ขอบคุณคุณกิ๊กมากเลยสำหรับอาหารเช้า แต่ว่าน้องน่ะ ทานมังสวิรัต มื้อเช้าและวันพระ เช้านี้เลยอดทานอาหารคุณกิ๊กเลย ไว้หลังเที่ยงทานกันก้อคงอร่อยเหมือนกันนะจ๊ะ ช่วงนี้นั่งสมาธิ ยังมีอาการชาที่ใบหน้าเหมือนเดิม บางทีนะเจอเจ็บที่หน้าอก (เคยอ่านที่ป้าสันโดษเขาบอกว่าเป็นบททดสอบ) แต่ก้อยังมีความพยายามที่จะปฏิบัติต่อไป ไม่ย่อท้อ เจริญในธรรมนะคะ คุณกุ๊กกิ๊ก ที่น่ารักของน้องหมั่นเพียร
หลวงพ่อพระราชพรหมยานสอนกรรมฐานเรื่องธัมมานุสสติถึงสมาบัติ ธัมมานุสสติถึงสมาบัติ ถ้าเราเจริญธัมมานุสสติกรรมฐานใคร่ครวญพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนั้นมีผลแค่อุปจารสมาธิ แต่ว่าถ้าพิจารณาแล้วบวกวิปัสสนาญาณเข้าไปด้วย นานๆเข้า กำลังก็จะรวมเข้าถึงปฐมฌาน ก็สามารถตัดกิเลสได้เหมือนกัน นี่เรามาพูดกันถึงว่าทำอย่างไรถึงจะเป็น ฌาน ๔ หรือฌาน ๘ ได้ อันดับแรก เรื่องตอนต้นเห็นจะไม่ต้องพูดกันเราตั้งใจจับรูปพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง คือพระพุทธรูปไว้เป็นนิมิตจากพุทธานุสสติกรรมฐาน การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นฌานเรายึดถือพระพุทธรูปเป็นนิมิตอยู่แล้วคราวนี้เราก็ถือพระพุทธรูปองค์นั้นเป็นพุทธานุสสติตั้งขึ้นไว้เป็นกสิณเดิม เวลาที่จะพิจารณาถึง ธัมมานุสสติท่านให้ตั้งจิตเพ่งไปคิดให้เห็นว่า มี ดอกมะลิแก้ว หล่นออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระพุทธรูปองค์นั้นนี่สร้างภาพเป็นภาพกสิณขึ้นมาว่าเป็นดอกมะลิแก้วแล้วดอกมะลิแก้วนี้ถือว่าเป็นธัมมานุสสติคือพระธรรมที่ไหลออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า นี่เขาจับนิมิตแบบนี้แล้วขอบอกไว้เสียเลยว่าการที่เห็นเป็นดอกมะลิแก้วไหลออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้านั้น คำว่าแก้วนี่ใสใสก็เป็นได้สองอย่างคือ โอทาตกสิณ หรือว่าอาโลกสิณถ้าเราถือภาพเป็นสีใสก็เป็นอาโลกสิณ ถ้าเราถือว่าดอกมะลิแก้วนี่ขาวใสใสแล้วก็ขาวก็เป็นโอทาตกสิณ แล้วเราก็จับภาพนั้น นึกถึงลมหายใจเข้าหายใจออกหายใจเข้าก็นึกว่า ธัม หายใจออกนึกว่า โม ภาวนาว่า ธัมโมแล้วจับภาพดอกมะลิแก้วนั้นให้ติดตาติดใจเป็นปกติ [IMG] ถ้าหากว่าจิตของเราเป็นอุปจารสมาธิเบื้องต้น ก็จะเห็นดอกมะลิแก้วตามที่อารมณ์นึก เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง มันก็ย้อนกันไปย้อนกันมา พอจิตเลื่อนลงไปนิดหนึ่ง จิตไม่เป็นสมาธิ อารมณ์ที่จะรู้สึกว่าเห็นดอกมะลิแก้วมันก็หายไป นี่เป็นเครื่องวัด ถ้าอารมณ์ใจเป็นสมาธิขึ้นมา อารมณ์ที่เราต้องการเห็นดอกมะลิแก้วมันก็ปรากฏ ถ้าหากว่าเราชำนาญมาจากพุทธานุสสติกรรมฐาน ได้ฌาน ๔ หรือฌาน ๘ แล้ว