บทสัมภาษณ์ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ และพระธิดา (จากpantip)

ในห้อง 'ข่าวในพระราชสำนัก' ตั้งกระทู้โดย omio, 19 ธันวาคม 2008.

  1. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    บทสัมภาษณ์ 'สมเด็จพระพี่นางเธอฯ' และพระธิดา (จากpantip)

    ๗๒ ปีที่ผ่านมา ใต้ฝ่าพระบาทโปรดปีใดที่สุด เพระเหตุใดเพคะ

    “จะตอบ ยังไงดี ชอบทุกปีหรือไม่ชอบทุกปีนี่บอกไม่ได้ ทุกปีจะมีอะไรที่ชอบในนั้น แต่ก็จะต้องมีอะไรที่ไม่ชอบด้วย เป็นอย่างนี้ไปแทบทุกปี

    ...ก็เห็นจะ ชอบปีแรกที่สุด เพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตั้งแต่เกิดถึง 12 เดือน นี่เห็นจะดีที่สุดไม่รู้เรื่องอะไร ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ต้องทำอะไรเลย มีพ่อแม่เลี้ยง มีคนเลี้ยง สบาย ก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน”

    แล้วปีใดที่ไม่โปรดหละเพคะ

    “ก็เหมือนกัน คือบางปีที่มีอะไรที่ไม่ชอบ อาจะมีอะไรที่ชอบในนั้น
    ... คำถามนี้ต้องระวัง เพราะมาถามฉันแบบนี้เหมือนมาถามฉันว่าชอบประเทศไหน ฉันก็ตอบแบบเดียวกันคำถามที่ให้ฉันเลือกแบบนี้ ฉันพูดเสมอว่า คนมาถามว่า
    ‘ท่านชอบโต๊ะ หรือชอบสุนัข’
    … อย่างนี้เปรียบเทียบกันไม่ได้ ถ้าฉันจะรับประทานข้าว แล้วฉันไปรับประทานบนหลังสุนัข มันก็ไม่สะดวก ต้องไปรับประทานบนโต๊ะ แต่ถ้าจะเล่นด้วย เล่นกับโต๊ะก็ไม่สนุก ถึงได้ตอบไม่ได้อย่างชัดเจนว่าชอบอะไรที่สุด แล้วแต่โอกาส มีหลายคำถามที่จะต้องตอบแบบนี้”

    ใต้ฝ่าพระบาทประสูติที่ไหนเพคะ
    “ยังไม่ทราบอีกนะ ว่าฉันเกิดที่ไหน โอ๋...เดี๋ยวฉันโยนหนังสือประวัติให้ (ทรงพระสรวล)
    ...ฉันเกิดที่ลอนดอน สามคนพี่น้องเกิดคนละประเทศ ฉันเกิดที่ลอนดอนเพราะว่าทูลหม่อมพ่อทรงทำงานที่นั่นอยู่หลายเดือน”

    เมื่อรับสั่งจบ ก็เป็นจังหวะที่ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พริดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เข้ามาในห้อง และตั้งใจจะเดินไปนั่งอีกด้านหนึ่งของห้อง
    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ จึงรับสั่งด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยนว่า
    “ลูก มานั่งนี่”
    พร้อมกับทรงชี้ที่นั่งข้างๆพระองค์บนโซฟายาว ท่านผู้หญิงจึงเข้ามานั่งเคียงข้างสมเด็จแม่

    ในระหว่างพี่น้อง คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์กับใต้ฝ่าพระบาท ทรงเรียกชื่อเล่นกันไหมเพคะ

    “ก็แน่นอน เราเรียกกันตามชื่อเล่น ฉันก็เปลี่ยนชื่อไป ตอนอยู่เมืองไทยเป็นพี่หญิง
    ...พอไปอยู่เมืองนอกไม่มี พี่หญิงตกไปแล้ว (ทรงพระสรวล) เรียกชื่อเฉยๆเป็นฝรั่งกันไป
    ...กับพระเจ้าอยู่หัวก็เรียกชื่อกันเป็นน้องนี่ แต่เดี๋ยวนี้ซิไม่ได้ ไปพูดกับใครก็ต้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

