บทความให้กำลังใจ(แก้ทุกข์ที่ใจ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    สุขภาพกับมิติทางสังคมและจิตใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    สุขภาพของบุคคลแม้กระทั่งในทางกายนั้น ผูกพันแนบแน่นกับสุขภาวะทางใจและทางสังคม จิตใจที่แช่มชื่น เป็นสุข ไม่เครียด ความสัมพันธ์ที่ราบรื่น ไม่ร้าวฉาน เป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพของบุคคล หากมีปัญหาทางจิตใจและความสัมพันธ์ทางสังคมแล้ว บุคคลก็สามารถล้มป่วยได้ โดยที่การล้มป่วย (illness)นั้นอาจไม่เกี่ยวข้องกับโรค (disease) เลย ด้วยเหตุนี้ การปลอดโรคจึงไม่ใช่หลักประกันแห่งสุขภาพอย่างแท้จริง เพราะถึงแม้ไม่เป็นโรค แต่ก็อาจล้มป่วยได้ด้วยสาเหตุทางจิตใจและความสัมพันธ์ทางสังคม ทัศนะที่ว่า สุขภาพหมายถึงการปลอดโรค จึงไม่ครอบคลุมเพียงพอ นอกจากจะเน้นเฉพาะมิติทางกายภาพแล้ว ยังเป็นการมองสุขภาพในเชิงลบ เพราะสุขภาพที่แท้จริงเกิดจากสภาวะที่เป็นบวกทั้งในทางกาย ใจ และสังคม คือร่างกายแข็งแรง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดี ใจเป็นสุข แช่มชื่น รู้จักมองในแง่บวก ส่วนความสัมพันธ์กับผู้อื่นก็เป็นไปอย่างราบรื่น กลมเกลียวกัน

    ด้วยเหตุนี้ เมื่อล้มป่วย สิ่งที่ขาดไม่ได้ในกระบวนการรักษาก็คือการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง เช่น การกินที่ถูกสุขลักษณะและสมดุล ห่างไกลจากยาเสพติดและสารพิษ การนอนและพักผ่อนอย่างพอเพียง รวมทั้งการอยู่ในสถานที่เอื้อต่อสุขภาพ มีอากาศและน้ำสะอาด ไม่อุดอู้ ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่อการฟื้นฟูและรักษาร่างกาทั้งระบบให้เป็นไปด้วยดี

    แต่การรักษาทางกายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาแบบองค์รวมเท่านั้น สิ่งที่ต้องทำไปพร้อมกันคือการเยียวยารักษาทางใจและทางสังคม ความเครียด วิตกกังวล ความเศร้าโศก ผิดหวัง ท้อแต้ การคิดเอาแต่ได้ ไม่ยอมปล่อยวาง มีผลบั่นทอนสุขภาพเช่นเดียวกับความเหงา ว้าเหว่ หรือความร้าวฉานกับผู้อื่น

    การวิจัยตลอด ๒ ทศวรรษที่ผ่านมาได้ชี้ว่า มีหลายโรคที่เกี่ยวข้องกับจิตใจและความสัมพันธ์กับผู้คน ที่ชัดเจนได้แก่โรคหัวใจ คนที่มักโกรธ เครียดจัด มุ่งมั่นเอาชนะ ไม่ยอมแพ้ มีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าคนที่มีจิตใจผ่อนคลาย เมื่อปี ๒๕๓๘ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการศึกษาคนไข้โรคหัวใจขาดเลือดจำนวนกว่า ๑,๖๐๐ คน พบว่าคนที่ไม่สามารถควบคุมความโกรธได้ มีอัตราการกำเริบของโรคหัวใจขาดเลือดมากกว่าถึง ๒ เท่าเมื่อเทียบกับคนที่มีอารมณ์สงบและสามารถควบคุมตนเองได้ นอกจากนั้นยังมีการค้นพบว่าการจัดการกับความเครียดที่ไม่เหมาะสมเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการตายมากกว่าการสูบบุหรี่เสียอีก
    ป่วยเพราะโกรธ
    หญิงสาวคนหนึ่งมีอาการปวดท้องและปวดหัวเรื้อรัง ทั้งยังมีความดันโลหิตสูงด้วย ไปหาหมอครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่มีอาการดีขึ้น น่าแปลกก็คือหมอหาสาเหตุของโรคไม่พบ ร่างกายของเธอเป็นปกติทุกอย่าง สุดท้ายหมอก็ถามเธอว่า “ชีวิตของคุณเป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ”

    แล้วหญิงผู้นั้นก็เล่าชีวิตของเธอให้ฟัง หมอสะดุดใจเมื่อเธอเล่าว่ามีเรื่องบาดหมางกับพี่สาวสองคน เพราะทั้งสองทิ้งเธอให้ต่อสู้กับปัญหาตามลำพังเมื่อหลายปีก่อน
    หมอสงสัยว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเป็นต้นเหตุให้เธอเจ็บป่วยเรื้อรัง คำแนะนำของหมอก็คือ เธอควรยกโทษให้พี่สาวทั้งสอง
    หญิงสาวคงนึกไม่ถึงว่าจะได้รับคำแนะนำเช่นนี้จากหมอ แต่หลายปีต่อมาหมอก็ได้รับจดหมายจากคนไข้คนนี้ว่า เธอคืนดีกับพี่สาวแล้ว และอาการเจ็บป่วยเรื้อรังก็หายเป็นปลิดทิ้ง
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    (ต่อ)
    ความขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ใช่เป็นแค่อารมณ์ที่มาแล้วก็ผ่านไปดังสายลม บ่อยครั้งมันถูกเก็บสะสมและหมักหมมจนไม่เพียงทำให้ร้าวรานใจเท่านั้น หากยังบั่นทอนร่างกายจนเจ็บป่วยเรื้อรังดังหญิงสาวผู้นี้

    อารมณ์ที่หมักหมมเรื้อรังนั้นมีพิษต่อจิตใจและร่างกายอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึง เราจำเป็นต้องรู้จักจัดการกับอารมณ์เหล่านี้ไม่ให้หมักหมมเรื้อรัง สำหรับอารมณ์ขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ คงไม่มีวิธีการใดดีกว่าการให้อภัย ดังที่หญิงสาวผู้นี้ได้ค้นพบด้วยตัวเอง

    จิตผ่อนคลาย กายฟื้นฟู

    ในขณะที่ความเครียดและความวิตกกังวลมีผลในการก่อโรค ความรู้สึกผ่อนคลาย แช่มชื่นเบาสบาย ไร้วิตกกังวล ก็ย่อมช่วยให้สุขภาพดีขึ้น หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้เร็วขึ้น หรือมีอายุยืน มีการวิจัยเป็นอันมากที่ยืนยันเรื่องนี้ เมื่อปี ๒๕๔๐ ได้มีการศึกษาผู้มีอายุระหว่าง ๕๕-๘๕ ปีจำนวนกว่า ๒,๘๐๐ คนในอเมริกา พบว่าคนที่รู้สึกว่าควบคุมชีวิตตนได้มีอัตราการตายน้อยกว่าคนที่รู้สึกท้อแท้กับชีวิตถึงร้อยละ ๖๐ ส่วนผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มองโลกในแง่ดีหรือสามารถจัดการกับความโกรธได้ดีมีแนวโน้มที่จะอยู่ยืนยาวกว่าผู้ป่วยที่มีความเครียดหรือเก็บกดความโกรธเอาไว้

    นอกจากจิตใจที่สงบ ผ่อนคลายแล้ว ความสัมพันธ์กับผู้อื่นก็มีผลต่อสุขภาพมาก เคยมีการศึกษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม โดยแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม ทั้ง ๒ กลุ่มได้รับการศึกษาตามมาตรฐานการแพทย์แผนใหม่ทุกประการ แต่กลุ่มที่หนึ่งนั้นมีการพบปะพูดคุยกันระหว่างคนไข้ และช่วยเหลือกันตามโอกาส โดยทำเช่นนี้สม่ำเสมอสัปดาห์ละ ๙๐ นาที ต่อเนื่องนาน ๑ ปี อีกกลุ่มไม่มีกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม ปรากฏว่าอัตราการอยู่รอดของกลุ่มแรกมากเป็น ๒ เท่าของกลุ่มที่สอง และยังพบอีกว่าในกลุ่มที่สองนั้น เมื่อเวลาผ่านไป ๕ ปี ไม่มีผู้ป่วยคนใดมีชีวิตรอดเลย

    มิตรภาพสร้างสุขภาพ

    ชายผู้หนึ่งถูกโรคหัวใจคุกคาม ตอนนั้นเขากำลังทำเรื่องขอหย่าจากภรรยาอยู่พอดี หลังจากแยกทางกันเขาก็อยู่คนเดียว แทบจะเก็บตัวก็ว่าได้ เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อสู้กับโรคหัวใจ เช่นคุมอาหาร เลิกบุหรี่ และออกกำลังกายมากขึ้น แต่เมื่อได้อ่านงานวิจัยล่าสุดก็พบว่าเพียงเท่านั้นยังไม่พอ คนที่ซึมเศร้าและเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างอย่างเขามีโอกาสตายภายใน๖เดือนได้มากกว่าคนทั่วไปถึง ๔ เท่า

    ดังนั้นเขาจึงเริ่มพบปะผู้คนมากขึ้น ร่วมกิจกรรมกับกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งช่วยงานอาสาสมัครมากขึ้น ปรากฏว่าสุขภาพของเขาดีขึ้นเป็นลำดับ ไม่ใช่แค่สุขภาพกายเท่านั้น แต่รวมถึงสุขภาพใจด้วย การเปิดใจเข้าหาผู้คนและช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่นทำให้เขามีความสุขยิ่งกว่าก่อนเป็นโรคหัวใจเสียอีก
    เปิดปากเปิดใจ

    การมีสัมพันธภาพกับผู้คนนั้น แม้จะนำความสุขมาให้ แต่บ่อยครั้งก็อาจก่อให้เกิดความเครียดได้หากวางใจไม่ถูกต้อง ดังจะพบว่าปัญหาความกินแหนงแคลงใจและความร้าวฉานมักเกิดจากความเข้าใจผิด และความเข้าใจผิดมีจุดเริ่มต้นจากการด่วนสรุปและไม่สืบสาวหาความจริง ทั้ง ๆ ที่เพียงแค่เปิดปากซักถาม ความจริงก็ปรากฏ

    ไม่ว่าในครอบครัว หรือที่ทำงาน การรู้จักเปิดปากซักถามเป็นวิธีป้องกันความเข้าใจผิด และสกัดกั้นมิให้เกิดอารมณ์อกุศลได้เป็นอย่างดี แต่เท่านั้นคงไม่พอ นอกจากการเปิดปากซักถามแล้ว บางครั้งมีความจำเป็นที่ต้องมีการเปิดปากเล่าความในใจด้วย สาเหตุที่ความไม่พอใจสะสมมากขึ้นเพราะเราไม่กล้าเล่าความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้ ว่ารู้สึกข้องขัดอย่างไรบ้าง การปิดปากเงียบ ทำให้อารมณ์คุกรุ่นจนอาจระเบิดออกมา และก่อความเสียหายอย่างคาดไม่ถึง

    ในการอยู่ร่วมกัน เราควรส่งเสริมซึ่งกันและกันให้พร้อมที่จะเปิดปากซักถามเมื่อมีความสงสัยไม่แน่ใจ หรือเปิดปากเล่าความในใจเมื่อมีความขุ่นข้องหมองใจกันขึ้นมา แต่จะทำเช่นนั้นได้ทุกฝ่ายต้องพร้อมเปิดใจรับฟังสิ่งที่อาจไม่ถูกใจ หรือไม่ตรงกับความคิดของตน การเปิดใจรับฟังอย่างมีสติ และความเห็นอกเห็นใจ จะช่วยให้ผู้คนพร้อมเปิดปากซักถามและเล่าความในใจได้อย่างเต็มที่ แล้วเราอาจพบว่าปัญหานั้นแก้ได้ไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ว่าปัญหาเล็ก ๆ ลุกลามจนเป็นเรื่องใหญ่ได้ก็เพราะการไม่เปิดปากเปิดใจให้แก่กันและกัน

    การเปิดปากเปิดใจไม่จำเป็นต้องหมายถึงการใส่อารมณ์เข้าหากัน หากทุกฝ่ายมีสติรักษาใจ หรือแม้นว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีสติ แต่ถ้าคนหนึ่งมีสติ ตั้งอยู่ในความนิ่งสงบ ก็สามารถช่วยลดทอนอารมณ์ของผู้อื่นได้ ขอให้คน ๆ นั้นเริ่มต้นที่ตัวเรา ที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญอีกต่อไป
    :- https://visalo.org/article/healthsukapabkabMiti.htm

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    เป็นสุขท่ามกลางความทุกข์
    พระไพศาล วิสาโล
    คนเรามักอยู่ด้วยความรู้สึก คือปล่อยให้ความชอบ-ไม่ชอบมาเป็นตัวกำหนดชีวิตของตน โดยที่ความชอบ-ไม่ชอบนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ามันให้ความสุขและสะดวกสบายแก่ตนหรือไม่ อะไรก็ตามที่ให้ความสะดวกสบายหรือความสุขแก่ตน ก็อยากได้อยากหามาครอบครอง ส่วนมันจะเป็นประโยชน์หรือเป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่ ไม่สนใจ ในทางตรงข้าม อะไรก็ตามที่ทำให้ตนสะดวกสบายน้อยลงหรือเกิดความยากลำบาก ก็อยากผลักไสออกไป ไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย แม้มันจะมีประโยชน์ก็ตาม เด็กจึงเลือกเที่ยวเล่นมากกว่านั่งทำการบ้าน ส่วนผู้ใหญ่ก็ชอบสุมหัวคุยกันหรือดูหนังฟังเพลงมากกว่าจะทำงานอย่างตั้งใจ

    การปล่อยให้ความรู้สึกมาครอบงำชีวิตของตน แท้จริงก็คือการปล่อยให้อัตตามาครองใจ เพราะอัตตาไม่ได้สนใจอะไรนอกจากสิ่งที่จะตอบสนองความอยากได้ใคร่เด่นที่ไม่เคยพอเสียที เจออะไรที่ไม่ถูกใจจึงโกรธแม้จะเป็นเรื่องธรรมดาหรือมีประโยชน์ก็ตาม ดังนั้นแค่เจอไฟแดง รถติด ฝนตก เพื่อนร่วมงานไม่ทักทาย พ่อแม่แนะนำตักเตือน อัตตาก็ขุ่นเคืองใจแล้ว ถ้าเราปล่อยให้มันครองใจ เราก็ต้องทุกข์ไม่หยุดหย่อน เพราะชีวิตนี้ทั้งชีวิตเราย่อมต้องเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจเราอยู่เสมอ ถึงแม้จะร่ำรวย ยิ่งใหญ่ หรือมีอำนาจมากมายเพียงใด เราก็ไม่สามารถบัญชาหรือควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจเราได้ตลอดเวลา


    ความจริงที่ทุกชีวิตหลีกหนีไม่พ้นก็คือ ต้องประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา และพลัดพรากจากสิ่งพึงปรารถนา อยู่เป็นนิจ รวยแค่ไหนก็ต้องแก่ เจ็บ และตาย เก่งแค่ไหนก็ต้องมีวันประสบความล้มเหลว ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องพลัดพรากจากคนรักไม่ช้าก็เร็ว คนที่ปล่อยให้ชีวิตจิตใจเป็นไปตามความรู้สึก ย่อมหาความสุขได้ยาก

