พระพุทธศาสนา 5000 ปี

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Sirius Galaxy, 18 มิถุนายน 2016.

  1. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    พระพุทธศาสนา 5000 ปี

    จะเป็นปัญหาก็ใช่ จะไม่เป็นปัญหาก็ใช่
    จะเชื่อก็ใช่ จะไม่เชื่อก็ใช่

    ผู้ที่เป็นปัญหา ก็คือ ผู้ที่ไม่เชื่อ ต้องมีหลักฐาน ต้องมีอ้างอิง
    โดยเฉพาะผู้ที่ยึดพระไตรปิฏกจะไม่เชื่อ

    ผู้ที่เชื่อ ก็เพราะเชื่ออย่างนั้น เพราะมีการกล่าวจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์สืบทอดกันมา ว่าอายุพระพุทธศาสนา 5000 ปี และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่กล่าวนั้น ก็เชื่อ และกล่าวตามพ่อแม่ครูบาอาจารย์รุ่นก่อนๆ สืบๆกันมา
    แต่ก็ต้องขออภัยที่ไม่สามารถเอ่ยนามได้ว่าท่านใดกล่าว เพราะไม่พบว่ามีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หรือมีการอัดเสียงไว้ แม้ผมเองก็ฟังๆ ตามๆกันมา จากเพื่อนๆสหธรรมมิก สมัยที่บวชเป็นพระภิกษุ

    ก็พอจะปรากฏให้เห็นไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดแจ้ง ก็ไดแก่
    พระราชปณิธาน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

    "อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
    ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
    ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
    แด่พระศาสนา สมถะ พระพุทธโคดม
    ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
    สมณะพราหมณ์ชี ปฏิบัติ ให้พอสม
    เจริญสมถะ วิปัสสนา พ่อชื่นชม
    ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดาฯ

    ก็ถือว่า บุคคลที่แต่ง ที่เขียนโคลงกลอนบทนี้ ก็มีความเชื่อเช่นนี้

    คำถาม ในพระไตรปิฏกกล่าวไว้หรือไม่ ?
    คำถาม พระพุทธเจ้าเป็นผู้กล่าวไว้หรือไม่ ?
    คำถาม พระพุทธเจ้าเป็นผู้กำหนดไว้หรือไม่ ?

    คำตอบ ในพระไตรปิฏก ไม่มีกล่าวไว้อย่างชัดแจ้งตรงๆ
    แต่จะมีกล่าวไว้ เช่น 500 ปีบ้าง 1000 ปีบ้าง เช่น
    “ดูกรอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นานสัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอด 1000 ปี
    ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง 500 ปีเท่านั้น”

    ที่มา :
    (1) พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 7 จุลวรรค ภาค 2

    (2) พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 15 อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต โคตมีสูตร

    แต่จะมีอธิบาย และมีกล่าวกันไว้มากในอรรถกถา เช่น

    (1) อรรถกถา ภิกขุนิกขันธก วรรณนา [ว่าด้วยครุธรรม ๘] พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 499

    “ครุธรรมเหล่านี้ใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรีบบัญญัติเสียก่อน เพื่อกันความละเมิด ในเมื่อยังไม่เกิดเรื่อง เมื่อครุธรรมเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้มิได้ทรงบัญญัติ พระสัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ 500 ปี เพราะเหตุที่มาตุคามบวช
    แต่เพราะเหตุที่ทรงบัญญัติครุธรรมเหล่านั้นไว้ก่อน พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ได้อีก 500 ปี ข้อนี้ ก็ฉันนั้นแล จึงรวมความว่า พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอด 1000 ปี ที่ตรัสทีแรกนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้”

    อธิบายว่า
    คำว่า พันปี นั้น พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น
    แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่า 1000 ปีนั้นบ้าง ได้แก่
    (1) จักตั้งอยู่สิ้น1000 ปี ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ
    (2) จักตั้งอยู่สิ้น1000 ปี ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี
    (3) จักตั้งอยู่สิ้น1000 ปี ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี
    (4) จักตั้งอยู่สิ้น1000 ปี ด้วยอำนาจพระโสดาบัน
    รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอด 5000 ปี ด้วยประการฉะนี้