    ท่านผู้หญิงทัศนาวลัยเอ่ยเสริมว่า
    “แต่เวลาอยู่กันเองก็เรียกได้”
    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯหันพระพักตร์ไปตรัสกับพระธิดาว่า
    “เรียก ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเรียก พระเจ้าอยู่หัวก็ไม่เรียกแม่นะ ท่านเรียก อื้ออ...อย่างนั้นๆอย่างนี้ แม่ก็บอกว่า อื้ออออ....อย่างนั้นอย่างนั้นๆ
    “ลูกไม่ได้สังเกต”
    พระเจ้าพี่นางเธอฯทรงพยักพระพักตร์ยืนยัน
    “ลองสังเกตดูสิ ไม่ออกชื่อไม่ขานชื่อกัน”
    ใต้ฝ่าพระบาทยังทรงจำได้หรือไม่เพคะว่าก่อนพระบรมชนกสิ้นพระชนม์ ได้รับสั่งอะไรกับใต้ฝ่าพระบาทบ้าง
    ........
    “ท่านทรงงานมากเหลือเกิน ทรงงานตลอดเวลา ทรงไม่มีเวลาเลย
    ...แต่งานในบ้านท่านก็ช่วย คือถึงเวลาจำเป็น ท่านก็กวาดบ้านเป็น ทำอะไรเป็น ท่านทำทุกอย่าง ชุนถุงพระบาทยังเป็น
    ... แม่เคยเล่าว่า เคยไปอยู่ที่ไหนไม่รู้ นั่งอยู่ด้วยกัน ไม่มีทีวี.ดู ก็นั่งฟังแผ่นเสียง ต่างคนต่างชุนถุงตีนของตัว เพราะสมัยนั้นต้องชุนถุงตีน เพราะไม่ใช่ไนล่อนที่พอขาดแล้วทิ้ง เขาไม่ทิ้งกัน ต่างคนต่างชุน ไม่ใช่แม่ชุนถวาย ทูลหม่อมฯ ท่านมีความสามารถในหลายๆด้าน ก็จำได้แค่นี้”
     
  2. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    สมเด็จพระพันวัสสาฯทรงมีส่วนในการเลี้ยงดูใต้ฝ่าพระบาทหรือไม่เพคะ

    “แบบไทย ท่านไม่ได้เลี้ยงแต่ท่านหาคนเลี้ยงมาประทาน ซึ่งแม่ก็ไม่ค่อยชอบ ท่านพยายามหาคนมาเยอะเชียว แม่ก็เกรงพระทัย รับบ้างไม่รับบ้าง แล้วบอกว่าใช้ไม่ได้อะไรอย่างนี้

    ...แม่ชอบมีแหนน แล้วมีพี่เลี้ยงอีกคนเท่านั้น นอกจากนั้นก็จะเป็นมหาดเล็ก แต่จะมาเลี้ยงลูกนี่ท่านไม่ค่อยชอบนัก ท่านก็จะดูแลเรื่องนี้

    ...แต่เวลาไปเฝ้าสมเด็จพระพันวัสสาฯ ท่านเสวยอะไร ท่านก็อยากให้หลานด้วย แต่พอจะหยิบให้ ท่านก็จะบอกว่า
    ‘โอ้ย...ไม่ได้หรอก เดี๋ยวแม่เขาจะมาว่าเอา’

    คือ แม่เรียนมาทางด้านโภชนาการ เลี้ยงเรามาจนรู้ดีว่าควรกินอะไร ไม่ควรกินอะไร รับประทานต้องให้ครบอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้รับประทานอะไรนอกเวลา

    ...ทีนี้สมเด็จพระพันวัสสาฯทรงทราบดี พอท่านจะให้อะไร ท่านก็

    ‘โอ้ย ไม่ได้ๆ เดี๋ยวแม่มาว่าเอา’