    แต่คนเราไม่จำเป็นต้องทุกข์ไปตามเหตุการณ์ที่มากระทบเสมอไป หากเราเป็นอยู่ด้วยปัญญา ไม่เอาความรู้สึกเป็นใหญ่ มีสติรู้เท่าทันอัตตา ไม่ปล่อยให้มันครองใจ เราก็สามารถทำใจให้เป็นปกติได้แม้ในยามที่ประสบกับสิ่งที่เป็นลบในสายตาของคนทั่วไป เช่น เมื่อถูกตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ หากเราปล่อยให้อัตตาเป็นใหญ่ในใจ เราก็จะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า “กูถูกเล่นงาน” หรือ “กูเสียหน้า” ผลคือเกิดความโกรธและตอบโต้กลับไป ซึ่งอาจทำให้ถูกวิจารณ์กลับมาหนักขึ้น ในทางตรงข้าม หากเรามีสติทันท่วงทีและสามารถดึงปัญญาออกหน้า เราก็จะหันมาใคร่ครวญว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ มีประโยชน์เพียงใด มันอาจช่วยให้เราเห็นข้อบกพร่องของตัวเองชัดขึ้น หรือไม่ก็เผยให้เห็นตัวตนของผู้พูด ทำให้เรารู้จักเขามากขึ้น ผลคือนอกจากเราจะฉลาดมากขึ้นแล้ว จิตใจยังไม่ร้อนรุ่มหรือทุกข์เพราะคำวิจารณ์นั้น

    หากเราดำเนินชีวิต ทำกิจวัตรประจำวัน และทำงานด้วยความใส่ใจ โดยไม่มุ่งหวังเพียงแค่ทำงานให้เสร็จหรือให้ดีเท่านั้น หากยังถือว่าเป็นการฝึกฝนจิตใจหรือขัดเกลาตนเองไปด้วย เช่น ฝึกให้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ ลดละความเห็นแก่ตัว บ่มเพาะเมตตากรุณา ก็จะเป็นการเปิดทางให้ปัญญาเข้ามาแทนที่อัตตา นั่นหมายความว่าเมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา หรือพลัดพรากจากสิ่งพึงปรารถนา เราก็สามารถรับมือกับมันได้โดยไม่ทุกข์

    ดังได้กล่าวแล้วว่าเราไม่สามารถควบคุมหรือจัดการให้เกิดสิ่งดี ๆ กับเราได้ตลอดเวลา แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดสิ่งแย่ ๆ กับเรา เราสามารถเลือกได้ว่าจะยอมให้มันมีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของเราได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งเลือกว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับมันได้ด้วย เช่น จะใช้มันให้เกิดประโยชน์แก่เราอย่างไร แต่ทั้งหมดนี้เราจะเลือกได้ก็ต่อเมื่อมีสติและปัญญา ซึ่งเกิดจากการสะสมในชีวิตประจำวันและการฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

    ขอให้สังเกตว่าเมื่อมีสิ่งแย่ ๆ (หรือสิ่งที่เราไม่ชอบ)เกิดขึ้นกับเรา สิ่งนั้นไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับใจของเราเองที่วางไว้ไม่ถูก ทันทีที่ได้รับการบอกเล่าจากหมอว่าเป็นมะเร็ง หลายคนถึงกับล้มทรุด หมดเรี่ยวแรง กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นมะเร็งแค่ขั้นที่ ๑ หลายคนทำงานด้วยความทุกข์ ไม่ใช่เพราะว่างานที่ได้รับนั้นเป็นงานยาก แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากทำงานชิ้นนั้น หรือเพราะไม่พอใจที่เจ้านายเอางานของคนอื่นมาให้เขาทำ ฯลฯ บางคนก็ทุกข์เพราะเพื่อน ๆ ทิ้งงานให้เขาทำคนเดียว ใจที่เอาแต่บ่นว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน ?” “ไม่เป็นธรรม ๆ ๆ ๆ” ทำให้เขาทำงานด้วยความทุกข์ทรมานราวกับตกนรกทั้ง ๆ ที่อยู่ในห้องแอร์

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    (ต่อ)

    ตอนหนึ่งของรายการ “พลเมืองเด็ก” ที่ออกอากาศช่องทีวีไทย เด็ก ๓ คนได้รับมอบหมายให้ขนของขึ้นรถไฟ บังเอิญตอนนั้นมีการถ่ายทอดสดการชกของสมจิตร จงจอหอ นักชกเหรียญทองโอลิมปิก เด็กชาย ๒ คนจึงทิ้งงานไปดูโทรทัศน์ข้างสถานีรถไฟ พิธีกรจึงถามเด็กหญิงซึ่งตั้งหน้าตั้งตาขนของอยู่คนเดียวว่า เธอคิดอย่างไรที่เพื่อนทิ้งงาน เธอตอบว่าไม่เป็นไร เห็นใจทั้งสองคนเพราะนาน ๆ จะได้ดูสมจิตรชกมวย พิธีกรถามต่อว่า เธอไม่โกรธหรือไม่คิดไปด่าว่าเพื่อนหรือที่ปล่อยให้เธอทำงานอยู่คนเดียว เธอตอบว่า “หนูขนของขึ้นรถไฟ หนูก็เหนื่อยอย่างเดียว แต่ถ้าหนูโกรธหรือไปด่าว่าเขาหนูก็เหนื่อยสองอย่าง”


    คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเหนื่อยสองอย่าง คือเหนื่อยกายด้วย เหนื่อยใจด้วย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่รู้ทันอารมณ์ความรู้สึกของตัว ปล่อยให้ความโกรธหรือหงุดหงิดทำร้ายจิตใจของตน จึงทำงานอย่างไม่มีความสุข จริงอยู่การทิ้งงานให้เราทำคนเดียวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่หากใจเรายึดติดกับ “ความถูกต้อง” หรือ “ความน่าจะเป็น” โดยไม่รู้จักวางเลย ความยึดติดนั้นเองจะกลับมาบั่นทอนทำร้ายจิตใจของเรา เขาไม่ควรทิ้งงานให้เราทำก็จริง แต่นั่นก็ไม่ควรเป็นเหตุผลที่เราจะต้องหันมาซ้ำเติมตัวเอง เหนื่อยใจนั้นไม่มีใครทำให้เราได้ นอกจากเราเอง

    เหตุการณ์แย่ ๆ นั้นทำอะไรเราไม่ได้หากเราไม่ปล่อยให้มันเข้ามาเล่นงานเราถึงจิตถึงใจ แม้แต่ความเจ็บป่วย ก็ทำให้กายทุกข์เท่านั้น แต่ทำใจให้ทุกข์ไม่ได้ เว้นเสียแต่เราจะยอมปล่อยให้ใจทุกข์ไปกับกายด้วย อันที่จริงนอกจากเราเลือกได้ว่าจะปล่อยให้มันมามีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจเราแค่ไหนแล้ว เรายังเลือกว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับมันได้ด้วย เช่น เมื่อเจ็บป่วยเราเลือกได้ว่าจะดูแลรักษาตัวอย่างไรดี แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เรายังทำได้มากกว่านั้น เช่น ใช้มันให้เป็นประโยชน์ หรือหาประโยชน์จากมัน

    บางคนพบว่าเจ็บป่วยก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้พักจากการทำงานที่หนักอึ้ง ได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว นอนอ่านหนังสือที่ชอบ หรือหันมาทำสมาธิภาวนา หลายคนถึงกับอุทานว่า “โชคดีที่เป็นมะเร็ง” เพราะมะเร็งทำให้เขาค้นพบความสุขที่แท้อันได้แก่ความสงบทางใจ ผลก็คือชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

    หากเรามีสติและปัญญา ไม่มัวปล่อยใจจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ หรือเอาแต่บ่นว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน” เราจะพบว่าเหตุการณ์แย่ ๆ ที่ไม่พึงปรารถนานั้นมีข้อดีอยู่เสมอ บางคนพบว่าการตกงานทำให้เขามีเวลาอยู่กับพ่อแม่และทดแทนพระคุณท่านได้มากขึ้น ธุรกิจที่ล้มละลายผลักดันให้หลายคนเข้าวัดและค้นพบจุดหมายที่แท้ของชีวิต อกหักหรือแยกทางจากคนรักก็ช่วยให้หลายคนพบกับชีวิตที่อิสระและเป็นตัวของตัวเอง

    นอกจากประโยชน์ในเชิงรูปธรรมแล้ว เหตุการณ์แย่ ๆ ทั้งหลายยังมีข้อดีอย่างน้อย ๒ ประการ ได้แก่

    ๑. สอนใจเรา กล่าวคือสอนให้เราตระหนักถึงความจริงของชีวิตซึ่งมีความผันผวนปรวนแปรเป็นนิจ เช่น ของหายก็สอนใจเราว่าความพลัดพรากจากของรักเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเราหรือเป็นของเราได้อย่างยั่งยืน การถูกตำหนิก็สอนใจเราว่า สรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน ไม่มีใครที่จะได้รับการสรรเสริญอย่างเดียว ไม่ว่าดีแค่ไหนก็ยังถูกนินทา

    ๒. ฝึกใจเรา เช่น ฝึกใจให้ไม่ประมาท ระมัดระวัง เพื่อป้องกันมิให้เหตุร้ายเกิดขึ้นอีก หรือฝึกใจให้ปล่อยวางเพื่อรับมือกับเหตุร้ายที่แรงกว่าในอนาคต (ถ้าโทรศัพท์หายยังปล่อยวางไม่ได้ แล้วจะทำใจได้อย่างไรเมื่อต้องสูญเสียคนรัก เช่น พ่อแม่ ลูกเมีย ซึ่งต้องเกิดขึ้นแน่) หรือฝึกใจให้มั่นคงเข้มแข็ง เพราะเราจะต้องเจออะไรต่ออะไรอีกมากมายในวันข้างหน้า อีกทั้งยังฝึกให้เราฉลาดและมีประสบการณ์มากขึ้น (อย่าลืมว่าคนเราเรียนรู้จากความล้มเหลวได้มากกว่าความสำเร็จ)

    ความฉลาดในการรับมือกับเหตุการณ์แย่ ๆ นั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้จากห้องเรียนหรือจากตำรา แต่เกิดได้เพราะเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันและจากการทำงาน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ว่าดีหรือร้าย บวกหรือลบ หากไม่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ความรู้สึก คือชอบหรือไม่ชอบ เพลิดเพลินยินดีหรือคร่ำครวญโกรธแค้น แต่มีสติรู้ทันอารมณ์ความรู้สึก และหันมาใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญา ประโยชน์ย่อมเกิดขึ้นแก่เราเสมอ หรืออย่างน้อยก็ทำให้เห็นช่องทางที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์ สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี หรือเปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชคได้

    ถ้าทำเช่นนั้นได้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา แม้จะเลวร้ายเพียงใด จะมิใช่สิ่งที่ยัดเยียดความทุกข์หรือความปราชัยให้แก่เรา แต่จะกลายเป็นสิ่งที่ฝึกฝนจิตใจเราให้มีสติ ปัญญา และลดละอัตตา ช่วยให้เรามีชีวิตที่โปร่งเบา สงบเย็น และเป็นอิสระจากสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบได้เป็นลำดับ จนในที่สุดก็สามารถอยู่เหนือความทุกข์หรือความผันผวนปรวนแปรทั้งปวงได้ นี้คือสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยของเราทุกคน และควรเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิตเราด้วย
    :- https://visalo.org/article/suksala08.htm
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    ยิ่งผลักไส ใจยิ่งทุกข์
    พระไพศาล วิสาโล
    ในสมัยพุทธกาลมีผู้หญิงคนหนึ่ง คือ นางกีสาโคตมี เป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากและใฝ่ธรรม แต่วันหนึ่งลูกของนางซึ่งกำลังอยู่ในวัยน่ารักได้ตายลง เธอยอมรับไม่ได้ ยังเชื่อว่าลูกสามารถฟื้นขึ้นมาได้ จึงไปขอร้องใครต่อใครให้มาช่วยรักษาลูกให้ฟื้น ทุกคนก็บอกว่าลูกเธอตายแล้ว แต่เธอก็ไม่ยอมรับความจริง ใจหนึ่งก็ทุกข์ทรมานมาก ใจหนึ่งก็มีความหวัง พอมีคนแนะนำให้ไปหาพระพุทธเจ้า เธอก็รีบไปเฝ้าพระองค์ทันที พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่า คนที่ปฏิเสธความจริงแบบนี้ สอนธรรมะอย่างไรก็ไม่ได้ผล เพราะใจไม่เปิดรับ ดังนั้นแทนที่พระองค์จะสอนให้เธอเห็นว่าความตายเป็นธรรมดาของชีวิต เกิดมาแล้วก็ต้องตายทุกคนไม่ช้าก็เร็ว พระองค์กลับบอกนางว่าพระองค์สามารถช่วยให้ลูกเธอฟื้นขึ้นมาได้หากเธอไปเอาเม็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่มีคนตายมาให้

    นางดีใจมาก รีบเข้าไปในหมู่บ้าน ไปบ้านนั้นบ้านนี้ ทุกบ้านมีเม็ดผักกาดทั้งนั้น แต่ทุกบ้านก็มีคนตาย เพราะสมัยก่อนคนตายที่บ้าน บ้านนี้ลูกตาย บ้านนี้ผัวตาย บ้านนี้พ่อตาย บ้านนี้แม่ตาย ทุกบ้านมีคนตายทั้งนั้น เธอพบว่าไม่ใช่เธอเท่านั้นที่สูญเสีย คนอื่นก็สูญเสียคนรักเหมือนกัน ในที่สุดเธอก็ยอมรับความจริงได้ว่าลูกเธอตายแล้ว จึงเอาลูกไปเผา จากนั้นก็กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า คราวนี้พระองค์จึงแสดงธรรมเพราะว่านางเริ่มเปิดใจแล้ว พระองค์ตรัสว่า “มฤตยูย่อมพาชีวิตของผู้ที่ยึดติดมัวเมาในบุตรและทรัพย์สินไป ดุจเดียวกับกระแสน้ำหลากมาพัดพาเอาชีวิตของผู้นอนหลับไหลไป ฉะนั้นแล” ตรัสเพียงเท่านี้นางก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน

    นี่เป็นตัวอย่างของคนที่ทุกข์เพราะใจไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ความตายของลูกไม่ได้หนักหนาร้ายแรงเท่ากับใจที่ไม่ยอมรับ แต่พอยอมรับได้ ปรากฏว่าจิตใจก็เปิดรับธรรมะจนกลายเป็นพระอริยะเจ้าได้ สาเหตุหนึ่งที่ยอมรับได้ก็เพราะเห็นว่าทุกคนก็มีความทุกข์เหมือนกัน สูญเสียคนรักเหมือนกัน จึงยอมรับความเจ็บป่วยของตัวเองได้

    เวลาที่เราเจอเหตุร้าย ไม่ว่ากับร่างกายของเรา กับทรัพย์สินเงินทองของเรา กับการงานของเรา กับคนที่เรารัก หรือกับความสัมพันธ์ของเรา ให้ตั้งสติให้ดี ให้ระลึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นปัญหามากเท่ากับใจของเรา ว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร ถ้าเราปฏิเสธ ไม่ยอมรับ มันจะทำให้เราทุกข์ยิ่งกว่าเดิม หรือหนักกว่าทุกข์ที่เกิดจากเหตุร้ายนั้นเสียอีก ดังนั้น ขอให้ตั้งหลักให้ดีแล้วทำใจยอมรับมันให้ได้ ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกตัวเราเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในใจเราก็เหมือนกัน

    เวลาเราทำสมาธิภาวนา หรือปฏิบัติธรรม บางครั้งก็มีความฟุ้งซ่าน บางครั้งก็มีความหงุดหงิด บางครั้งก็มีความเครียด มีความไม่สงบเกิดขึ้น นั่นไม่ใช่ปัญหาเท่าไร กลับจะเป็นของดีด้วยซ้ำ เพราะสามารถเอามาเป็นการบ้านให้จิตได้พิจารณา เพราะอารมณ์เหล่านี้สอนธรรมะได้เหมือนกัน แต่ถ้าใจไม่ยอมรับเมื่อมีอารมณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น ก็จะทุกข์ทันที ทุกข์เพราะฟุ้งซ่าน ทุกข์เพราะหงุดหงิด ทุกข์เพราะใจไม่สงบ