    (2) อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค ทักขิณาวิภังคสูตร
    ๑๒. อรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตร
    (ว่าด้วยเรื่องของพระนางมหาปชาบดีโคตรมี ถวายผ้าจีวรผืนใหม่ แด่พระพุทธเจ้า)

    พระเจตนา 6 ประการของพระนางมหาปชาบดีโคตมีนั้นรวมเข้ากันแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ตลอดกาลนานอย่างนี้ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามถึง 3 ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายแก่สงฆ์ ทรงมุ่งหมายอะไร

    อธิบายว่า
    ตรัสอย่างนั้น เพื่อชนรุ่นหลังและเพื่อทรงให้เกิดความยำเกรงในสงฆ์ด้วย นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า เราไม่ดำรงอยู่นาน แต่ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ในพระภิกษุสงฆ์ ชนรุ่นหลังจงยังความยำเกรงในสงฆ์ให้เกิดขึ้น ดังนี้ จึงทรงห้ามถึง 3 ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายสงฆ์ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดาจึงทรงให้ถวายผ้าใหม่คู่หนึ่ง แม้ที่พระนางจะถวายแด่พระองค์ให้แก่สงฆ์ ทักขิไณยบุคคลชื่อว่าสงฆ์ เพราะฉะนั้น ชนรุ่นหลังยังความยำเกรงให้เกิดขึ้นในสงฆ์ จักสำคัญปัจจัยสี่เป็นสิ่งพึงถวาย สงฆ์เมื่อไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ จักเรียนพระพุทธวจนะทำสมณธรรม เมื่อเป็นอย่างนั้น ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ถึง 5000 ปี ดังนี้

    (3) อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พรหมชาลสูตร

    ก็วันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังกิจก่อนอาหารให้สำเร็จในกรุงราชคฤห์แล้ว ถึงเวลาหลังอาหารเสด็จดำเนินมายังหนทาง ตรัสบอกกรรมฐานแก่ภิกษุทั้งหลายในเวลาปฐมยาม ทรงแก้ปัญหาแก่เทวดาทั้งหลายในมัชฌิมยาม เสด็จขึ้นสู่ที่จงกรม ทรงจงกรมอยู่ในปัจฉิมยาม ทรงได้ยินภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปสนทนาพาดพิงถึงพระสัพพัญญุตญาณนี้ ด้วยพระสัพพัญญุตญาณนั่นแล ได้ทรงทราบแล้ว

    ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้า(พระอานนท์) จึงได้กล่าวว่า เมื่อทรงกระทำกิจในปัจฉิมยาม ได้ทรงทราบแล้ว ก็และครั้นทรงทราบแล้ว ได้มีพระพุทธดำริดังนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้กล่าวคุณพาดพิงถึงสัพพัญญุตญาณของเรา ก็กิจแห่งสัพพัญญุตญาณไม่ปรากฏแก่ภิกษุเหล่านี้ ปรากฏแก่เราเท่านั้น เมื่อเราไปแล้ว ภิกษุเหล่านี้ก็จักบอกการสนทนาของตนตลอดกาล

    แต่นั้น เราจักทำการสนทนาของภิกษุเหล่านั้นให้เป็นต้นเหตุ แล้วจำแนกศีล 3 อย่าง บันลือสีหนาทอันใครๆ คัดค้านไม่ได้ ในฐานะ 62 ประการ ประชุมปัจจยาการกระทำพุทธคุณให้ปรากฏ จักแสดงพรหมชาลสูตร อันจะยังหมื่นโลกธาตุให้หวั่นไหว ให้จบลงด้วยยอดคือพระอรหัต ปานประหนึ่งยกภูเขาสิเนรุราชขึ้น และดุจฟาดท้องฟ้าด้วยยอดสุวรรณกูฏ

