เรื่องวอกไคหิน หรือวอกไข่หิน เป็นนิยายที่จารลงในใบลาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย satan, 9 มิถุนายน 2007.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    วอกไคหิน

    เรื่องวอกไคหิน หรือวอกไข่หิน เป็นนิยายที่จารลงในใบลาน มีปรากฏอยู่ทั่วไป เห็นว่ามีเนื้อเรื่อง ละม้ายกับเรื่อง"ไซอิ๋ว" อยู่ไม่น้อย
    ที่เขาสิเนโรหรือเขาพระสุเมรุนั้น มีผาก้อนหนึ่งใหญ่กว้างลักษณะเหมือนบาตร หินนี้เป็นสี่เหลี่ยมตั้ง สูงขึ้น ๘ ศอก เป็นที่ ๆ พระปัจเจกเจ้าไปแสดงธรรมทุกวัน ที่นั้นมีหินอีกก้อนหนึ่งซึ่งมีสัณฐานเหมือนไข่ พอได้วาระแล้วไข่หินก็แตกกลายเป็นวอกตัวหนึ่ง ต่อมา วอกตัวนี้ก็ตั้งตัวเป็นหัวหน้าของวอกหรือบรรดาลิง อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งวอกไข่หินก็จัดลำดับและแบ่งวอกทั้งหลายออกเป็นกลุ่ม ๆ ทั้งเพื่อรักษาความ ปลอดภัยและเพื่อการไปหาอาหารมาเลี้ยงกัน เป็นต้น
    หลายปีผ่านมา พญาวอกก็ออกจากถ้ำเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิต วอกได้ไปแย่งเอาเสื้อผ้าของพรานมาแต่ง แล้วเดินทางไปสู่สำนักฤาษีแล้วขอบวชเพื่อเรียนวิชาด้วย โดยเฉพาะได้คาถาบทหนึ่งเป่าให้เป็นไฟ อีกบท หนึ่งเป่าให้ข้าศึกตื่น สาปให้เป็นฝน อีกบทหนึ่งเป่าให้เป็นอะไรก็ได้ตามใจชอบ
    เมื่อได้วิชาแล้ว วอกจึงเดินทางต่อไปจนได้ไปปราบยีกษ์และลงไปอาละวาดถึงเมืองนาค ซึ่งก็ได้ ใช้อำนาจบังคับเอาเสื้อเกราะ ฆ้อนคำและสิ่งอื่น ๆ อีกหลายประการ เมื่อวอกกลับไปแล้ว พญานาคจึง ขึ้นไปฟ้องพระอินทร์ พระอินทร์จึงบอกให้ท้าวทั้ง ๔ ไปตามหาวอกเพื่อเอาไปลงนรก ซึ่งก็ไปจับเอาวอก วอกได้ในขณะที่นอนหลับอยู่บนหินกลางป่า พอไปถึงนรกวอกก็ถามว่าเหตุใดจึงจับตน ท้าวทั้งสี่จึงบอกว่าได้ รับหนังสือคำสั่งจากพระอินทร์ ซึ่งวอกก็ขอดูแล้วฉีกทิ้งและกลับไปอยู่ที่เดิม
    เมื่อท้าวทั้ง ๔ กลับไปรายงานพระอินทร์แล้วพระอินทร์จึงบอกว่าจะให้เรียกตัววอกไปเกี่ยวหญ้าม้า ซึ่งก็ทำงานได้ ๗ วันจึงไปถามพวกเทวดาที่นั่นว่าทำงานกับพระอินทร์เช่นนี้มียศเป็นอะไร พอได้รับคำตอบ ว่าไม่ได้รับการแต่งตั้งใด ๆ ก็โกรธและหนีกลับไปอยู่ที่เดิม เทวดาที่ตามมาจับก็พ่ายแพ้จนพระอินทร์ต้อง ให้เทวบุตรมาเชิญตัวขึ้นไปสวรรค์แล้วแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าเทวดามีหมวกทองคำรองเท้าทองคำ และให้ ไปเฝ้าสวนอุทยาน ซึ่งวอกก็ไปกินผลไม้วิเศษในอุทยานนั้นเสีย และได้ก่อเหตุเดือดร้อนวุ่นวายไปทั่ว ถึง จะให้เทวดาไปรบก็พ่ายแพ้กลับไปหาพระอินทร์
    ในที่สุดวอกถูกน้องของพระอินทร์จับได้ โดยน้องของพระอินทร์เสกแหวนขว้างไปสวมคอวอกแล้วจับ เอาตัวไปฆ่า ซึ่งถึงแม้จะหาทางฆ่าอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จนต้องไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามาช่วยปราบ ซึ่งก็ท้า ให้ขึ้นไปอยู่ในอุ้งมือพระพุทธเจ้า และหากกระโดดออกจากอุ้งมือพ้นก็จะได้เป็นพระอินทร์ วอกจึงตกลงที่ จะลองแข่งดู เมื่อกระโดดไปถึงที่สุดแล้วก็พบเสา ๕ ต้นจึงเขียนชื่อตนไว้ที่นั่น ซึ่งพระพุทธเจ้าก็บอกว่า วอกยังไปไม่พ้นมือ เพราะเสาที่วอกหมายชื่อไว้คือนิ้วมือนิ้วกลางของพระพุทธเจ้านั่นเอง พอพระพุทธเจ้า คว่ำมือลง วอกก็ตกจากมือพระพุทธเจ้า พระองค์ก็เลยเสกเขาใหญ่ทับไว้ เมื่อเห็นว่าวอกยังดิ้นรนออกหา ทางออก แต่พระพุทธเจ้าเสกไม่ให้ออกจนกว่าจะหมด ๕,๐๐๐ ปี(ดอยที่ว่าคือดอยเชียงดาว เชียงใหม่)

    จาก ด้วยปัญญาและความรัก นิทานของชาวไทยวน นิทานของชาวไทลื้อ นิทานของชาว ไทใหญ่ นิทานของชาวไทเขิน

    http://www.lannaworld.com/story/tales/wokkaihin.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มิถุนายน 2007
  2. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    เห้งเจีย (ภาษาอังกฤษ : Magic Monkey) หนึ่งในตัวละครเอกเรื่องไซอิ๋ว เห้งเจียเดิมเป็นหินที่ถูกแสงสุริยันจันทราอาบมากว่า 1,000 ปี วันหนึ่งจึงแตก และมีลิงตัวหนึ่งกระโดดออกมา เจ้าลิงตัวนั้นจึงได้ไปอยู่กับฝูงลิงที่เขาไม้ผล (เขาฮัวกั่วซาน) และตั้งตัวเป็นหัวหน้าฝูง บรรดาลิงในฝูงนับถือเป็นท่านอ๋อง ฉายา "มุ้ยเกาอ๋อง"

    วันหนึ่ง เจ้าลิงหินตัวนี้ เห็นลิงในฝูงตัวหนึ่งตายลงด้วยความแก่ จึงเกิดความคิดจะออกเดินทางไปหาวิชาที่จะไม่ทำให้เจ็บ ไม่ทำให้ตาย จึงออกจากฝูงเดินทางเสาะแสวงหาผู้รู้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็พบกับเซียน "โผเถโจ๊ซือ" (สุภูติ) เมื่อเซียนรับเป็นศิษย์ ได้ฝึกวิชาต่าง ๆ เช่น การแปลงกายที่แปลงได้ 72 ร่าง, ตีลังกาได้ไกลกว่า 300 ลี้, ยืด-หดตัวได้, ถอนขนเสกเป็นของต่าง ๆ, ขี่เมฆวิเศษ เป็นต้น พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า "ซุนหงอคง"

    เมื่อฝึกวิชาสำเร็จแล้ว หงอคง เกิดลำพองใจ ไปอาละวาด อวดวิชาตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งสวรรค์หรือบาดาล ทำให้ 3 โลก ปั่นป่วนไปหมด เง็กเซียนฮ่องเต้ส่งทหารสวรรค์นับ 10 หมื่นนาย และเทพต่าง ๆ ไปจับ ก็จับไม่ได้ กลับถูกเห้งเจียปราบกลับมาจนเข็ดเขี้ยวตาม ๆ กัน ในที่สุด เง็กเซียนฮ่องเต้ ต้องยอมให้เห้งเจียขึ้นเป็นใหญ่ พร้อมตั้งให้เป็น "มหาเทพ" (ฉีเทียนต้าเซิ้น) จากเดิมที่เป็นเพียงคนเลี้ยงม้า (ปี้ม่าอุน) แต่หงอคงก็ยังเหิมเกริมไม่เลิก ในที่สุด องค์ยูไล ต้องเสด็จมาปราบเอง โดยให้หงอคงถูกทับด้วยภูเขาหินนาน 500 ปี และผู้ที่จะช่วยออกมาได้ คือ พระถัมซังจั๋ง ผู้เดียวเท่านั้น และเห้งเจียต้องบวชเป็นลูกศิษย์รับใช้พระถังซัมจั๋งไปอินเดีย และมีหน้าที่คุ้มครองพระถังซัมจั๋งไปตลอดทาง

    เมื่อพระถังซัมจั๋งรับหงอคงเป็นศิษย์แล้ว จึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า "เห้งเจีย" หรือ "ซุนเห้งเจีย" แต่เห้งเจียก็ยังคงติดนิสัยเดิม ๆ คือ ใจร้อน ห่าม ดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังพระถังซัมจั๋ง พระถังซัมจั๋งมีไม้ตายที่ปราบพยศเห้งเจียคือ รัดเกล้า ที่ได้รับประทานจากพระโพธิสัตว์กวนอิม ที่รัดอยู่กับหัวของเห้งเจีย เมื่อเห้งเจียพยศเมื่อไหร่ พระถังซัมจั๋ง จะสวดมนต์ เห้งเจียจะเจ็บปวดมาก รัดเกล้าอันนี้จะหายไปเมื่อภารกิจได้เสร็จสิ้นแล้ว