    นักปฏิบัติธรรมจำนวนไม่น้อยแปลกใจว่าทำไมตนมีความทุกข์มากกว่าตอนก่อนปฏิบัติธรรมเสียอีก ไม่ใช่เพราะว่าพอมาปฏิบัติธรรมแล้วจิตฟุ้งกว่าปกติ นั่นก็อาจจะมีส่วน แต่สาเหตุสำคัญเป็นเพราะมีความคาดหวังว่าเมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้วใจต้องสงบ คนทั่วไปเขาไม่มีความคาดหวังแบบนั้นเพราะเขาไม่สนใจ แต่พอมาปฏิบัติธรรมแล้วก็จะมีความคาดหวังว่าใจต้องสงบ พอมีความฟุ้งซ่าน มีความเครียดเกิดขึ้น ใจก็ไม่ยอมรับเพราะว่ามันไม่ตรงกับความคาดหวัง ยิ่งคาดหวังมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นทุกข์เมื่อมีสิ่งรบกวนจิตใจ บางคนทุกข์มากถึงกับเจ็บกับป่วยก็มี บางคนทำแล้วรู้สึกแน่นหน้าอก ปวดหัว เหล่านี้เป็นอาการของคนที่ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของตัว พยายามบังคับควบคุมจิตให้สงบ พยายามบังคับควบคุมจิตให้นิ่ง พยายามผลักไสความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้น เป็นการต่อต้านที่สวนทางกับความเป็นจริง เหมือนกับคนที่ขวางน้ำเชี่ยวย่อมถูกกระแสน้ำพัดพาไป

    แต่ถ้าเราเริ่มต้นจากการยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น อะไรเกิดขึ้นก็ไม่ผลักไส วางใจเป็นกลางกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ก็จะไม่เป็นทุกข์ คำว่า “ยอมรับ” กับคำว่า “วางใจเป็นกลาง” ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีความหมายเหมือนกัน เมื่อฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน รู้เฉย ๆ ไม่ต้องไปทำอะไร แต่ส่วนใหญ่ไม่ยอมรู้เฉย ๆ เพราะว่ามีความอยาก อยากให้จิตสงบ พอความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นก็เลยไม่ชอบ เกลียดความฟุ้งซ่าน จึงพยายามกดข่มผลักไสมัน ก็ยิ่งเป็นทุกข์เมื่อมันไม่ยอมไป ที่จริงแล้วยิ่งกดข่ม ยิ่งผลักไส มันก็ยิ่งดื้อ ยิ่งท้าทาย ยิ่งต่อต้าน เหมือนกับเด็กวัยรุ่นที่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ พอมันยังอยู่ ไม่ยอมไป เราก็ยิ่งทุกข์หนักขึ้นเพราะไม่ชอบมัน

    ในสมัยพุทธกาลมีเรื่องราวของพระเถระพระเถรีหลายท่านที่ถึงกับฆ่าตัวตายเพราะไม่พบความสงบในจิตใจ ท่านอุตส่าห์บวชเพื่อดับทุกข์ แต่พอมีความทุกข์เกิดขึ้น ไม่ได้ทุกข์ที่ไหน ทุกข์ที่ใจ คือใจไม่สงบ ใจฟุ้งซ่าน ท่านยอมรับไม่ได้ ก็เลยท้อในการปฏิบัติธรรม ถึงกับฆ่าตัวตาย แขวนคอบ้าง เอามีดกรีดคอบ้าง แต่กลับบรรลุธรรมในที่สุด เพราะว่าตอนที่กำลังจะตายนั้น เจ็บปวดมาก จึงได้เห็นธรรมว่าสังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง พอเห็นเช่นนั้นก็ปล่อยวาง ไม่ยึดในสังขารนี้ต่อไป ยอมรับความทุกข์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น จิตก็หลุดพ้นในขณะที่สิ้นลม จะเห็นได้ว่าการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะนั้นสำคัญมาก ถ้าไม่ยอมรับ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ทำให้ทุกข์ทรมานใหญ่หลวงได้

    มีพระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ท่านก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมมาก อยากให้จิตตื่น อยากได้ความรู้สึกตัว แต่ปฏิบัติมาหลายปีก็ยังไม่รู้สึกว่าจิตตื่น ที่จริงจิตของท่านไม่ได้ย่ำแย่กว่าจิตของคนอื่น อาจจะดีกว่าจิตของคนที่ไม่ได้ปฏิบัติด้วยซ้ำ แต่มันไม่ดีอย่างที่ท่านคาดหวัง เมื่อได้ยินคนนั้นคนนี้บอกว่าจิตเขาตื่น รู้สึกตัวชัดเจน เห็นรูปนาม แต่ตัวเองยังไม่เห็น จึงเป็นทุกข์มาก หน้าตาหม่นหมอง ตัดพ้อว่าตัวเองทำความดี ให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรมมาเป็นสิบ ๆ ปี ทำไมไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติ ฟังน้ำเสียงแล้วท่านท้อแท้กับการปฏิบัติมาก หรือถึงกับท้อแท้ในการบวช ดูแล้วมีความคิดอยากจะสึกด้วยซ้ำ อาตมาเห็นท่านแล้วรู้สึกว่า ท่านมีความทุกข์ไม่ต่างจากวัยรุ่นที่กลุ้มใจเพราะหน้ามีสิว ทั้งสองคนมีความท้อแท้ในชีวิต กลุ้มอกกลุ้มใจเหมือนกันเลย ทั้งที่สาเหตุนั้นต่างกันอย่างฟ้ากับดิน คนหนึ่งทุกข์เพราะมีสิว อีกคนหนึ่งทุกข์เพราะจิตไม่ตื่น ไม่มีความรู้สึกตัว หรือไม่สงบอย่างที่คาดหวัง ทั้งหมดนี้เป็นอาการของคนที่ไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น เมื่อใจปฏิเสธเหมือนกัน ความทุกข์หรืออากัปกิริยาที่แสดงออกก็เหมือนกัน คือ ท้อแท้ หดหู่ เครียด มีโทสะอยู่ข้างในลึก ๆ

    เพราะฉะนั้นเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับเราแล้ว อย่าคิดแต่จะหนี ปฏิเสธ หรือผลักไส แต่ควรเริ่มต้นด้วยการยอมรับมันให้ได้ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ป่วยการที่จะตีโพยตีพาย ลองวางใจเป็นกลาง ฟุ้งซ่านก็รู้ เครียดก็รู้ ดูมันเฉย ๆ อย่าเป็นศัตรูหรือเป็นปฏิปักษ์กับมัน ยอมรับมันให้ได้ ยอมรับไม่ได้แปลว่ายอมจำนน มันต่างกัน เหมือนกับเวลาเจ็บป่วย อย่างแรกที่ต้องทำคือยอมรับว่าเราป่วยแล้ว อย่ามัวโอดโอยหรือตีโพยตีพายว่าทำไมต้องเป็นฉัน ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมจำนน คือหาทางรักษาความเจ็บป่วยนั้น เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องรักษา เมื่องานล้มเหลวก็ต้องแก้ไข แต่ก่อนอื่นต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน อันนี้เรียกว่า “ทำจิต” ส่วนการรักษาหรือการแก้ไขนั้น เรียกว่า “ทำกิจ”

    อะไรที่รักษาได้ บรรเทาได้ เราควรทำ แต่อะไรที่ทำไม่ได้แล้ว เช่นการสูญเสียคนรัก เขาตายจากไป ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้ เราก็ต้องยอมรับอย่างเดียว ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา หรือว่าเอาสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขามาเป็นบทเรียนในการดำเนินชีวิต หรือพยายามสืบสานคุณงามความดีของเขาให้ยั่งยืน หรือประกาศความดีของเขา ให้ขจรขจาย นี่คือสิ่งที่สามารถทำได้ แต่ว่าต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงก่อน

    ผู้หญิงคนหนึ่งสูญเสียสามีแล้วไม่ยอมรับความจริง ยังทำอาหารเช้าให้สามีกิน เอามาวางไว้บนโต๊ะตรงที่เขาเคยนั่งประจำ โทรศัพท์เข้าเบอร์เขาทุกวัน ทุกข์มากเพราะไม่ยอมรับความจริงว่าเขาตายไปแล้ว แต่พอยอมรับความจริงได้ ความทุกข์ก็จะหลุดออกไปทันที เพราะฉะนั้นการฝึกใจให้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือการวางใจให้เป็นกลาง ไม่เป็นปฏิปักษ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นนอกตัวเรา หรือว่าเกิดขึ้นกับตัวเรา กับใจของเรา เป็นสิ่งสำคัญมาก ที่เราควรฝึกให้เป็นนิสัย จะช่วยให้เราสามารถรับมือความทุกข์ต่าง ๆ ได้ด้วยใจที่โปร่งเบา

    :- https://visalo.org/article/suksala22.htm
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    หวงแหน
    ภาวัน

    สมมติว่าคุณมีเงิน ๑,๐๐๐ บาท คุณจะเลือกข้อใด หากต้องเลือก ๑ ใน ๒ ข้อนี้

    ก) คุณได้เงิน ๑๐๐ บาท
    ข)โยนเหรียญ ถ้าคุณชนะ คุณได้ ๒๐๐ บาท แต่ถ้าแพ้ คุณไม่ได้เลยสักบาท
    ถ้าคุณเลือกข้อ ก) คุณก็คิดเหมือนคนส่วนใหญ่
    ทีนี้ถ้าเงื่อนไขเปลี่ยนไป คุณจะเลือกข้อใด
    ค) เสียเงิน ๑๐๐ บาท
    ง)โยนเหรียญ ถ้าคุณแพ้คุณเสีย ๒๐๐ บาท แต่ถ้าชนะ คุณไม่เสียเลยสักบาท
    ถ้าคุณเลือกข้อ ค)คุณจัดอยู่ในคนส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่เลือกข้อ ง)


    การทดลองหลายครั้ง ให้ผลตรงกัน สิ่งที่น่าคิดก็คือ ทำไมคนส่วนใหญ่ไม่ชอบเสี่ยงดวงในกรณีที่เป็นฝ่ายได้ แต่กลับยอมเสี่ยงดวงหากถึงคราวที่จะต้องเสีย คำตอบก็คือ เป็นเพราะคนเรานั้นไม่ชอบความสูญเสีย หากจะต้องสูญเสีย ก็พร้อมที่จะเสี่ยงแม้นั่นหมายความว่าอาจมีโอกาสสูญเสียมากกว่าเดิม ตรงกันข้ามหากเป็นเรื่องของการได้มา เราชอบอะไรที่เป็นของตายมากกว่าที่จะเสี่ยงแม้มีโอกาสได้มากกว่าเดิม

    พูดอีกอย่างคือ มนุษย์เรารังเกียจความสูญเสีย และพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อปกป้องสิ่งที่มีอยู่ทั้ง ๆ ที่มันอาจทำให้สูญเสียหนักกว่าเดิม นี้คือคำตอบว่าทำไมคนจำนวนไม่น้อยไม่ยอมขายหุ้นทั้ง ๆ ที่ราคาตกลงไปเรื่อย ๆ เพราะคิด(และหวัง)ว่ามีโอกาสที่ราคาหุ้นจะกระเตื้องขึ้น ทั้ง ๆ ที่หากไตร่ตรองงอย่างรอบด้านแล้ว หุ้นมีโอกาสน้อยมากที่จะปรับตัวสูงขึ้น แต่ด้วยความเสียดายเงินที่ลงไป ทำให้ผู้คนพร้อมจะเสี่ยง ซึ่งมักลงเอยด้วยการที่เขาสูญเงินไปจนหมดเมื่อหุ้นนั้นกลายเป็นขยะ

    ในทำนองเดียวกันคนที่เสียเงินจากการเล่นพนัน จะไม่ค่อยยอมหยุดเล่น แต่อยากเล่นต่อเพื่อเอาเงินคืน ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสที่เขาจะสูญเสียหนักกว่าเดิม ผลก็คือยิ่งเล่นก็ยิ่งเสีย และยิ่งเสียก็ยิ่งต้องเล่นต่อ จนลงเอยด้วยความหมดตัว ทั้ง ๆ ที่หากเขาหยุดเล่นแต่เนิ่น ๆจะไม่เสียหนักขนาดนั้น

    นิสัยที่รังเกียจความสูญเสียจนพร้อมจะทำอะไรก็ได้เพื่อไม่ให้สูญเสียนั้น ก่อความพินาศให้แก่ผู้คนเป็นอันมาก วิกฤตเศรษฐกิจปี ๔๐ เกิดขึ้นก็เพราะเหตุนี้ คงจำได้ว่าตอนที่มีการโจมตีเงินบาทนั้น รัฐบาลไทยไม่ยอมลดค่าเงินบาทแต่เนิ่น ๆ แต่พยายามต่อสู้ด้วยการทุ่มเงินตราต่างประเทศเพื่อพยุงเงินบาทเอาไว้ สุดท้ายก็ยอมรับว่าสู้ไม่ได้ และต้องลดค่าเงินบาทตามกลไกตลาด แต่ถึงตอนนั้นทุนสำรองเงินตราต่างประเทศก็ร่อยหรอแล้ว ทำให้ค่าเงินบาทตกกราวรูด ก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาลตามมา สถานการณ์จะไม่เลวร้ายขนาดนั้นหากรัฐบาลพร้อมยอมรับความสูญเสียตั้งแต่แรก ๆ

    อย่างไรก็ตามนิสัยนี้หากรู้จักใช้ ก็สามารถก่อให้เกิดผลดีได้ ริชาร์ด ทาเลอร์ นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกันพูดถึงเพื่อนคนหนึ่งชื่อเดวิด ซึ่งถูกว่าจ้างเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย โดยมีเงื่อนไขว่าเขาต้องทำปริญญาเอกให้จบก่อนเข้าทำงาน หรืออย่างช้าก็ต้องทำให้เสร็จภายใน ๑ ปีที่ทำงาน ผลดีที่จะเกิดขึ้นกับเดวิดจากการทำวิทยานิพนธ์ให้เสร็จนั้นมีมากมาย เช่น ได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ (แทนที่จะเป็นแค่ ผู้ช่วยสอน) ได้รับเงินสมทบสำหรับบำนาญ จำนวน ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน หรือหลายพันดอลลาร์ต่อปี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแรงจูงใจให้เขาทำวิทยานิพนธ์ให้เสร็จทันเวลา แต่ปรากฏว่าวิทยานิพนธ์ของเขาคืบหน้าช้ามาก เขาผัดผ่อนครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งนี้เป็นเพราะเขาเอาเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าการทำวิทยานิพนธ์

    ทาเลอร์อยากช่วยเดวิด จึงมีข้อเสนอว่า เดวิดจะต้องเซ็นเช็ค ๑๐๐ ดอลลาร์ให้เขา โดยสั่งจ่ายในวันที่ ๑ ของทุกเดือนนับแต่นี้ไป เงื่อนไขมีอยู่ว่าทาเลอร์จะนำเช็คนั้นไปขึ้นเงินหากเดวิดไม่นำเอาวิทยานิพนธ์บทใหม่มาสอดใต้ประตูของเขาภายในเที่ยงคืนของวันสิ้นเดือน เงินที่ได้จากเดวิดนั้น ทาเลอร์จะนำไปจัดปาร์ตี้ซึ่งเดวิดจะไม่ได้รับเชิญ

    ปรากฏว่า เดวิดสามารถทำวิทยานิพนธ์เสร็จ ๔ เดือนหลังจากนั้น โดยไม่เคยผิดนัดเลย

    วิธีนี้ได้ผลเพราะเดวิดไม่อยากเสียเงิน ๑๐๐ ดอลลาร์ทุกเดือน ทั้ง ๆ ที่เงินจำนวนนี้นับว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับเงินที่เขาจะได้รับจากมหาวิทยาลัยหากทำวิทยานิพนธ์เสร็จ

    เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า ได้เงินเท่าใดก็ไม่กระตุ้นให้คนเราขยันมากเท่ากับการที่จะต้องสูญเงินไปแม้ไม่มากก็ตาม

    ใครที่สัญญากับตัวเองแล้ว ทำไม่ได้สักที เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ หรืองดเหล้า ลองเอาวิธีนี้ไปปรับใช้ดูน่าจะดี เช่น ถ้าไม่ทำตามที่สัญญา ก็ปรับตัวเอง ด้วยการบริจาคเงินให้มูลนิธิสาธารณกุศล ส่วนพ่อแม่ที่เหนื่อยหน่ายกับลูกที่ชอบโยกโย้ แทนที่จะกระตุ้นด้วยการให้รางวัล ก็ลองใช้วิธีปรับเงินลูก อาจจะได้ผลก็ได้
    :- https://visalo.org/article/Image255505.htm

    duckswalking.gif
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2025
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    อย่าร้องไห้เมื่ออาทิตย์ลับฟ้า
    ภาวัน
    กอลเป็นเมืองริมทะเลตอนใต้ของศรีลังกาที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือน จุดเด่นอย่างหนึ่งของเมืองนี้คือป้อมปราการอันแข็งแรงที่ฮอลันดาได้มาสร้างไว้เมื่อ ๔๐๐ ปีก่อน ภายในป้อมเป็นเมืองน้อย ๆ มีอาคารโบราณมากมาย ทุกวันนี้ยังมีสภาพดีและได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

    กอลเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเขาก่อนเข้ากรุงโคลอมโบเพื่อบินกลับเมืองไทย เช้าวันนั้นเขาอยู่ที่เมืองนูวาราเอเลีย อันเป็นเมืองท่องเที่ยวลือชื่ออีกแห่งหนึ่งที่มีกลิ่นอายแบบอังกฤษ เนื่องจากเคยเป็นเมืองพักตากอากาศของชาวผู้ดีสมัยยึดครองเกาะนี้ มัคคุเทศก์ชาวศรีลังกาบอกเขากับคณะว่าใช้เวลาเดินทางหกชั่วโมงก็จะถึงเมืองกอล

    คณะของเขาออกเดินทางตั้งแต่แปดโมงครึ่ง ลัดเลาะไปตามไหล่เขา มีทัศนียภาพที่งดงามชวนชื่นชมตลอดทาง นอกจากไร่ชาเขียวสดที่เรียงรายเป็นพืดทั่วทั้งเขาแล้ว ยังมีน้ำตกตระการตาปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ๆ บางช่วงคณะของเขาก็แวะพักกินอาหาร หรือซื้อชาจากร้านริมทาง แต่ละแห่งใช้เวลาสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ กะว่าถึงเมืองกอลก็คงไม่เกินบ่ายสี่ มีเวลาได้พักผ่อนริมทะเลอีก

    แต่ไป ๆ มา ๆ การเดินทางกลับใช้เวลานานกว่าที่คิด ดวงอาทิตย์ใกล้ตกแล้วคณะของเขาก็ยังไม่ถึงเมืองกอล แต่เขาก็ไม่วิตกกังวลอย่างใด เพราะตอนนั้นกำลังชื่นชมความงดงามของอาทิตย์ดวงกลมโตที่ใกล้ลับขอบฟ้าจากหน้าต่างรถยนต์

    คณะของเขามาถึงเมืองกอลหลังจากอาทิตย์ตกไม่นาน พอมาเห็นแสงสุดท้ายฉาบฟ้าเหนืออ่าวกอล โดยมีชายหาดทอดยาวสุดสายตาอยู่เบื้องหน้า เขาก็รู้สึกเสียดายอย่างมากที่มาไม่ทันเห็นอาทิตย์ตกลับมหาสมุทรอินเดีย หากเขามาเร็วกว่านี้แค่ครึ่งชั่วโมงก็ต้องได้เห็นภาพที่งดงามสุดบรรยายอย่างยิ่ง ซึ่งอาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตก็ได้

    เขานึกตำหนิคนขับรถทันทีที่ใช้เวลาเกือบสิบชั่วโมงกว่าจะถึงเมืองกอล อีกคนที่ต้องรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือมัคคุเทศก์ เขาน่าจะรู้ว่าอาทิตย์ตกที่เมืองกอลนั้นวิเศษเพียงใด ถ้าเขานึกถึงประโยชน์ของลูกทัวร์ก็ไม่ควรปล่อยให้โชเฟอร์ขับรถหวานเย็นจนเกินเวลาขนาดนั้น หรืออย่างน้อยก็บอกให้เรารู้ว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองกอลก็คืออาทิตย์ยามเย็น

    กระทั่งเข้าห้องพักแล้วเขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดที่พลาดโอกาสอันวิเศษนั้นไป ในใจนึกถึงแต่ว่า ฉันน่าจะมาถึงเร็วกว่านี้ ๆ ๆ ทำไมฉันถึงโชคไม่ดีเอาเสียเลย แต่แล้วชั่วขณะหนึ่งเขาก็ได้คิดว่า จะมัวเสียใจไปไยกับสิ่งที่พลาดไปแล้ว ในเมื่อยังมีสิ่งงดงามอีกมากมายให้ชื่นชมอยู่รอบตัว เขาเหลียวมองไปบนฟ้า เห็นพระจันทร์เต็มดวงทอแสงสุกสว่าง มองมาข้างล่างเห็นเกลียวคลื่นระยิบระยับล้อแสงจันทร์ พรุ่งนี้เช้าก็ยังจะได้เห็นอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ซึ่งก็คงงดงามไม่น้อย จะมีกี่คนที่มีโอกาสดี ๆ อย่างเขา พอได้คิดแบบนี้ ความหงุดหงิดเสียใจก็หายไปทันที ใจเปิดรับและชื่นชมความงดงามที่มีอยู่รอบตัวทันที

    ความสุขได้กลับคืนมาสู่จิตใจของเขา เมื่อหันมาใส่ใจกับปัจจุบัน ไม่มัวจมจ่อมอยู่กับอดีต เขาได้ตระหนักว่า แทนที่จะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เสียไป เพียงแค่หันมาชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัว ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก ใช่หรือไม่ว่าผู้คนจำนวนมากทั้ง ๆ ที่มีอะไรต่ออะไรมากมาย แต่ก็ยังเป็นทุกข์ ก่นด่าชะตากรรม เพราะมัวแต่นึกถึงสิ่งที่หลุดลอยไป ใจที่เอาแต่เศร้าซึมเสียใจทำให้เขามองข้ามสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ต่อหน้าไปอย่างน่าเสียดาย กลายเป็นว่าแทนที่จะเสียหนึ่ง ก็เสียสองหรือสามซ้ำเข้าไปอีก

    นักท่องเที่ยวบางคนโมโหที่ถูกแขกโกงขณะที่แลกเงิน เขาเอาแต่ขุ่นเคืองจนกินอะไรก็ไม่อร่อย ไปเห็นทัชมาฮาลก็ไม่รู้สึกว่างดงาม ทั้ง ๆ ที่นั่นคือไฮไลท์ของการท่องเที่ยวของเขา เพียงเพราะเสียดายเงินไม่กี่ร้อยรูปีที่ถูกโกงไป ทำให้เขาไม่รับรู้ความงดงามที่อยู่เบื้องหน้าเขาเลย หรือถึงกับทำให้การท่องเที่ยวของเขาหมดรสชาติไป

    มีคนหนึ่งกล่าวไว้น่าฟังมากว่า “อย่าร้องไห้เมื่อดวงอาทิตย์ลับฟ้า เพราะน้ำตาจะทำให้เธอมองไม่เห็นดวงดาว” อะไรที่เสียไปแล้วป่วยการที่จะอาลัยอาวรณ์ หันมาใส่ใจกับสิ่งดี ๆ มีคุณค่า ตรงนี้และเดี๋ยวนี้ไม่ดีกว่าหรือ

    :- https://visalo.org/article/Image255703.html
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    มหัศจรรย์แห่งปัจจุบันขณะ
    ภาวัน
    เคยมีพิธีกรสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งถามองค์ทะไลลามะว่า พระองค์จะทรงเล่าให้ผู้ชมฟังถึงช่วงเวลาที่พระองค์ทรงมีความสุขที่สุดในชีวิตได้ไหม

    พระองค์ทรงใคร่ครวญสักพักก่อนจะยิ้มแล้วตอบว่า “อาตมาคิดว่า ช่วงเวลานั้นก็คือตอนนี้ไงล่ะ”

    ความสุขที่สุดนั้นสามารถหาได้ในปัจจุบันขณะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ไม่ต้องรอว่า ไปพักร้อน เที่ยวห้างหรือเจอคนรักก่อนจึงจะมีความสุขได้ ใครที่เฝ้ารออนาคตหรืออาลัยความสุขในอดีต จะไม่มีวันพบความสุขในปัจจุบันได้เลย

    “ปัจจุบันเป็นเวลาประเสริฐสุด” คำกล่าวของท่านติช นัท ฮันห์ เตือนให้เราเห็นคุณค่าของทุกขณะที่เรามีอยู่ ผู้คนมักไม่ตระหนักว่า ปัจจุบันขณะเป็นสิ่งแสดงว่าเรายังมีชีวิตอยู่ จำเพาะคนตายเท่านั้นที่มีแต่อดีต ไม่มีปัจจุบัน แม้กระนั้นถ้าใครมัวจมอยู่กับอดีต เอาแต่โศกเศร้าคร่ำครวญถึงคนรักที่ตายจาก ผู้นั้นก็ไม่ต่างจากคนตาย เพราะชีวิตไร้ชีวาเสียแล้ว เช่นเดียวกับคนที่กังวลกับอนาคต คิดถึงแต่ความตายที่รออยู่เบื้องหน้าเมื่อรู้ว่าตนเป็นโรคร้าย หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต คนเหล่านี้ถึงจะมีลมหายใจก็เหมือนตายทั้งเป็น

    มีแต่คนที่อยู่กับปัจจุบันขณะเท่านั้น จึงจะรู้สึกตื่นและมีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง เป็นคุณภาพที่ต่างจากคนซึ่งฝันถึงความสุขในอนาคต ใช้ชีวิตราวคนหลงละเมอ

    ปัจจุบันคือเวลาประเสริฐสุด เพราะเป็นโอกาสเดียวเท่านั้นที่เราสามารถทำสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นได้ ถ้าต้องการความสำเร็จ ก็ต้องลงมือทำเสียแต่บัดนี้ ถ้าต้องการความสุข ก็ต้องรู้จักเป็นสุขเสียแต่ตอนนี้

    “ชั่วขณะนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์” ท่านติช นัท ฮันห์ ชี้ให้เราเห็นว่า ความสุข ความงดงาม ความสงบเย็น หรือแม้กระทั่งนิพพาน ล้วนพบได้ในปัจจุบันเท่านั้น ขอเพียงแต่เราน้อมใจอยู่กับปัจจุบัน สิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ ก็จะปรากฏแก่เรา

    “สุรเชษฐ์” เป็นคนที่ขยันทำงานไม่ว่างเว้น และมีเรื่องให้ต้องใช้ความคิดตลอดเวลา วันหนึ่งเขาพบว่าตนเองเป็นไส้เลื่อน หลังจากผ่าตัดแล้วต้องมาพักฟื้นหลายวันที่บ้านซึ่งอยู่ชานกรุง นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาต้องวางงานทั้งหมด เพราะทำงานไม่สะดวก แม้แต่จะขยับเขยื้อนก็ลำบาก บ่ายวันหนึ่งขณะนั่งอยู่ที่ระเบียงบ้าน เขาได้ยินเสียงนกเขาขัน ทีแรกก็ตัวเดียว ต่อมาอีกหลายตัวร้องประสาน ตามมาด้วยนกนานาชนิดส่งเสียงบรรเลง เขาฟังอย่างตั้งใจ รับรู้ได้ถึงความไพเราะของเสียงนกร้อง เกิดปีติถึงกับน้ำตาคลอ แล้วเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เขาอยู่บ้านนี้มาร่วม ๒๐ ปีแล้ว ตั้งแต่ลูกสาวยังเล็กจนตอนนี้เกือบจบมหาวิทยาลัยแล้ว ทำไมเขาเพิ่งได้ยินเสียงนี้เป็นครั้งแรก

    นกเหล่านี้เพิ่งร้องประสานเสียงหรือ เปล่าเลย นกร้องมานานแล้ว นกร้องทุกวันแต่เขาไม่ได้ยินเอง เพราะใจมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการงาน ท่องไปในอดีตบ้าง อนาคตบ้าง ความไพเราะและความสุขนั้นมีอยู่รอบตัวเขา แต่ใจเขาไม่เปิดรับเองต่างหาก เพราะไม่ได้อยู่กับปัจจุบันขณะ

    ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าและรอบตัวเรา ขอเพียงแต่เปิดใจให้กับปัจจุบันขณะเท่านั้น

    อันที่จริงหากเราตระหนักว่าชีวิตนี้เปราะบางอย่างยิ่ง ก็จะพบว่าแค่มีวันนี้ มีวินาทีนี้นับว่าเป็นโชคอันประเสริฐอย่างยิ่ง ดังท่านนาคารชุน ปราชญ์ชาวอินเดียเมื่อพันกว่าปีก่อนได้กล่าวว่า “ชีวิตมนุษย์นั้นบอบบางเสียยิ่งกว่าฟองน้ำ การที่ลมหายใจออกตามหลังลมหายใจเข้า และการที่เราตื่นขึ้นมาหลังจากได้นอนหลับไปนั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งนัก”
    :- https://visalo.org/article/Image255610.html


     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    มาก่อนกาล
    ภาวัน
    “มันเป็นความอัปยศของปารีส....มันข่มปารีสประหนึ่งปล่องโรงงานสีดำขนาดยักษ์ ซึ่งบดเบียดวิหารนอเตรอะดาม..ลูฟว์ และประตูชัย ด้วยความเทอะทะน่าเกลียดของมัน”

    นี้เป็นข้อความตอนหนึ่งในแถลงการณ์ของปัญญาชนชั้นนำชาวฝรั่งเศส ๕๐ คนเมื่อปี ๒๔๓๐ พวกเขาทนไม่ได้ที่นครปารีสอันเป็นที่รักของเขากำลังมัวหมองเสื่อมทรามด้วย “เงาอัปลักษณ์ของแท่งกลวงโบ๋ที่ทำจากแผ่นโลหะ”

    สิ่งที่คนเหล่านี้ต่อต้านด้วยความรังเกียจชิงชังมิใช่อะไรอื่น หากได้แก่หอไอเฟิล นั่นเอง รูปทรง วัสดุ และความใหญ่โตสูงเด่นของหอนี้แปลกแหวกแนวเกินกว่าที่ปัญญาชนชั้นนำของฝรั่งเศสจะรับได้ คนเหล่านี้ล้วนมีชื่อเสียงในวงการวรรณกรรมและศิลปะ อาทิ อเล็กซองดร์ ดูมาส์ ซึ่งโด่งดังจากนิยาย “สามทหารเสือ” กีย์ เดอ โมปัซซองต์ นักเขียนเรื่องสั้นแนวหักมุม แม้แต่ปิซซาโร ผู้บุกเบิกศิลปะแนวอิมเพรสชันนิสม์ ก็คัดค้านเช่นกัน บางคนถึงกับเรียกมันว่า “แท่งเหน็บทวารที่ตั้งโด่เด่มีรูพรุน”

    ๘๕ ปีต่อมา ก็มีเสียงคัดค้านอื้ออึงทำนองเดียวกันจากชนชั้นนำในปารีส เมื่อรัฐบาลมีโครงการสร้างศูนย์ศิลปวัฒนธรรมแห่งใหม่กลางมหานคร ซึ่งเป็นทั้งหอสมุดและพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย สถาปัตยกรรมของศูนย์ปอมปิดูแห่งนี้ไม่เหมือนใคร เพราะเปิดเผยโครงสร้างอาคารรวมทั้งท่อนับร้อยให้เห็นเด่นชัดจากภายนอก แถมระบายสีสรรให้สะดุดตา ทั้งเขียว แดง เหลือง น้ำเงิน ไม่มีบรรยากาศขรึมขลังแบบพิพิธภัณฑ์ที่คนทั่วไปรู้จักเลย

    “ในที่สุดปารีสก็มีอสุรกาย เหมือนตัวที่อยู่ในล็อคเนส” (ทะเลสาบในสกอตแลนด์ที่เชื่อกันว่ามีไดโนเสาร์หลบซ่อนอยู่) เป็นคำวิจารณ์จากเลอฟิกาโร หนังสือพิมพ์ทรงอิทธิพลในฝรั่งเศส หลายคนรับไม่ได้ที่อาคารหน้าตาพิลึกถูกสร้างกลางย่านประวัติศาสตร์ที่อุดมด้วยตึกเก่าอันงดงาม ทำให้เสียบรรยากาศคลาสสิคอันเป็นเอกลักษณ์ของปารีสไป

