ร่วมทอดผ้าป่า 84,000 กอง สร้างตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลอุดรธานี โดยหลวงตามหาบัว http://board.palungjit.com/showthrea...60#post1693460
ท่าทางนายจะเพิ่งศึกษาศึกษา นี่เป็นข้อคิดเล็กน้อยจากการอ่านหนังสือ การคิดและการใช้ชีวิตและความเชื่อนะครับของผมเอง ตราบใดที่ยังมีจิตบริสุทธ์ พุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ เพราะเหตุที่เกิดจาก ความจริง เป็นสัจธรรม ไม่ขึ้นกับกาลเวลา เพราะอาศัยกรรมเป็นใหญ่ เมื่อใดมีการกระทำ ย่อมมีผลของการกระทำ หากแต่จะมากจะน้อยหรือไม่ให้ผล ต้องมีเหตุมาอธิบายได้เสมอ แต่เพราะเป็นเรื่องอจินไตย การคาดเดานั้นอาจจะเหนือวิสัยของสามัญชน และทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมตั้งอยู่ มีการเปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา เราจึงควรศึกษาและเข้าใจให้ลึกซึ้ง เพื่อตอบคำถามว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร จะทำอะไรต่อไปในภพนี้ ก่อนที่จะไม่สามารถควบคุมกายเนื้อนี้ได้ เนื่องจากมีดวงจิตมากมายนับไม่ถ้วนจำนวนจากอนันต์ถึงอนันต์ ได้มีการเวียนว่ายตายเกิดของสังสารวัฎ ด้วยอำนาจแห่งกรรมและผลของกรรม เกิดและดับ เปลี่ยนสภาพ จากภพภูมิหนึ่งสู่อีกภพภูมิหนึ่ง ลำดับนั้นก็ได้อุบัติผู้ที่ตรึกตรองในความเบื่อหน่ายต่อการเวียนว่าย ตาย เกิด สมาทานตนเป็นผู้ลอยบาปบำเพ็ญบุญ เมื่อยังบารมีของตนเต็มเปี่ยมแล้วจึงรู้แจ้ง ในกฏแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นรู้ซึ่งทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ ทางดับทุกข์ ตรัสรู้ด้วยลำพังพระองค์เอง เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่สมเด็จพระองค์ปฐมบรมครู มาถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และพระอรหันต์ที่ตรัสรู้ตามพระองค์นั้น เราเชื่อว่ามีมากมาย ยิ่งกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทร แต่จิตที่ยังไม่ข้ามพ้นถึงฝั่งพระนิพพานนั้นมีมากกว่ามาก ด้วยศรัทธา อันนี้ เราจึงศึกษาพระพุทธวัจนะ ธรรม และเรื่องราวของศาสนาพุทธ ทั้งในพระพุทธเจ้าอดีต และพระพุทธเจ้าในอนาคต พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ และพระผู้ทรงคุณอื่นๆ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต ตลอดจนเลือกหนทางที่จะบรรลุธรรมอันสูงสุดคือพระนิพพาน เพราะเหตุที่ได้ระลึกถึงตนในอดีต ที่ได้กระทำไว้ก่อนแล้วส่งผลถึงปัจจุบัน การกระทำในปัจจุบันก็ส่งผลในอนาคตเช่นกัน เพื่อการดำรงชีวิตในปัจจุบันและ เพื่อการนำตนให้ข้ามถึงฝั่งพระนิพพานในอนาคต นั่นแหละ คือ พุทธลึกซึ้งกว่าชาวพุทธทั่วไป