    ตลอดระยะเวลาการเดินทาง ต้องผจญกับอุปสรรคนานับประการ โดยเฉพาะปีศาจ ที่มักปลอมตัวมาหลอกลวงให้เข้าใจผิด โดยเฉพาะกับพระถังซัมจั๋ง ซึ่งเห้งเจียมักจะมองปีศาจออกก่อนทุกครั้ง และลงมือทำร้ายไปก่อน จึงสร้างความขัดแย้งให้กับศิษย์ อาจารย์ คู่นี้ไปตลอด ว่ากันว่า เป็นการเจตนาสร้างความขัดแย้งของตัวละคร ซึ่งสะท้อนถึงบุคคลิกของบุคคลในลักษณะต่าง ๆ

    อาวุธสำคัญของเห้งเจีย คือ กระบองวิเศษ ที่ปกติจะเก็บไว้ในรูหู สามารถยืด-หดได้ ซึ่งเดิมเป็นเสาค้ำมหาสมุทร ของเจ้าสมุทรทะเลใต้ (ทะเลตงไห่) และมีพาหนะเป็นเมฆวิเศษ

    ปัจจุบัน หงอคง หรือ เห้งเจีย ได้รับการนับถือจากชาวจีน โดยตามศาลเจ้าบางแห่ง จะมีรูปเคารพ และนับถือเป็น เทพวานร หรือเจ้าพ่อเห้งเจีย เป็นต้น

    http://th.wikipedia.org/wiki/เห้งเจีย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มิถุนายน 2007
  3. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    หนุมาน เป็นตัวละครเอกตัวหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์ ลักษณะเป็นลิงเผือก กายสีขาว เมื่อสำแดงฤทธิ์จะมี 4 หน้า 8 มือ มีกุณฑลขนเพชร เขี้ยวแก้ว หาวเป็นดาวเป็นเดือน ดังกลอนตอนที่หนุมานเกิดว่า

    ลอยอยู่ตรงพักตร์ชนนี
    รัศมีโชติช่วงในเวหา
    มีกุณฑลขนเพชรอลงการ์
    เขี้ยวแก้วแววฟ้ามาลัย
    หาวเป็นดาวเดือนระวีวร
    แปดกรสี่หน้าสูงใหญ่
    สำแดงแผลงฤทธิ์เกรียงไกร
    แล้วลงมาไหว้พระมารดร

    สามารถขยายตัวให้ใหญ่ได้ สามารถยืดหางให้ยาวมากๆได้ หนุมานจะไม่มีวันตาย เนื่องจากเป็นลูกของพระพาย (ลม) กับนางสวาหะ เมื่อตายแล้วโดนลมพัดก็จะฟื้นขึ้นมาได้ หนุมานเป็นลิงที่รูปหล่อ มีนิสัยเจ้าชู้ มีเมียมาก เช่น นางสุพรรณมัจฉา จนมีลูกเป็น มัจฉานุซึ่งมีลักษณะเป็นลิงเผือก แต่มีหางเป็นปลา, นางเบญกาย บุตรีของพญาพิเภก ตอนที่แปลงกายมาเป็นนางสีดาตายลอยทวนน้ำมา หลังจากถูกจับได้ก็ให้หนุมานพาไปส่งมีลูกด้วยกัน ชื่อว่า อสุรผัด

    ตลอดเรื่องราวของเรื่องรามเกียรติ์นั้น หนุมานผู้เป็นทหารเอกของพระรามได้รับรางวัลจากพระราม 3 ครั้ง 1.ผ้าขาวม้า ได้ตอนที่หนุมานไปเผากรุงลงกา 2.ธำมรงค์ ได้จากตอนที่ไปช่วยพระรามหลังจากที่ถูกไมยราพจับไปขังไว้ที่เมืองบาดาล 3.เมืองนพบุรีพร้อมสนม 5000 นาง ได้ในตอนที่เสร็จศึกลงกาแล้ว

    ลักษณะของหนุมาน
    กายสีขาว มีกุณฑร(ต่างหู)ขนเพชร เขี้ยวแก้ว(อยู่กลางเพดานปาก)หาวเป็นดาวเป็นเดือน มีสี่หน้า แปดกร

    หนุมานในประเทศต่างๆ
    หนุมานนั้นมีอยู่ในวัฒนธรรมตะวันออกหลายประเทศการสื่อรูปร่างหนุมานนั้นก็ต่างกันไปตามวัฒนธรรม

    http://th.wikipedia.org/wiki/หนุมาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มิถุนายน 2007
  4. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    หนุมาน vs เห้งเจีย - ใครเก่งกว่ากัน? ถ้าถามว่าหนุมานหรือเห้งเจียใครมีฤทธิ์เดชมากกว่ากัน คงจะตอบยากเหมือนเดิม แต่ถ้าถามว่า หนุมานหรือเห้งเจีย ใครมีเมียมากกว่ากันละก็ ตอบไม่ยาก... ถ้าถามว่า ลิงอะไรเอ่ยที่มีอิทธิฤทธิ์พิสดาร เหาะเหินเดินอากาศได้ หลายคนคงจะนึกถึง หนุมาน ทหารเอกของพระรามในเรื่องรามเกียรติ์ และอีกหลายคนอาจจะคิดถึง เห้งเจีย วานรตัวเก่งผู้คอยปกป้องคุ้มครองพระถังซำจั๋งในเรื่องไซอิ๋ว


    แต่ถ้าถามต่อว่า พญาวานรทั้ง 2 ตนนี้ ใครเก่งกว่าใคร ก็คงตอบยากอยู่ เพราะเป็นมวยหมัดหนักทั้งคู่ พอ ๆ กับ "หนั่น" ปะทะ "เหนาะ" อะไรทำนองนั้น

    หนุมานมีชาติกำเนิดที่ชัดเจน เพราะเป็นบุตรของพระพายกับนางสวาหะ ส่วนเห้งเจียนั้นไม่มีพ่อแม่ เพราะถือกำเนิดขึ้นมาเองจากหินวิเศษบนยอดเขาฮวยก๊วยซัว

    พญาวานรทั้งสองนี้เหาะได้ทั้งคู่ โดยหนุมานนั้นจะออกลีลาเหินฟ้า-อ้าปากตามสไตล์ไทย ๆ แต่เห้งเจียนั้นจะขี่เมฆออกแอ๊กชั่นตามสไตล์จีน ๆ หนุมานเหาะเร็วเท่าไรยังค้นไม่พบ แต่เห้งเจียนั้นว่ากันว่า วันหนึ่ง ๆ เหาะได้ทั่วทั้ง 4 มหาสมุทร


    ลิงทั้งสองตนนี้แสนฉลาดและแพรวพราวไปด้วยไหวพริบ เพราะหนุมานเมื่อแรกพบสบพักตร์พระรามก็รู้ได้ทันทีว่า ท่านคือพระนารายณ์อวตารลงมาปราบยักษ์ ที่แม่สั่งไว้ว่าถ้าพบก็ให้ถวายตัวเป็นข้ารับใช้

    ส่วนเห้งเจียนั้น เมื่อครั้งไปฝึกวิชากับผูถีโจ้วซือ ก็สามารถตีปริศนาของอาจารย์ออกว่า เคาะหัว 3 ครั้ง คือ ไปหาเวลายามสาม ส่วนเอามือไพล่หลัง คือ ให้เข้าทางประตูด้านหลัง ก็เลยได้เรียนธรรมวิเศษจากอาจารย์

    อย่างไรก็ดี เห้งเจียก็เคยเสียรู้เทวดาเหมือนกัน เพราะเมื่อครั้งบุกสวรรค์ครั้งแรกนั้น เง็กเซียนฮ่องเต้ได้แต่งตั้งให้เป็น "บิ๊กเบ๊อุน" ซึ่งเห้งเจียภูมิใจหนักหนา แต่ตอนหลังก็รู้ตัวว่าไปโดนเขาหลอกซะแล้ว เพราะตำแหน่งนี้คือ หัวหน้าคนเลี้ยงม้าและกวาดขี้ม้า! (ประจำสวรรค์)

    หนุมานมีตรีเพชร (สามง่าม) เป็นอาวุธสำคัญ แต่จะใช้กับยักษ์ตัวสำคัญเท่านั้น ส่วนเห้งเจียมีพลองคู่ใจ ที่ไป "ไถ" มาจากเมืองบาดาล พลองนี้หนักถึงหนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยชั่ง ขยายให้ยาวใหญ่ได้ถึง 8 ศอกเศษ หรือจะหดให้เหลือเท่าเข็มก็ได้ (แต่เล็กไม่ถึงขั้นนาโนแน่ ๆ)

    เรื่องจำแลงกายก็หายห่วง เพราะทั้งคู่ทำได้สารพัด อย่างหนุมานนั้นแปลงมาแล้วทั้งยักษ์ (แอบเข้ากรุงลงกา) หมาเน่าลอยน้ำ (ทำลายพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ของกุมภกรรณ) หรือแม้แต่เป็นทศกัณฑ์ (เข้าไปตีท้ายครัวพญายักษ์) ก็ทำมาแล้ว

    ส่วนเห้งเจียก็แปลงได้สารพัด ตั้งแต่ต้นสนใหญ่ (อวดเพื่อน ๆ จนถูกอาจารย์ดุ) แมลงวัน (ลอบเข้าไปช่วยอาจารย์) ลูกท้อ (ให้ปิศาจกินจะได้เข้าไปอาละวาดในท้องปิศาจ) ฯลฯ

    แต่ที่น่าสนใจก็คือ พญาลิงทั้งสองเคยแปลงเป็นนกอินทรีเหมือนกัน - ส่วนใครจะแปลงตอนไหน ถ้าสนใจให้ค้นดูเอง ... ฮิ...ฮิ (บอกหมดเดี๋ยวไม่สนุก)