เรื่องนี้ก็เป็นของไม่ยาก เราก็สามารถจะผลิตธัมมานุสสติกรรมฐานให้ได้ถึงฌาน ๘ ภายใน ๗ วัน เมื่อพิจารณาแบบนั้นแล้ว จิตเป็นอุปจารสมาธิทรงตัว ดอกมะลิแก้วจะหยุดอยู่ เรียกว่ากองลงมาหรือลอยอยู่ข้างหน้า หยุดอยู่โดยเฉพาะ เมื่อหยุดอยู่อย่างนั้น เราสามารถจะบังคับให้ทรงอยู่ได้นานแสนนานตามกำลังที่เราต้องการ นี่ยังเป็นสมาธิเบื้องต้น เขาเรียกว่าอุคหนิมิต อุคหนิมิตตัวนี้ต่อไป จะขยายไปมองเห็นแล้วปรากฏว่าเรานึกว่าดอกมะลิแก้วใหญ่ขึ้นไป หรือว่าเล็กลงมา สูงขึ้นต่ำลง แล้วมีความสดใสสวยกว่า เรียกว่า อุปจารนิมิต เห็นเท่าภาพเดิมที่เรานึกอยู่ว่าจะเห็น อย่างนี้เรียกว่าเป็นอุคหนิมิต ถ้าบังคับให้ภาพนั้นเคลื่อนไปได้ ใหญ่ได้ เล็กได้ ใสกว่า เป็นอุปจารนิมิต อุปจารนิมิตนี่มีความสดใสมากขึ้น จิตทรงตัวมากขึ้น ดอกมะลิแก้วจะใส ขยายใหญ่โต ตัวเป็นประกายพรึก เมื่อดอกมะลิแก้วเป็นประกายพรึกแล้ว นี่เรากำลังปฏิบัติธัมมานุสสตินะ ภาวนาว่า ธัมโม แล้วก็สังเกตอารมณ์ใจ ใจเราสามารถได้ยินเสียงจากภายนอกได้ชัดเจนแจ่มใส แต่ว่าเราไม่รำคาญในเสียง นี่แสดงว่านิมิตนั้นเป็นปฏิภาคนิมิต จิตเข้าถึง ปฐมฌาน องค์ภาวนายังคงภาวนาอยู่ ภาพดอกมะลิแก้วสดใสสวยกว่าปกติขึ้นมา แล้วทรงตัวได้นาน เมื่อภาวนาไปภาวนาไป อารมณ์แห่งการภาวนาหยุดเฉยๆ ดอกมะลิแก้วใสกว่าเดิม ผิดปกติขึ้นมาอีกเป็นประกายพรึกสวยกว่าเก่า อย่างนี้เป็นอาการของ ฌานที่ ๒ คำภาวนาหายไป มีความชุ่มชื่นปรากฏ ต่อไป ความชุ่มชื่นหายไป ลมหายใจน้อยลง รู้สึกว่าลมหายใจมันเบามากเกินปกติ หูได้ยินเสียงภายนอกเบาๆ แผ่วเบามาก แล้วก็มีอาการเครียด ตัวตึง มีความรู้สึกเหมือนกับตัวตึง นั่งตรง ถ้านอนก็เหมือนกับนอนตรงตึงตัวเข้าไว้ แต่เราไม่ได้เกร็ง ความรู้สึกเป็นยังงั้น สีของดอกมะลิแก้วสดใสเป็นกรณีพิเศษ ใสแพรวพราว บอกไม่ถูก มันจับใจ ใหญ่ได้ เล็กได้ เคลื่อนไปข้างหน้าได้ เคลื่อนไปข้างหลังได้ เราจะให้อยู่สูงได้ อยู่ต่ำได้ รู้สึกว่ามีการคล่องตัวมากขึ้น อาการอย่างนี้เป็นอาการของ ฌานที่ ๓ ตอนนี้ภาวนาหายไปหมดแล้ว แล้วต่อมาดอกมะลิแก้วเป็นประกายพรึกหนาทึบ เป็นประกายแพรวพราว จับใจไม่ปรากฏลมหายใจ อย่างนี้เป็นอาการของ ฌานที่ ๔ ต่อไปเมื่อจิตจับภาพเป็นประกายพรึกของธัมมานุสสติ คือดอกมะลิแก้วสดใส เป็นกรณีพิเศษ ทรงอยู่ได้นานแสนนาน เพราะว่าเราได้ฌานมาจากพุทธานุสสติกรรมฐานแล้ว เป็นของไม่ยาก โดยมากเขาทำกันวันเดียว หนเดียวเขาได้ฌาน ๘ เพราะว่าฌานเดิมมันเป็นฌาน ๘ มาแล้ว อารมณ์มันเป็นแบบเดียวกัน อย่างมากมันก็จะขลุกขลักอยู่ในวันแรก พอวันที่สองก็ตรงทางโผง ถึงฌาน ๘ ไป ที่กล่าวมาแล้วนี้เรียกว่ารูปฌาน เต็มฌาน ๔ แล้ว ต่อไปเราก็จะทำธัมมานุสสติกรรมฐานให้เป็นฌาน ๘ ก็จับอรูปตั้งภาพนิมิต