    นั่นเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ผู้คนรุมวิจารณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับพิพิธภัณฑ์ลูฟว์สิบกว่าปีต่อมา เป้าสำคัญอยู่ที่ปิรามิดกระจกขนาดใหญ่ ที่สร้างครอบทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ในสายตาของคนจำนวนไม่น้อย มันเป็นสิ่งที่แปลกแยกกับสถานที่มาก รูปลักษณ์ราวกับหลุดจากโลกอนาคต ช่างขัดแย้งอย่างยิ่งกับอาคารคลาสสิกที่เป็นแบบฉบับของลูฟว์

    อย่างไรก็ตามมาถึงวันนี้ สถานที่ทั้งสามแห่งได้กลายเป็นความภาคภูมิใจของปารีสและฝรั่งเศสทั้งประเทศไปแล้ว สำหรับคนทั่วโลก ทั้งสามคือสถานที่ที่ต้องไปเยือนหากได้ย่างเหยียบมหานครแห่งนี้ ใช่แต่เท่านั้นมันยังได้ก่อกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงในวงการสถาปัตยกรรม อีกทั้งเป็นแบบอย่างให้แก่นานาประเทศทั่วโลกที่ต้องการสร้างสิ่งเชิดหน้าชูตาให้แก่เมืองของตน

    ถึงวันนี้คงมีน้อยคนที่เชื่อว่าครั้งหนึ่งหอไอเฟิล ศูนย์ปอมปิดู และปิรามิดลูฟว์ เคยถูกต่อต้านอย่างหนักมาแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้ก่อสร้าง ทั้งสามเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า สิ่งซึ่งได้รับการยกย่องและชื่นชมนั้น ใช่ว่ามหาชนจะให้การต้อนรับแต่เริ่มแรก ก็หาไม่ อาจได้รับผลตรงกันข้าม ทั้งนี้ก็เพราะมันมาก่อนกาลเวลานั้นเอง

    ดังนั้นหากถูกเยาะเย้ย ถากถาง และโจมตี เพราะคิดหรือทำไม่เหมือนใคร ก็อย่าเพิ่งท้อใจ เพราะนั่นมักเกิดขึ้นกับสิ่งล้ำยุคล้ำสมัยก่อนที่การยกย่องสรรเสริญจะตามมาในภายหลัง จะว่าไปแล้วก่อนจะได้รับคำสรรเสริญ มักต้องเจอกับคำวิจารณ์เสมอ ดังนั้นเมื่อจะทำอะไรจึงไม่ควรหวั่นไหวกับคำตำหนิ ที่จริงแล้วหากมุ่งมั่นในสิ่งที่ทำ ก็ไม่ควรปลาบปลื้มในคำสรรเสริญเช่นกัน เพราะอาจเสียใจในภายหลังเมื่อต้องพบกับคำต่อว่าด่าทอ

    สรรเสริญกับนินทา เป็นของคู่กัน จะหวังแต่คำสรรเสริญโดยหลีกหนีคำนินทาหาได้ไม่ ถ้าอยากมีความสุขและสนุกกับงาน ก็ควรปล่อยวางทั้งคำสรรเสริญและเสียงนิทนา
    :- https://visalo.org/article/Image255708.html
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    ขอบคุณที่ด่า
    ภาวัน
    ก่อนที่จะคืนสู่ชนบท ทำนาปลูกผักและใช้ชีวิตกลมกลืนกับธรรมชาติ จนเป็นแรงบันดาลใจให้แก่หนุ่มสาวหลายคนที่ต้องการหันหลังให้กับชีวิตว้าวุ่นในเมือง โจน จันได เคยอยู่แบบปากกัดตีนถีบในกรุง ด้วยความใฝ่ฝันอยากร่ำรวยเหมือนคนทั่วไป

    ช่วงหนึ่งเขาได้งานเป็นพนักงานทำความสะอาดในโรงแรม หัวหน้าของเขาคือแม่บ้าน ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เขาไม่เคยพบมาก่อน คือ เป็นคนปากร้าย เจอกันทีไรเธอก็ชี้หน้าด่าก่อนแล้วก็ไป วันหนึ่งเธอสั่งให้เขาขัดลูกบิดประตูในห้องพักด้วยน้ำยาบรัสโซ ขณะที่เขาทำใกล้จะเสร็จ ผู้จัดการเดินผ่านมา พอเห็นเข้าก็ต่อว่าเขาว่า “ใช้บรัสโซขัดได้ยังไง มันขัดไม่ได้” ได้ยินเช่นนั้นแม่บ้านก็ซ้ำเขาทันทีว่า “เธอขัดได้ยังไง”

    แม้นึกไม่ถึงว่าแม่บ้านจะพูดเช่นนั้นกับเขา แต่แทนที่จะโต้เถียง โจนกลับยิ้มให้ ยกมือไหว้ พร้อมกับพูดว่า “ขอโทษครับ ขอบคุณครับที่เตือนผม”

    นั่นเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เปลี่ยนแปลงเขา โจนเล่าว่า นับแต่นั้นมาเขาฝึกที่จะยิ้มให้แก่คนที่ด่าเขา ทุกครั้งที่แม่บ้านด่าว่าเขา เขาจะยกมือไหว้และกล่าวคำขอบคุณ ใหม่ๆ เขารู้สึกละอายใจที่พูดอย่างนั้นเพราะรู้สึกเหมือนเสแสร้ง แต่ตอนหลังเขาพูดได้อย่างสบายใจเพราะมีความรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ คือขอบคุณที่แม่บ้านเตือนเขาและช่วยให้เขาหันมาจัดการกับความโกรธของตัว

    พนักงานทั้งโรมแรมหาว่าเขาฟั่นเฟือน บางคนก็บอกว่าเขาโง่ที่ยอมให้แม่บ้านจิกหัวใช้ แต่โจนไม่ถือสา จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไป แม่บ้านอดรนทนไม่ได้ เรียกเขามาหาด้วยความสงสัยว่าทำไมเขาทำอย่างนั้นทุกครั้งที่เธอด่าเขา

    โจนจึงชี้แจงว่า เขารู้สึกขอบคุณแม่บ้านจริงๆ ที่เตือนให้เขากลับมาดูตัวเอง และเตือนให้เขามาใคร่ครวญว่า ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกรธ ในเมื่อเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ส่วนที่แม่บ้านพูดอะไรไปนั้นก็เป็นเรื่องของแม่บ้าน จะเป็นเพราะความคุ้นเคยหรือเป็นความชอบของแม่บ้านก็แล้วแต่

    ผลก็คือนับแต่วันนั้นแม่บ้านก็ไม่เคยต่อว่าด่าทอเขาอีกเลย ส่วนตัวเขาเองก็ได้นิสัยใหม่ ใครจะพูดอย่างไรกับเขา ดุด่าอย่างไร เขาก็ไม่โกรธ สามารถยิ้มให้ได้ ไม่ใช่โจนคนเดิมที่โกรธจนหน้าแดงเวลาเจอคำผรุสวาท

    แม่บ้านเปลี่ยนไปเพราะความสุภาพอ่อนโยนของโจน จะเรียกว่าความดีของโจนชนะใจเธอก็ได้ แต่ที่โจนทำได้เช่นนั้นก็เพราะเขาชนะใจตัวเองเป็นอย่างแรก นั่นคือ ชนะความโกรธในใจตน ไม่ปล่อยให้ความโกรธครอบงำจนเผลอพูดและทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม

    เวลาถูกด่าว่า เรามักคิดว่าการโต้กลับด้วยถ้อยคำที่แรงกว่า เป็นวิธีที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่บ่อยครั้งมันกลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม และลงเอยด้วยความเสียหายพ่ายแพ้ของทั้งสองฝ่าย น้อยคนที่ตระหนักว่าความอ่อนโยนนั้นสามารถเอาชนะความก้าวร้าว เช่นเดียวกับความเมตตาที่สามารถเอาชนะความโกรธได้
    เรื่องราวของโจนยังบอกให้เรารู้ว่า คำต่อว่าด่าทอ ดูให้ดีก็มีคุณ หากรู้จักใช้ประโยชน์จากมัน สิ่งดีๆ ก็สามารถเกิดขึ้นกับชีวิตของเราได้ ถ้ามองเป็น แม้กระทั่งคนที่ต่อว่าด่าทอเรา ก็สมควรได้รับความขอบคุณจากเราด้วยซ้ำ มองให้กว้างออกไป เมื่อมีสิ่งแย่ๆ เกิดขึ้นกับเรา ใช่ว่าเราจะต้องทุกข์เสมอไป จะทุกข์หรือไม่อยู่ที่ว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร ถ้าวางใจเป็น ก็ยังเป็นสุขหรือยิ้มได้

    ดังนั้นเมื่อใดที่เป็นทุกข์ก็อย่ามัวโทษสิ่งภายนอก แต่ควรกลับมาดูใจของตนก่อนอื่นใด

    :- https://visalo.org/article/Image255804.html
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    ตัวขโมยความสุข
    ภาวัน
    เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น

    หนุ่มโสดคนหนึ่งสังเกตว่าหลายเดือนมานี้มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในบ้านเขา นั่นคืออาหารที่เก็บไว้ในครัวหายเป็นประจำ เขาเชื่อว่าต้องมีขโมยเข้าบ้านเขา แต่ไม่เคยจับได้คาหนังคาเขาเสียที เขาจึงติดตั้งกล้องวงจรปิดซึ่งสามารถส่งสัญญาณภาพไปยังโทรศัพท์มือถือของเขา

    แล้วเขาก็พบว่า มีใครคนหนึ่งกำลังยุ่มย่ามอยู่ในบ้านเขา จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจทันทีเพราะเชื่อว่าพบขโมยแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อตำรวจมาถึง ก็พบว่าประตูและหน้าต่างบ้านนี้ลั่นดาลแน่นหนา ตำรวจจึงตรวจค้นทุกซอกทุกมุมและทุกห้อง แต่ก็ไม่เจออะไร จนกระทั่งตำรวจเลื่อนประตูตู้เสื้อผ้าก็พบผู้หญิงวัย ๕๘ ปีคนหนึ่งนั่งขดตัวอยู่ข้างใน

    เธอสารภาพว่า เป็นคนไร้บ้านและแอบเข้ามาอยู่ในบ้านนี้นานเป็นปีแล้ว ที่เธอเข้ามาได้ก็เพราะเห็นว่าประตูบ้านนี้ไม่ได้ลั่นดาลเอาไว้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอต้องซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าในยามเจ้าของบ้านกลับมา ต่อเมื่อเขาออกไปข้างนอก เธอจึงจะออกมาหาอาหารกิน และอาบน้ำถูฟัน

    ชายเจ้าของบ้านคิดไม่ถึงว่าขโมยที่เขาต้องการตัวนั้น ที่แท้กบดานซ่อนอยู่ในบ้านเขานานเป็นปีแล้ว และที่เคยคิดว่าเขาอยู่คนเดียวในบ้านนั้นเป็นความเข้าใจผิดมาโดยตลอด

    อ่านเรื่องนี้แล้ว ใครที่คิดว่าตัวเองอยู่ลำพังในบ้าน อย่าเพิ่งแน่ใจนักว่ามีคุณคนเดียวที่อยู่บ้าน เพราะอาจมีคนแปลกหน้าหรือขโมยอยู่ร่วมบ้านเดียวกับคุณก็ได้

    คนเรามักคิดว่าขโมยนั้นอยู่ไกลตัว แต่บางทีขโมยก็อยู่ใกล้ตัวเรานิดเดียว จะว่าไปแล้ว ใช้คำว่า “บางที”ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะบ่อยครั้งขโมยอยู่ใกล้ชิดเรามากอย่างที่นึกไม่ถึง

    ไม่เชื่อก็ลองสำรวจดูว่าในตัวคุณมีพยาธิอยู่หรือเปล่า นั่นแหละตัวการที่ขโมยอาหารในร่างกายของคุณอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าคุณหาอะไรมาใส่ท้อง ดีเลิศแค่ไหนก็ตาม มันจะคอยแย่งกินแย่งดูดจนอิ่มหมีพีมัน ขณะที่ร่างกายของคุณกลับย่ำแย่ลง

    ก้อนมะเร็งเป็นหัวขโมยอีกชนิดหนึ่งที่อาจกำลังแย่งชิงสารอาหารไปจากเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายของคุณอยู่ในขณะนี้ก็ได้

    อย่างไรก็ตามหัวขโมยที่ดูดเอาสุขภาพของคุณไปนั้น ยังไม่น่ากลัวเท่ากับเจ้าตัวร้ายที่ขโมยความสุขไปจากใจคุณ

    เช่นเดียวกับพยาธิและก้อนมะเร็ง เจ้าตัวร้ายที่ว่านี้ไม่ได้อยู่นอกตัวคุณ ไม่ใช่ทั้งคนใกล้ตัว หรือคนไกลตัว หากแต่อยู่ในใจคุณนั้นเอง

    เจ้าตัวร้ายที่ว่าก็คือ ความยึดติดถือมั่นในอัตตาหรือตัวกูของกู ซึ่งแตกลูกแตกหลานเป็น ความโลภ ความโกรธเกลียด ความอิจฉาริษยา ความถือตัว เป็นต้น เจ้าตัวร้ายที่ว่านี้จะคอยดูดความสุขไปจากจิตใจของเราตลอดเวลา ทำให้จิตใจร่านรนรุ่มร้อน ขุ่นเคือง กระสับกระส่าย จนอยู่ไม่เป็นสุข กินไม่ได้ นอนไม่หลับ อาจถึงกับล้มป่วยเลยด้วยซ้ำ

    ตราบใดที่เราจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เจ้าตัวร้ายนี้ก็จะรังควาญเราไม่จบสิ้น แม้เราจะมีครอบครัวที่ดี มีร่างกายแข็งแรง มีทรัพย์สมบัติมากมาย มีตำแหน่งหน้าที่สูงเด่น ประสบความสำเร็จนับไม่ถ้วน เราก็ยังไม่มีความสุขอยู่นั้นเอง เพราะความสุขที่ควรมีควรได้นั้นถูกดูดไปหล่อเลี้ยงปรนเปรออัตตาหรือเจ้าตัวร้าย ขณะที่มันเติบใหญ่พองโต แต่จิตใจของเรากลับเหี่ยวแห้งเศร้าหมอง

    ขโมยนั้นชอบซุกซ่อนอยู่ในที่มืด เพราะกลัวแสงสว่างหรือกลัวคนเห็น ฉันใดก็ฉันนั้น เจ้าตัวร้ายนี้ก็กลัวใจที่มีสติรู้ทัน เมื่อใดก็ตามที่มีสติ ใจก็พลันสว่าง สามารถเห็นเจ้าตัวร้ายคาหนังคาเขา ทำให้มันต้องรีบหลบหนี ไม่มารังควาญอีกต่อไป ความปกติสุขจึงกลับคืนสู่ใจของเรา

    แน่นอนมันไม่ได้หายไปเลย แต่จะคอยกลับมารบกวนเวลาเราเผลอ การมีสติหมั่นดูใจตนอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้นจึงอย่าเผลอส่งจิตออกนอกตัว จนลืมกลับมาดูใจ หาไม่แล้วความสุขของคุณจะถูกดูดหายไปได้ง่าย ๆ
    :- https://visalo.org/article/Image255411.htm



     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    เผื่อใจไว้บ้าง
    ภาวัน

    หลายคนที่พิการเพราะเมาแล้วขับหรือขี่มอเตอร์ไซค์โดยไม่ใส่หมวกกันน็อค เมื่อถามว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนหรือว่ามีคนที่บาดเจ็บล้มตายเพราะการกระทำเช่นนั้นมาแล้ว คำตอบที่ได้คือ รู้ เรื่องแบบนี้ได้ยินบ่อย ๆ “แล้วทำไมยังทำล่ะ ?” คำตอบออกมาคล้ายกันคือ “ก็เพราะคิดว่าผมคงไม่โชคร้ายอย่างนั้น”

    ทำนองเดียวกันวัยรุ่นที่ติดเชื้อ HIV เนื่องจากไปเที่ยวผู้หญิงโดยไม่ใช้ถุงยาง เมื่อถามว่าเขาไม่เคยได้ยินข่าวมาก่อนหรือว่ามีคนติดเอดส์เพราะการกระทำดังกล่าว หลายคนตอบว่ารู้ เมื่อถามว่า แล้วทำไมถึงไม่ใช้ถุงยาง คำตอบที่ได้ก็คือ “เพราะผมคิดว่าคงไม่เป็นเหมือนอย่างเขา”