    หนุมานนั้นชอบใช้ฤทธิ์ขยายขนาดและยืดหางออกให้ยาวออก เช่น ตอนที่จะให้พลกระบี่ (ทหารลิง) ไปหาพระชฎิลฤาษี เพื่อถามทางไปกรุงลงกา หนุมานก็นิมิตกายให้ใหญ่ แล้วให้พลกระบี่ไต่หางข้ามไป ส่วนตอนที่พระลักษณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ หนุมานได้ไปยังเขาสรรพยา เพื่อตามหายาสังกรณีและตรีชวา ก็ขยายตัวและยืดหางออกอีกเหมือนกัน

    "ด้อมมองร้องเรียกร้องกู่
    ก็ขานอยู่แทบเชิงสิงขร
    ขุนกระบี่ผู้มีฤทธิรอน
    ประนมกรนิมิตอินทรีย์
    มีหางยาวใหญ่โอบกระหวัด
    รัดรอบสรรพยาคีรีศรี
    เรียกพลางรวบขึ้นไปทุกที
    จนถึงที่ยอดบรรพต
    ก็เก็บได้สรรพยาสมคิด
    แล้วสำแดงฤทธิ์ดั่งลมกรด
    เหาะทะยานผ่านฟ้าเลี้ยวลด
    กำหนดตรงไปอยุธยา"

    ส่วนเห้งเจียก็ขยายขนาดได้ แต่ยังไม่เคยเจอว่ายืดหาง มีแต่ดึงขนออกมากระจุกหนึ่ง แล้วเสกให้กลายเป็นเห้งเจียนับร้อยนับพันตัวออกไปสู้ คล้าย ๆ ทำโคลนนิ่งก็ไม่ปาน

    เห็นส่วนสูง ช่วงชก และประสบการณ์อย่างนี้แล้ว ถ้าถามซ้ำว่าใครจะมีฤทธิ์เดชมากกว่ากันคงจะตอบยากเหมือนเดิม แต่ถ้าถามว่า หนุมานหรือเห้งเจีย ใครมีเมียมากกว่ากัน? ละก็ ตอบไม่ยาก เพราะไม่ว่านางบุษมาลี เบญกาย สุพรรณมัจฉา หรือแม้แต่นางมณโฑ (เมียของทศกัณฑ์) พี่หนุมานแกเหมาหมด ส่วนเห้งเจียนั้นดูเหมือนจะนิ่งกว่า

    แต่ถ้าส่งเพื่อนร่วมก๊วนคือ ตือโป๊ยก่าย ไปแข่งแทน ก็อาจจะสูสีกับพี่หนุมานก็เป็นได้!

    ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติhttp://gotoknow.org/blog/judprakai/73305
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มิถุนายน 2007
  5. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    เรื่องราวของเหล่าเทพวานรทั้งหลาย..ยังมีอีกมากมาย
     
  6. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    เห้งเจีย (ภาษาอังกฤษ : Magic Monkey) หนึ่งในตัวละครเอกเรื่องไซอิ๋ว เห้งเจียเดิมเป็นหินที่ถูกแสงสุริยันจันทราอาบมากว่า 1000 ปี วันหนึ่งจึงแตก และมีลิงตัวหนึ่งกระโดดออกมา เจ้าลิงตัวนั้นจึงได้ไปอยู่กับฝูงลิงที่เขาไม้ผล (เขาฮัวกั่วซาน) และตั้งตัวเป็นหัวหน้าฝูง บรรดาลิงในฝูงนับถือเป็น " ท่านอ๋อง "

    วันหนึ่ง เจ้าลิงหินตัวนี้ เห็นลิงในฝูงตัวหนึ่งตายลงด้วยความแก่ จึงเกิดความคิดจะออกเดินทางไปหาวิชาที่จะไม่ทำให้เจ็บ ไม่ทำให้ตาย จึงออกจากฝูงเดินทางเสาะแสวงหาผู้รู้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็พบกับเซียนท่านหนึ่ง เมื่อเซียนรับเป็นศิษย์ ได้ฝึกวิชาต่าง ๆ เช่น การแปลงกายที่แปลงได้ 72 ร่าง, ตีลังกาได้ไกลกว่า 300 ลี้, ยืด-หดตัวได้, ถอนขนเสกเป็นของต่าง ๆ, ขี่เมฆวิเศษ เป็นต้น พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า " เห้งเจีย "

    เมื่อฝึกวิชาสำเร็จแล้ว เห้งเจีย เกิดลำพองใจ ไปอาละวาด อวดวิชาตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งสวรรค์หรือบาดาล ทำให้ 3 โลก ปั่นป่วนไปหมด เง็กเซียนฮ่องเต้ส่งทหารสวรรค์นับ 10 หมื่นนาย และเทพต่าง ๆ ไปจับ ก็จับไม่ได้ กลับถูกเห้งเจียปราบกลับมาจนเข็ดเขี้ยวตาม ๆ กัน ในที่สุด เง็กเซียนฮ่องเต้ ต้องยอมให้เห้งเจียขึ้นเป็นใหญ่ พร้อมตั้งให้เป็น " มหาเทพ " (ฉีเทียนต้าเซิ้น) จากเดิมที่เป็นเพียงคนเลี้ยงม้า (ปี้ม่าอุน) แต่เห้งเจียก็ยังเหิมเกริมไม่เลิก ในที่สุด องค์ยูไล ต้องเสด็จมาปราบเอง โดยให้เห้งเจียถูกทับด้วยภูเขาหินนาน 300 ปี และผู้ที่จะช่วยออกมาได้ คือ พระถัมซังจั๋ง ผู้เดียวเท่านั้น และเห้งเจียต้องบวชเป็นลูกศิษย์รับใช้พระถังซัมจั๋งไปอินเดีย และมีหน้าที่คุ้มครองพระถังซัมจั๋งไปตลอดทาง

    เมื่อพระถังซัมจั๋งรับเห้งเจียเป็นศิษย์แล้ว จึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า " หงอคง " (ภาษาญี่ปุ่น : โกคุ) หรือ " ซุนหงอคง " แต่หงอคงก็ยังคงติดนิสัยเดิม ๆ คือ ใจร้อน ห่าม ดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังพระถังซัมจั๋ง พระถังซัมจั๋งมีไม้ตายที่ปราบพยศหงอคงคือ รัดเกล้า ที่ได้รับประทานจากพระโพธิสัตว์กวนอิม ที่รัดอยู่กับหัวของหงอคง เมื่อหงอคงพยศเมื่อไหร่ พระถังซัมจั๋ง จะสวดมนต์ หงอคงจะเจ็บปวดมาก รัดเกล้าอันนี้จะหายไปเมื่อภารกิจได้เสร็จสิ้นแล้ว

    ตลอดระยะเวลาการเดินทาง ต้องผจญกับอุปสรรคนานับประการ โดยเฉพาะปีศาจ ที่มักปลอมตัวมาหลอกลวงให้เข้าใจผิด โดยเฉพาะกับพระถังซัมจั๋ง ซึ่งหงอคงมักจะมองปีศาจออกก่อนทุกครั้ง และลงมือทำร้ายไปก่อน จึงสร้างความขัดแย้งให้กับศิษย์ อาจารย์ คู่นี้ไปตลอด ว่ากันว่า เป็นการเจตนาสร้างความขัดแย้งของตัวละคร ซึ่งสะท้อนถึงบุคคลิกของบุคคลในลักษณะต่าง ๆ

    อาวุธสำคัญของหงอคง คือ กระบองวิเศษ ที่ปกติจะเก็บไว้ในรูหู สามารถยืด-หดได้ ซึ่งเดิมเป็นเสาค้ำมหาสมุทร ของเจ้าสมุทรทะเลใต้ (ทะเลตงไห่) และมีพาหนะเป็นเมฆวิเศษ

    ปัจจุบัน หงอคง หรือ เห้งเจีย ได้รับการนับถือจากชาวจีน โดยตามศาลเจ้าบางแห่ง จะมีรูปเคารพ และนับถือเป็น เทพวานร หรือเจ้าพ่อเห้งเจีย เป็นต้น
    http://www.thaisamkok.com/forum/lofiversion/index.php/t4059.html
     
  7. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    เปิดตำนาน ซุนหงอคง

    เนิ่นนานมาแล้วเมื่อหลายร้อยปีหลายพันปีที่ผ่านมา....ที่บนยอดเขาลูกหนึ่งนั้น มีก้อนหิน ก้อนใหญ่ที่มีรูปร่าง ลักษณะเป็นเหมือนรูปไข่อยู่ก้อนหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา อันสูงลิบ ในท่ามกลางภูเขาลูกน้อยใหญ่ที่มีอยู่ล้อมรอบอยู่มากมายที่ในป่าลึก มาเป็นเวลาที่เรียกว่า นาน เป็นร้อย ๆปี เลยก็ว่าได้...ก้อนหินก้อนนี้เล่าลือกันว่าเป็น ก้อนหินที่ได้บรรจุวิญญาณของโลกเอาไว้... และแล้วจากกาลเวลาที่ยาวนาน... อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือหินก้อนนั้นอยู่ ๆ ก็แตกแยกออกมาเป็นสองซีก...และได้ ให้กำเนิดลิงตัวหนึ่งขึ้นมา