คือดอกมะลิแก้วที่เราคิดว่า เป็นพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นให้ทรงตัวอยู่มีอารมณ์จับนิ่ง เมื่อนิ่งพอ จิตสบายเป็นอุเบกขารมณ์ จิตขยับนึกว่าภาพนี้จงหายไป ขออากาศจงปรากฏอากาสานัญจายตนะ พิจารณาว่า เวลานี้ไม่มีอะไร ภาพหมดไปแล้ว มีแต่สภาพว่างเหลือแต่อากาศ ขึ้นชื่อว่าอากาศนี้หาที่สุดมิได้ ไม่มีอะไรทรงตัว ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ถ้ายังหลงอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสอยู่ มันก็จะมีแต่ความทุกข์ หาที่สุดมิได้ นี่มันใกล้วิปัสสนาญาณเข้าไปเต็มที แต่มันยังไม่ถึง ถ้าหากว่าเรายังมีตัวอยู่อย่างนี้ เราก็พบความทุกข์หาที่สุดมิได้ ความร้อน ความหนาว ความกระหาย ทุกข์ภัยต่างๆ ที่เกิดมาก็เพราะอาศัยร่างกายเป็นสำคัญ นับตั้งแต่นี้ไป เราไม่ต้องการร่างกาย เราไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ เป็นที่รับแห่งทุกข์ทั้งปวง เราไม่ต้องการ ต้องการอย่างเดียว ความหมดไปจากขันธ์ ๕ มีสภาพเหมือนอากาศ จิตใจมันก็จะทรงตัวมีความปกติ จิตนิ่งเป็นอารมณ์ของฌาน ๔ จิตทรงความสบายเป็นฌาน ๔ ได้ตามอัธยาศัย อย่างนี้เรียกว่าได้ อากาสานัญจายตนะฌาน เมื่อได้อากาสานัญจายตนฌานพิจารณาอากาศแล้ว ต่อไปก็ขยับขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง ขึ้นไปวิญญาณัญจายตนฌาน พิจารณาว่า ขึ้นชื่อว่าวิญญาณ ถ้ายังทรงสภาพอยู่ มันก็ยังรับรู้สภาวะของความสุขหรือความทุกข์ เราไม่ต้องการให้วิญญาณทรงสภาพ จับเป็นกลุ่มเป็นก้อน ต้องการให้วิญญาณนี้สลายไปเหมือนอากาศ มันจะได้ไม่มีความรับสัมผัสใดๆ ทั้งหมด แล้วอารมณ์จิตก็ตั้งเพ่งไปเฉพาะข้างหน้า เห็นภาพของวิญญาณ โดยนิมิตจับขึ้นแล้วกระจายวิญญาณให้สลายตัวไป ไม่มีอะไรเหลือ ถ้าอารมณ์อย่างนี้มันทรงอยู่ จิตได้ถึงฌาน ๔ ก็ชื่อว่าเราได้ วิญญาณัญจายตนฌาน ตอนนี้อากิญจัญญายตนฌาน อรูปฌานที่ ๓ จับภาพกสิณตั้งขึ้น ภาพกสิณนี่มีสภาพเหมือนกับสภาพของจิต ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ ก็ดี เราว่ายังงั้น วิญญาณก็ดี ถ้ามันยังมีอยู่ตราบใด มันก็ใช้ไม่ได้ มันก็จะประสบกับความทุกข์ ต่อไปนี้แม้แต่วิญญาณนิดหนึ่งก็จะไม่ปรากฏสำหรับเรา อากิญจัญญายตนะ แปลว่าไม่มีอะไรเลย เราเป็นผู้ไม่มีอะไรเหลือแม้แต่นิดเดียว แม้แต่ความรู้สึกนิดหนึ่งมันก็จะไม่ปรากฏ จิตทำลายภาพกสิณให้หายไป คือภาพดอกมะลิแก้วให้หายไป มีแต่อากาศว่างเปล่า จิตมีความสุข เพ่งอยู่เสมอว่า เราต้องการไม่มีรูป ไม่มีสภาพแบบนี้ เราจะไม่มีทุกข์ นี่ถ้าจิตทรงถึงฌาน ๔ แล้วก็ชื่อว่าเราได้ฌาน ๗ อากิญจัญญายตนฌาน แล้ว อรูปฌานที่ ๔ ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ หวนกลับมาจับกาย จับวิญญาณ จับจิต จับร่างกายของเรา ว่าเวลานี้เรายังมีร่างกายอยู่ มันรับทุกข์ เรามีอายตนะมันรับทุกข์ เรามีวิญญาณ เรายังมีอาการรับสัมผัส มันรับทุกข์ ไม่ใช่รับสุข ชีวิตของเรามันไม่มีการรับสุข มันรับแต่ทุกข์ ต่อไปนี้ถึงแม้ว่าเรายังจะอยู่ในร่างกายนี้ก็ตามที เราจะทำความรู้สึกเหมือนว่าเป็นคนไม่มีสัญญา เนวสัญญานาสัญญายตนะ ท่านบอกว่ามีสัญญาและมีอายตนะแต่ทำเหมือนคนไม่มีสัญญา ทำเป็นเหมือนคนไม่มีอายตนะ อายตนะก็ได้แก่ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัญญาก็ได้แก่ความจำ จำว่านี่หนาว นี่ร้อน นี่เปรี้ยว นี่เค็ม นี่เผ็ด นี่อุ่น อะไรก็ตาม มันจำได้ สัญญาแปลว่าความจำ ตอนนี้ไม่อยากจะจำ ปล่อย มันจะร้อนมา มันจะหนาวมา มันจะยังไงก็ช่างหัวมัน ทำเหมือนกับคนตายแล้ว ทำเหมือนคนไม่รู้สึกแล้วจิตมันก็ทรงได้ มันจะหนาว มันจะร้อน มันจะหิว มันจะกระหายก็ตาม ฉันไม่หิวด้วย แกอยากหิวก็หิว ฉันไม่หิว จิตมันอยู่ในความสงบ อันความหิวมันก็ไม่เกิด เมื่อหนาวมาจริงๆ เอ้ามันจะยังไงก็ช่าง ฉันไม่หนาว เอาจิตเข้าไปตั้งฌาน ๔ มันก็ไม่หนาว เรียกว่ามีสัญญาเหมือนกับไม่มีสัญญา มีวิญญาณ เหมือนกับไม่มีวิญญาณ มีอายตนะ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง รูปสวยเสียงเพราะฉันไม่สนใจ รูปไม่สวยเสียงไม่เพราะฉันไม่สนใจ รสอาหารมันจะเป็นยังไงฉันไม่สนใจ มีอายตนะแล้วทำเหมือนไม่มีอายตนะ ตาเห็นรูปเหมือนไม่เห็น เห็นแล้วก็ไม่มีความสนใจ ว่าไอ้พวกนี้มันสลายตัวหมด ต่อไปมันก็ไม่มี นี่มันใกล้วิปัสสนาญาณมาก ฉะนั้น พวกที่ได้สมาบัติ ๘ จึงเจริญวิปัสสนาญาณไม่เกิน ๑ อาทิตย์ ได้อรหัตผล และเป็นปฏิสัมภิทาญาณ นี่พิจารณาตามนี้จนจิตชิน ก็ชื่อว่าเราได้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันก็ไม่ยากเพราะเราพูดกันมาถึงพุทธานุสสติมาแล้ว การระงับนิวรณ์ การทรงเมตตา การทรงพรหมวิหาร ๔ การทรงศีล เราพูดกันมาแล้ว แล้วเราก็ได้พุทธานุสสติกรรมฐานเป็นสมาบัติ ๘ มาแล้ว แล้วเรื่องอะไรล่ะจะต้องมานั่งคลำธัมมานุสสติกรรมฐานกันถึง ๗ วัน เขาคลำกันไม่เกิน ๓ วัน เป็นอย่างช้า คือวันแรกขลุกขลักนิดหนึ่ง วันที่สองเอาไปกินเสียแล้ว วันที่สามซ้อมให้มีการทรงตัว แล้วหลังจากนั้นเขาจับสังฆานุสสติต่อไปถึงฌาน ๘ อีก นี่เป็นวิธีการที่จะพึงรู้ เป็นหลักวิชา แต่ว่าหลักวิชาจริงๆ อนุสสติท่านบอกว่าให้ใช้ได้แต่เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น นี่ตามแบบอนุสสติเดิม ตอนนี้เราก็มาดัดแปลงแก้ไขให้เกิดเป็นฌานได้ มันจะเป็นไรไป ไม่ผิด ก็เอาอนุสสติมาเป็นกสิณเสียมันก็หมดเรื่องกันไป นี่เขาทำกันได้แล้วจิตมันก็ทรงตัวดี ถ้าจิตมีความมั่นคง