    ไม่ใช่แต่วัยรุ่นใจร้อนเท่านั้นที่คิดเข้าข้างตนเอง คนทั่วไปก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ได้ยินจนชินว่าคนนั้นคนนี้เจ็บป่วยล้มตายเพราะมะเร็ง แต่ก็มักคิดว่า โรคนี้จะไม่เกิดกับฉัน ดังนั้นเมื่อวันหนึ่งพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง จึงทำใจไม่ได้ ก่นด่าชะตากรรมว่า “ทำไมถึงต้องเป็นฉัน”

    ใคร ๆ ก็รู้ว่ามีสามีภรรยาหลายคู่ที่อยู่กันไม่ยืด จนการหย่าร้างกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่ก็มักคิดว่า นั่นมันคู่ของคนอื่น แต่คู่ของฉันจะไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ที่น่าคิดก็คือ มีหลายคู่ที่คิดแบบนี้แต่ในที่สุดก็ต้องเลิกราจากกัน

    มักพูดกันว่าคนสมัยนี้มองโลกในแง่ร้าย เวลามองเหตุการณ์บ้านเมืองหรือภาวะเศรษฐกิจ ก็จะเห็นแต่ปัญหาหรืออนาคตที่หม่นหมอง ครั้นมองผู้คนรอบตัวก็มักจะเห็นด้านที่เป็นลบ แต่ที่น่าแปลกก็คือ เวลามองตัวเอง ผู้คนส่วนใหญ่กลับมองในแง่ดี

    เมื่อปี ๒๕๕๐ มีการสำรวจพบว่า ร้อยละ ๗๐ ของคนอเมริกันคิดว่าครอบครัวส่วนใหญ่ในเวลานี้ประสบความสำเร็จน้อยกว่าสมัยพ่อแม่ของตน กระนั้นก็ตาม ร้อยละ ๗๖ กลับเชื่อว่าครอบครัวของตนจะมีอนาคตที่ดีกว่า พูดง่าย ๆ ก็คือ คนอื่นนั้นมีแต่แย่ลง ส่วนฉันจะดีขึ้น

    ในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน โอกาสที่สามีภรรยาจะหย่าร้างนั้นมีสูงถึง ๕๐:๕๐ แต่คนส่วนใหญ่คิดว่าคู่ของตนจะอยู่กันอย่างยั่งยืน แม้ในเวลาต่อมาจะพบว่าความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ต้องหย่าร้างกัน แต่เมื่อจะแต่งงานใหม่ ก็ยังคิดว่าคราวนี้จะอยู่ได้ยืดหรือยืนนานกว่าครั้งก่อน
    การมองในแง่ดีแบบนี้ จะเรียกว่าเป็นการมองเข้าข้างต้นเอง ก็คงไม่ผิด เพราะไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ก็คิดว่าเราจะพบแต่สิ่งดี ๆ มีชีวิตที่ราบรื่น ไม่เหมือนคนอื่นเขา การมองแบบนี้มีข้อดีคือทำให้เรามีกำลังใจ ไม่ท้อแท้ มีความสดใสเบิกบาน ไม่หดหู่ แต่ข้อเสียก็คือ ทำให้เราประมาท ชะล่าใจ และทำความผิดพลาดซ้ำรอยคนอื่น ใช่แต่เท่านั้นเมื่อประสบเคราะห์ ก็ทำใจไม่ได้ เพราะไม่เคยเตรียมใจไว้ก่อนเลย

    การมองชีวิตของตนในแง่ดีเป็นธรรมดาของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่ามันเป็นสัญชาตญาณที่ติดมากับยีนส์หรือผูกกับสมองของมนุษย์เลยทีเดียว แต่หากเรามัวแต่มองชีวิตในแง่ดีแบบนี้ ก็ง่ายที่จะกลายเป็นคนประมาท หรือชะล่าใจจนภัยมาถึงตัว ดังนั้นจึงควรที่จะมีบางอย่างมาถ่วงดุลกับสัญชาตญาณส่วนนี้ด้วย

    พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มองชีวิตแง่ดี ก็ดีแล้ว แต่ก็ควรเผื่อใจไว้บ้างว่าปัญหาหรือสิ่งเลวร้ายสามารถเกิดขึ้นกับเราได้เสมอ เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ดังนั้นจึงต้องเตรียมตัวป้องกันเหตุร้ายไว้เสมอ ขณะเดียวก็ต้องเตรียมใจด้วย

    สำหรับชาวพุทธ วิธีเตรียมใจอย่างหนึ่งก็คือ การพิจารณาว่า ความแก่ ความป่วย ความตาย จะต้องเกิดขึ้นแก่ตนเอง ไม่มีใครหนีพ้น เช่นเดียวกับ ความพลัดพรากจากของรักคนรัก วิธีนี้ช่วยเตือนใจไม่ให้ประมาท หรือเพลิดเพลินหลงใหลในความสุขและความสำเร็จที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็เตรียมใจพร้อมรับกับความผันผวนที่จะมาถึง

    การพิจารณาถึงความจริงของชีวิตดังกล่าวเป็นการเตรียมใจสำหรับชีวิตในช่วงยาว แต่สำหรับการดำเนินชีวิตในแต่ละขณะ ก็ควรมีการเตือนใจทำนองนี้เหมือนกัน คือ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็เผื่อใจไว้ว่าอาจไม่เป็นอย่างที่คาดหวังก็ได้ เช่น เวลาทำงาน ก็ควรเผื่อใจสำหรับความล้มเหลว เวลาไปตรวจสุขภาพ ก็ควรเผื่อใจว่าอาจพบโรคร้าย ฯลฯ การเผื่อใจเช่นนี้จะช่วยให้เราไม่เสียศูนย์เมื่อประสบกับความพลิกผัน

    วัยรุ่นหากเผื่อใจไว้ว่าอาจเกิดอุบัติเหตุ ก็คงไม่ขับรถทั้ง ๆ ที่เมาหรือไม่ใส่หมวกกันน็อค ส่วนผู้ใหญ่หากเผื่อใจว่ามะเร็งสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ก็จะกินอาหารอย่างระมัดระวังและหมั่นออกกำลังกาย รวมทั้งเร่งทำภารกิจสำคัญโดยไม่ผัดวันประกันพรุ่งอยู่ตลอดเวลา
    :- https://visalo.org/article/Image255506.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2025 at 00:17
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    ทำดี แต่ไม่คาดหวังผลแห่งความดี
    พระไพศาล วิสาโล
    การทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นหน้าที่ของเรา ส่วนคนที่เราช่วยนั้นจะเห็นคุณค่าของเราหรือไม่ เป็นเรื่องของเขา อันนี้ใช้ได้กับกรณีอื่น ๆ ด้วย เวลาเราช่วยเหลือใคร ช่วยเขาให้เต็มที่ ส่วนเขาจะสำนึกบุญคุณของเรา หรือเห็นคุณค่าของเราหรือไม่ เป็นเรื่องของเขา ถ้าเราโกรธเขาเราก็จะเป็นทุกข์มากขึ้น เมื่อช่วยใครไปแล้ว อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะเห็นคุณค่าของเราหรือไม่ หลายคนช่วยคนอื่นแล้วก็เป็นทุกข์เพราะเหตุนี้

    ขอให้เราตระหนักว่า การทำความดีเป็นหน้าที่ของเรา ส่วนการสำนึกบุญคุณเป็นหน้าที่ของเขา ถ้าเขาไม่ทำก็เป็นเรื่องของเขา วิบากกรรมก็จะเกิดกับเขาเอง เราจะไปโกรธ หรือเรียกร้องให้เขาตอบแทนทำไมกัน บ่อยครั้งที่เราเรียกร้องจากเขาจนกระทั่งกลายเป็นคาดคั้น กดดันเขาไม่หยุดหย่อน ทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง อันที่จริงบางครั้งเขาก็ตอบแทนแล้ว แต่เราต้องการมากกว่านั้น เช่นเขาให้ ๑๐ แต่เราคาดหวัง ๒๐ เราก็เลยผิดหวังไม่พอใจ หรือโกรธเคืองเขา การคาดหวังการตอบแทนจากคนที่เคยช่วยเหลือ บั่นทอนความสัมพันธ์ของผู้คนมาเยอะแล้ว

    เวลาเราทำความดี อย่าไปคาดหวัง ว่าเขาจะต้องตอบแทนหรือสำนึกบุญคุณของเรา หน้าที่ของเราคือการทำความดีในฐานะที่เป็นลูก คุณธรรมของลูกคือความกตัญญูต่อพ่อแม่ ทำให้เต็มที่ ส่วนเขาจะเห็นหรือไม่ เป็นเรื่องของเขา แต่ในที่สุดเชื่อว่าเขาก็จะเห็น ขอให้เราทำความดีด้วยความจริงใจ

    มีความหวังได้ แต่อย่าคาดหวัง

    อย่าคาดหวัง แต่ขอให้มีความหวัง นี้เป็นหลักการที่มีประโยชน์มาก ใช้ได้กับความสัมพันธ์มากมาย รวมทั้ง รวมถึงการดูแลผู้ป่วยด้วย อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะหาย อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะต้องทำตามที่เราแนะนำ แต่ให้เรามีความหวัง และที่สำคัญเราต้องยอมรับตัวเองด้วย ไม่ใช่แค่ยอมรับเขา ไม่ใช่แค่ยอมรับความอ่อนแอของเขา แต่เราต้องยอมรับความอ่อนแอของตัวเองด้วย
    คนที่ดูแลผู้ป่วยมา 10 ปี ตลอด 24 ชั่วโมง แทบไม่มีเวลาพัก แล้วบางทีตัวเองยังมีลูก มีภาระ หรือต้องทิ้งอนาคต จึงเป็นธรรมดามากที่จะมีความคิดแวบหนึ่งขึ้นมาว่า “เมื่อไหร่เขาจะตายสักที” อย่าไปคิดว่า คุณเป็นคนเลวที่มีความคิดแบบนี้ เพราะหลายคนก็คิดแบบคุณ อย่าไปจริงจังกับความคิดนี้มาก มันแค่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแวบหนึ่งในยามที่หงุดหงิด ในยามที่น้อยใจ คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่

    แม่คนหนึ่งดูลูกซึ่งนอนเป็นผักนานนับสิบปี เธอยังมีลูกอีกหลายคนที่ต้องดูแล แต่ต้องเสียเวลาไม่ใช่น้อยกับการดูแลลูกคนนี้ วันหนึ่งเธอกลัดกลุ้มและคับแค้นมากถึงกับพูดต่อหน้าลูกที่ป่วยว่า “เมื่อไหร่แกจะตายสักที” หลายปีต่อมาลูกคนนี้ฟื้นขึ้นมา แม่ดีใจมาก แล้ววันหนึ่งลูกก็ถามแม่ว่า แม่พูดประโยคนี้จริงไหม แม่ถึงกับร้องไห้ และขอโทษลูกที่พูดประโยคนั้นออกไป แม่คงไม่รู้ว่าคนที่เป็นผักนั้น แม้จะพูดไม่ได้ แสดงอากัปกิริยาไม่ได้ แต่เขายังได้ยิน ผู้ดูแลพูดอะไรไป เขาได้ยินหมด
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    (ต่อ)
    เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ที่อังกฤษมีการทดสอบดูว่า คนที่นอนเป็นผักเวลาเราพูดอะไรเขารู้เรื่องไหม หมอพูดกับคนไข้หลายคนที่เป็นผัก โดยให้เขาจินตนาการว่ากำลังเล่นเทนนิสบ้าง กำลังเดินรอบห้องบ้าง ระหว่างนั้นก็มีการสแกนสมองด้วยเครื่อง functional MRI เขาพบว่า สมองส่วนที่รับรู้ภาษาของผู้ป่วยซึ่งนอนเป็นผัก ยังทำงานเป็นปกติ และสมองที่ควบคุมอวัยวะเช่น แขน ขา คือ premotor cortex ก็ทำงาน แสดงว่าเขาได้ยินและเข้าใจที่หมอพูด น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือเมื่อนำผลสแกนสมองของคนที่ป่วยเป็นผักไปเปรียบเทียบกับของคนปกติที่ได้รับคำสั่งเดียวกัน ปรากฏว่า ไม่สามารถแยกออกว่าผลสแกนสมองอันไหนเป็นของผู้ป่วยที่ป่วยเป็นผัก อันไหนเป็นของคนปกติ หมายความว่าสมองของผู้นอนเป็นผัก เหมือนคนปกติ เพียงแต่เขาพูดออกมาไม่ได้ หรือสั่งแขนและขาให้ทำงานไม่ได้เหมือนคนปกติ

    พระอาจารย์อมโร เจ้าอาวาสวัดอมราวดีที่ประเทศอังกฤษ เล่าว่า โยมยายนอนเป็นผักมา 4 ปี วันหนึ่งหมอพบว่ายายมีอาการหนัก หมอบอกว่าต้องผ่าตัดใหญ่ ลูก ๆ ของยายก็คือ โยมแม่ โยมน้าของท่านมาประชุมกัน แล้วสรุปว่าไม่ให้ผ่าเพราะคุณยายอายุมากแล้ว พอประชุมกันเสร็จจู่ ๆ คุณยายก็พูดขึ้นมาว่า thank you ตลอด ๔ ปีที่ป่วย คุณยายพูดแค่ ๒ คำเท่านั้น คือ thank you หลังจากนั้น 2-3 วันก็เสียชีวิต อันนี้แสดงว่าคุณยายได้ยินที่ลูกพูดคุยกัน และคงทุกข์กับความเจ็บป่วยมานาน จึงดีใจที่ลูก ๆ ตกลงไม่ให้หมอผ่า

    ย้อนมายังกรณีแม่ที่มีความคิดแวบหนึ่งว่า อยากให้ลูกที่นอนเป็นผัก ตายสักที เพื่อแม่จะได้ไปดูแลลูกคนอื่น การที่แม่คิดแบบนี้ เป็นวิสัยของปุถุชน อย่าไปคิดว่าผิดบาป ตราบใดที่มันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบซึ่งเกิดจากความเครียด แต่หลายคนทำใจไม่ได้ว่าทำไมตัวเองคิดแบบนี้ จึงโทษตัวเองว่าเป็นคนเลว คิดแบบนี้ได้อย่างไร "ไม่มีใครเลวเท่าฉันอีกแล้ว" อาตมาอยากบอกว่า ความคิดแบบนี้เกิดขึ้นกับคนมากมาย ไม่ได้เกิดกับคุณคนเดียว มันเป็นธรรมดาของคนเราเวลามีความเครียด กดดัน เพราะฉะนั้นอย่าประณามหรือลงโทษตัวเองที่คิดแบบนี้ ข้อสำคัญคือ ให้มันเป็นแค่ความคิดเฉย ๆ แล้วก็รู้ทันมัน ไม่ทำตามมัน

    หลวงพ่อคำเขียนพูดเสมอว่า “คิดดีก็ช่าง คิดชั่วก็ช่าง” เวลาเจริญสติ ก็มีความคิดทั้งดีและชั่ว ผุดขึ้นมา เราก็แค่ดูมันเฉย ๆ มันเป็นแค่ความคิด ไม่ใช่ตัวเรา อย่าไปลงโทษตัวเองที่มีความคิดแบบนี้ อย่าตัดสินว่าตัวเองเลวที่มีความคิดแบบนี้ หาไม่เราจะดูแลคนป่วยด้วยความทุกข์ ความคิดแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา ในยามที่เราเครียดจนลืมตัว เมื่อรู้ตัว ก็ให้อภัยตัวเองที่มีความคิดแบบนี้

    การให้อภัยตัวเองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ดูแล แม้จะไม่มีความคิดแบบนี้เกิดขึ้น ก็อาจมีการกระทำหรือคำพูดบางอย่างที่หลุดออกมา เช่น ต่อว่าพ่อแม่ หรือขึ้นเสียงกับท่าน เมื่อท่านไม่ทำตามคำแนะนำ ของเรา เช่น แอบกินอาหารรสจัดทั้ง ๆ ที่ไตวาย หรือแอบกินข้าวขาหมู ทั้ง ๆ ที่เป็นโรคหัวใจ หรือแอบสูบบุหรี่ทั้ง ๆ ที่เป็นมะเร็งปอด เป็นธรรมดาที่เราจะลืมตัวทำแบบนี้ เพราะหวังดีกับท่าน จนโมโหที่ท่านไม่เป็นไปดั่งใจเรา