    คือท่านก็เกรงพระทัยแม่ รักด้วย”
    ทราบว่าสมเด็จพระพันวัสสาฯทรงรักสมเด็จพระศรีฯ

    “... ทรงรักหลานๆ มากเชียว เพราะในลายพระหัตถ์ ท่านจะเขียนซองเล็กๆถึงหลาน ก็คือถึงฉันนะ เพราะฉันอ่านหนังสือออกคนเดียว พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 พออ่านออกบ้างนิดหน่อย


    ...แล้วมีโปสการ์ดถึงแม่ว่าคิดถึงหลานเหลือเกิน ขนาดเวลาหน้าร้อนเราไปหัว หินกัน ไม่ได้ประทับอยู่กรุงเทพฯ ท่านก็เขียนไปว่า
    ‘หลานไม่อยู่ คิดถึงมาก แล้วก็ไปเห็นชามเล็กๆ แล้วคิดถึงหลาน’
    …ท่านทรงรักมาก เพราะเป็นหลาน 3 คน ที่ท่านมีอยู่”


    ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระอนุญาตกราบทูลถามถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์ครอบครัวรู้สึกเช่นไรเพคะ

    “อันนี้แปลกมาก ฉันไม่รู้ เพราะฉันไม่อยู่ ฉันไปอยู่ที่ภูเขา จำไม่ได้ว่าทราบได้อย่างไร ในหนังสือมี เจ้านายเล็กๆมีอยู่ละเอียดพอควร

    ...จะมีเอกสาร เอกสารนี่แม่เขียนมาถึงสมเด็จพระพันวัสสาฯเลย ...มีความรู้สึกว่าไม่อยากให้เป็นเลย มีหมดเลยว่า ไม่อยากให้รับ แต่เมื่อคิดถึงบ้านเมือง คงจะต้องรับ

    ...แต่ระหว่างน้องๆ 2 คน คงต้องพูดอะไรกันแน่ แต่พูดอะไรนี่ไม่ทราบคงจะเล่นๆกันมากกว่า เพราะยังเล็กอยู่ 8 กับ 10

    ... ในลายพระหัตถ์ของแม่ที่เขียนถึงสมเด็จพระพันวัสสาฯ เพราะท่านโน้ตเอาไว้เลยว่า รัชกาลที่ 8 ทรงคิดว่าจะตอบหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ที่มาอัญเชิญขึ้นครองราชย์ว่าอย่างไร ที่ไม่อยากเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มีเหตุผล 4-5 ข้อ


    ...มีอันหนึ่งที่ว่า เก้าอี้มันสูงไปท่านซนก็อาจจะตกจากเก้าอี้ แล้วไปไหนก็ต้องกางร่ม ก็จะไม่ได้รับแดด เพราะเวลานั้นต้องมีวิตามินดี นี่อย่างนั้นก็จะไม่โดนแดด แล้วถ้าซนหน่อย เดี๋ยวพระยาพหลฯ ดุเอา
    ...มีหลายข้อที่ท่านคิดเอง แล้วแม่ก็จดเอาไว้ว่าท่านตอบอย่างนี้ แต่ตอบหรือเปล่าไม่ทราบ เพราะฉันไม่อยู่” หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์ และเสด็จพระราชดำเนินกลับเมืองไทยครั้งแรก ในปี พ.ศ.2481 ใต้ฝ่าพระบาททรงรู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ


    “อันนี้ต่างกัน คือเมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว (พ.ศ.๒๔๗๗) รัฐบาลก็อยากให้กลับมา แม่ก็พยายามบอกว่าเวลานี้ร่างกายพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ ยังไม่แข็งแรง ขอผลัดไปก่อน ก็ได้ไปปีหนึ่ง


    ...อีกปีหนึ่งก็ให้เหตุผลว่า ปีนี้จะต้องสอบ ยังไม่เหมาะที่จะกลับ ตั้งหลายปีกว่าจะได้กลับ