    เมื่อลิงหินตัวนั้นเติบโตขึ้น...ก็มีความเก่งกล้าสามารถมากจนเรียกว่าเป็นเลิศเกินมวลสัตว์ ต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งหมดที่ มีอยู่ในป่านั้นเลยทีเดียว...มันใช้ชีวิตเรียบ ๆอยู่ในหมู่พวกลิงป่าฝูงหนึ่ง แต่ความ ที่เจ้าลิงหินตัวนี้นั้น มันมีความคิด ที่ผิดแปลกแตกต่างไปจากสัตว์ธรรมดา ๆทุกตัวก็ว่าได้ คือมันมี ความทะเยอทะยานและมักใหญ่ไฝ่สูงอย่างไม่มีที่สิ้น สุด มันไม่มีความพอใจกับการที่จะมาใช้ชีวิต แบบธรรมดา ๆ ให้หมดไปวัน ๆ อย่างน่าเสียดายแบบพวกลิงหรือ สัตว์ป่าทั้งหลายแบบนี้ มันเฝ้าครุ่นคิด เพื่อหาหนทางที่ดี ๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...แล้ววันหนึ่งมันก็เกิดความคิดขึ้นมา ได้ว่า " ก่อนอื่นเหนือสิ่งอื่น ใดทั้งหมด ในเมื่อข้านั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถมากมายและเก่งกาจออกจะขนาดนี้ ข้า จะต้องได้เป็น กษัตริย์และได้ปกครองพวกเจ้าทั้งหมดก่อนอื่นเลยถึงจะถูก สิ "

    เมื่อมันคิดได้ดังนั้นแล้ว เจ้าลิงหินตัวนั้นจึงกระโดดลงไปจากหน้าผา ลงไปสู่บึงน้ำลึกสายใหญ่สายหนึ่ง ต่อหน้าต่อ ตาพวกลิงทั้งหลาย เหมือนดังกับว่ามันต้องการให้เป็นเหมือนกับการเบ่งอวด บารมีแห่งความ กล้าหาญของมัน อย่างไรอย่างนั้นแหละ แต่เมื่อมันได้ดำลงไปสู่ใต้น้ำลึกนั้นแล้ว มันก็โชคดีได้ไปพบกับ ถ้ำใต้บาดาลเข้าให้ถ้ำหนึ่ง ข้าง ในถ้ำใต้บาดาลนี้เป็นเสมือนกับเมือง ๆหนึ่ง จะเรียกว่าเปรียบเหมือนกับ เมืองสวรรค์ก็ไม่ปาน เพราะมีต้นไม้ที่ออกดอกเบ่งบานสะพรั่ง ซึ่งดอกไม้พวกนั้นพอเบ่งบานเต็มที่แล้ว ก็จะกลับกลายเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาญต่าง ๆไปทั้ง หมดทันทีอย่างน่าอัศจรรย์เสียจริง ๆ เจ้าลิงหินจึง ว่ายน้ำขึ้นไปตามพวกลิงมากมายที่กำลังเฝ้ารอ เพื่อดูว่ามันจะขึ้น มาจากน้ำได้หรือปล่าวนั้นอยู่ มันจึง ชวนพวกลิงทั้งหมดให้มาเป็นบริวารของมันแล้วไปอาศัยอยู่ที่ในถ้ำใต้บาดาลถ้ำ นั้น แล้วแต่งตั้งตัวขึ้น เป็นกษัตริย์ของพวกลิงเหล่านั้น ตั้งแต่บัดนั้นมา และจากนั้นวันเวลาก็ผ่านไปวันแล้ววันเล่า อย่างมี ความสุขและสนุกสนาน แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นมาว่า ได้มีลิงตัวที่อาวุโสและมีอายุมากที่สุด ในหมู่พวกลิงบริวารทั้งหมดของมันนั้น ได้เกิดเจ็บเพราะแก่มากและได้ตายจากโลกไปในที่สุด

    เจ้าลิงหินให้เป็นเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดจะประมาณ มันได้รำพึงขึ้นกับพวกบริวารทั้งหลายที่ มาเฝ้าและเข้ามาล้อม รอบเพื่ออยากที่จะปลอบใจกับมันว่า " ตอนนี้ข้ายังหนุ่มก็ยังมีความสุข และสนุกสนานอยู่ทุกวัน คงจะมีสักวันในไม่ นานกว่านี้หรอก ที่ข้าก็จะแก่ และจะต้องตายไปในที่สุด " พวกบริวารก็พยายามพูดเพื่อที่ว่าจะให้เจ้าลิงหินผู้เป็น กษัตริย์สุดที่รักของพวกมันได้ปลงเสีย พวกมัน ทั้งหลายได้พูดปลอบใจว่า " เป็นปุถุชนสิ่งมีชีวิตธรรมดาก็จะต้องมี วันและถึงวันที่จะต้องแก่และตายไป นะท่านไม่มีใครที่จะได้อยู่ค้ำฟ้าสักคนหรอก ที่ไม่ตาย และมีชีวิตดำรงค์อยู่ ชั่วนิรันทร์นั้นก็เห็นจะมีก็ แต่พวกเทพเจ้ากับพวกฤษีที่เก่งกล้านั่นนะท่าน สงบใจเสียบ้างเถิด" เมื่อเจ้าลิงหินได้ฟังบริวารบอกว่า มีเทพเจ้ากับฤษีที่อยู่ค้ำฟ้าและไม่มีวันตายได้เข้าเท่านั้น มันก็เกิดความคิดอันแยบ คายขึ้นมาทันที ทันใดเลยทีเดียว

    " ข้าจะมานั่งเสียใจเพราะกลัวความตายที่จะมาถึงอยู่อย่างนี้ต่อไปทำไมเล่า? ในเมื่อพวกฤษีหรือเทพเจ้า นั้น สามารถที่จะอยู่ค้ำฟ้าและไม่ตายได้ละก็ ฮ่า ๆๆๆ ข้าก็จะต้องไปศึกษาหาความรู้กับฤษีเพื่อที่จะให้ ทำให้ข้าได้อยู่ ค้ำฟ้าไม่มีวันตายได้บ้างเหมือนกันดีกว่า " และเมื่อมันคิดได้ดังนั้นแล้ว ก็ทิ้งเมืองทิ้ง บริวารและออกเดินทางไปในทันที...มันเดินทางไปเรื่อย ๆผ่านข้าม ภูเขาลูกแล้วลูกเล่าข้ามผ่านแม่น้ำ สายแล้วสายเล่า...จนไปพบกับ " เซ็ง นิน " (ฤษี)ผู้ที่มีความรู้และเก่งกล้าสามารถมาก ตนหนึ่งที่บน ภูเขาลูกหนึ่งเข้าจนได้...มันจึงเข้าขอเป็นลูกศิษย์ของฤษีตนนั้นทันที ฤษีตนนั้นเมื่อตกลงใจรับเจ้าลิง หินตัวนั้นเป็น ลูกศิษย์แล้วก็ได้ตั้งชื่อให้กับมันใหม่ว่า (ซุน หงอคง ) เจ้าลิงหินหรือ " หงอคง " นั้น มีความตั้งใจสูงและขยันหมั่นเพียรมาก จากนั้นไม่นานมันจึงได้ร่ำเรียนกลยุทต์ และ " คาถาอาคม " มากมายจากฤษีตนนั้นจนสำเร็จจบหลักสูตรสูงสุดของฤษีตนนั้น ทั้งหมดเอาเลยทีเดียวก็ว่าได้

    " หงอคง " เมื่อร่ำเรียนวิชาจนคิดว่าฤษีตนนั้นไม่มีอะไรที่จะสอนตนอีกต่อไปแล้ว...ก็อำลาฤษี ผู้เป็นอาจารย์ กลับบ้านเมืองของตนไป และในระหว่างที่ " หงอคง " เป็นลูกศิษย์ของฤษีอยู่นั้นก็ได้ ไปตามจับ " คินตอน " (ก้อนเมฆกายสิทธิ์ ) ได้ มาเป็นบริวารและยานพาหนะคู่ชีพของตนเสียด้วย... เมื่อ " หงอคง " ขี่ " คินตอน "(ก้อนเมฆกายสิทธิ์ ) เหาะมา ถึงเมืองใต้บาดาลของตนนั้น ก็ปรากฏว่า ได้มีปีศาจร้ายกำลังทำการก่อกวนพวกพ้องบริวารและเมืองของ ตัวเองอยู่ " หงอคง " เมื่อเห็นดังนั้น ก็ให้เป็นโมโหอย่างมาก...จึงได้ดึงขนที่อยู่บนตัวของตน เป่าลงไป...แล้ว ขนของ " หงอคง " ที่ปลิว ออกไป นั้นก็ได้กลายเป็นตัวแบ่งแยก ออกเป็นตัวของ " หงอคง "มากมายเป็นกองทัพ พวกตัวแบ่งแยก ได้ลงไปต่อสู้ และปราบ พวกปีศาจร้ายได้จนสำเร็จและแพ้ราบคาบแทน " หงอคง " เลยทีเดียว