    เทศนานั้นแม้เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ก็จักยังอมตมหานฤพานให้สำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายตลอด 5000 ปี ครั้นมีพระพุทธดำริอย่างนี้แล้ว ได้เสด็จเข้าไปยังศาลามณฑลที่ภิกษุเหล่านั้นนั่งอยู่ ด้วยประการฉะนี้

    (4) อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สุญญตวรรค มหาสุญญตสูตร
    ๒. อรรถกถามหาสุญญตาสูตร
    ฯ...แต่นั้นทรงดำริว่า เราบำเพ็ญบารมี 10 ทัศ ถึง 4 อสงไขยแสนกัป ก็เพื่อกำจัดการอยู่รวมเป็นคณะ แต่ภิกษุเหล่านี้ นับจำเดิมแต่นี้ไป ภิกษุเหล่านี้ย่อมเกาะกลุ่มยินดีในหมู่ กระทำกรรมไม่สมควรเลย

    พระองค์ทรงเกิดธรรมสังเวช เพราะภิกษุทั้งหลายเป็นเหตุ ทรงดำริว่า ถ้าเราจักบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุสองรูปไม่พึงอยู่ในที่เดียวกัน แต่ไม่สามารถจะบัญญัติได้ เอาละ เราจะแสดงพระสูตร ชื่อมหาสุญญตาปฏิบัติ ซึ่งจักเป็นเหมือนการบัญญัติสิกขาบทสำหรับกุลบุตรผู้ใคร่ต่อการศึกษา และเหมือนกระจกสำหรับส่องหมู่สัตว์ทุกหมู่เหล่าที่วางไว้ ณ ประตูเมือง แต่นั้นกษัตริย์เป็นต้น เห็นโทษของตนในกระจกบานหนึ่ง ละโทษนั้นย่อมเป็นผู้หาโทษมิได้ฉันใด

    แม้เมื่อเราปรินิพพานแล้วล่วงไปถึง 5000 ปี กุลบุตรทั้งหลายย่อมระลึกถึงพระสูตรนี้ จักบรรเทาความเป็นหมู่ ยินดีในเอกีภาพ จักกระทำที่สุดแห่งวัฏฏทุกข์ได้. กุลบุตรทั้งหลายระลึกถึงพระสูตรนี้แล้ว บรรเทาความเป็นหมู่ยังทุกข์ในวัฏฏะให้สิ้นไป แล้วปรินิพพานนับไม่ถ้วน เหมือนยังมโนรถของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้บริบูรณ์

    นอกจากจะมีปรากฏอยู่ในพระอรรถกถาแล้ว ในคัมภีร์ก็มีปรากฏ และในคัมภีร์ที่ว่านี้ เป็นคัมภีร์ที่มีความน่าเชื่อถือ คนทั่วไปให้ความเชื่อถือ ได้แก่ คัมภีร์มิลินทปัญหา มีปรากฏในตอนถามเรื่องอายุพระพุทธศาสนา 5000 ปี และรองจากนั้นก็มีคัมภีร์ ตำนานมูลศาสนา

    คัมภีร์มิลินทปัญหา ความว่า
    พระเจ้ามิลินท์ ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่า พระสัจธรรมจักตั้งอยู่ได้ 5000 ปี ฉะนี้มิใช่หรือ”

    พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสไว้นั้นแล”

    ความคิดเห็นส่วนตัว สำหรับผมนั้นเชื่อ
    ในพระไตรปิฏก อรรถกถา คัมภีร์ ขอยกไว้ก่อน เพราะมีการบันทึกไว้เป็นที่ทราบดีกันอยู่แล้ว
    แต่ก็มาสงสัย ตรงที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ยุคปัจจุบันท่านกล่าวไว้ สงสัยตรงที่ว่า ท่านอ้างอิงมาจากไหน ท่านจำคำพูดมาจากไหน แต่ถ้าท่านจำคำพูดมาจากพระอรหันต์ หรือพระอรหันต์เป็นผู้พูด พระอรหันต์เป็นผู้กล่าว ผมหายสงสัยแน่นอน เพียงแต่ไม่ได้มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หรือมีการอัดเสียงไว้ ว่าพระอรหันต์ท่านใดเป็นผู้พูด เป็นผู้กล่าว

