วใน มหิฬามุขชาดก นั้นแล.
    ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดเหี้ย ครั้นเติบใหญ่แล้ว มีเหี้ยหลายร้อยเป็นบริวาร พำนักอยู่ในโพรงใหญ่ใกล้ฝั่งแม่น้ำ บุตรของพระโพธิสัตว์นั้น ชื่อว่าโคธปิลลิกะ ทำความสนิทสนมเป็นเพื่อนเกลอกันกับกิ้งก่า (ป่อมข่าง) ตัวหนึ่ง เย้าหยอกกันกับมัน ขึ้นทับมันไว้ด้วยคิดว่า เราจักกอดกิ้งก่า ฝูงเหี้ยพากันบอกความสนิทสนม ระหว่างโคธปิลลิกะกับกิ้งก่านั้น ให้พญาเหี้ยทราบ พญาเหี้ยจึงเรียกบุตรมาหา กล่าวว่า ลูกเอ๋ย เจ้าทำความสนิทสนมกันในที่ไม่บังควรเลย ธรรมดากิ้งก่าทั้งหลาย มีกำเนิดต่ำ ไม่ควรทำความสนิทสนมกับมัน ถ้าเจ้าขืนทำความสนิทสนมกับมัน สกุลเหี้ยแม้ทั้งหมด จักต้องพินาศเพราะอาศัยมันแน่นอน ต่อแต่นี้ไป เจ้าอย่าได้ทำความสนิทสนมกับมันเลย.

    โคธปิลลิกะ ก็คงยังทำอยู่เช่นนั้น แม้ถึงพระโพธิสัตว์จะพูดอยู่บ่อยๆ ก็ไม่สามารถจะห้ามความสนิทสนมระหว่างเขากับมันได้ จึงดำริว่า อาศัยกิ้งก่าตัวหนึ่ง ภัยต้องบังเกิดแก่พวกเราเป็นแน่ ควรจัดเตรียมทางหนีไว้ ในเมื่อภัยนั้นบังเกิด แล้วให้ทำปล่องลมไว้ข้างหนึ่ง ฝ่ายบุตรของพญาเหี้ยนั้นก็มีร่างกายใหญ่โตขึ้นโดยลำดับ ส่วนกิ้งก่าคงตัวเท่าเดิม โคธปิลลิกะคิดว่าจักสวมกอดกิ้งก่า (เวลาใด) ก็โถมทับอยู่เรื่อยๆ (เวลานั้น) เวลาที่โคธปิลลิกะโถมทับกิ้งก่า เป็นเหมือนเวลาที่ถูกยอดเขาทับฉะนั้น เมื่อกิ้งก่าได้รับความลำบาก จึงคิดว่า ถ้าเหี้ยตัวนี้กอดเราอย่างนี้สัก สอง-สามวันติดต่อกัน เราเป็นตายแน่ เราจักร่วมมือกับพรานคนหนึ่ง ล้างตระกูลเหี้ยนี้เสียให้จงได้.
    ครั้นวันหนึ่งในฤดูแล้ง เมื่อฝนตกแล้ว ฝูงแมลงเม่าพากันบินออกจากจอมปลวก ฝูงเหี้ยพากันออกจากที่นั้นๆ กินฝูงแมลงเม่า พรานเหี้ยผู้หนึ่งถือจอบไปป่ากับฝูงหมา เพื่อขุดโพรงเหี้ย กิ้งก่าเห็นเขาแล้ว คิดว่า วันนี้ความหวังของเราสำเร็จแน่ ดังนี้แล้วเข้าไปหาเขา หมอบอยู่ในที่ไม่ห่าง ถามว่า ท่านผู้เจริญ ท่านเที่ยวไปในป่าทำไม? พรานตอบว่า เที่ยวหาฝูงเหี้ย. กิ้งก่ากล่าวว่า ฉันรู้จักที่อาศัยของเหี้ยหลายร้อยตัว ท่านจงหาไฟและฟางมาเถิด แล้วนำเขาไปที่นั้น ชี้แจงว่า ท่านจงใส่ไฟตรงนี้แล้วจุดไฟ ทำให้เป็นควัน วางหมาล้อมไว้ ตนเองออกไปคอยตีฝูงเหี้ยให้ตายแล้วเอากองไว้ ครั้นบอกอย่างนี้แล้ว ก็คิดว่า วันนี้เป็นได้เห็นหลังศัตรูละ แล้วนอนผงกหัวอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง

    แม้นายพรานก็จัดการสุมไฟฟาง ควันเข้าไปในโพรง ฝูงเหี้ยพากันสำลักควัน ถูกมรณภัยคุกคาม ต่างรีบออกพากันหนีรนราน พรานก็จ้องตีตัวที่ออกมาๆ ให้ตาย ที่รอดพ้นมือพรานไปได้ ก็ถูกฝูงหมากัด ความพินาศอย่างใหญ่หลวงเกิดแก่ฝูงเหี้ย พระโพธิสัตว์รู้ว่า เพราะอาศัยกิ้งก่าภัยจึงบังเกิดขึ้น ตัวนี้แล้ว กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า การคลุกคลีกับคนชั่วไม่พึงกระทำ ขึ้นชื่อว่า ประโยชน์ย่อมไม่มีเพราะอาศัยคนชั่ว ด้วยอำนาจของกิ้งก่าชั่วตัวเดียว ความพินาศจึงเกิดแก่ฝูงเหี้ยมีประมาณเท่านี้ เมื่อจะหนีไปทางช่องลม กล่าวคาถานี้ความว่า :-

    "ผู้คบคนชั่ว ย่อมไม่ได้ความสุขโดยส่วนเดียว เขาย่อมทำตนให้ถึงความพินาศ เหมือนอย่างตระกูลเหี้ยให้ตนถึงความวอดวายเพราะกิ้งก่า ฉะนั้น" ดังนี้.

    ในคาถานั้น มีความสังเขปดังนี้

    บุคคลผู้สร้องเสพกับคนชั่ว ย่อมไม่บรรลุ คือไม่ประสบ ไม่ได้รับความสุขที่ยั่งยืน คือ ความสุขที่ชื่อว่า สุขชั่วนิรันดร เหมือนอย่างอะไร? เหมือนตระกูลเหี้ยไม่ได้ความสุข เพราะกิ้งก่าฉันใด คนที่สร้องเสพกับคนชั่ว ย่อมไม่ได้ความสุขฉันนั้น มีแต่จะพาตนให้ถึงความวอดวายกับคนชั่ว ย่อมพาตนและคนอื่นๆ ที่อยู่กับตน ให้ถึงความพินาศไปถ่ายเดียวเท่านั้น แต่ในพระบาลีท่านเขียนไว้ว่า "กลึปาเปยฺย" พึงพาตนให้ถึงความวอดวาย พยัญชนะ (คือข้อความ) อย่างนั้นไม่มีในอรรถกถา ทั้งเนื้อความของพยัญชนะนั้น ก็ไม่ถูกต้อง เหตุนั้นพึงถือเอาคำตามที่กล่าวแล้วนั่นแล.

    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
    กิ้งก่าในครั้งนั้น ได้มาเป็น เทวทัต
    บุตรพระโพธิสัตว์ชื่อโคธปิลลิกะผู้ไม่เชื่อโอวาท ได้มาเป็นภิกษุผู้คบหาฝ่ายผิด
    ส่วนพญาเหี้ยได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

    จบ อรรถกถาโคธชาดกที่ ๑

    ด่าว่ากิ้งก่า ท่าจะเจ็บกว่านะ


    อย่าโกรธถ้าถูกด่าว่า "เหี้ย" | ลำนำโศกาแห่งผืนพิภพ

    [​IMG]


    [​IMG]

    รูปปลากรอบ นิทานชาดก ก่อนนอน: นิทานเรื่อง "เหี้ยกับกิ่งก่า"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2010
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    " ฤาษีลวงเหี้ย "<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    ฤาษีจอมปลอมรูปหนึ่งนั่งบำเพ็ญพรตอยู่ชายป่า ในบริเวณที่พอจะท ำให้ชาวบ้านที่ผ่านมาผ่านไปเห็นได้สะดวก
    บุคลิกของท่าน นำมาซึ่งความเลื่อมใส นุ่งห่มหนังเสือเหลืองเกล้าชฎาเหมือนฤาษีทั่วไป ท่าทีที่สงบขอ งท่านทำให้คนหลงเชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดี
    จึงนำเครื่องสักการะมาบูชาอยู่เนืองๆ ได้อิ่มหนำสำราญไปทุกวันๆ เมื่อมีผู้นำอาหารมาวาย ท่านก็ฉลองศรัทธาทุกครั้งไป ไม่เคยขัดและเมื่อฉันอาหารเสร็จแล้ว
    เศษอาหารที่เหลือท่านก็เอาไปเลี้ยงเหี้ยในจอมปลวกที่อยู่ใกล้ๆ ใจบุญซะด้วย ณ อาศรมชายป่าแห่งนี้ ฤาษีท่านได้ฉันอาหารอย่างดีๆ ทั้งนั้น จนติดในรสอาหาร อยากได้กินทุกวัน
    วันหนึ่ง มีผู้เอาแกงเนื้อชนิดหนึ่งมาให้ ท่านฤาษีฉันแล้วรู้สึกชอบมาก " รสชาติของแกงเนื้อนี้มันอร่อยจริงๆ " ฤาษีรำพึงในใจ ได้ถามญาติโยมว่า " แกงอะไรจ๊ะโยม อร่อยจริงๆ ? "
    " แกงเนื้อเหี้ยค่ะ " โยมตอบ
    ฤาษีฟังแล้ว นึกไปถึงเหี้ยในจอมปลวกที่ขุน อยู่แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
    วันรุ่งขึ้น ฤาษีตื่นแต่เช้า คิดหาทางที่จะเอาเหี้ยมาแกงได้แล้ว ก็ออกบิณฑบาตขอเครื่องแกงจ ากชาวบ้าน ได้เพียงพอแล้วก็กลับมาสู่อาศรมแกล้งนั่งหลับตาภาวนาตามวัตรปฏิ บัติที่เคยทำมา แต่วันนี้ต่างจากวันก่อนๆ มือของฤาษีถือท่อนไม้ไว้ด้วย ทำเป็นหลับตากระต่าย
    ฝ่ายพญาเหี้ยโพธิสัตว์ เป็นเหี้ยที่มีความเฉลียวฉลาด สังเกตเห็นอาการพิรุธของฤาษีผู้ ที่เป็นที่เคารพนับถือของตน ก็ชักจะสงสัยว่า
    " เอ ! วันนี้ทำไมท่านฤาษีจึงหลับๆ ลืมๆ ไม่นั่งหลับตาสนิทเหมือนกับวันก่อนๆ เกิดอะไรขึ้น ?"
    พญาเหี้ยโพธิสัตว์ออกมาจากจอมปลวก ไม่กล้าเข้าใกล้ฤาษี ยืนพินิจพิจารณาท่าทางฤาษีอยู่ข้างๆ รู
    ฝ่ายฤาษีใจร้อน ไม่รอให้พญาเหี้ยโพธิสัตว์เข้ามาใกล้ๆก่อน ขว้างท่อนไม้ไปหมาย เด็ดชีวิต แต่ก็พลาดไปอย่างไม่เป็นท่า
    พญาเหี้ยโพธิสัตว์ กระโดดแผล็วหลบเข้าจอมปลวกได้ทันท่วงที ค่อยๆโผล่หัวออกมาดู มองฤาษีจอมปลอมด้วยสายตาเหยียดหยาม ตะโกนกล่าวกะฤาษีว่า
    " นี่ท่านฤาษี ! ข้าฯ เข้าใจว่าท่านเป็นสมณะจริงๆ จึงไว้ใจท่าน ไม่ระมัดระวังตัว วันนี้ท่านเอาไม้ขว้างเรา ท่านเป็นสมณะต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะบุคลิกของท่านไม่สงบ น่ากลัว ท่านควรจะเลิกนุ่งห่มหนังเสือ และเลิกเกล้าชฎาได้แล้ว เพราะนั่นเป็นของภายนอก ที่พรางตาชาวบ้าน ท่านเลิกหลอกลวงผู้อื่นได้แล้ว ฤาษีชั่ว ! "
    ฤาษีแกล้งกลบเกลื่อนว่า " เหี้ย ! ออกมาเิด่ อย่าโกรธเราเลย มามะ มากินอาหารนี่ ตะกี้นี้เราล้อท่านเล่น แกล้งทดลองใจดู มันอาจจะแรงไปหน่อย แต่เรามิได้เจตนา เราขอโทษนะ "
    พญาเหี้ยโพธิสัตว์ ด่าออกไปว่า
    " ฤาษีใจชั่ว ! ข้าฯ ไม่หลงกลท่านแน่ ข้าฯ จักมุดอยู่ในจอมปลวกนี้แหละ จักไม่ออกไปกินอาหารของท่านเป็นอันขาด ท่านมันเป็นคนหลอกลวง แหม ! ทำเป็นหลับตาเข้าฌาน ที่ไหนได้ จิตใจมีแต่ความโสมม "
    ฤาษีอย่างนี้ จะมีอยู่มากหรือไม่ในประเทศไทย ก็ยังสงสัยอยู่ คติธรรมจากนิทานเรื่องนี้คือ ความหลอกลวงใช้ไม่ได้นาน คนหลอกลวง แม้จะเก่งกาจขนาดไหน ก็อยู่ไม่ได้นาน สักวันหนึ่งความจริงย่อมปรากฏ
    พระโพธิสัตว์ ที่บังเกิดเป็นเหี้ย ก็มาเกิดเป็น พระศาสดา ฤาษีนั้น ก็ มาเกิดเป็น พระเทวฑัต ในที่สุด ..
    ( คัดลอกจาก หนังสือปรัชญาธรรม จากสวนโมกข์ เรียบเรียงโดย คุณไพโรจน์ อยู่มณเฑียร สำนักพิมพ์สร้อยทอง )
    http://www.guide33.com/forum/forum_posts.asp?TID=452
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <BIG>พระอานนท์ ก็เคยเกิดเป็นพญาเหี้ย </BIG>


    <CENTER><BIG>อรรถกถา จุลลปทุมชาดก</BIG> </CENTER><CENTER class=D>ว่าด้วย การลงโทษหญิงชายทำชู้กัน</CENTER>
    <!--อรรถกถา จุลลปทุมชาดกที่ ๓ -->พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อยเมว สา อหมฺปิ โส อนญฺโญ ดังนี้.
    เรื่องราวจักมีแจ้งใน อุมมาทันตีชาดก.
    ก็ในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า ได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรือ. กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า ก็ใครทำให้เธอกระสันเล่า. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นมาตุคามคนหนึ่ง ตกแต่งอย่างสวยงาม แล้วตกอยู่ในอำนาจกิเลส จึงกระสัน.
    พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่ามาตุคามมักอกตัญญู ประทุษร้ายมิตร มีดวงใจกระด้าง แม้โบราณกบัณฑิตให้ดื่มโลหิตที่เข่าขวาของตน บริจาคทานตลอดชีวิต ยังไม่ได้ดังใจของมาตุคาม แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
    ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงอุบัติในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระองค์. ในวันขนานพระนาม ได้รับพระราชทานนามว่า ปทุมราชกุมาร. พระปทุมราชกุมารได้มีพี่น้องอีกหกพระองค์ ทั้งเจ็ดพระองค์นั้นเจริญพระชนม์ขึ้นโดยลำดับ ครองฆราวาส ทรงประพฤติเยี่ยงพระราชา.
    อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาประทับทอดพระเนตรพระลานหลวง ทรงเห็นพระราชกุมารพี่น้องเหล่านั้น มีบริวารมากพากันมาปฏิบัติราชการ ทรงเกิดความระแวงว่า ราชกุมารเหล่านี้จะพึงฆ่าเราแล้วชิงเอาราชสมบัติ จึงตรัสเรียกพระราชกุมารเหล่านั้นมารับสั่งว่า ลูกๆ ทั้งหลาย พวกเจ้าจะอยู่ในพระนครนี้ไม่ได้ จงไปที่อื่น เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้ว จงกลับมารับราชสมบัติอันเป็นของประจำตระกูลเถิด.
    พระราชกุมารเหล่านั้นรับพระดำรัสของพระชนกแล้ว ต่างทรงกันแสง เสด็จไปยังตำหนักของ<WBR>ตนๆ ทรง<WBR>รำพึง<WBR>ว่า พวกเราจักพาพระชายาไปหาเลี้ยงชีพ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วเสด็จออกจากพระนคร ทรงดำเนินทางถึงที่กันดารแห่งหนึ่ง เมื่อไม่ได้ข้าวและน้ำ ไม่สามารถจะกลั้นความหิวโหยไว้ได้ จึงตกลงพระทัยปลงพระชนม์ของพระชายาของพระเจ้าน้อง ด้วยทรงดำริว่า เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ก็จักหาหญิงได้ แล้วแบ่งเนื้อออกเป็นสิบสามส่วนพากันเสวย. พระโพธิสัตว์เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ในส่วนที่ตนและพระชายาได้ ทั้งสองเสวยแต่ส่วนเดียว. พระราชกุมารทั้งหลายทรงปลงพระชนม์พระชายาทั้งหก แล้วเสวยเนื้อได้หกวันด้วยประการฉะนี้.
    ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงเหลือไว้วันละส่วนทุกๆ วัน เก็บไว้ได้หกส่วน. ในวันที่เจ็ด เมื่อพูดกันว่าจักปลงพระชนม์พระชายาของพระเจ้าพี่. พระโพธิสัตว์จึงประทานเนื้อหกส่วนเหล่านั้นแก่น้องๆ แล้วตรัสว่า วันนี้ พวกท่านจงเสวยหกส่วนเหล่านี้ก่อน พรุ่งนี้จักรู้กัน ในเวลาที่พระราชกุมารน้องๆ เหล่านั้นเสวยเนื้อแล้วหลับไป ก็ทรงพาพระชายาหนีไป. พระชายานั้นเสด็จไปได้หน่อยหนึ่งแล้วทูลว่า ข้าแต่พระภัสดา หม่อมฉันไม่อาจเดินต่อไปได้. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงทรงแบกพระชายา<WBR>ออกจากที่กันดารไป ในเวลารุ่งอรุณ. เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพระนาง ทูลว่า หม่อมฉันหิวเหลือเกิน. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า น้ำไม่มีเลยน้อง. เมื่อพระนางพร่ำวิงวอนบ่อยเข้า ด้วยความสิเนหาต่อพระนาง จึงเอาพระขรรค์เชือดพระชานุ (เข่า) เบื้องขวา แล้วตรัสว่า น้ำไม่มีดอกน้อง น้องจงนั่งลงดื่มโลหิตที่เข่าขวาของพี่. พระชายาได้กระทำตามพระประสงค์. ทั้งสองพระองค์เสด็จถึงแม่น้ำใหญ่โดยลำดับ ทรงดื่ม ทรงอาบ และเสวยผลาผล ทรงพักในที่สำราญ แล้วทรงสร้างอาศรมบทใกล้แม่น้ำแห่งหนึ่ง.
    อยู่มาวันหนึ่ง ด้านเหนือแม่น้ำ ราชบุรุษลงโทษโจรผู้ทำผิดพระราชอาญา ตัดมือ เท้า หู และจมูก ให้นอนในเรือโกลนลำหนึ่ง เสือกลอยไปในแม่น้ำใหญ่. โจรนั้นร้องเสียงครวญคราง ลอยมาถึงที่นั้น. พระโพธิสัตว์ทรงสดับเสียงร้องอันน่าสงสารของโจรนั้น ทรงดำริว่า เมื่อเรายังอยู่ สัตว์ผู้ได้รับความลำบากอย่าได้พินาศเลย จึงเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำ ช่วยให้เขาขึ้นจากเรือ แล้วนำมายังอาศรมบท ได้ทรงกระทำการเยียวยาแผลด้วยการชำระล้างและทาด้วยน้ำฝาด.
    ฝ่ายพระชายาของพระองค์ ครั้นทรงทราบว่า พระสามีทรงปรนนิบัติคนเลวทรามซึ่งลอยน้ำมาถึงปานนั้น ก็ทรงรังเกียจคนเลวทรามนั้น แสดงกิริยากระฟัดกระเฟียดอยู่ไปมา. ครั้นแผลของโจรนั้นหายสนิทแล้ว พระโพธิสัตว์จึงให้เขาอยู่ในอาศรมบทกับพระชายา ทรงแสวงหาผลาผลจากดงมาเลี้ยงดูโจรและพระชายา. เมื่อทั้งสองอยู่กันอย่างนี้ สตรีนั้นก็มีจิตปฏิพัทธ์ในบุรุษชั่วนั้น ประพฤติอนาจารร่วมกับเขา ต้องการจะฆ่าพระโพธิสัตว์ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง จึงกราบทูลอย่างนี้ว่า เมื่อหม่อมฉันนั่งบนบ่าของพระองค์ออกจากทางกันดาร มองเห็นภูเขาลูกหนึ่ง จึงบนบานว่า ข้าแต่เทพเจ้าผู้สิงสถิตบนยอดเขา หากข้าพเจ้ากับพระสวามีปลอดภัยได้ชีวิต ข้าพเจ้าจักทำพลีกรรมแก่ท่าน บัดนี้ เทวดานั้นทำให้หม่อมฉันหวาดสะดุ้ง หม่อมฉันจะทำพลีกรรมแก่เทวดานั้น.
    พระโพธิสัตว์ไม่ทรงทราบมายา ทรงรับสั่งว่าดีแล้ว ทรงเตรียมเครื่องเซ่น ให้พระชายาถือภาชนะเครื่องเซ่น ขึ้นสู่ยอดภูเขา. ครั้นแล้ว พระชายาจึงกราบทูลพระสวามีอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสวามี พระองค์ก็เป็นเทวดาของหม่อมฉัน ทั้งชื่อว่าเป็นเทวดาผู้สูงส่ง เบื้องแรกหม่อมฉันจักบูชาพระองค์ด้วยดอกไม้ในป่าก่อน และกระทำประทักษิณถวายบังคม จักทำพลีกรรมเทวดาในภายหลัง. พระนางให้พระโพธิสัตว์หันพระพักตร์เข้าหาเหว ทรงบูชาด้วยดอกไม้ในป่า ทำเป็นปรารถนา<WBR>จะทำประทักษิณถวายบังคม สถิตอยู่ข้างพระปฤษฎางค์แล้วทรงประหารที่พระปฤษฎางค์ ผลักไปในเหว ดีพระทัยว่า เราเห็นหลังข้าศึกแล้ว จึงเสด็จลงจากภูเขา ไปหาบุรุษเลว.
    ฝ่ายพระโพธิสัตว์ตกลงจากภูเขา กลิ้งลงไปตามเหว ติดอยู่ที่พุ่มไม้มีใบหนาไม่มีหนามแห่งหนึ่ง เหนือยอดต้นมะเดื่อ. แต่ไม่สามารถจะลงยังเชิงเขาได้ พระองค์จึงเสวยผลมะเดื่อ ประทับนั่งระหว่างกิ่ง. ขณะนั้น พญาเหี้ยตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ขึ้นจากเชิงเขาชั้นล่าง กินผลมะเดื่ออยู่ ณ ที่นั้น. มันเห็นพระโพธิสัตว์ในวันนั้นจึงหนีไป. รุ่งขึ้นมากินผลไม้ที่ข้างหนึ่งแล้วหนีไป. พญาเหี้ยมาอยู่บ่อยๆ อย่างนี้ ก็คุ้นเคยกับพระโพธิสัตว์ ถามพระโพธิสัตว์ว่า ท่านมาที่นี้ได้อย่างไร เมื่อพระโพธิ<WBR>สัตว์บอกให้รู้แล้ว จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านอย่ากลัวเลย ให้พระโพธิสัตว์นอนบนหลังของตน ไต่ลงออกจากป่า ให้สถิตอยู่ที่ทางใหญ่ แล้วส่งไปด้วยคำว่า ท่านจงไปตามทางนี้ แล้วก็เข้าป่าไป.
    พระโพธิสัตว์ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่ออาศัยอยู่ในบ้านนั้น ก็ได้ข่าวว่าพระชนกสวรรคตเสียแล้ว จึงเสด็จไปยังกรุงพาราณสี ทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติอันเป็นของประจำตระกูล ทรงพระนามว่า พระปทุมราชา ทรงครอบครองราชย์โดยธรรม มิให้ราชธรรมกำเริบ รับสั่งให้สร้างโรงทานหกแห่ง ที่ประตูพระนครทั้งสี่กลางพระนคร และประตูพระราชนิเวศน์ ทรงบริจาคทรัพย์บำเพ็ญมหาทานวันละหกแสน.
    หญิงชั่วแม้นั้น ก็ให้ชายชั่วนั่งขี่คอออกจากป่า เที่ยวขอทานในทางที่มีคนรวบรวมข้าวยาคูและภัตร เลี้ยงดูชายชั่วนั้น. เมื่อมีผู้ถามว่าคนนี้เป็นอะไรกับท่าน นางก็บอกว่า ฉันเป็นลูกสาวของลุงของชายผู้นี้ เขาเป็นลูกของอาฉัน พ่อแม่ได้ยกฉันให้ชายผู้นี้. ฉันต้องแบกสามีซึ่งต้องโทษเที่ยวขอทานเลี้ยงดูเขา. พวกมนุษย์ต่างพูดกันว่า หญิงนี้ปรนนิบัติสามีดีจริง. ตั้งแต่นั้นมาก็พากันให้ข้าวยาคูและภัตรมากยิ่งขึ้น. คนอีกพวกหนึ่งพูดกันว่า ท่านอย่าเที่ยวไปอย่างนั้นเลย พระเจ้าปทุมราชเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ทรงบริจาคทานเล่าลือกันไปทั่วชมพูทวีป. พระเจ้าปทุมราชทรงเห็นแล้ว จักทรงยินดีพระราชทานทรัพย์เป็นอันมาก เจ้าจงให้สามีของเจ้านั่งในนี้พาไปเถิด แล้วได้มอบกระเช้าหวายทำให้มั่นคงไปใบหนึ่ง. นางปราศจากยางอาย ให้ชายชั่วนั่งลงในกระเช้าหวาย แล้วแบกกระเช้าเข้าไปกรุงพาราณสี เที่ยวบริโภคอาหารอยู่ในโรงทาน.
    พระโพธิสัตว์ประทับเหนือคอคชสารที่ตกแต่งด้วยเครื่องอลังการ เสด็จถึงโรงทาน ทรงบริจาค<WBR>ทาน<WBR>ด้วยพระหัตถ์เอง แก่คนที่มาขอแปดคนบ้าง สิบคนบ้าง แล้วเสด็จกลับ. หญิงไม่มี<WBR>ยาง<WBR>อาย<WBR>นั้น ให้ชายชั่วนั่งในกระเช้าแล้วแบกกระเช้า ผ่านไปในทางเสด็จของพระราชา. พระราชาทอด<WBR>พระ<WBR>เนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสถามว่า นั่นอะไร. ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า ขอเดชะ หญิงปฏิบัติสามีคนหนึ่ง พระเจ้าข้า.
    ลำดับนั้น พระองค์รับสั่งให้เรียกนางมา ทรงจำได้ รับสั่งให้เอาชายชั่วออกจากกระเช้า แล้วตรัสถามว่า ชายนี้เป็นอะไรกับเจ้า. นางกราบทูลว่า เขาเป็นลูกของอาของหม่อมฉันเองเพคะ เป็นสามีที่พ่อแม่ยกหม่อมฉันให้เขาเพคะ. พวกมนุษย์ไม่รู้เรื่องราวนั้น ต่างพากันสรรเสริญหญิงผู้ไร้อายนั้น เป็นต้นว่า น่ารักจริง เธอเป็นหญิงปฏิบัติ<WBR>สามีดี. พระราชาตรัสถามต่อไปว่า ชายชั่วผู้นี้เป็นสามีตบแต่งของเจ้าหรือ. นางจำพระราชาไม่ได้ จึงกล้ากราบทูลว่า เป็นความจริงเพคะ.
    พระราชาจึงตรัสว่า ชายผู้นี้เป็นโอรสของพระเจ้ากรุงพาราณสีหรือ เจ้าเป็นธิดาของพระราชาองค์โน้น มีชื่ออย่างโน้น เป็นชายาของปทุมราชกุมาร ดื่มโลหิตที่เข่าของเราแล้วมีจิตปฏิพัทธ์ในชายชั่วผู้นี้ ผลักเราตกลงในเหว บัดนี้ เจ้าบากหน้ามาหาความตาย สำคัญว่า เราตายไปแล้ว จึงมาถึงที่นี่ ตรัสว่า เรายังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ ตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลาย แล้วรับสั่งว่า ท่านอำมาตย์ทั้งหลาย พวกท่านถามเรา เราได้บอกพวกท่านไว้อย่างนี้แล้วมิใช่หรือว่า น้องหกองค์ของเราได้ฆ่าสตรีหกคนบริโภคเนื้อ แต่เราได้ช่วยชายาของเราให้ปลอดภัย พาไปยังแม่น้ำคงคาอาศัย อยู่ในอาศรมบท ได้ช่วยชายเลวคนหนึ่งที่ต้องราชทัณฑ์มาเลี้ยงดู. หญิงคนนี้มีจิตปฏิพัทธ์ในชายชั่วนั้น ผลักเราตกลงไปในเหวภูเขา เรารอดชีวิตมาได้ เพราะตนมีจิตเมตตา หญิงที่ผลักเราตกจากเขามิใช่อื่น คือหญิงชั่วคนนี้เอง และชายชั่วที่ต้องราชอาญาก็มิใช่อื่น คือคนนี้นี่แหละ.
    แล้วได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-