แล้วได้ถึงสมาบัติ ๔ หรือสมาบัติ ๘ แล้ว เวลาจะเจริญวิปัสสนาญาณมันก็เป็นของง่าย มันไม่มีอะไรจะยากนี่จำไว้เป็นพื้นฐาน ว่าเราสามารถดัดแปลงอนุสสติเป็นกสิณได้ เป็นกสิณแล้วก็ถือเอาพระธรรม เอาพระพุทธ เอาพระสงฆ์ เอาเข้ามาเป็นกสิณนั้นเอง เมื่อเป็นกสิณแล้วเราก็ทำฌาน ๔ ให้เกิดขึ้นได้ อย่าว่าแต่ฌาน ๔ เลย ฌาน ๘ ก็ย่อมได้ นี่การมีสมาธิจิตทรงตัวมันดีอย่างนี้ จากหนังสือ กรรมฐาน ๔๐ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ที่มา http://www.geocities.com/4465/samadhi/4032.htm
เหนื่อยจังเลยเอาบุญมาฝากวันนี้ไปทอดกฐินที่วัดท่าซุงมากับทางเวปอ่ะ ขากลับไปปรียนันท์สถานมาด้วยไปวางศิลาฤกษ์พระเจดีย์บนเขามา หนุกหนาน เหนื่อยกายแต่อิ่มใจสุด ๆ อิอิ
[IMG] อนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะคุณกิ๊ก วันนี้ไปทอดกฐินที่วัดท่าซุงมาใช่ไหมค่ะ เห็นบอกว่าแวะปริยานันท์ด้วย ดีใจด้วยนะค่ะ ที่มีโอกาสไปงานบุญใหญ่ วันนี้อุ้มทำงานค่ะไม่ได้หยุดเลยอดไปงานกฐินทุกงานแม้แต่วัดใกล้บ้านก็ไม่ได้ไปค่ะ
[IMG] POWER OF NOW พลังแห่งจิตปัจจุบัน The Power of Now has been widely recognized as one of the most influential spiritual books of our time. เป็นหนังสือที่ดังมากๆ ที่อเมริกา และ ขายดีตลอดกาลด้วยคะ พอดีเมืองไทยมีคนเอามาเเปล สันโดษ อยากให้คุณได้อ่าน ช่วงวันหยุดนี้ คุณจะได้ เรียนรู้อะไรดีๆ เพิ่มขึ้นอีกนะคะ สันโดษมีอยู่หลายเล่ม เดี๋ยวจะเอาไปฝาก เพื่อนอีกหลายคน เหมือนกัน ถ้าอยากได้เพิ่มก็บอกได้นะคะ เดี๋ยวเอามาให้อีก..นะเอย นะเอย
ช่วยสันโดษ กระจายข่าว FW Mail ด้วยนะคะ อ่านเเล้ว น้ำตาคลอ เลยคะ (ปกติเฉยๆกับการ FW Mail...เเต่ครั้งนี้เห็นเเล้วรู้สึกดีจริงๆ) ที่นี้ เป็น เหมือนสถานรับเลี้ยงเด็ก เเต่ เด็กทุกคนที่นี้ พระท่านให้ บวชสามเณรคะ น่าสนับสนุน สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเเบบนี้คะ >>>>>> โรงเรียนปริยัติธรรม [IMG]
กุหลาบสีแดงส่งกลิ่นซึ้งใจ แด่ดวงฤทัยให้แทนคำรักเธอ อยากเอ่ยวาจาว่าพี่เพ้อเพ้อ เฝ้าแต่คิดถึงเธอทุกคืนและวัน กุหลาบสีแดงฝากแรงรักไป แด่ดวงฤทัยด้วยดวงใจรักมั่น กลิ่นที่หอมหอม กล่อมให้ฝันฝัน ดุจใจฉันฝันครวญถึงนวลอนงค์ ฝากรัก รักจริงจากใจ มอบไว้ให้เธอดำรง รักพี่มีใจอันมั่นคง ซื่อตรงต่อเธอคนเดียวมิคลาย กุหลาบสีแดงแห่งความรักเอย หากเธอเฉยเมยอกเอยคงหมองไหม้ โปรดจงรับรักอย่าหักดวงใจ อย่าให้ฝันพลันสลายมลายดับเลย ฝากรัก รักจริงจากใจ มอบไว้ให้เธอดำรง รักพี่มีใจอันมั่นคง ซื่อตรงต่อเธอคนเดียวมิคลาย กุหลาบสีแดงแห่งความรักเอย หากเธอเฉยเมยอกเอยคงหมองไหม้ โปรดจงรับรักอย่าหักดวงใจ อย่าให้ฝันพลันสลายมลายดับเลย [IMG]