    แต่ถ้าเป็นพระภิกษุปุถุชนธรรมดาเป็นผู้พูด เป็นผู้กล่าว ผมเข้าใจว่า น่าจะเป็นการหยิบยกมาจากตำรับตำรา เช่น อรรถกถา คัมภีร์ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว หรือก็จำคำพูดมาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์สืบๆกันมา ซึ่งก็ไม่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หรือมีการอัดเสียงไว้ ทำให้ไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นผู้พูด

    และก็ทำให้ผมหายสงสัย อย่างน้อยก็ทำให้ อรรถกถา และคัมภีร์ มีน้ำหนัก มีความน่าเชื่อถือ

    หรืออย่างน้อยก็มีอยู่องค์หนึ่ง เป็นพระอรหันต์สายพุทธภูมิ เป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาพุทธภูมิ และสาธุชน พุทธบริษัท 4 คือ หลวงพ่อฤษีลิงดำ หรือ พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    จากหนังสือ "สนทนาธรรม เล่ม 10
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา
    ครบ 5000 ปีที่ประเทศไทย
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    พระพุทธเจ้าเป็นลูกชาวไทยอาหม เป็นไทย ไทยที่นั่นมี 2 พวก คือ ไทยอาหมพวกหนึ่ง ไทยมะลิวัลย์พวกหนึ่ง พระพุทธเจ้าเป็นลูกชาวไทยอาหม ฉะนั้นเวลานั้นประวัติศาสตร์บอกว่า ชาวกรุงกบิลพัสดุ์น่ะ ไม่ยอมแต่งงานกับคนเผ่าอื่น คือไทยกับแขกมันไม่ไหวจริงๆ มันเหม็นใช่ไหม (หัวเราะ) มันไม่ไหวนะ แต่ว่าพระพุทธศาสนา ท่านประกาศ 5000 ปีที่ประเทศไทยเรานี่ ไม่ใช่อุบัติที่โน่น ประกาศตั้งที่โน่น ไม่ใช่อย่างนั้น ประกาศครบ 5000 ปี ที่ประเทศไทยเราต่างหาก

    ที่เราจะรู้กันว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย ตามประวัติมีครั้งหนึ่ง ท่านโกรภัจ เป็นหมอประจำพระองค์ ลามาเที่ยวที่สุวรรณภูมิ 2 ปี พอกลับไปแล้วก็เล่าให้พระพุทธเจ้าฟังว่า ชาวสุวรรณภูมิ (ชาวสุวรรณภูมิก็คือไทย) ใช้ภาษาโดดพูดเพราะมาก คำว่าภาษาโดดของเรา กิน เราเรียกว่า กิน ของเขา ภุญชะติ หลายคำใช่ไหม เรากินคำเดียว ไป ของเรา ไป หรือมา ถ้าไปของเขา คัจฉะติ ถ้ามา อาคัจฉะติ มันหลายคำ ภาษาไทยของเราเป็นภาษาโดด

    พระพุทธเจ้าเลยถามว่า ชาวสุวรรณภูมิ เขาพูดอย่างไร ลองพูดให้ฟังซักประโยคซิ ท่านโกมารภัจ ก็พูดให้ฟังประโยคหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็เลยพูดภาษานี้เรื่อย ก็คุยกันสนุกสนาน คุยไปคุยมา คุยมาคุยไป ท่านโกมารภัจ ก็สงสัยคิดว่าพระพุทธเจ้ารู้ภาษานี้ได้อย่างไร คือว่าพระพุทธเจ้าอาจจะรู้ได้ทุกภาษาใช่ไหม

    ถามว่าพระองค์รู้ภาษานี้ได้อย่างไร จากความเป็นปฏิสัมภิทาญาณหรืออย่างอื่น
    พระพุทธเจ้าบอกว่า ชาวกรุงกบิลพัสดุ์ ทั้งหมด ใช้ภาษานี้เป็นภาษาพื้นเมือง