    หญิงคนนี้แหละคือหญิงคนนั้น แม้เราก็คือบุรุษคนนั้นมิใช่คนอื่น ชายคนนี้แหละที่หญิงคนนี้อ้างว่าเป็นผัวของนางมาตั้งแต่เป็นกุมารี ก็คือชายที่ถูกตัดมือ หาใช่คนอื่นไม่ ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลายควรฆ่าให้หมดเลย ความสัตย์ไม่มีในหญิงทั้งหลาย.

    ท่านทั้งหลายจงฆ่าชายผู้ชั่วช้าลามกราวกับซากผี มักทำชู้กับภรรยาผู้อื่นคนนี้เสีย ด้วยสาก จงตัดหู ตัดจมูกของหญิงผู้ปรนนิบัติผัวชั่วช้าลามกคนนี้เสียทั้งเป็นๆ เถิด.

    ในบทเหล่านั้น บทว่า ยมาห โกมาริปติโก มมนฺติ ความว่า หญิงนี้กล่าวว่า ชายนี้เป็นผัวของนางมาตั้งแต่เป็นกุมารี คือเป็นผัวตบแต่ง ก็คือหญิงคนนี้แหละ แม้เราก็คือบุรุษคนนั้นมิใช่อื่น. บาลีว่า ยมาห โกมาริปติ ก็มี. เพราะท่านเขียนบทนี้ไว้ในคัมภีร์ทั้งหลาย. ความก็อย่างเดียวกัน. แต่ในบทนี้พึงทราบความคลาดเคลื่อนของคำ. ก็พระราชาตรัสคำใดไว้ คำนั้นแหละมาแล้วในที่นี้. บทว่า วชฺฌิตฺถิโย ความว่า ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลาย ควรฆ่าให้หมด.
    บทว่า นตฺถิ อิตฺถีสุ สจฺจํ ได้แก่ ชื่อว่าความสัตย์ในหญิงเหล่านี้ไม่มีสักอย่างเดียว. บทว่า อิมญฺจ ชมฺมํ เป็นต้น ท่านกล่าวด้วยการลงโทษชายเหล่านั้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ชมฺมํ คือ ลามก. บทว่า มุสเลน หนฺตฺวา ได้แก่ เอาสากทุบตีทำให้กระดูกหักเป็นชิ้นๆ. บทว่า ลุทฺทํ คือ หยาบช้า. บทว่า ฉวํ ได้แก่ คล้ายคนตาย เพราะไม่มีคุณธรรม. บทว่า นํ ในบทว่า อิมิสฺสา จ นํ นี้ เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ท่านทั้งหลายจงตัดหู และจมูกของหญิงนี้ผู้ปรนนิบัติผัวชั่ว ไม่มียาง<WBR>อาย เป็นคนทุศีล ทั้งๆ ยังเป็นอยู่.

    พระโพธิสัตว์ เมื่อไม่ทรงสามารถอดกลั้นความโกรธไว้ได้ แม้รับสั่งให้ลงอาญาแก่พวกเขาอย่างนี้ ก็มิได้ทรงให้กระทำอย่างนั้นได้ แต่ได้ทรงบรรเทาความโกรธให้เบาบางลง แล้วรับสั่งให้ผูกกระเช้านั้นจนแน่น โดยที่นางไม่อาจยกกระเช้าลงจากศีรษะได้ ขังชายชั่วนั้นไว้ในกระเช้า จนกระทั่งตาย.

    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก.
    เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันได้บรรลุโสดาปัตติผล
    พี่น้องทั้งหกในครั้งนั้น ได้เป็นพระเถระองค์ใดองค์หนึ่ง ในครั้งนี้.
    ภรรยาได้เป็น นางจิญจมาณวิกา
    ชายชั่วได้เป็น เทวทัต
    พญาเหี้ยได้เป็น อานนท์
    ส่วนปทุมราชา คือ เราตถาคต นี้แล.
    จบ อรรถกถาจุลลปทุมชาดกที่ ๓
    .. อรรถกถา จุลลปทุมชาดก ว่าด้วย การลงโทษหญิงชายทำชู้กัน จบ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2010
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าทำถูกครรลองคลองธรรม ตามกระบวนการยุติธรรม ก็สนับสนุน
    เพื่อให้เกิดความกระจ่าง และไม่คลุมเครือ เป็นการทำความจริงให้ปรากฏด้วยความยุติธรรม
    นอกนั้น เข้าข่ายทำลายสถาบันสงฆ์ ยิ่งเป็นวิถีคนพาล ด้วยแล้ว
    อยู่ห่างไว้ก็ดีกับตัวเองไม่ต้องไปร่วมก่อกรรมกับพวกคนพาล

    บางเรื่องการแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย ก็ถูกต้อง
    แต่การไปก่อกรรมทำร้ายคนที่ทำเรื่องไม่สมควรเหล่านั้น ด้วย กายวาจาใจ ที่เป็นอกุศลจิต
    มันก็ไม่เป็นผลดีกับตัวเอง ทำให้ตัวเองเสื่อมด้วย มันเป็นอีกขั้นหนึ่งของการยกระดับจิตขึ้นสู่ที่สูง
    แต่ถ้าชอบทำจิตเสื่อมอยู่แล้ว ก็ว่ากันไปตามถนัด ละกัน กรรมใครกรรมมัน ตัวใครตัวมัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2010
  7. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    เหี้ย นี่ เขาก็กินสัตว์ แบบหมาแมว เสือ หมี หมาป่า หมาด้วย ฯลฯ
    ทีนี้เขามากินไก่ กินอะไรแบบนี้ คนก็ไม่พอใจ ก็ด่าว่าขโมย ซึ่งสัตว์อื่นเขาก็มากิน แต่คนกลัวเสือ งู ฯลฯ อีกทั้งสัตว์พวกนั้นไม่ใกล้ตัว ส่วนพวกใกล้ตัว เช่นหมาแมว หรือแม้นแต่ลิง ก็ต่างถูกว่าเป็นขโมย แต่พวกนี้เขาใกล้ชิด ใช้งานได้ มีประโยชน์ แมวหมาตัวเอง ตัวเองก็รัก..