    ...ตอนกลับมา ๒ พระองค์คงมีความสุข เพราะกลับมาด้วยเรือเดินสมุทรเดนมาร์คเล็กๆ ท่านก็สนุกกัน

    … แต่ที่ฉันตกใจและตื้นตันคือ เมื่อขึ้นเรือรบขึ้นมาจากสันดอน ขึ้นมาตลอดแม่น้ำเจ้าพระยา สองฝั่งแม่น้ำคนคอยเต็ม คอยดู เพราะบ้านเมืองไม่มีพระเจ้าแผ่นดินมานานแล้ว คอยดูว่าเด็กแค่ไหน

    ...เสียงต้อนรับ ได้ยินแล้วตกใจมาก ยิ่งมาใกล้กรุงเทพฯ คนยิ่งแน่นๆๆๆ เสียงดัง โบกมือกัน ไชโยกันแน่นฝั่งเลย
    ... นี่เป็นความรู้สึกที่ประทับใจฉันมาก เพราะทีหลังเราไม่ได้มาอย่างนี้กันอีก มีแค่ครั้งแรกเท่านั้นที่มาทางเรือรบยืนกันข้างเรือ โบกมือตลอดเลย ยิ่งใกล้กรุงเทพฯยิ่งเยอะ

    ...แล้วในหนังสือสี่แผ่นดินนั่นก็จะมีตอนที่แม่พลอยเขียนไว้ คนนี้เต็มถนน ดีใจเหลือเกิน เพราะว้าเหว่ไม่มีพระเจ้าอยู่หัวมานาน ยิ่งเป็นองค์เล็กๆ อย่างนี้
    การเสด็จกลับมาประทับที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้ ใต้ฝ่าพระบาททรงรู้สึกแตกต่างจากครั้งก่อนๆหรือไม่เพคะ

    “แตกต่างสิ เพราะพออยู่ไป กรมรถไฟก็ให้รถไฟหรือเครื่องยนต์ไม่รู้ นั่งบนหลังคาได้ ๒ พระองค์ มีรถไฟขับได้ ก็สนุก
    ... ฉันก็สนุกมากที่สั่งแผ่นเสียงมาได้ เพราะอยู่เมืองนอกกว่าจะซื้อได้อันก็แพง ต้องเก็บสตางค์ไว้ซื้อ คือได้เงินอาทิตย์ละครั้ง จะซื้อแผ่นเสียง ๑ อันก็ได้ หรือว่าไปดูหนัง ๑ ครั้ง ก็ต้องเลือกเอา ไป ๒ อย่างไม่ได้ ก็ซื้อได้ทีละแผ่น

    ...พอ มาถึงเมืองไทย ฉันบอกว่าอยากได้แผ่นเสียง แผ่นเสียงก็มาถึงเป็นตั้ง (ทรงพระสรวล) แล้วฉันจะต้องไปงาน จะต้องมีเสื้อผ้า ก็มีคนมาวัดตัว แล้วเสื้อผ้าก็มากองโต เปลี่ยนได้ทุกวัน อยู่เมืองนอกมีไม่กี่ชุด

    ... ก็สนุกกันมาก แต่ในทางวัตถุเท่านั้น แม่ก็ทุกข์หน่อยหนึ่ง เพราะคนเข้ามาหามาก มาอะไรมากมายหลายอย่าง แต่เด็กๆ ก็สนุกกัน อยู่น้อย อยู่แค่ ๒ เดือน แต่ก็สนุกดี

    หลังจากจบโรงเรียนราชินี ใต้ฝ่าพระบาททรงไปศึกษาต่อต่างประเทศเลยหรือเพคะ

    “ใช่...พอไปต่างประเทศ ฉันไปอยู่โรงเรียนเล็ก ๆ ไปด้วยกัน 3 คน โรงเรียนก็มี 3 ชั้น ก็อยู่ชั้นละคนพอดี