    เมื่อปราบปีศาจร้ายได้แล้ว " หงอคง " ก็กลับมาอาศัยอยู่กับพวกบริวารของตนอย่างสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง แล้วจากนั้นไม่นาน " หงอคง " ก็ได้ยินข่าวว่าที่เมืองข้าง ๆนั้น มีไม้กระบองกายสิทธิ์ อยู่อันหนึ่ง เป็นของ ที่สำคัญประจำ เมืองนั้น...กระบองกายสิทธิ์อันนี้มีความสามารถเป็นพิเศษหลายอย่าง สามารถยืด ให้ยาว จนสูงขึ้นไปถึงบนฟ้าได้ แล้วยังสามารถหดให้สั้นจนเหลือเล็กนิดเดียวพกไปไหน ๆมาไหนได้สะดวก และที่สำคัญเมื่อถูกแกว่งไปมาแล้วนั้น พวกปีศาจ,มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะกลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้ และจะยอมสยบก้มหัวให้ทันที " หงอคง " จึงมีความต้อง การที่อยากจะเป็นเจ้าของและนำมาเป็นอาวุธ ประจำตัวของตนให้จงได้ แล้วด้วยความที่ห้ามใจตัวเองไว้ไม่ได้แล้ว นั้น " หงอคง " จึงบุกเข้าไปขโมย กระบองกายสิทธิ์ อันนั้นมาเป็นเจ้าของของตนจนได้จริง ๆ...เมื่อมีของดีเป็นเจ้าของ แล้ว " หงอคง " ก็ยิ่งบ้าอำนาจกำเริบมากหนักขึ้นไปอีก เพราะ ไม่ว่า " หงอคง " จะออกไปปรากฏตัวในที่ไหนก็จะแกว่ง กระบองวิเศษอันนั้นออกหน้าก่อนอยู่เสมอและตลอดเวลาไม่เลือกสถานที่ไม่ว่าในที่แห่งใด ทุกคนจึง ต้องยอมสยบ และก้มหัวให้อยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน..ให้เป็นที่เดือดร้อนไปทั้วทุกหัวระแหง เอาเลยทีเดียว ก็ว่าได้
    เมื่ออาระวาดบนโลกมนุษย์จนหมดสนุกแล้ว " หงอคง " ก็ใช้กระบองกายสิทธิ์ยืดจนสูงขึ้นไปสู่สวรรค์ แล้วเลยโลด กระโดดขึ้นไปอาระวาดอวดเบ่งบารมี ที่บนสวรรค์เข้าให้เสียอีกด้วย เทพเจ้าทั้งหลายให้ เป็นเดือดร้อนอยู่ไม่เป็นสุข ไปทั่วทุกองค์ไป ร้อนถึงผู้เป็นกษัตริ์" เทพเจ้าเง็กเซียน ฮ่องเต้ " เจ้าแห่ง สวรรค์ ซึ่งเฝ้ามองและเพ่งดู " หงอคง " อยู่ตลอดเวลามานานแล้ว และเห็นว่า " หงอคง " คงจะมีเวลา ว่างมากไปกระมัง จึงเที่ยวออกอาละวาดมากขึ้นอย่างนี้เข้าทุกวัน จึงออกคำสั่งให้ " หงอคง " ขึ้นมาอยู่ เสียบนสวรรค์และได้มอบหน้าที่ให้เป็นคนเลี้ยงม้าของสวรรค์เสียให้รู้แล้ว รู้รอดไป " เทพเจ้าเง็กเซียน ฮ่องเต้ " เจ้าแห่งสวรรค์ คิดว่าเมื่อมีงานและหน้าที่ทำ " หงอคง " คงจะสงบลงได้ แต่ที่ไหนเล่า " หงอคง " เมื่อโดนมอบหน้าที่ให้ เป็นแค่คนเลี้ยงม้าและแต่ถึงแม้ว่าจะเป็นถึงม้าที่อยู่บนสวรรค์นี่ก็ตามเถอะ " หงอคง " ก็ให้เป็นโมโหอย่างที่สุด จึง อาละวาดแผลงฤทธิ์ และฆ่าม้าทุกตัวตายเสียจนหมดคอก เลยทีเดียว " เทพเจ้าเง็กเซียน ฮ่องเต้ " เจ้าแห่งสวรรค์ จึงเกิดพิโรธขึ้นมาจริง ๆ และได้ออกคำสั่งให้ เทพบุตรผู้เป็นพระราชโอรสออกไปตามจับและให้ นำตัว " หงอคง " มาลงโทษเสียให้เข็ดหลาบ และสาสมกับการกระทำอันชั่วร้ายนั้นให้จงได้

    ทีนี้ก็เลยจำต้องเกิดศึกหนักขึ้นระหว่างเทพบุตรราชโอรสกับ " หงอคง " เข้าให้อย่างไม่มีทางลีกเลี่ยง ได้เสียแล้ว เมื่อ เทพบุตรราชโอรส ได้ตาม " หงอคง " มาจนทันก็ได้แปลงร่างเป็นเสือลายพลาดกลอน ตัวใหญ่หมายเข้าปะทะ แต่ " หงอคง " ก็มีคาถาอาคมที่ได้ร่ำเรียนมาจากฤษีผู้เป็นอาจารย์มากโขอยู่ จึงได้แปลงร่างเป็นสิงห์โตแล้วคำรามขึ้นอย่าง น่ากลัวเสียงดังกึกก้องสนั่นไปทั่วทั้งสวรรค์ คือไม่ยอม แพ้และลดละให้เลยสักนิดเดียว และก่อนที่สวรรค์จะต้อง พินาจพังทลายเสียหายลงไปมากกว่านี้ และด้วยลิงที่บ้าอำนาจมากตัวหนึ่งตัวนี้เพียงตัวเดียวเท่านั้น...นั้น ก็เกิด อัศจรรย์ขึ้นมา อย่างกระทันหัน เพราะอยู่ ๆก็เกิดแสงเรืองรองขึ้นมาและบรรดาลให้มีสว่างจ้าขึ้นที่ขอบฟ้า แล้วตรงนั้น องค์" โอ จากา ซามะ " ( พระพุทธเจ้า ) จึงออกมาปรากฏกายขึ้นเพื่อหมายจะยับยั้งเหตุการณ์ที่ร้ายแรงอันนี้ไว้ นั่นเอง

    องค์" โอ จากา ซามะ " ( พระพุทธเจ้า ) ได้บอกกับ " หงอคง " ว่า " หงอคง ...ถ้าเจ้าอยากจะมี อำนาจเหนือใคร ๆทั้งหมดให้ ได้แล้วละก็ ก่อนอื่นเจ้าก็ลองเหาะออกไปให้พ้นจากอุ้งมือของตถาคต ออกไปให้ได้เสียก่อนสิ " หงอคง ...จึงตอบ " โอ จากา ซามะ " ไปอย่างสุดแสนที่จะจองหองว่า " ฮ่า ๆๆไม่ ต้องออกไปแค่พ้นอุ้งมือของท่านแค่นี้หรอก...เดี๋ยวจะ เหาะไปให้จนสุดขอบโลกเลย ทีเดียว ฮ่า ๆๆๆ " ว่าแล้ว " หงอคง " ก็สั่งให้ " ก้อนเมฆกายสิทธิ์ " ยานคู่ชีพให้เหาะและ พาไปที่ สุดขอบโลกทันที..." ก้อนเมฆกายสิทธิ์ " พา " หงอคง " เดินทางมา ไกลมากโขอยู่ และยังเดินทาง ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะไม่มีทีท่าว่าจะหาที่สุดขอบโลกได้เลยสักที แต่เมื่อเหาะพามาได้ไกลมากพอดู " หงอคง " ก็แลเห็นมีเสาปักอยู่ 5 ต้น เสาทั้ง 5 ได้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าลิบ ๆนั่น
    หงอคง ...ด้วยความดีใจและเข้าใจผิดคิดว่า...เสาทั้ง 5 ต้นนั้นคือจุดที่กำหนดบอกถึงที่สุดขอบโลก อย่างแน่นอนเพราะ ว่ามันคิดว่าก็เหาะมาไกลมากแล้วด้วย...จึงด้วยความดีใจว่าตนต้องชนะแน่แล้วนั่นเอง และเพื่อความรอบคอบ มัน จึงเข้าไปเขียนชื่อของตัวเองไว้เป็นที่ระลึกด้วยว่า " หงอคง " หมายให้ เป็นหลักฐานอ้างอิงกับ " โอ จากา ซามะ " ได้ และได้เหาะย้อนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง...แต่ว่า" องค์โอ จากา ซามะ " นั้นท่านมิได้เอ่ยว่าอันใดทั้งสิ้น..เพียงแต่แค่ยก พระหัตถ์ของพระองค์ขึ้นให้ " หงอคง " ดู...และที่นิ้วพระหัตถ์ของพระองค์นั้นได้มีอักษรคำว่า" หงอคง " ที่ หงอคง ได้ เขียน เอาไว้ปรากฏหลา ให้เห็นอยู่....แล้วก็ไม่ต้องบอกอะไรก็รู้อยู่แก่ใจว่า...ไม่ว่า " หงอคง " จะเหาะออกไปให้ไกลแค่ ไหน ? มันก็ยังไปไม่ได้ไกลสักแค่ไหนเลยสักนิด...ยังคงบินเหาะอยู่แค่แต่ในบริเวณหรือในพระหัตถ์ของ " องค์โอ จากา ซามะ " แค่นั้น อย่างเดียวเอง.....

    " หงอคง " เหมือนจนแต้มที่จะโต้เถียงกับองค์" โอ จากา ซามะ " ยอมรับผิดและยอมพ่ายแพ้ไป โดยปริยาย " เจ้าคิดการใหญ่และหมายก่อกวนความสงบสุขให้ทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่างทั้งในโลก มนุษย์และโลกสวรรค์นั้นได้รับความเดือด เนื้อร้อน ใจมาเป็นเวลานานทีเดียว เจ้าต้องได้รับโทษ หงอคง !!! เราขอสาปให้เจ้าได้ถูกจองจำ และกักขังเจ้าไว้ที่ใต้หินที่ภูเขา โกเคียว เป็นเวลานาน 500 ปี แล้วเมื่อนั้นเจ้าจะพ้นโทษโดยจะได้รับความช่วยเหลือจากพระตถาคตผู้เดินทางผ่านมาองค์หนึ่ง จำไว้นะ หงอคง เจ้าจะพ้นโทษเอาได้ก็ต่อเมื่อได้พบกับพระตถาคตองค์นั้น" " องค์โอ จากา ซามะ " จึงได้สาป และได้จองจำ " หงอคง " ไว้ที่ใต้หินที่ภูเขา " โกเคียว "ในแต่กาลบัดนั้น ....แล้วจากวันนั้นมาวันเวลาก็ ได้ผ่านมานานถึง 500 ปี...แล้ววันหนึ่ง ที่เป็นวัน ที่" หงอคง " รอคอยด้วยเวลาอันยาวนานก็มาถึง.. เพราะได้มีพระตถาคตองค์หนึ่ง จำเป็น ที่จะต้องเดินทางผ่านมาทางนั้นเข้าพอดี เป็นตามคำที่" องค์โอ จากา ซามะ "ได้เคยบอกเอาไว้ ตอนก่อนที่หงอคงจะโดนสาป จริง ๆสมดังคำที่ทรงทำนายไว้ตอนนั้นเลย