    ที่จริง เหี้ย ตัวเงินตัวทอง โคโดโม ไม่ใช่สัตว์ที่น่ารังเกียจหรือจะไปดูหมิ่นเขาได้อย่างตามใจชอบ

    ที่นี้ เหี้ย ที่เป็นคำกิริยาต่างหาก ที่เอามาใช้กับสัตว์ที่เราไม่พอใจ คนที่เราไม่พอใจ เพราะเราไปสร้างภาพลักษณ์คำแล้วทำอารมณ์ความรู้สึกให้เกิดขึ้น ว่าหยาบว่าขี้ขโมยว่าเป็นคนเลว.. ฯลฯ

    เราว่าถ้าผ่านสังสารวัฏกันมาอย่างยาวนานขนาดนี้ ไม่มีใครไม่เคยเกิดเป็นเหี้ยได้หรอก ขนาดเดรัจฉานเปรตอสูรกายสัตว์นรก ก็เป็นกันมาแล้วทั้งนั้น

    การพิจารณาถึงความจริง และดูเจตนาของคนที่กล่าวถึง นั่นสำคัญมากว่า
    พูดดีแต่เจตนาต่ำก็มี พูดโดยไม่มีเจตร้ายก็มี ฯลฯ

    เราว่าเราก็ต้องเคยเกิดเป็นเหี้ยมาก่อน โคตรเง้าเหล่ากอเราก็คงเว้นยาก


    :boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2010
  8. คัน

    คัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +67
    อย่าโกรธถ้าถูกด่าว่า "เหี้ย"ตรงนี้ไม่มีใครด่าใครว่าเหี้ยหรอกนะ แค่บอกว่าถ้าสมมุติ

    คำว่าเคยเกิดเป็นเหี้ยมาก่อน ไม่ได้แปลว่าชาติที่แล้วก่อนจะมาเกิดเป็นคนเป็นเหี้ยมาก่อนแล้วจึง กลับชาติมาเกิดเป็นคนในชาตินี้
    ปรกติคนไทยเราใช้คำว่า กลับชาติมาเกิดกับชาติที่ผ่านมาแค่ชาติที่แล้วเท่านั้น ไม่ได้ใช้กับการพูดถึงว่าเคยเกิดเป็นสัตว์นั้นมาแล้ว ก่อนที่จะมาเกิดเป็นเราในชาตินี้
    เพราะฉะนั้น การเจตนาใช้คำว่าเป็น...กลับชาติมาเกิดกับพระพุทธเจ้า จึงไม่ถูกต้อง ไม่สมควร ในความรู้สึกของคนส่วนใหญ่จึงเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า

    แต่สำหรับท่านผู้บรรลุธรรมขั้นสูงอย่างท่านที่เป็นเหี้ยกลับชาติมาเกิดนี้ คงไม่ถือว่าเป็นการปรามาสมั๊ง ก็หวังว่าท่านคงไม่มีความรู้สึกผิดอยู่ในใจแม้แต่น้อยนะ เพราะถ้ามีละก็คงเป็นกรรมชั่วที่ให้ผลไม่เบาเชียวหละ

    แล้วก็ถ้ามีปัญญา(ในพุทธศาสนา)จริง ทีหน้าทีหลังจะทำอะไรก็ช่วยคิดถึงประโยชน์-โทษ ที่ผู้อื่นแลตนเองจะได้รับจากการกระทำของท่านด้วย ถ้าทำแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรกับตนเองแลผู้อื่น ทำแล้วมีโทษมากกว่า ก็อย่าทำเลย
    แต่ถ้าอยากทำเพื่อแค่ให้คนอื่นเขารู้ว่าท่านรู้ ท่านไม่ยึด ท่านปล่อยวางแล้ว ก็เชิญตามกิเลสมันไปเถิด
     
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ผมว่านะ สัตว์ป่าก็มีคำหยาบคายใช้เหมือนกัน

    คำๆนี้แปลว่า พวกล้างผลาญโลก

    เวลาสัตว์มันคุยกันอยู่ หรือพูดถึงโคตรเง้าของสัตว์ที่สูญหาย สูญพันธ์ไป มันก็
    จะบัญญัติคำหยาบคายชนิด หากใครยกคำนี้มาด่ากันเป็นฝัดกันตายไปข้างหนึ่ง
    เพราะเป็นการเหยียดหยามไปนับแสนล้าวชั่วโคตรสัตว์ของมัน

    คำๆนั้นคือ

    ไอ้คน!!!
     
  10. เฌ

    เฌ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2009
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +415
    ผมเข้ามาอ่านกระทู้นี้เรื่อยๆ หากแต่มิได้คอมเม้นท์ใดๆ วันนี้ขอทักทายสักเล็กน้อยก่อนจากไป โดยสงบเช่นที่ผ่านมา

    ได้ความรู้กลับไปเยอะแยะ ทั้งในทางโลกและธรรม ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านนะครับ ...
     
  11. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    ขอบใจที่เตือนจ้า
    เหล่าฮูคงไม่มีความสามารถอธิบายความคิดให้เข้าใจได้ดีเท่าไหร่ เหล่าฮุไม่จิตเสื่อมหรอกจ้า แต่มีสัมปชัญญะพร้อมอยู่ ขาดแต่ปัญญาเท่าทันเท่านั้น ที่ไม่แน่ใจว่าถึงพร้อมดีแค่ไหน

    ที่พูดไปคือหลักการ ท่าทีที่ชาวพุทธควรเป็น ตามที่พระพุทธองค์ปรารภไว้ ก็เท่านั้นจ้า การอยู่เฉย หรือวางเฉย มันต้องเฉยแบบถูกต้อง มีหลักคิดเรื่อง ประกอบด้วยจ้า

    (การกล่าวแก้ปรัปวาท กับอปริหานิยธรรม เหล่าฮูก็ทำตามที่พระองค์ปรารภเท่านั้น ไม่มีอคติใดๆกับใครนา)

    เรื่องต่างๆ จึงคิดว่าไม่ควรเฉยแบบตัวใครตัวมัน (ถ้าใครตัวใครตัวมัน ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องปัจเจก) เหล่าฮูสนใจเรื่องแบบที่ว่า ก็ไม่ได้กระตือรือร้นมากมาย เพียงพูดบ่อยเพราะเห็นเฉื่อยแฉะจนน่าแปลกใจ

    ใครพูดก็ถูกลบ(รึว่าไม่แปลก) คิดว่าไม่น่าใช่ท่าทีที่ถูกนัก ดูอปริหานิยธรรมข้อ1

    พระรูปใดดีไม่ดีอย่างไร ไม่ได้เป็นที่สนใจมากเท่าพระรูปใดกระทำสัทธรรมปฎิรูป หรือกล่าวปรัปวาท มันเป็นข้อที่ชวนให้ศึกษาว่า ที่ถูกคืออะไร ที่ผิดคืออะไร สิ่งที่เห็นว่าผิด ก็ช่วยกันออกมาบอกกล่าว

    ที่ไม่รู้ก็เฉยดูท่า หาความรู้ใส่หัว (เดี๋ยวถูกต้มหากความโง่ยังไม่ทะลุ)

    ที่ถูกใส่ร้ายทำลายล้าง ก็พร้อมจะออกมาปกป้อง กันมอดปลวกมาบ่อนทำลาย ตามข้อ7


    ทีนี้ป้าขวัญคงเห็นแต่แง่ที่เหล่าฮูมุ่งพาดพิงท่านอยู่เนืองๆ
    ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ้า เหล่าฮูก็ได้เคยสรรเสริญความสามารถที่นำชาวพุทธหันมาสนใจหลักธรรมตามคัมภีร์ตรงๆ อันนี้ชื่นชมจริง
    แต่ส่วนที่เห็นว่าไม่ตรงนัก ก็ตามดูให้เท่าทัน
    ถามว่าไปมีส่วนได้ส่วนเสียประโยชน์ใดๆในเรื่องนี้ ก็ไม่มีหรอกจ้า แต่มีส่วนใน

    แง่ทำหน้าที่เฝ้าดูอย่างระวัง(ไม่ใช่จ้องจับผิดนา)

    และคุ้มครองปกป้องท่านหากเป็นการทำลายล้างด้วยเจตนาร้าย กรณีท่านถูกใส่ร้าย(แค่ไหนก็อีกเรื่อง)


    การออกมาติดตามข่าวสาร เหล่าฮูติดตามด้วยฐานะพุทธมามกะเท่านั้น ติดตามโดยพยายามใช้ฐานปัญญา เจือปนกิเลศให้น้อยๆที่สุด ถ้าใครชี้แจงกล่าวแก้มีเหตุผล ก็ฟังแหละจ้า ก็ไม่ได้เกลียดหรือชอบท่านน่ะ
    (ที่จริง ต้องนับว่าชอบท่านมากกว่าด้วยซ้ำนะ รู้จักท่านก่อนท่านจะบวชซะอีก )

    จึงดูตามที่เป็น ไม่ได้ไปจงเกลียดจงชังใคร หรือศรัทธาใครเป็นพิเศษน่ะ มีแต่ถูกหรือผิด ไม่มีแบบคาบลูกคาบดอก ถ้ามีกรณีสงสัยว่ายังไงแน่ ก็ยังไม่แสดงความเห็น

    (เราชอบแสดงความเห็น แต่ไม่ชอบศึกษา ว่าแมะ เวลามีโอกาสพูด พูดไม่หยุดหย่อน พอให้ไปศึกษาหาความรู้ กลับไม่ใส่ใจ)



    ก่อนนี้เห็นพระยันตระออกทีวีตอนตีห้า เหล่าฮูกราบทีวีเลยด้วยซ้ำนะ มาภายหลังท่านพลาด เพราะพ่ายแพ้กิเลสภัย นับว่าก็น่าเห็นใจ แต่บางรายเจตนาร้ายแน่นอน อันนี้ไม่เห็นใจ ใช้หลักอุเบกขาตอนนี้แหละ เขาติดคุกตลอดชีวิตก็สมควรแก่เขา ไม่ทั้งชิงชังหรือสงสาร มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของเขา

    (สัทธรรมปฎิรูปอื่นๆก็ยังคงดำเนินต่อไป(ในเถรวาทเรานี่แหละ) ด้วยท่าทีเฉยเมยของชาวพุทธส่วนใหญ่ พวกสร้างศรัทธา ก็นิยมเอานรกมาขู่กันเพื่อปิดทางไปสู่ปัญญา วิชชาพิลึกที่เกิดขึ้นมากมายก็ไม่ได้รับการแก้ไข คำสอนบิดเบือนมากมายก็ไม่มีผู้กล่าวแก้ เพราะมัวกลัวตกนรกกัน เลยไม่รู้ว่าทิฏฐิที่ประกอบจิตอยู่นั้น ก็ไม่ประกอบปัญญา แต่ไม่รู้ตัวตะหาก! (ว่าตัวเองอยู่รึป่าวก็ไม่รู้ อิอิ)
    อุปมาเหมือนไก่ในสุ่มที่เหยียบเท้ากันอยู่ในเข่ง ก็จิกตีกัน แต่พอออกมาจากเข่งไก่ ต่างก็พากันไปขึ้นเขียงกันทั้งนั้นแหละจ้า
    เหล่าฮูชอบอุปมานี้ จึงวางใจเฉยต่อผัสสะทั้งหลายได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่เฉยในกิจที่ควรทำ ในฐานกัลยาณมิตร ไม่ใช่พาลหรอกจ้า
    ใครมีปัญญา ย่อมเห็นบัณฑิตย์เป็นบัณฑิตย์อยู่ เห็นพาลเป็นพาล
    อันนี้แล้วแต่ความหยาบ-ประณีตเฉพาะตน)

    อันไหนล่วงล้ำก้ำเกินก็ขออภัยนะ
    อันไหนเห็นว่าวางใจไม่ถูก ก็ช่วยเตือนให้ด้วยนะ อย่าได้เหนื่อยหน่ายการชี้ให้เห็นเลย บอกแล้วเห็นต่างก็อย่าได้ถือสา เราก็หลั่ลล๊าของเราต่อ ช่วยกันเติมปัญญาให้กันและกัน ด้วยว่าพวกเราล้วนเป็นไก่ในเข่งที่รอการประหารทั้งนั้น

    โอ้หลั่ลล๊า!