    .. อันนี้ฉันเพิ่งทราบว่าเรียนตอนแรกภาษาก็แย่อีกละ ไปโดนภาษาฝรั่งเศส เคยเรียนก่อนที่เมืองไทย เพราะแม่บอกว่าจะไปสวิสต้องเรียนภาษาฝรั่งเศส แม่ก็ไปฟังเขาสอนที่จุฬาฯ ที่สอนผู้ใหญ่แล้ว แม่ก็จูงฉันไปฟังด้วย
    ...ฉันอายุ 9 ขวบ ก็ไม่รู้เรื่อง ท่านเลยไปพูดกับอาจารย์ชาวฝรั่งเศสนั่นว่า มาสอนฉันที่บ้านได้ไหม เขาก็อุตส่าห์มา มาสอนคำว่า บ้าน โต๊ะ ต่างๆ

    ... แต่ฉันนี่ด้วยความซน ก็เอาสีน้ำมาเขียนหน้าครูแทน ครูผู้ชายนะแกก็ใจดี๊ใจดียอมให้เขียน(ทรงพระสรวล)เขียนให้เป็นอินเดียน เลอะเทอะเชียว”
     
  3. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    ใต้ฝ่าพระบาททรงมีอัจฉริยะภาพทางการประพันธ์ แต่เหตุใดจึงทรงเลือกเรียนวิทยาศาสตร์และเคมีดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันได้เลยนะเพคะ

    เพราะ ว่าฉันชอบการสอนหนังสือตั้งแต่เด็กๆ สอนหมด แต่คนนี้สอนไม่ค่อยได้ (ทรงหันมาทางท่านผู้หญิงทัศนาวลัย พร้อมแย้มพระโอษฐ์) จำได้หรือเปล่า ร้องห่มร้องไห้กัน แต่ทีหลังเขาก็เก่ง คำนวณก็ใช้ได้

    ...แต่ตอนนั้นมีโจทย์มา ถามว่านี่ทำยังไง บอกว่าบวก ไม่ใช่ลบ เอ้อคูณ แล้วจะไม่โมโหยังไง ตอบอย่างนี้ (ทรงพระสรวล) ไม่คิดเลย”

    ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย หัวเราะเบาๆ

    “เมื่อกี้สัมภาษณ์ถูกถามเหมือนกันว่าแม่เคยสอนไหม บอกว่าแม่ลูกสอนกันไม่ค่อยได้หรอก”

    สมเด็จพระพี่นางฯรับสั่งถึงท่านหญิงฯ อย่างเอ็นดูว่า

    “ทีหลังได้นะ พอลูกไปโลซานน์แล้วต้องใช้รีซันนิ่ง ตอนนั้นเก่งโลจิกดีแต่ตอนเล็กๆ ไม่รู้จักโลจิกเลย เดาหมด ตั้ง 4 อย่างเอาหมดเลย (ทรงพระสรวล)”

    “ลูกคิดว่าก็ต้องถูกซักอัน”

    ท่านผู้หญิงฯ ตอบกลั้วเสียงหัวเราะ

    คำตอบนี้ทำให้สมเด็จพระพี่นางฯ ทรงขบขันมากกว่าถือเป็นคำตอบจริงจัง

    “เลยยิ่งโมโห เพราะถูกอันสุดท้ายเลย (ทรงพระสรวล) แต่สอนคนอื่นได้ชอบสอนหนังสือเด็กๆ มาก เลยคิดว่ายังไงๆ ฉันต้องเป็นครูแน่”

    ได้ยินว่านักศึกษากลัวสมเด็จอาจารย์พระองค์นี้กันมากเพคะ

    “ที่ธรรมศาสตร์นี่ต่างจากจุฬาฯ ที่ธรรมศาสตร์เวลาขึ้นลิฟท์ นักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ยังขึ้นลิฟท์ไม่เป็นเลย (แย้มพระโอษฐ์ พระสุรเสียงไม่ได้จริงจังนัก) เราจะออก เขาดันเข้าไม่ให้ออก”