    พระตถาคตองค์นี้คือ " เก็นโจ ซันโซ " (พระถังซัมจั๋ง ) ท่านได้รับหมอบหมายให้เดินทางไปที่ " ชมพูทวีป " คือ ( ประเทศอินเดีย ในปัจจุบันนี้ ) เพื่อไปอัญเชิญพระไตรปิฏก...ในระหว่างเดินทาง นั้นท่านจำเป็นที่จะต้องผ่าน มาทางภูเขาโกเคียวและได้มาพบและเห็น " หงอคง " เข้า เมื่อ หงอคง เห็น พระถังซัมจั๋ง ยืนสงบและดูมองมันอยู่ จึงด้วยความ ดีใจ จึงร้องขอความช่วยเหลือทันที " ข้าเกลียด และเบื่อที่จะอยู่ใต้หินนี่ เหลือเกินแล้ว..ก็อยู่มาตั้ง 500 ปีแล้วนี่ ได้โปรดเถิดหลวงพ่อช่วยปลดปล่อยข้า ด้วยเถิด...แล้วข้าจะยอมเป็นบริวารติดตามไปทุกหนทุกแห่งกับท่าน เพื่อปกป้องคุ้ม ครองท่านให้พ้น จากอันตรายเป็นการตอบแทน..โปรดช่วยลิงที่น่าสงสารตาดำ ๆตัวหนึ่งด้วยเถิด..หลวงพ่อ"
    พระถังซัมจั๋ง จึงได้สวดมนต์ขึ้นและทำลายหินที่กักขัง " หงอคง " ให้... หงอคง จึงได้ออกมาเป็นอิสระ อีกครั้ง หลังจากที่ถูกจองจำมานานหลายร้อยปี และเมื่อมันได้เป็นอิสระแล้ว " ฮ่า ๆๆๆเป็นอิสระแล้วนี่ ทีนี้ก็ เป็นทีของข้าหละ !!" มันรีบทำท่าที่จะผิวปากเพื่อหมายที่จะเรียก " ก้อนเมฆกายสิทธิ์ " ยานพาหะ คู่ชีพ ให้ออกมารับหมายที่จะหนีและไม่ทำ ตามสัญญาตามสันดานขี้โกงของมันทันที...แต่ พระถังซัมจั๋ง นั้นรู้ทันเสียก่อน จึงได้สวดมนต์ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็ใน ฉับพลันนั้นอยู่ ๆที่ขมับของ หงอคง ก็เกิดมีอาการ บีบรัดขึ้นมาเหมือนมีเชือกรัดอยู่จนแน่น มันได้รับความเจ็บปวดและ ทรมานอย่างแสนสาหัส จนถึงกับลง ไปนอนร้องและดิ้นพลาด ๆ อยู่ตรงพื้นที่ยืนอยู่นั้นทันที

    " โอ้ย...ช่วยด้วยเจ็บเหลือเกิน " หงอคง ร้องลั่น...แล้วยิ่งไปกว่านั้นอยู่ ๆที่ตรงขมับของ " หงอคง " ที่เหมือนมีเชือก รัดอยู่นั้น ก็กลับกลายเป็นมีมงกุฏทองครอบไว้อยู่แทน แล้วยังแถมบีบรัดเข้ามา.. บีบรัดเข้ามาจนขมองของมัน เกือบจะแตก ออกเป็นเสี่ยง ๆเสียก็ไม่ปาน... หงอคง ให้เป็นเจ็บปวดทรมาน จนสุดที่จะทนต่อไปได้ไหว จึงได้ตาลีตาเหลือกพูดอ้อน วอนขึ้น แบบจนมุมและจนหนทางว่า " พอเถอะ ๆ จะไม่คิดหนีอีกแล้วหละหลวงพ่อ...หยุดเถอะข้าเจ็บปวดเหลือเกิน " พระถังซัมจั๋ง จึงได้ถอน มนต์ออกให้...แล้วความเจ็บปวดทั้งหมดก็ละลายหายไปอย่างเป็นปริดทิ้งและน่าอัศจรรย์ เลยทีเดียว....

    แล้วจึงเป็นด้วยการละฉะนี้เอง.." หงอคง " จึงได้กลายเป็นบริวารและออกร่วมเดินทางไปกับ "พระถังซัมจั๋ง" มาตั้งแต่บัด นั้น...เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่งก็ได้มีบิดาซึ่งเป็นหัวหน้า หมู่บ้านของที่นั่นผู้หนึ่ง เมื่อเห็น พระถัง ซัมจั๋ง ซึ่งเป็นพระเข้า ก็ตรงเข้ามาร่ำให้ร้องขอความช่วยเหลือ และเล่าว่า " โจ ฮักไก " (ตือ ป๊วยก่าย ) ซึ่งเป็นปีศาจหมู นั้น ได้ทำการลักพาตัวลูกสาวของตนไปกักขัง ไว้ที่ปราสาทของมันเพื่อจะเอาเป็นเจ้าสาว " ได้โปรดเถิด ...หลวงพ่อ กรุณาช่วยลูกสาวของข้าด้วยเถิด เจ้าตือ ป๊วยก่าย มันช่างหักหาญน้ำใจลูกสาวของข้าน้อยอย่างเหลือเกิน ฮื่อ ๆๆ"
    " หงอคง " รีบตอบรับว่าจะจัดการปราบ ปีศาจ " ตือ ป๊วยก่าย " ให้กับหัวหน้าหมู่บ้านคนนั้นทันที...เมื่อ " หงอคง " ไปถึงที่ปราสาทของ " โจ ฮักไก "(ตือ ป๊วยก่าย )นั้นได้มีประตูอันใหญ่มากสร้างขวางกั้นอยู่ " หงอคง " จึงสั่งให้ กระบอง กายสิทธิ์นั้นยาวและใหญ่ขึ้น แล้วได้ใช้ตีพังประตูปราสาท จนแยกออก เป็นสองท่อน...แล้วโจนทยานเข้าไปข้างใน ทำการช่วยเหลือลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านได้จนสำเร็จ... "โจ ฮักไก "(ตือ ป๊วยก่าย )ที่โดน " หงอคง " ตีเสียจนน่วมด้วย ไม้กระบองกายสิทธิ์ ในขณะที่ทำการ ต่อสู้กันนั้น ก็จำต้องยอมแพ้และยอมสยบให้กับ " หงอคง " และขอออกร่วมเดิน ทางไปกับ " พระถัง ซัมจั๋ง " ด้วยอีกตน..." ขอข้าเป็นบริวารติดตามท่าน ไปด้วยเถิด "
    พระถังซัมจั๋ง " จึงโชคดีได้ "โจ ฮักไก "(ตือ ป๊วยก่าย )เป็นบริวารร่วมเดินทางไปด้วยอีกตน... แล้วทั้งสามก็ได้เดินทางกัน ต่อไป....เมื่อมาถึงแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่งและทั้งสามจำเป็นที่จะต้อง ข้ามฟากผ่านแม่น้ำสายนี้ไปด้วยนั้น อยู่ ๆ น้ำในแม่น้ำสายนั้นก็บรรดาลเกิดเป็นน้ำวนขึ้นมาอย่าง กระทันหัน...แล้ว ปีศาจ " ซาโกโจ " ( ซัวเจ๋ง ) ก็ออกมาปรากฏกายขึ้นตรงหน้า...มันเป็นเจ้าของ แม่น้ำสายนี้และถ้าใครจะผ่านไปจะต้องได้รับอนุญาติจากมันเสียก่อน " ซาโกโจ " ( ซัวเจ๋ง ) ตะโกน ถามด้วยเสียงอันดังว่า " ที่อยู่ตรงนั้นน่ะ...พวกเจ้าเป็นใครกัน ? ไม่รู้หรือยังไงว่า ถ้าอยาก จะข้าม ฟากผ่านแม่น้ำสายนี้แล้วละก็ จะต้องได้รับอนุญาติจากข้าเสียก่อน ฮ่า ๆๆๆเข้าใจไหม!!! " หงอคง " จึงตอบกลับไป อย่าง โมโหว่า " หนวกหู อ้ายปีศาจร้าย!!!...พวกข้าจะเป็นใครก็ได้ จะข้าม ผ่านไปซะอย่าง...ไม่จำเป็นจะต้องไป ขออนุญาติจากใครให้เหนื่อยและเปลืองน้ำลายหรอกวุ๊ย... เอ็งจะทำไม? "

