ควายธนู

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 16 มีนาคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    คอลัมน์ ขนหัวลุก

    ใบหนาด

    "แพรทอง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากกำแพงเพชร

    คนสมัยใหม่ได้ยินคำว่า " เครื่องรางของขลัง" อาจจะหัวเราะเยาะก็ได้นะคะ คิดว่าเป็นเรื่องล้าหลัง คร่ำครึ เป็นความเชื่อถืออย่างงมงายของคนโบราณ สมัยนี้กลายเป็นของตกยุคไปแล้ว

    ช้าไว้ก่อนค่ะ ใจเย็นๆ อาจจะล้าหลังก็จริง แต่อย่าเพิ่งดูหมิ่นว่าบรรพบุรุษของเราเป็นคนงมงายเอาง่ายๆ สิคะ

    ถ้าพวกท่านโง่เขลาเบาปัญญา เชื่อถืออะไรลมๆ แล้งๆ ไร้เหตุและผลอย่างที่หลายๆ คนกล่าวหา ที่ไหนจะรักษาบ้านเมืองให้พวกเราได้อยู่อาศัยกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงทุกวันนี้ล่ะคะ จริงมั้ย?

    เชื่อถือโดยใช้สติปัญญากับงมงาย เป็นเรื่องแตกต่างกันค่ะ!

    คนสมัยก่อนท่านเสกน้ำล้างหน้า, เสกหมากพลูก่อนส่งเข้าปากเคี้ยว, สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน, ถือฤกษ์ถือยามอย่างเคร่งครัด เช่น เผาผีวันศุกร์, โกนจุกวันอังคาร, แต่งงานวันพุธ อะไรพวกนี้ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม แต่เมื่อมีคนเกิด-ตายมากขึ้น การเผาผีวันศุกร์ก็ต้องอนุโลมกัน

    พูดถึงดูฤกษ์ดูยาม คนสมัยนี้จะแต่งงานหรือปลูกบ้าน เริ่มงานใหม่งานใหญ่ก็นิยมดูฤกษ์ดูยามไม่ใช่หรือคะ แถมตั้งบายศรี มีเครื่องบัตรพลีพร้อมสรรพอีกต่างหาก

    พวกตะกรุด, ลูกอม, ปลัดขิก, คดต่างๆ ไม่ว่าคดปลวกหรือคดขนุน เชื่อว่าป้องกันอันตรายและเป็นเมตตามหานิยมอย่างยิ่ง ไม่ว่าใครต่างก็เสาะหามาไว้ติดตัวเพื่อเป็นสิริมงคลทั้งนั้น

    รักยม-ยม, กุมารทอง, สีผึ้งทาปาก ก็เชื่อว่าเป็นเสน่ห์ทางเมตตาอย่างหนึ่ง

    "ควายธนู" เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่บางท่านอาจจะไม่ทราบว่าเป็นอะไรกันแน่?

    ถ้ากล่าวรวมๆ ถึงเครื่องรางของขลัง ควายธนูถือเป็นของขลังชนิดหนึ่งพอๆ กับหุ่นพยนต์หรือกุมารทองนั่นแหละ ประโยชน์คือใช้ป้องกันตัวและครอบครัว หรือไม่ก็ใช้ทำร้ายศัตรู ส่วนจะมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเรา

    สมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่กำแพงเพชร หรือ "เมืองชากังราว"

    เป็นบ้านเมืองเก่าแก่มาก รุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยทวาราวดี เป็นที่ตั้งของเมืองสมัยโบราณหลายเมือง เช่น ชากังราว, นครชุม, ไตรตรึงษ์และเมืองเทพนคร เป็นต้น

    กำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่านของสุโขทัย เดิมชื่อชากังราว มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง เป็นเมืองหน้าด่านที่ต้องรับศึกสงครามในอดีต ปรากฏอยู่ทั้งกำแพงคูเมือง, ป้อมปราการ และวัดโบราณ

    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกเรื่องกำแพงเมืองไว้ว่า

    "เป็นกำแพงเมืองที่เก่าแก่มั่นคง และยังมีความสมบูรณ์มาก และเชื่อว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย"

    พวกเราชาวกำแพงฯ มีความภาคภูมิใจมากค่ะ เมื่อองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมสหประชาชาติ (UNESCO) ให้ขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2534

    ขออวดคำขวัญประจำจังหวัดกำแพงเพชรหน่อยนะคะ

    "กรุพระเครื่อง เมืองคนแกร่ง ศิลาแลงใหญ่ กล้วยไข่หวาน น้ำมันลานกระบือ"

    ครอบครัวดิฉันทำสวนกล้วยไข่สืบต่อกันมาหลายชั่วคนแล้วค่ะ กินกระยาสารทกับกล้วยไข่ ถ้าเป็นคนสมัยนี้ต้องบอกว่า...เป็นอะไรที่อร่อยสุดๆ เลยเชียว!