    อ้อ! ขอขอบใจป้าขวัญ ที่ได้กล่าวคำแสดงความไว้อาลัยให้ด้วยจ้า เหล่าฮูซาบซึ้งใจที่ให้กำลังใจกันเมื่อคราวเคราะห์มาเยือนด้วยความจริงใจนะ
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อาเหล่าฮู ลองดูอันนี้สิ เรื่องของศาสนาอื่นเขาก็ดุเดือดเหมือนกันนะ
    มีทั้งใต้ดิน บนดิน ต้องใช้วิจารณญาณในการรับชม
    [​IMG]

    การพิพากษาต่อหญิงแพศยา
    วิวรณ์ 17:4 หญิงนั้นนุ่งห่มด้วยผ้าสีม่วงและสีแดง เข้ม และประดับด้วยเครื่องทองคำเพชรพลอยต่างๆและไข่มุกหญิงนั้นถือถ้วยทองคำที่เต็มด้วยสิ่งน่า สะอิดสะเอียนและของโสโครกแห่งการล่วงประเวณีของตน หญิง (เป็นผู้พยากรณ์เท็จและเป็นหญิงแพศยา) นี้ในพระคัมภีร์ได้บรรยายถึงนั้น สามารถ หมายความไปถึงองค์กรโดยรวมและนี้คือ องค์กรสามอย่างที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนที่พระคำภีร์ได้กล่าวถึงนั้น ประยุกต์ความหมายไปถึง..(ลักษณะต่างๆ) แต่อย่างไรก็ตาม บัดนี้พวกเราได้แบ่งปันหนึ่งในพวกเขาเหล่านั้น เมื่อเราได้ประยุกต์ความหมายที่ซับซ้อนมากขึ้นนั้นได้พูดถึงเกี่ยวกับองค์กร ในส่วนต่างๆ นั้นจะเหมาะสมกับเป็นคำจำกัดความของโบสถ์โรมันคาทอลิก และโบสถ์ต่างๆ ที่สืบทอดประเพณีเหล่านั้นของสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
    โบสถ์เหล่านี้ ได้ปรากฏให้เห็นเป็นเครื่องประดับเสื้อผ้า (ของผู้นำออกมา) โบสถ์คาทอลิกนี้เน้นเสื้อผ้าเครื่องประดับกายเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่ง และผู้นำได้สวมใส่เสื้อผ้าหลากหลายที่ได้เหมาะสมกับคำว่าหญิงแพศยา มากไปกว่านั้นด้วยกำแพงของโบสถ์คาทอลิกต่างๆ และโบสถ์ต่างๆเหล่านั้นได้มีคำสอนหลักการของมนุษย์ที่สอนพระคำภีร์ที่ คล้ายคลึงกัน ท่านจะพบรูปภาพของการตรึงบนกางเขนของพระเยซูคริสต์และรูปภาพตามกระจกเปรอะ เปื้อนและทั้งหมดเป็นแหล่งกำเนิดต่างๆ ของความน่าเกลียดชังของรูปเคารพในภาพเหล่านั้น

    [​IMG]

    การพิพากษาต่อหญิงแพศยา

    วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

    เกมส์ ไพ่อีลูมินาติ.......Your Future on the Card !!! 6/

    ไพ่ Bank of England หรือธนาคารกลางอังกฤษ ใบนี้เค้ากำลังบอกอะไรเราที่ค่อนข้างลึกครับ จะเฉลยเลยเดี๋ยวจะหาว่าดูถูกผู้อ่าน เอาอย่างนี้...ลองทายกันซิครับว่าผู้หญิงในภาพเป็นใคร ที่สามารถทำให้ธนาคารกลางอังกฤษกลายเป็นเพียงตู้ ATM ที่สามารถไปเบิกเงินมาใช้ได้อย่างง่ายดาย ( EZ Cash คือ Easy Cash ) หรือในความหมายก็คือ Bank of England หรือธนาคารกลางอังกฤษเป็น Financier หรือกระเป๋าสตางค์ให้เธอนั่นเอง


    [​IMG]อย่างที่บอกไพ่ใบนี้ลึกครับ เพราะเปิดเผยขึ้นไปถึง "ใคร" ที่อยู่เหนืออีลูมินาติขึ้นไปอีกชั้นนึง คงต้องบอกใบ้ให้นิดครับว่า "ผู้หญิง" คนนี้เป็นเพียง "สัญลักษณ์" แทนอีกองค์กรหนึ่งที่มักใส่ชุดสีแดงบ้างม่วงบ้างแล้วแต่งตัวประมาณเนี้ยยยย แล้วผู้หญิงคนนี้ในใบเิบิ้ลเรียกเธอว่า "WHORE" ครับ ใบ้ไปเยอะแล้วนะคร๊าบบบ ส่วนใครที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเธอคงต้องติดต่อไปที่ Steve Jackson คนที่สร้างเกมส์นี้ เพราะเค้าเป็นคนบอกครับ ผมเพียงแต่เข้าใจในสิ่งที่เค้าต้องการบอกเท่านั้นเอง 555


    [​IMG]เฉลยครับ....... คำเฉลยก็คือไพ่อีกใบที่อยู่ในเกมส์นั่นเอง คือไพ่ Vatican City ครับ แต่สงสัยว่าคำเฉลยจะทำให้ทุกท่านสงสัยกันมากขึ้นหรือเปล่า แล้วคงจะมีคำถามตามมาว่าทำไมใช่ไม๊ครับ เหมือนเดิมคือในไพ่ Vatican City เค้าก็บอกอะไรเรามากขึ้นอีก เป็นอีกหนึ่ง "ความลับสุดยอด" ของโลกที่ถูกซ่อนอยู่ครับ ถ้าท่านใดสงสัยคงต้องค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมครับ หาไม่ยากเลยครับ ค้นดู Time Line ความเชื่อมโยงว่าเกี่ยวพันกันตรงไหนและเมื่อไหร่ สิ่งนี้ผมอยากให้ทุกท่านค้นพบด้วยตัวเองครับ ถ้าเพียงอ่านจากที่ผมบอกเล่าอาจจะฟังได้ในระดับหนึ่งแต่อย่าเพิ่งเชื่อ ทั้งหมด เพราะถ้าต้องการการยืนยันต้องค้นครับ แล้วจะพบอย่างแน่นอน


    [​IMG]ครั้งนึง เค้าทำงานร่วมกันครับ คือฝ่ายแรกคือคริสตจักรแต่งตั้งอีกฝ่ายนึงคือ Knight Templar หรืออัศวินแห่งวิหารย์ ขึ้นมาในช่่วงปี คศ.1129 เพื่อให้ทำงานบางอย่างที่สำคัญคือการปกป้องคริสตจักรและพระชั้นผู้ใหญ่จาก การรุกรานและลอบสังหารโดยกลุ่ม Assasin ของมุสลิม จนกลุ่มอัศวินแห่งวิหารย์เข้มแข็ง เติบใหญ่ มั่งคั่งอย่างที่สุดและแผ่อิทธิพลไปทั่วยุโรป แต่เมื่อหัวหน้ากลุ่ม Knight Templar ถูกจับได้ว่าบูชาลัทธิซาตาน ประกอบพิธีนอกรีตด้วยการบูชายันต์ ไสยศาสตร์และมนต์ดำต่างๆ ( โดยคำกล่าวอ้างของคริสตจักรในขณะนั้น )

    [​IMG]
    ในที่สุดก็เกิดการแตกแยกกันอย่างรุนแรงจนถึงขั้นสั่ง กำจัดกลุ่ม Night Templar ทั้งหมด โดยการไล่ฆ่าไล่ล้างกันไปทั่วยุโรป อีกทั้งยังจับตัวผู้นำของฝ่าย Templar คือ Grand Master Jacques de Molay ในวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม คศ.1307 ( เป็นที่มาของตำนานอาถรรพ์ศุกร์ 13 ในปัจจุบัน ) ยึดทรัพย์สินทั้งหมด ทำการทรมานต่างๆ ในรูปแบบต่างเพื่อให้ยอมรับสารภาพและพิพากษาลงโทษให้เผาทั้งเป็นในปี คศ.1314 กำลังบางส่วนที่เหลือของฝ่ายที่ถูกกระทำจึงหนีแล้วหลบลงใต้ดินกระจายไปทั่ว ทั้งต้องหลบหนีการตามล่าจากฝ่ายคริสตจักรที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในยุโรป

    Knight Templar หรืออัศวินแห่งวิหารย์ส่วนที่เหลือที่แตกกระจายและซ่อนตัวจึงตั้งกลุ่มใหม่ ขึ้นมาอีกหลายกลุ่ม คือ Mason หรือ Free Mason, Illuminati, Rosicrusians, Knight of Malta และ Knight of ต่างๆ ตามถิ่นหรือประเทศที่กระจัดกระจายกันไป ทั้งเปลี่ยนชื่อ หลบลงใต้ดินและกลายเป็นสมาคมลับต่างๆไปในที่สุด พวกเค้าตั้งปณิธานว่าต้องกลับมาเอาคืนโดยมีเป้าหมายหลักก็คือ...ทำลายคริสตจักร!!!

    แต่นอกเหนือจากความคิดที่จะทำ ลายคริสตจักรแล้วการครอบงำน่าจะเป็นประโยชน์กว่าการทำลาย เพราะโดยโครงสร้างทางอำนาจและโดยตำแหน่งแล้ว "โป๊ป" เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณสูงสุด เปรียบเสมือนตัวแทนที่แต่งตั้งโดยพระเจ้าให้อยู่เหนือกษัตริย์ของประเทศ เกือบทั้งหมดในทวีปยุโรปที่ปกครองด้วยระบบกษัตริย์ ด้วยวิธีการเดิมคือแทรกซึม บ่อนทำลาย แล้วยึดครอง ลอบสังหารแล้วส่งคนของตัวเองเข้าไปนั่งในตำแหน่งสำคัญๆ ขยายผลเพื่อจะเดินหมากตัวต่อไป และที่สำคัญเรื่องนี้เกิดมาแล้วกว่า 700 ปีครับ


    ครั้น มีการเสียชีวิตของโป๊ปองค์หนึ่งอย่างกระทันหันที่ส่อพิรุธ จึงเป็นสาเหตุให้ "ดาวินชี" นักวิทยาศาสตร์และจิตรกรหนุ่มในสมัยนั้นได้รับหน้าที่เป็นผู้ผ่าชันสูตรร่าง ของโป๊ปองค์ดังกล่าว ดาวินชี่พบความผิดปรกติบางอย่างคือพบ "สารพิษ" ในพระศพ ซึ่งก็คือสาเหตุการตายที่"แ่้ท้จริง" ที่ไม่ใช่สาเหตุตามที่คริสตจักรกล่าวอ้างและเปิดเผยต่อสาธารณะชน แต่พูดไม่ได้ครับเพราะมีการแต่งตั้งโป๊ปองค์ใหม่ขึ้นมาครองตำแหน่งแล้วและมี ความพยายามปกปิดสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตของโป๊ปองค์ก่อน ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าเพราะการค้นพบนี้เอง ดาวินชี่จึงพยายามบอกอะไรบางอย่างแก่ชาวโลก โดยการซ่อนสัญลักษณ์และรหัสไว้ในภาพเขียนที่ีลือลั่นของเค้า และนี่ก็คือที่มาของ "The Davinci Code" ฉบับจริงนั่นเองครับ ที่เห็นในหนังน่ะโดนเค้าเปลี่ยนไปหมดแล้วล่ะครับ

    ............" The Gold War " by Jimmy Siri: ผลการค้นหาสำหรับ เกมส์

    <object width="640" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/pAEpYLnvw9k&amp;hl=en_US&amp;fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/pAEpYLnvw9k&amp;hl=en_US&amp;fs=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="640" height="385"></embed></object>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2010
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อาเหล่าฮู ก็ลองใช้วิจารณญาณ เอาเองละกัน
    สถาบันใดๆ ถ้าไม่ตั้งอยู่ในความชอบธรรม ไม่มีธรรม มันก็เป็นบาปกรรมทั้งนั้น
    แล้วใครที่ก่อกรรมกับศาสนาของตัวเอง บิดเบือน เป็นการทำที่ผิดไปจากเจตนา
    ของพระศาสดาของศาสนานั้น ก็เป็นบาปกรรมที่หนักสาหัสทั้งนั้น
    รวมถึงศาสนาพุทธของเราด้วย ถ้าทำตามเจตนารมย์ของพระพุทธองค์แล้ว
    ไม่บิดเบือนไปตามความคิดของตัวเอง ก็เป็นผลดี แต่ถ้าทำตรงกันข้าม
    มีวาระซ่อนเร้น ทำเพื่อโลกธรรม8 ทำเพื่อสนองอัตตาตัวตนของตัวเอง
    บิดเบือนพาคนหลงผิดออกนอกทางพระนิพพาน ก็บาปหนักไม่แพ้กัน
    จะทำอะไร ก็ต้องสังวรณ์ตัวเองไว้ให้เยอะๆ อย่าไปบิดเบือนคำสอนของ
    ศาสดาใดๆ อย่างน้อยก็ต้องรู้ตัวเองว่ามีเจตนาทำไปเพื่ออะไร

    อย่างที่อาเหล่ายาย เอาคำสอนหลายๆมุม หลายๆมุม มาดูมาศึกษา
    ก็เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่มีบนโลกนี้ ใช้ความคิดพิจารณาไปตามสติปัญญาของเรา
    ไม่ได้เชื่อทั้งหมดหรือไม่เชื่อทั้งหมด เราเอาศึกษาความคิดความเห็นของคนอื่นในมุมมอง
    ต่างๆ ของคนหลายๆคน บางทีข้อมูลก็สอดคล้องกัน บางทีข้อมูลก็ขัดแย้งกันเอง
    เอาแปะไว้ ก็เพื่อจะได้พิจารณาดูหลายๆรอบ ถ้าไม่เอามารวมๆไว้ในกระทู้เดียวมันก็
    ลำบากในการค้นหา ไม่ได้ตั้งใจจะเผยแพร่เรื่องของศาสนาอืื่นหรอก บางเรื่องก็สนุก
    บางเรื่องก็ล่อแหลม เพราะมันเป็นความเชื่อ คนที่คลั่งความเชื่อก็น่ากลัว เขาอาจเห็นเรา
    เป็นศัตรูกับความเชื่อของเขาก็ได้ แต่ด้วยความอยากศึกษา และไม่ได้มีเจตนาร้ายกับใคร
    ก็หวังว่าจะไม่เกิดโชคร้ายกับเรานะ (อิอิ)
     