    ปีศาจ " ซาโกโจ " ( ซัวเจ๋ง ) เมื่อได้ฟังดังนั้นก็โมโหและตั้งป้อมต่อสู่ไม่ยอมให้ผ่านและข้ามฟากไปได้ อย่างง่าย ๆ มันได้กวนน้ำจนเกิดเป็นน้ำวนขึ้นลูกใหญ่ด้วยความโมโหอย่างสุด ๆ ของมัน..." หงอคง " กับ " ตือ ป๊วยก่าย " จึงต้อง รวมพลังช่วยกันลงไปทุบตีปีศาจ " ซาโกโจ " ( ซัวเจ๋ง ) เสียจนนุ่มนวมงอม พระรามและยอมสงบให้อย่างราบคาบ เพราะสู่พลังต่อไปไม่ไหวแล้วนั่นเอง เมื่อปีศาจ " ซาโกโจ " ( ซัวเจ๋ง )ได้ฟังความและรู้ถึงสาเหตุที่ว่าทำไม " พระถังซัมจั๋ง "ถึงจำเป็นจะต้องข้ามฟากผ่านแม่น้ำสายนี้ ไปนั้นแล้ว มันจึงเกิดศรัทธาและขอร่วมเป็นบริวาร ขอ ร่วมออกเดินทางติดตามไปด้วยอีกตนหนึ่ง
    ด้วยการที่จะเดินทางไปที่ " ชมพูทวีป "นั้นเป็นระยะทางที่ใกลและจำเป็นจะต้องใช้เวลานานมาก และในระหว่าง เส้นทางที่จำเป็นจะต้องผ่านไปนั้น ก็มักจะต้องมีพวกปีศาจร้ายนานาชนิดออกมาขัดขวาง การไปอัญเชิญพระไตรปิฎก ของ" พระถังซัมจั๋ง " นั้นอยู่เนื่อง ๆ และเกือบจะตลอดทางเลยก็ว่าได้ และอีกอย่างด้วยในหมู่พวกปีศาจทั้งหลายนั้นมี ความเชื่อถือกันว่าถ้าพวกมันตัวใดโชคดีได้กินหัวใจของ " พระถังซัมจั๋ง "เข้าไปแล้ว จะได้มีชีวิตที่เป็นอมตะ ไม่มีการตาย แล้วยังแถมจะมีฤทธิ์มากขึ้นกว่าเดิม เพิ่มอีกหลายเท่า พวกปืศาจเหล่านั้นจึงคอยที่จะหาโอกาสมาลักพาตัว" พระถังซัมจั๋ง " ไปเพื่อกินหัวใจกัน อยู่ตลอดเวลาเลยทีเดียว วันหนึ่งได้มีปีศาจร้ายแปลงกายเป็นผู้หญิงสาวออกมาปรากฏกายต่อหน้า แล้วเข้า แสดงการยั่วยวน" พระถังซัมจั๋ง " หมายจะยับยั้งการเดินทางนั้นเสีย แต่ปีศาจตนนั้นก็ไม่สามารถ ที่จะลวงตาและ ตบตาของ " หงอคง " ได้ " หงอคง " จึงได้ใช้ไม้กายสิทธิ์นั้นตีผู้หญิงนางนั้นอย่าง กระทันหันเสียจนสลบ
    ด้วย" พระถังซัมจั๋ง " ยังมองไม่รู้และิ้ดูไม่ออกว่าสตรีนางนั้นซึ่งมันก็เป็นปีศาจร้ายจริง ๆ อย่างที่ " หงอคง " เข้าใจและมอง เห็น" พระถังซัมจั๋ง " จึงดุและต่อว่า" หงอคง " เอาให้อย่างหนัก " อะไรกัน " หงอคง " เขาเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอแล้วก็ยังมิได้ ทันกระทำอะไรที่ร้ายแรงขึ้นมาเลยสักอย่าง ทำไมเจ้าถึงทำรุนแรง กับคนที่อ่อนแออย่างนี้เล่า ?หือ " " หงอคง " ก็ได้ เถียงออกไปว่า " ก็มันคนที่ไหนล่ะหลวงพ่อ มันเป็น ปีศาจร้ายแปลงร่างมานะ " พูดบอกให้แล้วก็ไม่เห็นจะมีทีท่าว่า" พระถัง ซัมจั๋ง" จะเห็นด้วยและเชื่อ ตนเลย " หงอคง " เลยนึกโมโหขึ้นมาจึงผิวปากเรียกก้อนเมฆกายสิทธิ์ ให้มารับแล้วเหาะหนีกลับไป ภูเขาโคเกียวเสียแต่บัดนั้น

    แต่เมื่อ" หงอคง " ได้ย้อนกลับมาที่เขาโกเคียว และจำเป็นต้องอยู่ตัวคนเดียว ก็ให้เป็นหงอยเหงาเศร้าใจ อย่างยิ่ง เพราะจริง ๆแล้วนั้น " หงอคง " ยังคงมีความต้องการและมีศรัทธาอย่างมาก ที่จะร่วมออกเดิน ทางไปอัญเชิญพระไตร ปิฏกกับ" พระถังซัมจั๋ง "อยู่ แล้วตรงนั้น" ตือ ป๊วยก่าย " ก็ออกมาปรากฏตัว มันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาแล้วระล่ำระลัก บอกความอย่างรีบร้อนด้วยน้ำตานองหน้าว่า " หงอคง แย่แล้วหละ เร็ว ๆเถิด เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วหละ เร็ว ๆ ตามข้า กลับไปเดี๋ยวนี้เลย เร็ว ๆเข้าเถอะ ฮื่อ ๆๆๆ "
    ความเป็นด้วยว่า" พระถังซัมจั๋ง " ได้โดนปีศาจร้ายที่มีความสามารถใช้คาถาอาคมซึ่งเป็นมนต์ดำ และได้สาปให้ได้ กลับกลายเป็นเสือลาดพลาดกลอนไปเสียแล้ว " หงอคง " เมื่อรู้ความแล้วจึงรีบ เดินทางไปกับ" ตือ ป๊วยก่าย " อย่างรีบ ร้อน และได้จัดการเข้าปราบเจ้าปีศาจร้่ายตัวนั้นได้สำเร็จ เมื่อเจ้าปีศาจร้ายได้ตายลงแส้ว " พระถังซัมจั๋ง " ก็ได้กลับคืนร่างมาสู่ ร่างเดิมทันที " ขอบใจเจ้ามาก " หงอคง " ที่ได้มาช่วยเหลือเราไว้ได้ทันท่วงที เพราะถ้าเจ้ามาช้ากว่านี้แล้วละก็ เราอาจจะต้องกลาย เป็นเสือลายพลาดกลอนไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว "
    เมื่อ" พระถังซัมจั๋ง " ได้กลับคืนร่างมาสู่ร่างเดิมแล้ว " หงอคง " จึงได้อัญเชิญให้ออกเดินทางร่วมกัน ต่อไปอีกครั้ง และ ในช่วงเวลานั้นได้มีปีศาจน้ำเต้าเงินกับน้ำเต้าทอง ซึ่งมันทั้งสองได้รู้ข่าวมาว่า" พระถังซัมจั๋ง " กับพวกบริวารกำลังจะเดินทางเพื่อไป อัญเชิญพระไตรปิฎก จึงออกมาดักรอเพื่อที่จะ ทำการขัดขวางเสีย เมื่อขบวนของ " พระถังซัมจั๋ง " ได้เดินทางผ่านมาถึง ที่ใกล้ ๆกับที่พวกมันได้มา ซุ่มดักรออยู่นั้น แต่เจ้าปีศาจทั้งสองไม่สามารถที่จะทำอะไรและเข้าไปใกล้" พระถัง ซัมจั๋ง " ได้เลย เพราะ" หงอคง " นั้นได้หมุนไม้กระบองกายสิทธิ์อยู่ตลอดเวลา เจ้าปีศาจจึงจำเป็นต้องถอยออกไปคิด หาอุบายและวางแผนการณ์มาใหม่อีกครั้ง

    แล้วต่อมาได้สักพัก ปีศาจน้ำเต้าเงินกับน้ำเต้าทองก็ได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มันได้ใช้ให้ปีศาจ ตัวหนึ่งแปลง กายเป็นชายแก่นั่งเป็นลมแล้วให้ไปดักรอขบวนของ " พระถังซัมจั๋ง " อยู่ที่ข้างทาง เมื่อขบวนของ" พระถังซัมจั๋ง " ได้เดินทางมาถึงที่นั่นและได้เห็นชายแก่นั่งเป็นลมอยู่อย่างนั้น " พระถังซัมจั๋ง " นึกสงสารจึงออกคำสั่งให้ " หงอคง " ไปอุ้มชายแก่ ผู้นั้นแล้วให้แบกขึ้นหลังเสีย " หงอคง " เมื่อได้รับคำสั่งก็หยุดหมุนไม้กระบองกายสิทธิ์แล้วตรงไปอุ้ม ชายแก่ผู้นั้นแบก ขึ้นไว้บน หลังทันที และเมื่อ" หงอคง " ได้เดินแบกชายแก่ผู้นั้นเดินตามขบวนมาได้สักพัก ชายก็ผู้นั้นอยู่ ๆก็ค่อย ๆ เปลี่ยน ร่างกลับกลายเป็นหินก้อนใหญ่อันหนักอึ้ง แล้วทับ " หงอคง " เอาไว้ใต้ที่หินนั้นทันที เมื่อ " หงอคง " ต้องหมดอิสระภาพเพราะร่างกาย ขยับเขยื่อนไม่ได้แล้ว จึงเป็นโอกาศให้เจ้าปีศาจน้ำเต้าเงิน กับเจ้าปีศาจ น้ำเต้าทองตรงเขาไปลักพาตัว" พระถังซัมจั๋ง " กับพวกบริวารที่เหลืออยู่ทั้งหมดไป พวกมัน เล่นยกขบวนขโมยไป พร้อมทั้งม้า ขโมยยกไปทั้งขบวนที่เดินทางกันมาทั้งหมดเลยทีเดียว
    ส่วนทางด้าน" หงอคง " นั้น เมื่อต้องโดนทับเอาไว้ด้วยหินอันหนักอึ้งอย่างนั้นจึงไร้อิสระภาพ ร่างกายขยับไม่ได้จึง หมดท่าได้แต่ส่งเสียงร้องครางอยู่ใต้ก้อนหินก้อนนั้นอยู่อย่างเดียว แล้วในบัดดล ก็ได้มีเทพซึ่งเป็นเจ้าป่าได้ออกมา ปรากฏกายและบอกกับ " หงอคง " ว่า " ย่า ย่า...อ้ายเจ้าปีศาจสอง ตัวนั่นมันชื่อเจ้าปีศาจน้ำเต้าเงินกับเจ้าปีศาจ น้ำเต้าทอง ใคร ๆที่ผ่านมาแถว ๆบริเวณนี้จะต้องโดนพวก มันก่อกวนทำร้ายเอาทุกรายไปนั่นแหละ ข้าจะช่วย ทำลายหินก้อนนี้ให้ แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะต้อง ตามไปกำจัดและปราบเจ้าปีศาจทั้งสองตัวให้ข้าด้วย เป็นการตอบ แทนนะ เจ้าจะว่ายังไง " " หงอคง " ดีใจเหมือนสวรรค์ลงมาโปรดก็ไม่ปาน จึงตกลงรับปากกับเจ้าป่าว่าจะจัดการปราบ เจ้าปีศาจร้ายทั้งสอง ตัวให้ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าป่าจึงร่ายมนต์ทำลายหินก้อนนั้นให้ในทันที
    เมื่อ" หงอคง " ได้กลับมามีอิสระขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก็รีบเดินทางไปที่ปราสาทที่อยู่อาศัยของเจ้า ปีศาจทั้งสอง ตามคำ บอกเล่าที่เจ้าป่าได้กรุณาบอกมาด้วยนั้นทันที เจ้าปีศาจน้ำเต้าเงินกับเจ้าปีศาจ น้ำเต้าทอง รู้ตัวเสียก่อนว่า " หงอ คง " นั้นได้บุกตามและเข้ามาถึงปราสาทที่อยู่อาศัยของมันเสีย ก่อนแล้ว มันจึงออกมาแอบดักรอ เมื่อพอมันเห็น " หงอคง " กำลังเดินเข้าประตูเข้ามาแล้ว มันจึง ได้ตะโกนเรียกชื่อของ " หงอคง " ขึ้นด้วยเสียงอันดัง " โอ้ย ... อ้าย หงอคง !" " หงอคง " เมื่อได้ยิน เสียงเรียกชื่อตน ก็เผลอตัวขานตอบไปทันควันว่า " อะไร ! วะ " เท่านั้นเองพอเมื่อ สิ้นเสียงขานตอบ ร่างของ " หงอคง " ก็เหมือนโดนดูดเข้าไปในน้ำเต้าซึ่งเป็นอาวุธคู่ชีพของเจ้าปีศาจร้ายทั้งสองทันที มันสองตัวหัวเราะกันใหญ่ด้วยถูกใจ " ฮ่า ๆๆๆๆ อ้ายหน้าโง่ ดัน X ขานรับออกมาได้ ง่าย ๆ น้ำเต้า ของข้านี่ถ้า เรียกชื่อใครแล้วขานรับตอบมาละก็ ฮ่า ๆๆๆๆ โดนดูดเข้าไปจนหมดทั้งตัวเลยหละ สมน้ำหน้า อ้ายหน้าโง่ สะใจข้า เสียจริง ๆ ฮ่า ๆๆๆๆ เหอๆๆๆๆ "