    ความปรารถนาดีกลายเป็นสิ่งตรงข้าม

    เป็นการดีถ้าเราเตือนตัวเองอยู่เสมอ ว่าบ่อยครั้งคนเรามักจะทำร้ายคนอื่นในนามของความปรารถนาดี ยิ่งหวังดีกับใครมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเผลอทำร้ายเขาเมื่อเขาไม่ทำตามความหวังดีของเรา แม้ไม่ได้ทำร้ายร่างกายเขา แต่ก็ทำร้ายจิตใจเขาด้วยคำพูด ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะความยึดติดถือมั่นในความคิดของตน หรือยืนกรานในความหวังดีของตน ดังนั้นสิ่งที่ควรเตือนตนเสมอคือ อย่ายึดติดถือมั่นกับความเห็นของเรามากนัก แม้ความเห็นหรือคำแนะนำของเราจะถูก เพราะเราอ่านตำรามา หรือได้คำแนะนำจากหมอมาก็ตาม

    หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก ลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ท่านพูดเตือนสติได้ดีมากว่า “แม้ความเห็นของเราจะถูก แต่ถ้ายึดเข้าไว้ มันก็ผิด” ที่ว่าผิดก็เพราะ ทันทีที่ยึดมันก็เกิดตัวกูของกูขึ้นมา คำแนะนำของเราแม้จะเกิดจากความปรารถนาดี อยากให้พ่อแม่สุขภาพดีขึ้น แต่ถ้ายึดมั่นถือมั่นมากเกินไป จะเกิดปัญหาทันที เช่น ยัดเยียดให้ท่านกินอาหาร ทั้ง ๆ ที่ท่านอยู่ในระยะท้าย ร่างกายไม่รับอาหารแล้ว แต่ลูกก็ยังบังคับด้วยการfeed อาหารให้ท่าน ทำให้ท่านทุกข์ทรมาน กลายเป็นโทษมากกว่าคุณ หรือพอแนะนำไปแล้ว ท่านไม่ทำตาม ก็โกรธ ต่อว่าท่าน ถามว่าที่โกรธก็เพราะท่านไม่ทำตามคำแนะนำของเราใช่ไหม โกรธที่ท่านไม่เชื่อฟังเราใช่ไหม ดูเผิน ๆ เหมือนว่าเราทำเพื่อท่าน แต่ที่จริงเราทำเพื่อตัวเองมากกว่า

    เส้นแบ่งอันนี้มันบางมาก ทำเพื่อเขา กับ ทำเพื่อเรา บ่อยครั้งเราคิดว่าทำเพื่อผู้ป่วย จึงโกรธเพราะเป็นห่วงท่าน แต่ลึก ๆ เราโกรธที่ท่านไม่เชื่อเรา ไม่ทำตามคำแนะนำหรือคำสั่งของเรา กลายเป็นเรื่องตัวกูของกูไป ถ้าเราเป็นห่วงท่าน ปรารถนาดีต่อท่านจริง ๆ ควรเอาท่านเป็นศูนย์กลาง มองจากมุมของท่าน พยายามเข้าใจท่าน ถ้าเราเข้าใจท่าน ท่านจะกินข้าวเหนียวทุเรียนบ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะบางคนแค่ได้แตะ ๆ นิดหน่อยก็มีความสุขแล้ว

    :- https://visalo.org/article/dhammamata15_2.html
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    แก้ทุกข์ที่ใจ
    พระไพศาล วิสาโล

    เมื่อเช้าบิณฑบาตผ่านบ้านโยมคนหนึ่ง มีเด็กน้อยถือไม้ทำเป็นปืนยาวเล็งมาที่พระ พอพระเดินผ่านก็เล็งอย่างบรรจงแล้วยิงปุ้งๆ คงหวังจะให้พระล้มไปทีละรูปสองรูป อาตมาเห็นก็หัวเราะ เสร็จแล้วอดไม่ได้ที่จะคิดต่อไปอีกว่าเวลามีคนมาด่าว่าเรา พูดจาไม่ดีกับเรา หรือยิ่งกว่านั้นก็คือ เอาปืนหรือก้อนหินมาทำร้าย ถ้าเรารู้สึกขำขันหรือไม่ถือสาแบบนั้นบ้าง เราก็คงจะมีความสุขนะ ที่จริงพระพุทธองค์ก็ทรงแนะนำให้เรามีท่าทีอย่างนั้นเวลามีคนมาต่อว่าหรือทำร้าย มีคราวหนึ่งตรัสว่า “ถ้ามีใครทำร้ายเธอด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนหิน ด้วยท่อนไม้ หรือด้วยศาสตรา เธอพึงตระหนักอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรผัน เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ เราจักเป็นผู้มีความเอ็นดูเกื้อกูล มีเมตตาจิต ไม่มีโทษอยู่ภายใน” แม้กระทั่งเวลามีโจรมาทำร้ายด้วยการเลื่อยร่างกายหรืออวัยวะของเรา พระองค์ก็ทรงแนะให้พระสาวกทำใจอย่างนั้นเช่นกัน พระองค์ถึงกับตรัสว่าหากใครมีจิตคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ก็ไม่ชื่อว่าทำตามคำสอนของพระองค์


    อันที่จริงอย่าว่าแต่มาทำร้ายเราเลย เพียงแค่เขาทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามกับเรา หรือแสดงความไม่เคารพเรา แล้วเราสามารถหัวเราะหรือนึกขำอยู่ในใจ เหมือนกับที่เราหัวเราะเด็กคนนั้น ก็ดีไม่น้อย แต่แม้เพียงแค่นั้น หลายคนก็ยังทำไม่ได้ อย่างบางคนถ้าเห็นเด็กทำท่าเล็งปืนมาที่ตัวเองอย่างนั้น เขาอาจไม่พอใจ ถ้าถือตัวถือตนหน่อยเขาก็อาจคิดขึ้นมาในใจว่า ทำไมเด็กคนนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ทำอย่างนี้กับเราซึ่งเป็นพระได้ยังไง เห็นเราเป็นตัวตลกหรือยังไง บางทีถึงกับไม่พอใจไปถึงพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายของเด็กว่า ทำไมไม่สั่งสอนลูกหลานของตัวบ้าง ถ้าใครคิดแบบนี้รับรองเป็นทุกข์ทันที เพราะโดนความโกรธเล่นงาน พอโกรธแล้วก็ต้องด่าว่าเด็กคนนั้น แล้วตำหนิเลยไปถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเขา ทางโน้นก็คงไม่พอใจ ตอบโต้กลับมา กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ง่ายๆ

    ในกรณีแบบนี้ความทุกข์เกิดขึ้นได้เพราะอะไร มันเกิดขึ้นเพราะเด็กทำท่าทำทางอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่ใช่หรอก แต่เป็นเพราะความคิดความปรุงแต่งของคนๆ นั้นต่างหาก เช่นปรุงแต่งไปว่าเด็กคนนี้ไม่เคารพเราเด็กคนนี้นิสัยหยาบกร้าน นอกจากไม่ไหว้เราแล้วยังจะเอาปืนมายิงเราอีก เป็นเด็กเป็นเล็กทำอย่างนี้ได้ยังไง ถ้าคิดแบบนี้ก็ต้องทุกข์สถานเดียว ขอให้สังเกตว่าที่ปรุงแต่งมาทั้งหมดนี้มันมี ‘เรา’ หรือตัวฉันเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนั้นเลย ไม่ได้เกี่ยวข้องธรรมดา แต่เป็นศูนย์กลางของเรื่องราวที่ปรุงแต่ง คือเป็นเราที่ไม่ได้รับการเคารพ เป็นเราที่ถูกเด็กกระทำ นั่นก็คือมีตัวฉันเป็นผู้รับแรงกระทบ ฉันก็เลยกระเทือน พูดอีกอย่างคือมีการปรุงแต่งตัวตนเข้ามารับแรงกระทบนั้น ความทุกข์ก็เลยเกิดขึ้นตามมา ตัวตนที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมานั้นเราเรียกว่าเกิดภพชาติขึ้นมา ทำให้เกิดความสำคัญมั่นหมายว่ากูเป็นพระ มึงเป็นเด็ก มึงไม่เคารพกู เมื่อมีตัวกูขึ้นมา ความทุกข์ก็เกิดขึ้นคือมีตัวกูเป็นผู้ทุกข์

    ขอให้พิจารณาดูให้ดี การกระทำของเด็กไม่ใช่เป็นตัวการให้เกิดทุกข์ แต่ความคิดปรุงแต่งหรือปฏิกิริยาของเราเมื่อเห็นการกระทำของเด็กต่างหากที่ทำให้เกิดทุกข์ ถ้าเราคิดหรือมีมองไปอีกแบบหนึ่ง เช่น มองว่าเด็กเขาเล่นไปตามประสาของเด็ก เด็กกำลังเห่อของเล่นชิ้นใหม่ เด็กยังไม่ประสีประสา ฯลฯ ถ้าเรามองแบบนี้ก็คงอดยิ้มไม่ได้ในความไร้เดียงสาของเด็ก จะเห็นได้ว่าภาพอย่างเดียวกัน การกระทำอย่างเดียวกัน สามารถนำไปสู่ผลที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้เห็น สามารถกระตุ้นให้โกรธหรือเรียกร้อยยิ้มก็ได้ทั้งนั้น สุขหรือทุกข์จึงไม่ได้มาจากไหน แต่อยู่ที่การคิดหรือการปรุงแต่งในใจเรา หรือขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาในใจเราเมื่อเห็น เมื่อได้ยิน หรือรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น เรียกรวมๆ ว่าขึ้นอยู่กับท่าทีของเราก็ได้

    มันก็เหมือนกับเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่เข้ามาในร่างกาย มีหลายชนิดที่ไม่มีพิษร้ายอะไร แต่ภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดมีปฏิกิริยาแบบตื่นเต้นตูมตามมากเกินไปจนทำให้เจ้าของร่างกายช็อคได้ ที่เขาช็อคไม่ใช่เป็นเพราะพิษของแบคทีเรียหรือไวรัส แต่เป็นเพราะภูมิคุ้มกันของเขาไปมีปฏิกิริยาเกินเหตุ เช่น ไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือทำให้กล้ามเนื้อบีบรัดมากขึ้น หรือทำให้มีการอักเสบมากขึ้น ตัวการที่ทำให้ช็อคล้วนเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายเราล้วนๆ มันตั้งใจที่จะกำจัดแบคทีเรียหรือไวรัส แต่มันทำเกินเหตุ ปฏิกิริยาจากภูมิคุ้มกันในร่างกายบางครั้งก็รุนแรงขนาดไปทำลายเนื้อเยื่อตามอวัยวะต่างๆ เช่น ปอด จนทำให้เจ้าตัวล้มป่วยถึงตายก็มี ตัวเชื้อโรคจริงๆ ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายกับร่างกายขนาดนั้น

    เปรียบไปก็เหมือนกับวัยรุ่นบางคนที่เป็นสิว สิวไม่ได้เป็นอันตรายกับตัวเขาเลย แต่เป็นเพราะเขาไม่ชอบสิว ทนเห็นสิวบนหน้าตัวเองไม่ได้ บางคนมีสิวไม่กี่เม็ดก็กลุ้มอกกลุ้มใจจนฆ่าตัวตาย ถามว่าสิวเป็นตัวการที่ทำให้ทุกข์หรือเปล่า ก็ไม่ใช่ สิ่งที่ทำให้ทุกข์จริงๆ ก็คือความรู้สึกรังเกียจสิว เห็นสิวเป็นตัวเลวร้ายน่ารังเกียจที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นคนขี้เหร่ หรือเป็นขี้ปากของเพื่อนๆ ทั้งหมดนี้ก็คือการปรุงแต่งในใจนั่นเอง พอปรุงแต่งแล้วก็ไปเอาจริงกับมัน ไปไหนมาไหน ก็คิดเป็นตุเป็นตะว่าผู้คนกำลังจับจ้องมองสิวบนหน้าตัวเอง ทั้งที่คนเหล่นั้นไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นเลย แต่เจ้าตัวไปคิดเอาเองว่าฉันขี้ริ้วขี้เหร่ เป็นที่เพ่งเล็งของคนต่างๆ รอบข้าง ก็เกิดความรู้สึกอับอาย น้อยเนื้อต่ำใจ หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับเรื่องนี้จนทนไม่ไหว เลยคิดสั้น นี่เป็นเพราะใจเรามีปฏิกิริยาเกินเหตุ จะไปโทษเม็ดสิวไม่ได้ มันก็เป็นแค่เหตุปัจจัยเล็กๆ เรื่องอย่างนี้เราไม่ค่อยไตร่ตรองเท่าไร ชอบไปโทษสิ่งภายนอกว่าเป็นสาเหตุ แล้วคิดจะไปจัดการกับสิ่งภายนอก แต่กลับลืมดูใจของตนเอง ความทุกข์มันก็เลยเล่นงานเรา เพราะไม่ได้จัดการกับสาเหตุที่แท้จริง ได้แก่การปรุงแต่งในใจ

    การพยายามแก้ทุกข์ด้วยการไปจัดการกับสิ่งภายนอก นอกจากจะแก้ทุกข์ไม่ได้จริงแล้ว ยังอาจเพิ่มทุกข์ขึ้นอีก เหมือนกับคนที่คิดว่าตัวเองอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน เป็นทุกข์กับมันมาก ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้อ้วนเท่าไร แต่พอคิดว่าฉันอ้วนๆ ก็เลยทนตัวเองไม่ได้ ทีนี้ก็ไปแก้ปัญหาด้วยการกินยาลดความอ้วน แต่กินยาผิดขนาน นอกจากความอ้วนจะไม่ลดแล้ว ร่างกายกลับย่ำแย่กว่าเดิม บางทีจิตใจก็แปรปรวนเพราะยามันไปรบกวนการทำงานของสมอง กลายเป็นว่าความทุกข์กลับเพิ่มขึ้น มีบางคนที่ถึงกับฆ่าตัวตายเพราะอาการประสาทกำเริบ

    บ่อยครั้งวิธีที่เราใช้แก้ปัญหามันกลับทำให้ปัญหาหนักกว่าเดิม หรือกลายเป็นปัญหาใหม่ที่ร้ายแรงกว่าปัญหาเดิม อย่างที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยเล่าเรื่องเด็กกลืนสตางค์แดงติดคอ แม่รู้เข้าก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก พอดีแม่นึกขึ้นมาได้ว่าน้ำกรดมันกัดโลหะได้ ก็เลยไปเอาน้ำกรดมากรอกปากเด็ก สตางค์ติดคอเด็กคือตัวปัญหา ถามว่า การเอาน้ำกรดกรอกปากเด็กแก้ปัญหาสตางค์ติดคอได้ไหม แก้ได้ แต่มันกลับทำให้เด็กอาการหนักกว่าเดิม สตางค์หลุดเข้าไปในคอก็จริง แต่ว่าเด็กกลับตายเพราะน้ำกรด เวลาเราเจอปัญหา ถ้าเราไม่ระวัง วิธีการที่เราใช้แก้ปัญหากลับกลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง หรือสร้างปัญหาที่หนักกว่าเดิม