  14. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    เหล่าฮูอ่านสำนวนของเขาแล้ว เข้าใจช้าน่ะ (อ่านยากรึหัวเฉื่อยลงก็ไม่รู้)
    แต่พอจับเค้าได้เลาๆ เพราะก่อนนี้เคยอ่านดาวินชี่โค๊ดน่ะ มันซ่อนเงื่อนปมมาก
    คริสเตียนเองก็ถูกฆ่าในฝรั่งเศสกันมโหฬาร แต่มีชัยชนะในเยอรมัน

    จริงๆแล้ว เรื่องที่ป้านำมาให้ดูนี่ เกี่ยวข้องถึงมนุษยชาติทั้งหมด จะว่าให้ปล่อยเลยไปนี้ ก็จะเข้าข่ายเฉื่อยแฉะ เรื่องใกล้ตัวระดับชาติเลยล่ะ
    (แต่จำได้ว่า ภาพยักษ์ภาพแรกที่ขุดพบโครงกระดูกน่ะ เคยมีการเผยออกมาว่า เป็นภาพโฟโต้ช๊อปที่เค้าประกวดแต่งภาพกัน เพราะเคยตกใจกับภาพนั้นน่ะ แต่ภาพอื่นถัดๆมานี่ไม่รู้ไม่เห็นมาก่อนจ้า เดี๋ยวว่าจะย้อนไปดูแต่แปะแรกเลยล่ะ พอดีก่อนนี้ไม่สะดวกเพราะตาเสื่อมน่ะ)

    ยังไงก็ขอให้ศาสนาเราปลอดภัยทุกประการ อย่าได้มีใครอุตริใช้ความรุนแรงประหัตประหารกันเหมือนศาสนาอื่นเลย

    ก่อนนี้ นาลันทามหาวิหาร(หกวัดใหญ่ล้อมเป็นวัดเดียวน่ะ พระถังซำจั๋งก็เคยเป็นคณะบดีที่นี่นะ และที่นาลันทานี้เป็นส่วนของนิกายมหายานน่ะ ไม่ใช่เถรวาทเรา) ก็ถูกเผา นัยว่านานร่วมเดือน ฆ่าพระภิกษุเกลี้ยง บางส่วนหนีไปได้ ก็นำคัมภีร์หลบหนีไปทางพม่าบ้าง(คัมภีร์และข้อปฎิบัติจากพม่า จึงมีนัยยสำคัญในแง่มุมประวัติศาสตร์และแง่หลักปฎิบัตินะ) จีนบ้าง ศาสนาเราถูกทำร้ายด้วยประการทั้งปวง จึงเป็นเรื่องล่อแหลมที่ต้องระมัดระวัง ยิ่งภัยภายในกันเองนี่ น่ากลัวที่สุด เราจะพินาศเหมือนกษัตริย์ลิจฉวีหรือไม่ ก็ต้องรักษาอปริหานิยธรรมนี่แหละ(อาวอีกแย๊ว)

    ทางหนึ่ง สักสองสามร้อยปีที่ผ่านมา เราเสื่อมอย่างที่สุด คือนิกานตันตระ เดิมทีก็ของฮินดูเขา แต่ถูกกลืนกินคล้ายวาติกันเคาน์ซิล แผนDialoqueนี่แหละ เลยกลายเป็นพุทธนิกายตันตระที่สุดโต่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2010
  15. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    เหล่าฮูขอน้อมรับคำแนะนำไว้ด้วยใจ เพื่อให้สังวรณ์ระมัดระวังคำพูดล่อแหลมที่สุ่มเสี่ยงอยู่เนืองๆ ทั้งนี้ ก็พยายามจับหลักคิดที่วิถีพุทธสอนเอาไว้
    ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้คิดเองหรอก มักมาจากการฟังธรรมน่ะ

    (คิดเองไม่เก่งน่ะ ผิดได้ทุกวี่ทุกวัน ไม่เชื่อลองเข้าตลาดหุ้นเส่ จะพบสัจจธรรม ตอนเด็กเชื่อพ่อแม่
    โตหน่อยเชื่อครู
    วัยรุ่นเชื่อเพื่อน
    พอทำงานไม่เชื่อใครทั้งนั้น เชื่อตัวเอง
    พอเจ๊งบ๊ง ทีนี้ล่ะ แม้แต่ตัวเองก็ยังเชื่อมะค่อยด้าาาย.........อ่ะ)
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พูดถึงชาวพุทธเรานะ แค่มีสติรักษาศีล5 รู้จักให้ รู้จักรับ รู้จักอภัย
    ประกอบสัมมาอาชีพ ไม่เบียดเบียนใคร ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม
    ทำได้เท่านี้ ก็ถือว่าประเสริฐแล้ว ไม่หลงไปไหน แน่นอน
    ถ้าทำเบื้องต้นได้ เรื่องธรรมะที่ลึกซึ้งทั้ง 84000 พระธรรมขันธ์
    ก็คงจะเข้าใจได้ตรงตามจริงได้เอง
    บางอย่างถ้าเราขาดสติขาดปัญญา การรู้มากก็จะทำให้หลงมากก็ได้
    การรู้พอดี ปฏิบัติตามสติปัญญาตน ไปตามขั้นตอน ศีล สมาธิ ปัญญา
    ก็น่าจะไม่หลงทางไปไหน นะ
     
  17. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    ถึงจะรูปะนะ

    เพื่อนหลายคนกรุณาชี้แจง ทั้งยกพระสูตร ทั้งอ้างอิงข้อความ ทั้งแสดงให้เห็นว่าเป็นชาดกที่พระพุทธองค์ก็ได้ทรงตรัสเล่าไว้เอง
    เหล่าฮูจำได้ว่าเคยบอกให้ฟัง ว่าสหายของเหล่าฮูไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่จะรูปะนะเข้าใจ แต่จะรูปะนะก็ไม่เข้าใจ


    อย่าได้บุชาพระพุทธเจ้าด้วยเพลิงโทสะที่แผดเผาใจอย่างนั้นเลย ทุรนทุรายออกนอกหน้า
    ขอให้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยธรรม คือธรรมบูชา หรือปฎิบัติบูชา



    สหายเหล่าฮูชี้ทางให้ดูด้วยวิธีสะกิดแรงๆเท่านั้น เขาไม่ได้คิดจาบจ้วงล่วงเกินตามการปรุงแต่งของผู้อ่านหรอก

    ยาทิสํ วปเต พีชํ
    ตาทิสํ ลภเต ผลํ
    กัลยาณี จ กัลยาณํ
    ปาปการี จ ปาปกํ

    บุคคลหว่านพืชเช่นใดย่อมได้ผลเช่นนั้น
    ทำดี ก็ดี ทำชั่ว ชั่ว

    ถ้าเชื่อในพุทธภาษิตนี้แล้ว ก็คงพอสงบใจได้กระมัง
    เมื่อรู้แจ้งกระจ่างแก่ใจในภายหลังว่าไม่ใช่อย่างที่เข้าใจ
    ที่ทุรนทุรายไปก็เปล่าประโยชน์
    ผลของการเผาใจด้วยเพลิงโทสะเนืองๆ ก็ย่อมเสมือนอยู่ในอบายภูมิ อานิสงส์นี้ก็ย่อมเผื่อแผ่ไปสู่คนรอบตัวไปอย่างไม่ต้องสงสัย คนที่จะมาสืบสายเลือดต่อ ก็น่าจะอุดมไปด้วยอนุสัยกิเลสที่ประกอบด้วยเพลิงโทสะ เพราะสัปปายะแก่เขา



    ถ้าเหล่าฮูทำได้แบบเขา จะสะกิดด้วยไม้เรียวน่ะ เหมือนครูตีเด็ก พอจำได้แล้วมันจะเป็นสมบัติติดตัวเขาไป

    ถ้าเท่าทัน จะรู้ว่าเขาเป็นยอดกัลยาณมิตรคนหนึ่ง เสียดายที่มัวแต่ไปติดเบ็ดกันแยะ แต่สะบัดไม่หลุด มัวแต่เป็นปลาหวงเบ็ดอยู่ จนป่านนี้แล้ว!
    (เรื่องนี้นึกถึงอาเตช สหายสูงปรี๊ดปากไว บทจะปล่อย เฮียแกปล่อยดื้อๆ ไม่เห็นเอาตัวตะกวดมาเจริญสติเนืองๆอะไร ผ่านแล้วก็แล้วไป เรื่องนี้เค้าเคยแสดงด้วยคำพูดไว้ จำได้ และนึกชมเชยอยู่ในใจ ถึงแม้อาเตชอาจไม่เห็นด้วยกะมุมมองเหล่าฮูบางเรื่อง เค้าก็เท่าทันพอที่จะไม่เอามาเป็นอารมณ์)


    รู้จักพระวักกลิกระมัง !

    ครั้งหนึ่ง ท่านบวชในพุทธศาสนาเพราะนิยมชมชอบในรูปกายของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็ทรงทราบ แต่ก็เฝ้ารอดู
    จนเมื่ออินทรีย์ของพระวักกลิถึงพร้อม จึงได้ตรัสกับพระวักกลิ ด้วยคำที่อาจดูรุนแรง(อัปเปหิ วักกลิ)

    ท่านว่าอย่ามัวเสียเวลาไปกับการชื่มชมรูปกายท่านอยู่เลย แม้จะเกาะจีวรของพระองค์อยู่ตลอด ก็คงไม่ช่วยให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา

    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา

    และนี่ จึงเป็นที่มาของพุทธพจน์สำคัญบทนี้

    เป็นการไม่หยุดอยู่ที่ศรัทธาเท่านั้น แต่พระองค์ตรัสเพื่อเตือนสติพระวักกลิ เพื่อให้ได้ต่อยอด เข้าถึงปัญญา ไม่ใช่หยุดอยู่แค่ที่ศรัทธา
    (สนใจก็ตามลิ๊งค์อ่านนะ เหล่าฮูพูดตามความจำ อาจคลาดเคลื่อนในรายละเอียด)

    (แต่จะเห็นกันอยู่ว่า เรามักถูกสอนและเกิดเลื่อมใสศรัทธา แต่แล้วก็กลับถูกตัดตอน เข้าไม่ถึงปัญญา ด้วยคำขู่ต่างๆนาๆ อย่าสงสัยในคำสอนมาก วิจารณ์มาก จะตกนรก เช่นในศาสนาอื่นๆกระทำกัน ก็เลยหยุดกันอยู่ที่ศรัทธากันเสียมาก ไปไม่ถึงปัญญา ก็ดูอุทธาหรณ์ในพระสูตรสำคัญนี้)

    หวังว่าจะรูปะนะจะเข้าใจและเจริญในธรรมยิ่งๆนะ
    บูชาพระพุทธเจ้าแต่วันนี้ด้วยอภัยทานซะเลยนะ โอกาสมาถึงแล้ว!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2010
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

    ใครคือ "หญิงแพศยา" ที่ถูกกล่าวถึงในไบเบิ้ล???