    ท่านผู้หญิงทัศนาวลัยซึ่งเป็นศิษย์เก่าจุฬาฯแย้งว่า

    “ไม่ต้องที่ธรรมศาสตร์หรอกแม่ ที่จุฬาฯ ก็เป็น”

    “แต่ธรรมศาสตร์ยังมีอะไรอีกอย่างหนึ่ง ฉันเดินบนเฉลียงชั้น 3 ห้องที่ฉันต้องเดินไปสอน ทางเดินจะแน่นเสมอเวลานักศึกษาออกจากห้อง

    ฉันก็เดินไป โดยมากมีอาจารย์เดินตามฉันไปคนหนึ่งไปส่ง แต่ช่วยอะไรไม่ได้หรอก นักศึกษาก็ชน หน้าก็แก่ ไม่ใช่เป็นนักศึกษา ทำไมถึงต้องมาชนอาจารย์ (ทรงพระสรวล) แต่ถ้าเป็นลิฟท์ ฉันจะบอกเธอคอยก่อน แล้วดันเขาออกเหมือนกัน แต่เดินนี่ช่วยไม่ได้เขามาชน

    ...เวลาฉันไปสอน มีตำรวจเป็นคนขับให้ ไปถึงเขาไม่ขึ้นไป บางทีเขาก็หายไปเลย... มีอาจารย์คอยอยู่คนหนึ่ง เวลาจะไปห้องสอน อาจารย์บางทีก็เดินไปด้วยคุยไปด้วย บางทีก็ไม่ทันฉันไปก่อน คือไม่ต้องการให้รู้ว่าเป็นใคร แต่ต้องการให้รู้ว่านักศึกษาควรจะไม่ไปชนอาจารย์...

    แม้สมเด็จพี่นางเธอฯจะทรงมีตัวอย่าง ท่านผู้หญิงทัศนาวลัยก็ยังคงยืนยันความเห็นเดิมว่า “แต่เดี๋ยวนี้ที่ไหนก็เป็น”

    สมเด็จพระพี่นางเธอฯรับสั่งถามอย่างไม่แน่พระทัย

    “เหรอ เมื่อก่อนที่จุฬาฯ นี่ตัวลีบกันเลย”

    ท่านผู้หญิงทัศนาวลัยพยักหน้าย้ำว่า

    “เดี๋ยวนี้ไม่เลย เป็นอาจารย์ทั่วไปนี่ชนเลย”

    สมเด็จพระพี่นางฯจึงทรงพระสรวลรับฟัง
     
  4. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    ตอนทรงพระครรภ์ ใต้ฝ่าพระบาททรงนึกไว้บ้างหรือไม่เพคะว่าเป็นลูกผู้หญิงหรือผู้ชาย

    “ไม่ได้นึกอะไร อะไรก็ได้”

    ท่านผู้หญิงทัศนาวลัยเย้าสมเด็จแม่ว่า

    “ก็ออกมาเป็นผู้หญิง”

    สมเด็จพระพี่นางเธอฯทรงพยักพระพักตร์

    “ใช่ ตอนนั้นหาชื่อไว้สำหรับทั้งสอง ผู้ชายชื่ออะไรไม่รู้ น่ากลัว”

    ใต้ฝ่าพระบาททรงเลี้ยงพระธิดาอย่างไรเพคะ ลำบากมากหรือไม่

    “เขาเกิดปี ๒๔๘๘ เวลานั้นจนมากนะ คือเวลานั้นสงคราม คนนี้เลยไม่ค่อยได้กินของดีนัก แต่ทำไมเขาออกมาสูงอย่างนี้ไม่ทราบ สูงมากๆ ฉันเลี้ยงเอง

    …แล้วตอนนั้นฉันได้เงินน้อยมาก พอแต่งงานแล้วมีลูกแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไร แม่เป็นคนให้เงิน

    ... คือตอนนั้นฉันยังเรียนไม่ได้ปริญญา ฉันมาแต่งงาน แล้วบอกว่าจะไม่เรียนต่อแล้ว แต่มีคนบอกให้เรียนเถอะนะ ตอนหลังเลยมาเรียนต่อจนจบ