    ขณะนั้น พ่อกับลุงเป็นคนดูแลสวนกล้วย อายังเป็นวัยรุ่นเพื่อนเยอะ นิสัยชอบเที่ยว พวกพี่ๆ คือพ่อกับลุงก็ตามใจเห็นว่าเป็นน้องคนเล็ก แต่ปู่ดิฉันบอกให้ช่วยกันตักเตือนดูแล หาไม่จะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้

    จริงด้วยค่ะ วันหนึ่งพบว่ากล้วยในสวนถูกฟันยับ ทั้งที่ยังอ่อนๆ อยู่ทั้งนั้น

    ได้ความว่าอาเล็กไปมีเรื่องกับพวกในสวนใกล้ๆ เลยโดนแก้แค้นด้วยวิธีนี้ ปู่บอกให้เฉยๆ ไว้ จะจัดการป้องกันเอง ไม่ต้องกลัว!

    ปู่ดิฉันอายุหกสิบเศษแล้ว ได้ชื่อว่าเก่งทางคาถาอาคมและวิชาไสยศาสตร์รอบตัว ห้องของปู่อยู่ริมสุด ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปนอกจากปู่เรียก...ดิฉันเคยเข้าไปเมียงๆ มองๆ เห็นอับทึบ มีโต๊ะพระบูชากับมีดและไม้ ดาบเล่มใหญ่แขวนไว้ที่ข้างฝา

    วันต่อมา สวนเราก็โดนบุกรุกมาฟันกล้วยทิ้งแบบรังแก...แต่คราวนี้ไม่มากเหมือนครั้งแรก พ่อกับลุงบอกว่าเห็นเลือดหยดเป็นทางแล้วหายไป

    ปู่ชวนพวกเราเดินไปเรื่อยๆ เหมือนจะรู้จุดหมายดี นั่นคือบ้านลุงขำกับป้าถ้วน...ได้ยินเสียงครางโอยๆ มาจากในเรือน สองผัวเมียออกมาคุกเข่าไหว้ปู่ บอกว่าขอชีวิตลูกชายด้วยเถิด ต่อไป "ไอ้แผ้ว" คงจะไม่กล้าไปลองดีที่สวนของเราอีกแล้ว

    ดิฉันได้ยินปู่สั่งให้เรียกนายแผ้วออกมา...คู่อริของอาเล็กนั่นเอง!

    นายแผ้วยกมือไหว้ขอโทษ เห็นเลือดซึมที่ชายโครงขวาเป็นดวงๆ ปู่สั่งให้ลุงขำกับป้าถ้วนชดใช้ค่าเสียหายมา ทั้งสองก็ทำตามโดยดี ก่อนกลับปู่ส่งขวดน้ำมันเล็กๆ เท่าขวดยานัตถุ์ให้ บอกว่าใช้ทาแผล...ถ้าขืนทำชั่วอีกครั้ง โดนควายขวิดตายแน่ๆ เล่นเอานายแผ้วหน้าซีดตัวสั่นไปเลย

    เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อกับลุงแยกกันไปทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปู่พาดิฉันเข้าไปในห้อง หยิบควายตัวเล็กๆ ที่ทำจากฟางหญ้า มัดด้วยเชือกขาวๆ ทั้งตัวให้ดูบอกว่า นี่ไงควายธนูที่ปู่ให้มันไปเฝ้าสวนเมื่อคืนนี้...

    ดิฉันหายสงสัยแล้วเมื่อเห็น "เขา" ข้างหนึ่งของ "ควายธนู" มีเลือดแดงๆ ติดหูติดตามาถึงทุกวันนี้!
     

แชร์หน้านี้

Loading...