แต่ไม่ได้งมงายเพ้อเจ้อ เป็นความเชื่อที่อาศัยปัญญา และอุบายเพื่อพัฒนาจิตให้สูงขึ้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้แล้วในอดีต ตั้งแต่องค์ปฐมบรมพุทธเจ้า จนถึงพระโคตมะพุทธเจ้าที่ยังพระสัทธรรมและธรมมจักรให้หมุนอยู่ ปลดเปลื้องทุกข์ของมหาชนในปัจจุบัน และพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต พระ ธรรมที่พระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้ทรงแสดงไว้ พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองแต่มิได้ประกาศพระศาสนา และพระสงฆ์หมู่ใหญ่ที่ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยเศรียรเกล้า อย่าคิดมากแต่รู้ไว้ว่ามันเป็นเช่นนี้คนที่รู้เรื่องพวกนี้เป็นพุทธdeep พวกลึกซึ้ง ความจริงคนที่รู้เรื่องพวกนี้มีเยอะ บางคนรู้เยอะแต่งมงาย(ศรัทธาเกินเหตุ) บางคนรู้น้อยแต่มัปัญญาคิดเองเข้าใจง่าย พออ่านและฟังๆ คิดๆแล้วเข้าใจด้วยเหตุและผล ผมเชื่อว่าคนเหล่านั้นเคยรู้เคยทำมาแต่ปางก่อน แต่คนที่ไม่รู้เลยกลับมีเยอะกว่ามากๆ ไงก็ลองๆอ่านดูแล้วกันนะครับ ถ้าเป็นพุทธแบบdeepจริงๆจะต้องมีทางเดินที่ได้เลือกไว้เเล้วว่าไปสู่ทางพ้นทุกข์โดยวิธีใด โดยตั้งใจว่าเราจะไปพระนิพพานทางสายไหน ในทางเดินที่มีอยู่สี่ทางหลัก(ไม่ได้เอาทางสู่สุขติ เช่น สวรรค์ พรหม มารวมด้วยเพราะยังไม่ได้พ้นทุกข์) คือ 1.ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองและโปรดสั่งสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ยิ่งใหญ่ ก็ต้องบำเพ็ญบ่มเพาะบารมีมานาน นานมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขึ้นกับว่าเป็นแบบไหน(มีการจำแนกประเภทไว้ตามบารมีการบำเพ็ญเพียร) 2.เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองแต่ด้วยเห็นว่าธรรมนั้นสู่งส่งยากเกินที่มนุษย์ในยุคนั้นจะรู้ตามได้จึงรู้เองไม่ได้สั่งสอนผูอื่น ชาติอื่นๆก็บำเพ็ญบารมีเองบ้าง บำเพ็ญตามผู้อื่นเป็นครูเช่นพระพุทธเจ้าบ้าง แต่ชาติสุดท้ายต้องสู้คนเดียว บำเพ็ญเองตรัสรู้ รู้เอง 3.เป็นพระอรหันตสาวกผู้ตรัสรู้ตาม พระพุทธเจ้า 4.เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป(เช่นพระอนาคามีที่จะเป็นอรหันต์ในพรหมชั้นสุทธาวาสและนิพพานในชั้นนั้น) สัตว์ใดรู้ทางและพยายามเดินไปตามทางระมัดระวังตนไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ต่ำ บำเพ็ญบุญละบาป บ่มเพาะบารมี เราเรียกหมู่สัตว์เหล่านั้นว่าโพธิสัตว์ ซึ่งจำแนกได้สองประเภทคือ นิตยโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นพวกที่จะได้ตรัสรู้แน่ๆ มีกำหนดชัดเจนว่าเหลืออยู่เท่าไหร่กี่ชาติกี่ภพ กับอนิตยโพธิสัตว์ผู้ไม่เที่ยงแท้ยังมีโอกาสตกไปสู่โลกที่ชั่วช้าได้(ยังมีจิตหลงไปทำกรรม ทำบาป ทำสิ่งไม่ดี)อันหลังเนี่ยใครจะเป็นก็ได้แต่ต้องอาศัยความพยายามพัฒนาตัวเองให้เป็นอย่างเเรกให้ได้ ในปัจจุบันสมัยเราสบายหน่อยเพราะมีพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้และมีพระมหากรุณาโปรดสั่งสอนสัตว์ได้ชี้ทางให้โดยตรัสถึงหลักธรรมและคุณธรรมเหตุแห่งโพธิสัตว์ไว้และการตั้งความปราถนาไว้เพื่อเป็นแนวทางให้แก่หมู่สัตว์ผู้ยังบารมีไม่พอที่จะตรัรู้ตามธรรมะของพระองค์ในชาติหรือในกาลสมัยนี้ถ้าสนใจก้ต้องศึกษาต่อไปอีกนะ(นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อหมู่สัตว์โดยแท้) ใครที่บารมีเต็มพร้อมและต้องการออกจากทุกข์ก็ตรัสรู้ตามพระองค์ไป สรุปว่าเราเกิดมาเพราะอวิชชา(ความไม่รู้)เป็นเหตุ การออกจากทุกข์คือการหยุดเกิด การหยุดเกิดคือพระนิพาน ดังนั้นเราถ้าเห็นภัยในสงสารวัฏ(การเวียนว่ายตายเกิดแล้ว)เรามีชีวิตและการดำเนินอยู่เพื่อเดินไปสู่พระนิพพาน โชคดีที่เราได้เกิดในสมัยที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้น พระองค์ได้ตรัสสอนถึง อริยมรรค กุศล กรรม ทั้งหลายเหตุและปัจจัยทั้งหลาย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อหมู่สัตว์จริงๆ(คือแบบว่าพระองค์ตรัสรู้แล้วไปดีแล้ว สามารถที่จะเดินไปโดยไม่ได้บอกใครเฉกเช่นปัจเจกพุทธทั้งหลายแต่ด้วยตวามที่มีพระมหากรุณาจึงได้ประกาสศาสนาพุทธขึ้น) ทำให้เราเหล่าสัตว์ผู้ตาบอดด้วยความหลง รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร บางพวกรู้ตามบางพวกยังไม่รู้ตามเพราะเหตุคือ จำพวกแรกมีปัญญาบารมีแก่กล้าพอที่จะตรัสรู้ตามแต่ได้ตั้งความปราถนาไว้ว่าจะตรัสรู้เองพวกนี้จะเรียนรู้หลักธรรมเพื่อพัฒนาตนให้ดีขึ้น สะสมบารมีให้มากขึ้นจนเต็มเปี่ยม จำพวกนี้มีความรักและเคารพพระพุทธเจ้ามากเพราะท่านเป็นผู้ชี้แนวทางไม่ให้เหล่าสัตว์ที่บารมีอ่อนอยู่หลงทาง คนเหล่านี้เรียกว่าพุทธภูมิและปัเจกพุทธภูมิโดยมีการจำแนกประเภทไปอีกโดยอาศัยบารมี ปัญญาวิริยะ ศรัทธา ส่วนมากเป็นนิตยโพธิสัตว์ จำพวกที่สองคือเหล่าสัตว์ที่เคยรู้ทางแล้วจะตั้งความปราถนาไว้หรือไม่ได้ตั้ง หรือตั้งไว้แต่ไม่มั่นคง และบารมียังไม่เพียงพอที่จะตรัสรู้ตามต้องสะสมบารมีต่ออีก ถ้าโชคดีก็บังเกิดในภพดีมีกัลญาณมิตร(จะว่าโชคดีก็ไม่ใช่ เพราะทุกอย่างมีเหตุและปัจจัย บารมีเข้าขั้นมากกว่า เพราะบารมีอ่อนยังมีโอกาสทำชั่วก็ต้องตกไปสู่โลกที่ชั่วได้) จำพวกที่สามเหล่าสัตว์ที่ยังไม่เคยรู้สัจธรรมและทางนี้เลย ยังต้องศึกษาอีกยาวไกล(อันนี้น่าสงสารอย่างแรง จะดีขึ้นได้ต้องอาศัยสองจำพวกแรก และพระผู้ไปดีพ้นแล้วทั้งหลาย