    คุณ Banksia ลองดูใน Rev 17 คือนครใหญ่ที่แตกต่างแต่อยู่เบื้องหลังบาบิโลนที่ถามถึง ลองดูจากลักษณะต่างๆ ที่ผมไฮไลท์ไว้ให้นะครับ

    วิวรณ์ / Revelation 17 การพิพากษาลงโทษแม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย

    17:1 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในเจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบนั้น มาหาข้าพเจ้าและพูดว่า "เชิญมาที่นี่เถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูการพิพากษาลงโทษหญิงแพศยาคนสำคัญที่นั่งอยู่บนน้ำมากหลาย(ประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะหรือทวีปที่เต็มไปด้วยน้ำ)

    17:2 คือหญิงที่บรรดากษัตริย์ทั่วแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีด้วย และคนทั้งหลายที่อยู่ในแผ่นดินโลกก็ได้มัวเมาด้วยเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของเธอ"

    17:3 ทูตสวรรค์องค์นั้นได้นำข้าพเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดารโดยพระวิญญาณ และข้าพเจ้าได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้มตัวหนึ่ง (สัตว์ร้ายก็คือกลุ่มองค์กรลับต่างๆ โดยเฉพาะเยซูอิต และผู้หญิงคนนี้บัญชาการอยู่เบื้องหลัง ซึ่งสีแดงคือสีของเลือดและการปฏิวัติเช่นในรัสเซียและจีน) ซึ่งมีชื่อหลายชื่อเป็นคำหมิ่นประมาทเต็มไปทั้งตัว มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา(เจ็ดหัวคือผู้นำเจ็ดคน สิบเขาคือสิบประเทศในเครือข่าย)

    17:4 หญิงนั้นนุ่งห่มด้วยผ้าสีม่วงและสีแดงเข้ม และประดับด้วยเครื่องทองคำ เพชรพลอยต่างๆและไข่มุก (คลิก!!!) หญิงนั้นถือถ้วยทองคำที่เต็มด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและของโสโครกแห่งการล่วงประเวณีของตน

    17:5 และที่หน้าผากของหญิงนั้นเขียนชื่อไว้ว่า "ความลึกลับ บาบิโลนมหานคร แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย และแม่แห่งสิ่งทั้งปวงที่น่าสะอิดสะเอียนแห่งแผ่นดินโลก" ( ข้อนี้บอกเป็นนัยและแสดงให้เห็นว่าหญิงคนนี้มีความเชือมโยงกับบาบิโลนอย่างลึกซึ้ง สำหรับไบเบิ้ลแล้วหน้าผากเป็นสัญลักษณ์หมายถึงความคิดหรือสิ่งที่อยู่ในส่วนของสมอง และมือคือสัญลักษณ์หมายถึงการกระทำ ลองใช้ความหมายของสัญลักษณ์นี้ตีความวิวรณ์หรือ Revelation ในส่วนอื่นๆ ครับ )

    17:6 และข้าพเจ้าเห็นหญิงนั้นเมามายด้วยโลหิตของพวกวิสุทธิชน (หญิงคนนี้สังหารหมู่ ผู้คนไปมากมายทุกชาติ ศาสนา โดยเฉพาะยิวและคริสเตียน) และโลหิตของคนทั้งหลายที่พลีชีพเพื่อเป็นพยานของพระเยซู (สังหารผู้เชื่อไปอย่างมากมายยุคหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูจนถึงประมาณ 300 A.D.) เมื่อข้าพเจ้าเห็นหญิงนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็อัศจรรย์ใจยิ่งนัก

    17:7 ทูตสวรรค์องค์นั้นจึงถามข้าพเจ้าว่า "เหตุไฉนท่านจึงอัศจรรย์ใจ ข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านรู้ถึงความลึกลับของหญิงนั้น และของสัตว์ร้ายที่มีเจ็ดหัวและสิบเขาที่เป็นพาหนะของหญิงนั้น
    กษัตริย์ทั้งหลายเป็นพันธมิตรกับปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์

    17:8 สัตว์ร้ายที่ท่านได้เห็นนั้นเป็นอยู่ในกาลก่อน แต่บัดนี้มิได้เป็น และมันจะขึ้นมาจากเหวที่ไม่มีก้นเหวเพื่อไปสู่ความพินาศแล้ว และคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก ซึ่งไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตตั้งแต่แรกทรงสร้างโลกนั้น ก็จะอัศจรรย์ใจ เมื่อเขาเห็นสัตว์ร้าย ซึ่งได้เป็นอยู่ในกาลก่อน แต่บัดนี้มิได้เป็น และกำลังจะเป็น (หมายถึงการกลับมาเปิดและเปิดตัวของหลายๆ องค์กรใต้ดินที่ไม่เป็นความลับอีกต่อไป)

    17:9 นี่ต้องใช้สติปัญญา หัวทั้งเจ็ดนั้นคือภูเขาเจ็ดยอดที่หญิงนั้นนั่งอยู่ (หมายถึงผู้นำเจ็ดคนซึ่งปัจจุบันนับเป็นคนที่ 6 ที่กำลังโดนข้อหาเกี่ยวพันกับการ "ตุ๋ย" เด็กชายภายในองค์กรของตัวเอง)

    17:10 และมีกษัตริย์เจ็ดองค์ ซึ่งห้าองค์ได้ล่วงไปแล้ว องค์หนึ่งกำลังเป็นอยู่ และอีกองค์หนึ่งนั้นยังไม่ได้เป็นขึ้น และเมื่อเป็นขึ้นมาแล้ว จะต้องดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

    17:11 สัตว์ร้ายที่เป็นแล้วเมื่อก่อน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นนั้นก็เป็นที่แปด แต่ก็ยังเป็นองค์หนึ่งในเจ็ดองค์นั้น และจะไปสู่ความพินาศ (ทั้งข้อ 17:10-11 จะเกี่ยวพันกับโครงการบลูบีม ใช้เป็นตัวเปิดตัว ผู้นำคนที่ 8 )

    17:12 เขาทั้งสิบเขาที่ท่านได้เห็นนั้นคือกษัตริย์สิบองค์ที่ยังไม่ได้เสวยราชสมบัติ แต่จะรับอำนาจอย่างกษัตริย์ด้วยกันกับสัตว์ร้ายนั้นหนึ่งชั่วโมง

    17:13 กษัตริย์ทั้งหลายนั้นมีน้ำพระทัยอย่างเดียวกัน และทรงมอบฤทธิ์และอำนาจของตนไว้แก่สัตว์ร้ายนั้น ( ผู้นำของ 10 ประเทศจะมอบอำนาจสิทธิ์ขาดให้กับผู้นำคนที่ 8 ในเบื้องต้นในการกระทำการบางอย่าง ผ่านทางการประชุมในระดับโลก เช่น G20 )

    17:14 กษัตริย์เหล่านี้จะกระทำสงครามกับพระเมษโปดก และพระเมษโปดกจะทรงชนะพวกเขา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และทรงเป็นพระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และผู้ที่อยู่กับพระองค์นั้นเป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียก และทรงเลือกไว้ และเป็นผู้ที่สัตย์ซื่อ"

    17:15 และทูตสวรรค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า "น้ำมากหลายที่ท่านได้เห็นหญิงแพศยานั่งอยู่นั้น ก็คือชนชาติ มวลชน ประชาชาติ และภาษาต่างๆ

    17:16 เขาสิบเขาที่ท่านได้เห็นอยู่บนสัตว์ร้าย จะพากันเกลียดชังหญิงแพศยานั้น จะกระทำให้นางโดดเดี่ยวอ้างว้างและเปลือยกาย และจะกินเนื้อของหญิงนั้น และเผานางเสียด้วยไฟ

    17:17 เพราะว่าพระเจ้าทรงดลใจเขาให้กระทำตามพระทัยของพระองค์ โดยการทรงทำให้พวกเขามีความคิดอย่างเดียวกัน และมอบอาณาจักรของเขาให้แก่สัตว์ร้ายนั้น จนถึงจะสำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้า

    17:18 และผู้หญิงที่ท่านเห็นนั้นก็คือนครใหญ่ ที่มีอำนาจเหนือกษัตริย์ทั้งหลายทั่วแผ่นดินโลก"

    ............" The Gold War " by Jimmy Siri: ผลการค้นหาสำหรับ วิวรณ์
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

    ใครคือบาบิโลนที่ถูกกล่าวถึงในไบเบิ้ล??? ( Mystery Babylon )


    จากคำถามของคุณ Banksia ลองดูลักษณะหรือ Character ที่ผมไฮไลท์ไว้ให้ก็คงพอจะทายได้แล้วนะครับ

    วิวรณ์ / Revelation 18 นครบาบิโลนล่มจม

    18:1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ข้าพเจ้าก็ได้เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านมีอำนาจใหญ่ยิ่ง และรัศมีของท่านได้ทำให้แผ่นดินโลกสว่างไป

    18:2 ท่านได้ร้องประกาศด้วยเสียงกึกก้องว่า "บาบิโลนมหานครล่มจมแล้ว ล่มจมแล้ว กลายเป็นที่อาศัยของผีปีศาจ เป็นที่คุมขังของผีโสโครกทุกอย่าง และเป็นกรงของนกทุกอย่างที่ไม่สะอาดและน่าเกลียด

    18:3 เพราะว่าประชาชาติทั้งปวงได้ดื่มเหล้าองุ่นแห่งความเดือดดาลในการล่วงประเวณีของนครนั้น และบรรดากษัตริย์บนแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น และพ่อค้าทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลกก็ได้มั่งมีขึ้นด้วยทรัพย์ฟุ่มเฟือยของนครนั้น"

    18:4 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งประกาศมาจากสวรรค์ว่า "ชนชาติของเรา จงออกมาจากนครนั้นเถิด เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่มีส่วนในการบาปของนครนั้น และเพื่อท่านจะไม่ต้องรับภัยพิบัติที่จะเกิดแก่นครนั้น

    18:5 เพราะว่าบาปของนครนั้นกองสูงขึ้นถึงสวรรค์แล้ว และพระเจ้าได้ทรงจำความชั่วช้าแห่งนครนั้นได้

    18:6 นครนั้นได้ให้ผลอย่างไร ก็จงให้ผลแก่นครนั้นอย่างนั้น และจงตอบแทนการกระทำของนครนั้นเป็นสองเท่า ในถ้วยที่นครนั้นได้ผสมไว้ก็จงผสมลงเป็นสองเท่าให้นครนั้น

    18:7 นครนั้นได้เย่อหยิ่งจองหองและมีชีวิตอย่างหรูหรามากเท่าใด ก็จงให้นครนั้นได้รับการทรมานและความระทมทุกข์มากเท่านั้น เพราะว่านครนั้นทะนงใจว่า `เราดำรงอยู่ในตำแหน่งราชินี ไม่ใช่หญิงม่าย เราจะไม่ประสบความระทมทุกข์เลย'

    18:8 เหตุฉะนั้น ภัยพิบัติต่างๆของนครนั้นจะเกิดขึ้นในวันเดียว ความตาย และความระทมทุกข์ การกันดารอาหาร และไฟจะเผานครนั้นให้พินาศหมดสิ้น เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า ผู้ทรงพิพากษานครนั้น ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่"

    กษัตริย์และพ่อค้าแห่งแผ่นดินโลกคร่ำครวญต่อบาบิโลน
    18:9 บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกที่ได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น และได้มีชีวิตอย่างหรูหราร่วมกันนั้น เมื่อได้เห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้น ก็จะพิลาปร่ำไห้คร่ำครวญเพราะนครนั้น

    18:10 พวกกษัตริย์จะยืนอยู่แต่ห่างๆเพราะกลัวภัยแห่งการทรมานของนครนั้น และจะกล่าวว่า "อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย บาบิโลนมหานครที่ยิ่งใหญ่ นครที่แข็งแรง เพราะเจ้าได้รับการพิพากษาโทษให้พินาศไปภายในชั่วโมงเดียวเท่านั้น"

    18:11 บรรดาพ่อค้าในแผ่นดินโลกจะร่ำไห้คร่ำครวญเพราะนครนั้น เพราะว่าไม่มีใครซื้อสินค้าของเขาอีกต่อไปแล้ว

    18:12 สินค้าเหล่านั้นคือ ทองคำ เงิน เพชรพลอยต่างๆ ไข่มุก ผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วง ผ้าไหม ผ้าสีแดงเข้ม ไม้หอมทุกชนิด บรรดาภาชนะที่ทำด้วยงา บรรดาภาชนะไม้ที่มีราคามาก ภาชนะทองเหลือง ภาชนะเหล็ก ภาชนะหินอ่อน

    18:13 อบเชย เครื่องเทศ เครื่องหอม กำยาน เหล้าองุ่น น้ำมัน ยอดแป้ง ข้าวสาลี สัตว์ต่างๆ แกะ ม้า รถรบ และทาส และชีวิตมนุษย์

    18:14 และผลซึ่งจิตของเจ้ากระหายใคร่ได้นั้นก็ล่วงพ้นไปจากเจ้าแล้ว สิ่งสารพัดอันวิเศษยิ่งและหรูหราก็พินาศไปจากเจ้าแล้ว และเจ้าจะไม่ได้พบมันอีกเลย

    18:15 บรรดาพ่อค้าที่ได้ขายสิ่งของเหล่านั้น จนเป็นคนมั่งมีเพราะนครนั้น จะยืนอยู่แต่ไกลเพราะกลัวภัยจากการทรมานของนครนั้น พวกเขาจะร้องไห้คร่ำครวญด้วยเสียงดัง

    18:16 ว่า "อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย มหานครนั้น ที่ได้นุ่งห่มผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วง และผ้าสีแดงเข้ม ที่ได้ประดับด้วยทองคำ เพชรพลอยต่างๆและไข่มุกนั้น