    " หงอคง " เมื่อขณะที่กำลังถูกน้ำเต้าดูดเข้าไปจนเกือบจะหมดตัวอยู่รอมร่ออยู่นั้น ก็รีบแปลงร่าง เป็นแมลงวันทันที แล้วบินหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิด เมื่อบินออกมาตั้งหลักได้แล้ว และเห็นว่า เจ้าปีศาจทั้งสองตัวยังไม่ทันได้รู้ตัวว่า เหยื่อที่มันได้กำลังหัวเราะเยาะอยู่นั้นได้หลุดและหนีออกมา ได้แล้ว และด้วยความไว" หงอคง " จึงตะโกนเรียกชื่อ ของมันทั้งสองกลับทันที " ย้า สวัสดีปีศาจ น้ำเต้าเงิน..ปีศาจน้ำเต้าทอง ! " ด้วยเจ้าปีศาจทั้งสองตัวกำลังเพลินจึง หลวมตัวตอบรับออกมาว่า " อะไร ! ...อะไร ! " และเท่านั้นเองเจ้าปีศาจทั้งสองตัวจึงโดนดูดเข้าไปอยู่ในน้ำเต้าของ ตัวเองแทน " หงอคง " ไปโดยปริยายด้วยประการละฉะนี้เอง
    หงอคง " เมื่อกลับคืนร่างสู่สภาพเดิมแล้วและได้เข้าไปช่วยปลดปล่อย" พระถังซัมจั๋ง " กับพวก พ้องของตนทั้งหมด ให้เป็นอิสระให้แล้ว ทั้งหมดก็ออกเดินทางกันต่อไป เพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายปลาย ทางคือ " ชมพูทวีป " กันต่อไปอีก ครั้งหนึ่ง และเมื่อเดินทางต่อมาจนถึงภูเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่งที่ทั้งหมด จำเป็นจะต้องใช้เป็นเส้นทางผ่านไปนั้นเสียด้วย ก็ได้เกิดปรากฏว่าได้มีไฟแห่งนรกกำลังเผาใหม้ภูเขาลูก นั้นอยู่อย่างร้อนแรงและโชดช่วง " หงอคง " จึงจำเป็นจะต้อง เดินทางไปขอยืมพัดกายสิทธิ์จาก " นางพญาพัดทอง " ซึ่งได้มีไว้เป็นเจ้าของ เพื่อจะมาช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อันนี้เสีย
    แต่พอ " หงอคง " เดินทางมาถึงที่ปราสาทของ" นางพญาพัดทอง " แล้วและได้ออกปากขอยืมพัด กายสิทธิ์เพื่อไป ช่วยดับไฟนรกเข้าเท่านั้น" นางพญาพัดทอง " กลับโมโหฉุนเฉียวขึ้นมาแบบไม่มีปี่ มีขลุ่ยทันที " จะบ้าหรือ? ข้าไม่มี ทางให้ยืมหรอก กะอ้ายแค่ลิงที่ต่ำต้อยอย่างเจ้า " ด่าและโมโหใส่ อย่างเดียวยังไม่พอ ยังแถมหยิบพัดกายสิทธิ์ มา โบกพัดใส่" หงอคง " จนกระเด็นตามลมไปเสียไกล ลิบเลยทีเดียว คราวนี้" หงอคง " จึงย้อนกลับมาใหม่แล้วแปลงร่าง เป็นสามีของ" นางพญาพัดทอง " คือจ้าวแห่งปีศาจวัว ด้วยขอยืมกันดี ๆแล้วไม่ให้ก็จำเป็นจะต้องขืนใจเอากันแบบนี้เลยหละ " หงอคง " เมื่อแปลงร่างแล้วก็เดินเข้าไปในปราสาท แล้วตะโกนเรียกภริยาคือ" นางพญาพัดทอง " แล้วบอกว่า " ข้ากลับมาแล้ว...ร้อนจังวันนี้ หยิบพัดกายสิทธิ์มาให้ข้าด้วย เร็ว ๆ ร้อนเสียจริง ๆเลย "
    พอขณะที่" นางพญาพัดทอง " ได้ยื่นพัดกายสิทธิ์ให้ถึงมือของ" หงอคง " แล้ว ก็พอดีกับที่ผู้เป็นสามี ตัวจริงคือ จ้าวแห่งปีศาจวัว ได้กลับมาที่ปราสาทพอดี ความจึงแตก แต่ว่า" หงอคง " ได้พัดกายสิทธิ์ มาไว้ในมือเสียก่อน แล้ว จึงเกิดการต่อสู่กันขึ้นอยู่พักใหญ่ " หงอคง " ได้ใช้พัดกายสิทธิ์ โพกพัดจน ทั้งสองต้องกระเด็นออกไปเสียจน ไกลลิบ และต้องพ่ายแพ้ให้แก่ " หงอคง " ไปโดยปริยาย " หงอคง " ได้ย้อนกลับมาและได้มานำพัดกายสิทธิ์ไปโบก พัดไฟนรกที่กำลังเผาไหม้อยู่นั้นถึง สี่สิบเก้าครั้ง เลยทีเดียว ไฟนรกจึงได้ดับลงได้อย่างสนิท และได้เดินทางข้ามผ่าน ภูเขาลูกนั้นไปได้อย่างปลอดภัย

    และจากนั้นขบวนของ " พระถังซัมจั๋ง " และบริวาร ก็ได้เดินทางมาได้จนถึง " ชมพูทวีป " และได้อัญเชิญ พระ ไตรปิฎกกลับสู่ประเทศจีนได้อย่างปลอดภัยตามจุดมุ่งหมายและหน้าที่อย่างสมบูรณ์ และพร้อม สำเร็จด้วยแรง ศรัทธาสนับสนุนของบริวารทั้งสาม ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นหรือจัดอยู่ในจำพวกของปีศาจก็ตาม อย่างน่ายกย่อง และน่าสรรเสริญที่สุด พระคัมภีร์หรือพระไตรปิฎกที่ได้อัญเชิญมาจาก" ชมพูทวีป " หรือประเทศอินเดียนี้ เมื่อ " พระถังซำจั๋ง "ได้กลับคืนมาสู่ประเทศจีนแล้ว ก็ได้ขออนุญาติพระราชา สร้างสถูปไว้ที่ " วัดไต่ซื่อเองยี่ " เพื่อเป็นที่ เก็บรักษาให้ปลอดภัย ในการก่อสร้างนี้เล่าลือกันว่า " พระถังซัมจั๋ง " ท่านได้หาบและขนอิญด้วยตัวของท่านเอง อีกด้วย สถูปนี้สร้างขึ้นตามแบบและ รูปร่างเดิมเหมือนหรือเลียนแบบของเดิมของประเทศอินเดียไว้อย่างครบถ้วน ในการเดินทางทั้งหมด สู่ " ชมพูทวีป " ของ" พระถังซัมจั๋ง " ครั้งนี้ ได้เล่าลือกันว่าต้องใช้เวลาทั้งหมดถึง๑๘ ปีเลย ทีเดียว

    +----------จบ----------+
    http://www.phuketvegetarian.com/borad/data/2/0048-1.html
     
  8. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
     

แชร์หน้านี้

Loading...