    บางคนเป็นโรคนิดๆ หน่อยๆ แต่ไปกินยาหรือใช้วิธีรักษาบางอย่าง ซึ่งแม้จะรักษาโรคนั้นได้ แต่กลับทำให้เป็นโรคใหม่ที่หนักกว่าเดิม บางคนเป็นมะเร็ง ก็ทุกข์มากอยู่แล้ว แต่พอไปรักษาด้วยวิธีการบางอย่าง เช่น ฉายแสงบ้าง เคมีบำบัดบ้าง กลับมีผลข้างเคียงที่ทำให้อาการย่ำแย่กว่าเดิมก็มี จนน่าสงสัยว่าอะไรคือตัวปัญหามากกว่ากัน ระหว่างก้อนมะเร็งกับวิธีการรักษา บางคนทุกข์หนักกว่าเดิมเพราะวิธีการรักษา โรคมะเร็งถ้าหากวางใจให้เป็น เกี่ยวข้องกับมันให้ถูก ก็อยู่กับมันได้ ไม่ทุกข์ร้อนมากนัก มีเพื่อนหลายคนที่บอกว่าอยู่ร่วมกับมันได้อย่างสันติ ก้อนมะเร็งยังมีอยู่แต่มันระงับไปชั่วคราว ไม่ใช่เพราะเคมีบำบัดหรือฉายแสง แต่เป็นเพราะว่ากินอาหารอย่างได้สมดุล ออกกำลังกาย และรักษาใจไม่ให้เครียด ทำให้เกิดสมดุลระหว่างกายกับใจ มะเร็งก็ไม่ลุกลาม มันยังอยู่ในร่างกายแต่เจ้าตัวไม่ทุกข์ร้อนอะไร ถือว่าต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกัน มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไป ยอมรับมันได้

     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    51,756
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,071
    (ต่อ)

    ถ้ายอมรับมันไม่ได้ก็เกิดความวิตกกังวล กลุ้มอกกลุ้มใจ จนกระทั่งทำอะไรไม่ถูก ถึงกับกินไม่ได้นอน ไม่หลับ ซึมเศร้าทั้งวัน ถามว่าอาการซึมเศร้า กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นผลจากก้อนมะเร็งในตัวหรือเปล่า หรือเป็นเพราะจิตใจเราที่วิตกกังวลเกินเหตุ ปรุงแต่งต่างๆ นานา ว่าฉันต้องตายแน่ แล้วใครจะดูแลลูกของฉัน แล้วกิจการของฉันล่ะ แล้วถ้าฉันป่วยหนักใครจะมาดูแลฉัน ฉันจะต้องตายคนเดียวหรือเปล่า พอคิดปรุงแต่งตีตนไปก่อนไข้อย่างนี้ ก็ต้องทุกข์แน่นอน อาการเหล่านี้ไม่ได้เป็นผลจากก้อนมะเร็ง แต่เกิดจากจิตใจของเจ้าตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ต้องแยกแยะกันให้ได้


    พระพุทธองค์ตรัสว่า “เมื่อมือไม่มีแผล บุคคลย่อมจับต้องยาพิษได้ ยาพิษไม่สามารถทำอันตรายได้” แต่ถ้ามือมีแผล จับต้องยาพิษเมื่อใดก็อาจเป็นอันตรายถึงตาย หมายความว่าสิ่งภายนอกทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าหากเราเองไม่เปิดช่องให้มัน ดังนั้นจะไปโทษปัจจัยภายนอกไม่ได้ แต่ต้องดูที่ตัวเราเองด้วย ปัจจัยภายนอกอาจหมายถึง เพื่อนร่วมงาน ดินฟ้าอากาศ ทรัพย์สินเงินทอง ไปจนถึงโรคภัยไข้เจ็บก็ได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราทุกข์หรือไม่ขึ้นอยู่ที่ใจของเราว่าเปิดช่องให้มันหรือเปล่า หรือไปซ้ำเติมผสมโรงให้เป็นทุกข์หนักกว่าเดิมหรือเปล่า

    ที่จริงต้องขยายเพิ่มเติมด้วยว่า อย่าว่าแต่ยาพิษเลย แม้สิ่งที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่ถ้าเราเองตื่นเต้นตูมตามหรือมีปฏิกิริยาเกินเหตุ ก็ทำให้เราทุกข์หนักได้เหมือนกัน อย่างคนบางคนเจอเกสรดอกไม้ เจอฝุ่นธรรมดา ก็ป่วยแล้ว ที่ป่วยไม่ใช่เพราะเกสรหรือฝุ่น เพราะมันไม่มีพิษภัยอะไร แต่เป็นเพราะปฏิกิริยาในร่ากายของเรามันตื่นตัวเกินเหตุ เลยเกิดอาการแพ้ จนล้มป่วย ก็เหมือนกับตัวอย่างเมื่อกี้ สิวจะทำให้เราทุกข์จนกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือไม่ อยู่ที่ใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่เม็ดสิว การที่เราปฏิเสธ ไม่พอใจ หมกมุ่นครุ่นคิดกับมัน ก็คือตัวการที่ทำให้เกิดทุกข์

    อย่าว่าแต่ยาพิษ หรือสิ่งที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร แม้แต่สิ่งดีๆ ที่ใครๆ ก็อยากได้ เช่น เงินทอง โชคลาภ ชื่อเสียง ความสะดวกสบาย ถ้าเราเกี่ยวข้องกับมันไม่เป็นก็กลายเป็นโทษได้ เช่น เพลิดเพลินกับมันจนลืมตัว กลายเป็นคนหยิบโหย่ง ประมาทมัวเมา หรือหลงใหลในอบายมุข จนเสียผู้เสียคน อย่างที่เรามักเห็นได้จากคนที่รวยเพราะขายที่ได้หรือเพราะถูกรางวัลที่ ๑ หรือที่ใครๆ เรียกว่า ‘สามล้อถูกหวย’ แม้กระทั่งนักกีฬาที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกหลายคนได้เงินเป็นสิบ ๆ ล้านบาท แต่สุดท้ายก็กลับเป็นหนี้เป็นสิน เสียผู้เสียคนไป

    จะว่าไปแล้ว แม้แต่สิ่งที่ประเสริฐ เช่นชีวิตพรหมจรรย์ หรือสมณเพศ ก็อาจกลายเป็นโทษได้หากเราวางใจไม่ถูก มีพุทธพจน์ว่า “หญ้าคาที่บุคคลจับไม่ดีย่อมบาดมือฉันใด ความเป็นสมณะที่บุคคลปฏิบัติไม่ดีย่อมฉุดลงนรกได้ฉันนั้น” ที่ฉุดลงนรกก็เพราะไปเพลิดเพลินกับลาภสักการะ ก็เลยใช้เพศสมณะในทางหลอกลวงต้มตุ๋นผู้คน อวดอ้างคุณวิเศษที่เรียกว่าอุตตริมนุสสธรรมโดยไม่มีในตนบ้าง เอาไสยศาสตร์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาล่อให้คนหลงบ้าง คนที่ทำเช่นนี้ถ้าเป็นสมณะย่อมได้รับโทษหนัก ที่จริงไม่ต้องถึงกับไปต้มตุ๋นผู้คนก็ได้ เพียงแค่ไปยึดติดกับข้อวัตรหรือระเบียบวินัยจนเป็นทุกข์ เพราะทำอะไรก็รู้สึกผิดไปหมด มีราคะเกิดขึ้นในใจ ก็เป็นทุกข์ว่าเป็นพระทำไมถึงคิดอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่มันเป็นธรรมดาของจิตที่เป็นอนัตตา ควบคุมไม่ได้ เมื่อมันเกิดขึ้น ก็รู้ว่ามันเกิด แต่อย่าไปเพลินกับมัน และไม่ต้องไปตีอกชกหัวตัวเอง ขืนทำอย่างนั้นใจก็เหมือนกับตกนรกแล้ว


    ขนาดชีวิตที่สูงส่ง เช่น สมณเพศ หรือชีวิตพรหมจรรย์ ถ้าเกี่ยวข้องกับมันไม่เป็นก็ลงนรกหรือรุ่มร้อนใจได้ นับประสาอะไรกับเงินทอง หรือความสะดวกสบาย ถ้าเกี่ยวข้องกับมันไม่เป็นก็เดือดร้อน มีพุทธพจน์ตรัสอีกว่า “โภคทรัพย์เป็นของเผ็ดร้อน ย่อมทำลายผู้มีปัญญาทราม แต่ทำอะไรผู้ที่มีปัญญาไม่ได้” ผู้ที่มีปัญญาคือผู้ที่รู้เท่าทันหรือเห็นโทษของโภคทรัพย์ จึงไม่ประมาทเวลาเกี่ยวข้องกับมัน ก็เปรียบเสมือนมือที่ไม่มีแผล จับต้องยาพิษได้โดยไม่เป็นอันตราย โภคทรัพย์บางทีก็ไม่ต่างจากยาพิษ แม้จะมีโทษ แต่เราก็จับต้องมันได้หากมือไม่มีแผล หมายถึงใจมีสติและปัญญาเป็นเครื่องรักษา

    หลวงพ่อท่านหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่าลิงมีนิสัยอย่างหนึ่งเกลียดกะปิมาก ใครเอากะปิไปถูกตัวมันหรือหลอกให้มันจับกะปิ มันจะเอามือถูกับพื้น ถูแล้วถูอีก แล้วก็เอามือมาดมว่ากะปิหายไปแล้วยัง ถ้าไม่หายก็ถูต่อ ถูจนเลือดไหลซิบๆ แต่ก็ไม่หยุดถูหากกลิ่นกะปิยังมีอยู่ ดูแล้วน่าสงสาร ถามว่าที่เลือดไหลเป็นเพราะกะปิหรือเป็นเพราะความเกลียดกะปิของลิง กะปิมีกลิ่นแรงก็จริง แต่ก็ไม่มีทางทำให้ใครเลือดไหลได้ ที่ลิงเลือดไหลก็เพราะเอามือไปถูกับพื้นต่างหาก และที่ถูก็เพราะเกลียดกะปินั่นเอง เห็นไหมว่า ความเกลียดกะปิมันทำให้ลิงเป็นทุกข์ยิ่งกว่ากะปิด้วยซ้ำ พูดอีกอย่างคือกะปิไม่ทำให้ทุกข์มากเท่ากับใจที่เกลียดกะปิ ยิ่งเอามือไปถูมันจนเลือดไหล ก็เท่ากับชี้ว่า วิธีแก้ปัญหาบางครั้งก็เลวร้ายกว่าตัวปัญหาเสียอีก

    กะปิไม่ใช่ปัญหา ความเกลียดกะปิต่างหากที่เป็นปัญหา ในทำนองเดียวกัน คำตำหนิ ความเจ็บป่วย ความสูญเสียพลัดพราก ก็ไม่ใช่ตัวปัญหา แต่ใจที่ไม่ยอมรับความจริง ปฏิเสธ ต่อต้านขัดขืนสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นตัวปัญหา เราสังเกตอีกไหมว่า ทั้งๆ ที่ลิงเกลียดกะปิมาก แต่พอเอามือถูพื้นแล้ว มันอดไม่ได้ที่จะดมกะปิที่มือ ยิ่งเกลียด ก็ยิ่งดม อย่างนี้เรียกว่าติดยึด เราไม่ได้ติดยึดกับสิ่งที่ชอบเท่านั้น สิ่งที่ไม่ชอบเราก็ติดยึดและไม่ยอมวางเช่นกัน

    ความชังก็เป็นความติดยึดแบบหนึ่ง เราชังสิ่งใดเราก็ชอบครุ่นคิดถึงสิ่งนั้น เราโกรธใครก็ชอบคิดถึงคนนั้น ยิ่งเกลียด ก็ยิ่งนึกถึงเขา กินก็คิด นอนก็คิด ใครมาบอกให้ลืมก็ไม่ยอม ใครมาบอกให้ให้อภัย ก็ไม่ยอม ทั้งๆ ที่ใจก็อยากจะผลักไสออก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอามาครุ่นคิด จนกระทั่งกินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นการติดยึดที่รุนแรงยิ่งกว่าการยึดติดคนรักหรือของที่ถูกใจเราเสียอีก ของที่เราชอบเราไม่ค่อยเก็บเอามาคิดทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ของที่เราเกลียดเรากลับผูกจิตไว้กับมันอย่างแนบแน่นไม่วางไม่คลาย ความยึดติดนี้พุทธศาสนาเรียกว่าอุปาทาน เป็นตัวการแห่งทุกข์ นำไปสู่ความทุกข์ และเป็นตัวทุกข์ด้วย

    คำว่าทุกข์ในพุทธศาสนา บางทีก็แปลว่าความไม่สบายกายไม่สบายใจ บางทีก็หมายถึงสภาวะทุกข์ สภาวะที่ขัดแย้ง หรืออยู่ภายใต้การบีบคั้น อย่างที่ในบทสวดมนต์มีตอนหนึ่งว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ หมายความว่าขันธ์ ๕ นั้นตัวมันเองเป็นทุกข์ อยู่ในภาวะที่ถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา นอกจากไม่เที่ยงและเสื่อมแล้ว ยังนำไปสู่ความทุกข์ด้วยหากเราไปยึดติดมัน อุปาทานนั้นทำให้จิตเราไม่ยอมรับความเป็นจริง แต่จะพยายามเข้าไปบงการสิ่งต่างๆ ถ้าชอบก็อยากได้ไว้ในครอบครอง ถ้าไม่ชอบก็อยากผลักไส ทำลายมัน แต่ถ้ามันยังอยู่ดี สบายดี เราก็ยิ่งโมโห เกิดโทสะ และเป็นทุกข์ พยายามครุ่นคิดหาทางผลักไสมันให้หนักขึ้น ก็เลยทุกข์หนักกว่าเดิม

    เพราะฉะนั้นเวลาเรามีความทุกข์ แทนที่จะไปโทษสิ่งนอกตัว เราควรย้อนกลับมาดูตัวเองว่าเป็นเพราะเราไปยึดติดกับมัน จนทำให้เกิดปฏิกิริยาเกินเหตุหรือเปล่า เพื่อนร่วมงานอาจพูดถึงเราด้วยความรู้สึกธรรมดา แต่เราไปคิดปรุงแต่งว่าเขาไม่พอใจเรา เขาไม่ทักเรา เราก็ไปคิดว่าเขาโกรธเรา ทั้งๆ ที่เขาอาจมองไม่เห็นเราก็ได้ หรือเขาอาจกำลังมีความทุกข์อยู่ในใจก็ได้ ถ้าเราหันมามองตัวเองบ้าง เราก็อาจพบว่าปัญหาอยู่ที่ใจของเราเองที่ปรุงแต่งเกินเหตุ

    คนที่แพ้เกสรดอกไม้ หรือแพ้ฝุ่นละอง วิธีแก้ก็คือกินยาเพื่อกดภูมิคุ้มกัน หรือทำให้มันปราดเปรียวว่องไวน้อยลง หรือทำให้ประสาทตื่นตัวช้าลง นั่นเป็นเรื่องของกาย แต่ในเรื่องของจิตใจ สิ่งที่ทำให้ใจหายตื่นเต้นตูมตามหรือมีปฏิกิริยาเกินเหตุก็คือสติ เราแพ้อะไร เรากลัวอะไร เราไปติดยึดกับอะไรจนเกินเหตุ ก็ต้องจัดการด้วยการมีสติให้มากๆ ไม่มีอะไรที่จะดีกว่าสติ สติช่วยให้ใจนิ่งลง ปล่อยวางได้มากขึ้น ไม่วิตกกับสิ่ง
    ต่างๆ จนเกินเหตุ แม้จะเกิดโทสะ แต่เมื่อมีสติ ก็จะวางมันลงได้ แทนที่จะปรุงแต่งไปในทางที่ทิ่มแทงทำร้ายตัวเอง ก็วางใจเป็นกลาง ๆ เห็นมันเป็นธรรมดา หรือเป็นเช่นนั้นเอง ใครตำหนิ แทนที่จะโกรธ สติก็ช่วยให้ใจไม่โกรธง่ายๆ ปล่อยวางได้เร็วขึ้น นอกจากทำให้ใจนิ่งได้แล้ว ยังช่วยให้มองในทางบวกได้ด้วย เช่น มองว่าที่เขาตำหนิก็ดีนะ ทำให้เราเห็นในสิ่งที่มองข้ามไป มีคนบอกว่าปรปักษ์หรือศัตรูมีประโยชน์ตรงที่ช่วยให้เราเห็นความจริงอีกด้านหนึ่งของเราที่เพื่อนๆ ไม่เคยบอกเรา มองแง่นี้เราก็ได้ประโยชน์จากศัตรู จึงไม่ควรรังเกียจ ผลักไส หรือปิดหูปิดใจไม่รับฟังเขา

    :- https://visalo.org/article/dhammamata02.htm


     

แชร์หน้านี้

Loading...