    ...แต่ตอนนั้นแม่ให้เหมือนเป็นเงินเดือน เทียบสมัยนี้ 1.200 บาท จะทำอะไรได้ ต้องเช่าบ้าน กินข้าว เลี้ยงลูก กินอยู่กัน 3 คน ทุกอย่างจนขนาดที่ว่าเวลาฉันผ่านซื้อกับข้าว คือพอไปเรียนกลับมา ก็ต้องซื้อของกิน ก็ต้องเลือกเอาจะกินขนมดี หรือจะกินเนื้อ ต้องเลือกเอา เอา 2 อย่างไม่ได้ ต้องประหยัด ทรงเคยทำอะไรให้ท่านผู้หญิงทัศนาวลัยรับประทานบ้างเพคะ

    “ก็เปิดกระป๋องเป็นแป้ง เอาน้ำเจือ ธรรมดาเขาชอบรับประทานตับนะ

    ... ตอนนั้นก็ทานนม แต่เลี้ยงไม่ดี เพราะตอนนั้นให้กินนมข้นมากเกินไป ได้กินนมแม่อยู่ 3 เดือน เพราะฉันไม่มีให้ เลยเป็นนมข้น หมอเป็นคนบอกว่าให้ได้ แต่ควรให้ตอนต้น แล้วหยุด แต่เราให้นานไปหน่อย เพราะมันง่ายดี (แย้มพระโอษฐ์)

    ต่อมาเมื่อท่านผู้หญิงทัศนาวลัยก็มีลูก (คุณจิทัศ ศรสงคราม) ใต้ฝ่าพระบาททรงใกล้ชิดสนิทสนมกับพระนัดดาเหมือนพระธิดาหรือไม่เพคะ

    “พูดถึงนัดดาเมื่อเล็กนี่ เขาไม่ชอบให้คนไม่คุ้นอุ้ม แล้วแม่เขาก็หวงด้วย ลำบากมากตอนเล็กๆ ถึงเดี๋ยวนี้เขาก็เรียบร้อยดี

    ได้ข่าวว่าคุณจิทัศไว้ผมยาวด้วย ใต้ฝ่าพระบาทไม่ว่าหรือเพคะ

    “ไม่ว่า ทำไมหละ ถ้าสะอาดดี อะไรดีก็ไม่เป็นไร ถ้ารุงรังสกปรกเหม็นก็ไม่ดี (ทรงพระสรวล) แต่หลานฉันผมแข็งหน่อย ชี้หน่อยๆ ยังไม่ยาวเต็มที่”

    “แต่มาครั้งหลังนี้ไม่ชี้แล้วค่ะ”

    ท่านผู้หญิงทูล

    สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ แย้มพระโอษฐ์รับด้วยความพอพระทัย
    ขณะที่ทรงเฝ้าดูแลสมเด็จพระศรีฯ ใต้ฝ่าพระบาทใช้เวลาช่วงใดทรงงานเพคะ

    “อยากให้เห็นห้องที่ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันมีเตียง 2 เตียง อีกเตียงใครมานอนไม่ได้หรอก แฟ้มเต็ม (ทรงพระสรวล) แน่นไปหมด แล้วมีคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง เครื่องพิมพ์ดีด ที่คล้ายๆ คอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง เครื่องถ่ายเอกสารก็ต้องเอาไป ถ้าอย่างนั้นไม่ทัน”


    ใต้ฝ่าพระบาทมีพระกรณียกิจมากมาย ทรงแบ่งเวลาทรงงานอย่างไรเพคะ
    “ไม่ได้แบ่งอะไร แบ่งไม่ได้”
    ที่มาห้องสมุด pantip.com

    [​IMG]
     
  5. pooky

    pooky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +63
    ขออนุโมทนาค่ะ เป็นบุญและโชคดีที่ได้อ่านอย่างยิ่งค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...