แสดงธรรมให้เป็นนิสัย และปัจจัย แต่ก้ขึ้นกับปัญญาของผุนั้นด้วยว่าจะเห็นว่าเป็นสิ่งดีหรือไม่ เฮ้อเหนื่อยใจ ได้แต่วางอุเบกขาถ้าเราได้เมตตาและกรุณาสงเคราะห์แล้ว ก็ปล่อยไปตามกรรม ตามเหตุตามปัจจัย ไม่เสียใจที่ได้บอกกล่าว) เมื่อฟังคำบอกเล่าแล้ว จงตอบคำถามในใจตัวเองคือ เราเห็นภัยในสงสารวัฎหรือไม่ ชีวิตมีความทุกข์หรือไม่ มีใครบ้างที่ไม่มีควาทุกข์ เรามีความเบื่อหน่ายในการเกิดหรือไม่ หากจะตรัสรู้หรือบรรลุธรรม และออกจากทุกข์แล้วเราขอตั้งความปราถนาไว้ว่าจะเดินไปทางสายใด แล้วแนวทางเดินไปสู่พระนิพพานทางนั้นทำอย่างไร แล้วปัจจุบันเรากำลังทำอะไรอยู่ ชีวิตเป้นสิ่งไม่แน่นอน ความตายเป้นสิ่งแน่นอน วันนี้เรายังโชคดีที่ยังเห็นรอยพระบาทของพระศาสดา หากต่อไปจิตดับลง กายแตกแล้ว จะเสียดายที่ปล่อยให้รอยพระบาทจางหายไป เพราการเกิดของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป้นสิ่งยากยิ่ง เราต้องหลงทางไปอีกนาน หากไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติเป็นประจำ แค่ท่องจำวันนี้พรุ่งนี้ยังลืมเลยนับประสาอะไรกับชาติหน้า อย่างน้อยวันนี้เราได้อะไร ถ้าเราปฏิบัติและศึกษาอยู่เป็นนิจ แม้นไม่ได้บรรลุในชาตินี้ขอให้ติดเป้นนิสัยเป็นปัจจัย ในชาติหน้าๆ หากเคราะห์ร้ายด้วยกรรมใดก็ตามเราได้เกิดในยุคหรือภพที่เราเกิดไม่มีโอกาสได้ยินหรือได้เห็นพระสัจธรรม จากพระพุทธเจ้าหรือไม่ได้เกิดในร่มเงาของพระพุทธศาสนา ซ้ำร้ายกว่านั้นไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้น ก็ขอให้ให้รู้ว่าสิ่งใดเป้นบุญสิ่งใดเป็นบาป รู้ทุกข์เข้าใจสัจจธรรม ไม่หลงทำสิ่งชั่วช้าสามาน ตกนรกหรือเกิดในพรหมโลกที่มีอายุไขเนิ่นนานเกินไปก็พอ แต่ที่แน่ๆ ด้วยสติที่มีอยู่ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอริยบุคคลทั้งหลาย ตั้งแต่สมเด็จพระองค์ปฐมเป็นต้นมาจนถึงองค์ปัจจุบัน ข้าพเจ้าขอผูกขาดจองขาดเกิดในศาสนาพุทธทุกชาติภพ ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาดี มีกำลังและโอกาสเรียนรู้และปฏิบัติธรรมะ ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไปทุกชาติภพจนกว่าจะบรรลุปัจเจกโพธิญาณด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ เพราะทางเดินของเรายังอีกยาวไกล สู้ต่อไป นะสัตว์ผู้ดิ้นรนออกจากทุกข์
หวาดดี ครับ เป็นกระทู้แรกของผม ช่วยเข้าไปอ่านด้วยนะ ครับ ;welcome2ผิด หรือ ถูก ใคร คือคนกำหนด ;welcome2 http://board.palungjit.com/showthread.php? p=1520181#post1520181
ขออภัยถ้าหากตอบกลับช้านะครับ เพราะเนื่องจากมีคนดูเยอะมากครับ ขออภัย จิงๆ ครับ แต่พยายามจะดูให้ ครบทุกท่านนะครับ...