    18:17 เพียงในชั่วโมงเดียว ทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่นั้นก็พินาศสูญไปสิ้น" และนายเรือทุกคน คนที่โดยสารเรือ พวกลูกเรือ และคนทั้งหลายที่มีอาชีพทางทะเล ก็ได้ยืนอยู่แต่ห่างๆ

    18:18 และเมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้นก็ร้องว่า "นครใดเล่าจะเป็นเหมือนมหานครนี้"

    18:19 และเขาทั้งหลายก็โปรยผงคลีลงบนศีรษะของตน พลางร้องไห้คร่ำครวญว่า "อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย มหานครนั้น อันเป็นที่ซึ่งคนทั้งปวงที่มีเรือกำปั่นเดินทะเลได้กลายเป็นคนมั่งมีด้วยเหตุจากสิ่งของมีค่าของนครนั้น เพราะภายในชั่วโมงเดียวนครนั้นก็เป็นที่รกร้างไป"

    การชื่นชมยินดีในสวรรค์ต่อการพิพากษาของพระเจ้า
    18:20 เมืองสวรรค์ พวกอัครสาวกอันบริสุทธิ์ และพวกศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย จงร่าเริงยินดีเพราะนครนั้นเถิด เพราะพระเจ้าทรงแก้แค้นต่อนครนั้นให้ท่านทั้งหลายแล้ว

    18:21 แล้วทูตสวรรค์องค์หนึ่งที่มีฤทธิ์มาก ก็ได้ยกหินก้อนหนึ่งเหมือนหินโม่ใหญ่ทุ่มลงไปในทะเลแล้วว่า "บาบิโลนมหานครนั้นจะถูกทุ่มลงโดยแรงอย่างนี้แหละ และจะไม่มีใครเห็นนครนั้นอีกต่อไปเลย"

    18:22 และจะไม่มีใครได้ยินเสียงนักดีดพิณเขาคู่ นักเล่นมโหรี นักเป่าปี่ และนักเป่าแตร ในเจ้าอีกต่อไป และในเจ้าจะไม่มีช่างในวิชาช่างต่างๆอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยินเสียงโม่แป้งในเจ้าอีกต่อไป

    18:23 และในเจ้าจะไม่มีแสงประทีปส่องสว่างอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยินเสียงเจ้าบ่าวเจ้าสาวในเจ้าอีกต่อไป เพราะว่าบรรดาพ่อค้าของเจ้าได้เป็นคนใหญ่โตแห่งแผ่นดินโลกแล้ว และโดยวิทยาคมของเจ้าได้ล่อลวงบรรดาประชาชาติให้ลุ่มหลง

    18:24 และในนครนั้นเขาได้พบโลหิตของพวกศาสดาพยากรณ์และพวกวิสุทธิชน และบรรดาคนที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก"

    ............" The Gold War " by Jimmy Siri: ผลการค้นหาสำหรับ วิวรณ์
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ที่อาเหล่าฮูยกมานี้ อะนะ
    ถ้าเป็นอย่างที่วิเคราะห์ไว้นี่นะ จะเห็นว่าพฤติกรรมขององค์กรนี้เข้าข่าย
    หญิงแพศยาใส่เสื้อสีแดงและม่วง(วาติกัน??) สมคบกับ บาบิโลน(องค์กรลับๆล่อๆ ที่ฝังตัวอยู่ในสหรัฐและยุโรป??) เอาศาสนาเอาพระเจ้ามาบังหน้าหากิน
    เป็นพวกฟาริสี ไม่มีความชอบธรรมตามหลักคำสอนของศาสนาที่เขาพูดว่าศรัทธาเลย
    ถ้าจะพูดอีกแบบคือทำงานให้ซาตานมากกว่าจะทำงานให้พระเจ้านั่นแหละ
    เหมือนเป็นองค์การที่ทำงานแบบลัทธิซาตาน แต่อาศัยชื่อของพระเจ้ามาบังหน้าเพื่อหลอกลวง
    ให้คนอื่นหลงผิดและทำในทางที่ผิดต่อตนเองและผิดต่อหลักธรรมคำสอนของศาสนา

    ก็เหมือนเราชาวพุทธที่ปากบอกว่าศรัทธาในพระพุทธเจ้าหนักหนา
    เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วไง พอใครมาพูดไม่ถูกหู ลบหลู่เกียรติคุณ
    ของคนที่เราศรัทธาก็ลืมคำสอนของท่านเสียแล้วทำตัวเป็นคนพาลสันดาน
    หยาบท้าตีท้าต่อยทำร้ายคนอื่นได้ด้วยกายวาจาใจ ด้วยความรู้สึกสะใจ
    เห็นว่าการกระทำของตนเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
    เป็นทาสของอารมณ์ กิเลส ตัณหา หน้ามืด แสดงมิจฉาทิฏฐิโดยขาดความ
    ละอายต่อบาป ไม่ละอายต่อพระพุทธเจ้า ไม่ละอายต่อการทำบาป

    จะนับถือศาสนาไหนๆก็ไม่ต่างกัน...อะ ถ้าไม่รู้จักทำความเข้าใจหลักธรรม
    คำสอนของศาสนานั้น ต่อให้เราคิดว่าศาสนาพุทธดีที่สุดพาคนพ้นทุกข์ได้
    แต่ไม่เคยเข้าใจหลักธรรมคำสอนที่แท้จริงยังไม่สามารถพาตนให้พ้นทุกข์
    ในเรื่องเหล่านี้ไปได้ ก็เหมือนไก่ได้พลอยวิเศษ ยังไงก็โดนเชือดตายอยู่ดี
    เพราะใช้พลอยวิเศษไม่เป็น ได้แค่ลูบๆคลำๆ ไปวันๆ รอวันตาย

    ในความเห็นของอาเหล่ายายนะ ถ้าองค์กรศาสนาพุทธอ่อนแอ แพ้โลกธรรม8
    ไม่มีปริญญาใจ ไม่มีพระพุทธเจ้าในหัวใจ ไม่ทำตามหลักคำสอนของ
    พระพุทธองค์ให้ถูกทาง วันหนึ่งก็ต้องแพ้ภัยตนเองอยู่ดี
    ไม่ต้องมีคนอื่นมาทำลาย เราก็พินาศจากความดีอยู่ดี
    ในทางกลับกันถ้าองค์กรพุทธรักษาความดีไว้ได้
    ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนได้ถูกได้ตรง เข้าถึงพระนิพพานได้จริง
    พูดความจริงได้เป็นสัจธรรม ต่อให้พวกองค์กรเหล่านี้รุกคืบเข้ามา
    เราก็ช่วยเขาได้ด้วยการทำให้เขาเห็นสัจธรรมได้ตรงตามจริง นั่นคือเราไม่ต้อง
    ไปหาเขา แต่เขาเดินเข้ามาหาเราเอง แล้วเราเองจะมีความรู้ความดี
    พอจะช่วยเหลือคนที่หลงผิดเหล่านั้นได้หรือไม่
    ไม่ต้องถึงขั้นมาเห็นดีเห็นงามเปลี่ยนศาสนามาเป็นพุทธหรอก
    แค่ช่วยให้เขาเข้าใจความจริงของศาสนาของเขาได้ ก็ประเสริฐแล้ว
    ความดีความชั่ว ความรู้ดีรู้ชั่ว มันบอกกันได้ไม่ยาก เพราะขาวกับดำ ใครๆก็รู้
    ถ้าเขาเลือกทำความดีแล้ว อะไรที่มันชั่วๆเขาก็จะละอายเลิกทำไปเอง

    เพราะพระเจ้าเองก็รังเกียจบาป เกลียดการทำชั่วทำเลว แล้วคนที่นับถือ
    พระองค์กลับทำเรื่องชั่วๆเลวๆเหล่านั้น เพื่อพระองค์ก็ย่อมไม่เป็นผลดีต่อ
    คนทำชั่วเองอยู่แล้ว เป็นได้แต่เพียงศรัทธาที่สูญเปล่า ถ้าคนที่เป็นสาวก
    พระคริสต์และพระเจ้า เหล่านั้นเขารู้ว่าการทำชั่วเลวทรามเพื่อพระเจ้าของ
    เขาเป็นศรัทธาที่สูญเปล่าแล้ว เขาย่อมปรับปรุงทัศนะคติของเขา เพื่อไม่ให้
    เป็นศรัทธาที่สูญเปล่า และไม่ทำตัวเป็นดั่งพระวจนะในคัมภีร์วิวรณ์เรื่อง
    หญิงแพศยา
    17:2 คือหญิงที่บรรดากษัตริย์ทั่วแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีด้วย และคนทั้งหลายที่อยู่ในแผ่นดินโลกก็ได้มัวเมาด้วยเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของเธอ"

    17:4 หญิงนั้นนุ่งห่มด้วยผ้าสีม่วงและสีแดงเข้ม และประดับด้วยเครื่องทองคำ เพชรพลอยต่างๆและไข่มุก (คลิก!!!) หญิงนั้นถือถ้วยทองคำที่เต็มด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและของโสโครกแห่งการล่วงประเวณีของตน


    17:18 และผู้หญิงที่ท่านเห็นนั้นก็คือนครใหญ่ ที่มีอำนาจเหนือกษัตริย์ทั้งหลายทั่วแผ่นดินโลก"

    ครั้งหนึ่งในอดีต โป๊บมีอำนาจแต่งตั้งกษัตริย์ของยุโรป ก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติ
    ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไปทั่วทวีปยุโรป มันเป็นประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลง
    ไม่ได้ ไม่มีใครบิดเบือนความจริงได้ มีแต่จะยอมรับความจริงของตัวเองได้หรือไม่

    สิ่งที่เขียนไว้ในคัมภีร์คือ หญิงแพศยาถือถ้วยทองคำที่เต็มไปด้วยสิ่ง
    น่าสะอิดสะเอียนและของโสโครกแห่งการร่วมประเวณีของตน
    คือการกระทำทั้งหลายที่เราก็เห็นๆกันอยู่ และรู้กันอยู่ว่า หมายถึงองค์กรใด
    อยู่ที่คนจะตาสว่างมองเห็นความจริงนั้นได้หรือไม่ การยัดเยียดเผยแพร่
    ความเชื่อที่ผิดทิศผิดทางผิดเจตนารมย์ของพระเจ้าของเขา ก็คือสิ่งที่โสโครก
    น่าสะอิดสะเอียนตามพระวจนะในพระคัมภีร์ แล้วกระทำตนเป็นหญิงแพศยา
    หาคนเข้ามาร่วมประเวณี เหมือนโสเภณีหาลูกค้า (เราพูดแรงไปไหมเนี่ย)

    อย่างไรเสีย เราก็หวังดีกับคนดีคนมีธรรม ในทุกศาสนานะ
    ไม่อยากให้ใครต้องตกนรก เพราะคิดผิด เห็นผิด เชื่อในสิ่งผิด และทำเรื่องที่ผิด
    ต่อเจตนารมย์ของพระศาสดาของศาสนานั้นๆ มันเป็นเรื่องเศร้าที่คนยินดีจะทำความความเลว
    เพื่อจะให้เกิดเป็นความดีเป็นความชอบธรรมเพื่อคนที่ตนเองรักและศรัทธา

    ถ้าคนใดรักและศรัทธาในพระเจ้าจริงจากใจ
    ก็สมควรหันหลังให้กับการทำบาป หันหลังให้กับบาป ไม่ทำสิ่งที่พระเจ้าบัญญัติว่าเป็นบาปด้วยใจ
    ไม่ใช่ทำด้วยการรักษากฏทางศาสนาที่เคร่งครัดแต่ในด้านร่างกาย
    ไม่ทำสิ่งที่เป็นความชั่วช้าเลวทรามในสายพระเนตรของพระเจ้า
    มุ่งทำความดีเพื่อเป็นของบูชาพระเจ้าของตน พระเจ้าของท่านย่อมมองเห็นความดีของท่าน
    อันเป็นเครื่องถวายสักการะบูชา อยู่ในสายพระเนตรของท่านเป็นแน่

    ถ้าเป็นทางพุทธ ก็ต้องรักษาศีล5ด้วยใจ ดำเนินชีวิตด้วยมรรค8 ประกอบสัมมาอาชีพ
    ดำรงชีพด้วยความดี ปฏิบัติด้วยใจเป็นพุทธบูชา

    ถ้าทำได้ถูก ก็ย่อมเกิดเป็นผลดีแก่ตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...