    จับได้ตอนนี้ว่าเป็นคนไทย ก็ใช้ภาษาพื้นเมือง ก็หมดทั้งประเทศเลยใช่ไหม ก็เลยเป็นชาวไทยไป แต่นี่เห็นว่า พวกแขกไม่ค่อยจะเลื่อมใสพระพุทธเจ้านัก แอนตี้พระพุทธศาสนา การประกาศพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าในอินเดียไม่ค่อยเดิน ได้ 7 แคว้น และก็ในสมัยพระพุทธเจ้าเองก็เคยมาเข้าเขตในประเทศไทยเรา

    พระเจ้าอริฏฐะ ที่ลำพูนท่านฟังข่าวจากคนพ่อค้าว่าเวลานี้ พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ประกาศตนว่าท่านเป็นอรหันต์ด้วย สอนคนเป็นอรหันต์ด้วย และเวลานั้นคำว่า "อรหันต์" แปลว่า สูงสุดตัดกิเลสได้

    พระเจ้าอริฏฐะ ท่านโตแล้วก็เรียนลัด จะไปอย่างไร จากลำพูนไปพุทธคยา ข้ามเขาไปกี่ลูกใช่ไหม ท่านก็ใช้วิธีโตแล้วเรียนลัด ใช้จุดธูปกลางแจ้งว่า "ถ้าพระพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลกจริง ขอให้เสด็จมาทรงโปรดที่นี่!"

    พอเช้ามืดก็นอนฝันว่า มีพญาหงส์ทอง ๕ ตัว บินมาจากทิศตะวันตกมาลงที่พระลานหลวง ก็ตื่นพอดี ก็เปิดหน้าต่างดู เห็นพระ ๕ องค์ ก็ลงไป เมื่อลงไปแล้วหัวหน้าก็บอกว่า "อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย มีนามว่า โมคคัลลาน์ พระพุทธเจ้าใช้ให้นำพระอีก 4 องค์ คือมาทั้ง 5 องค์มาที่นี่ ที่พระองค์จุดธูปนิมนต์ เวลานี้ระพุทธเจ้ายังไม่ว่าง"

    เขาทำบุญเป็นการใหญ่ ประกาศป่าวร้องทำบุญกัน เมื่อเสร็จจากภารกิจ พระโมคคัลลาน์ ก็ไปที่ ดอยโมคคัลลาน์ใกล้ๆ ดอยอินทนนท์ เมื่อ 7 - 8 วัน พอเป็นที่สมควร เรียกว่าพระพุทธเจ้าส่งมากรุยทางให้คนเข้าใจเสียก่อน ท่านก็ลากลับ ลากลับก็บินกลับอีกแน่ะ ไม่ใช้เครื่องบิน บินเองใช่ไหม เวลานั้นเครื่องบินยังไม่มีนะ

    พอพระโมคคัลลาน์กลับแล้ว ทีนี้ พระเจ้าอริฏฐะ เอาใหม่ แหม...จุดทีแรกต้องการหัวหน้าใหญ่ ให้หัวหน้าเล็กมาได้ (หัวเราะ) จุดใหม่ ขอให้พระพุทธเจ้าเสด็จเอง คราวนี้ นอนฝันอีกแล้ว ฝันว่ามีพญาช้างเผือกนำโขลงช้าง 500 เชือกลอยจากอากาศ ลอยมาทางอากาศทางทิศตะวันตกมาลงที่พระลานหลวง เช้ามืดเหมือนกัน พอเปิดหน้าต่างดู โอ้โฮ! พระเต็มหมด มีพระพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ สวยงามมาก ก็ลงไปประกาศให้ประชาชนทราบ ก็เลี้ยงพระ ฟังเทศน์ตามธรรมดาก็แล้วกันนะ ต่อมาพระพุทธเจ้าเสด็จไปพักที่ ดอยโมคคัลลาน์ และหลังจากนั้นก็ประกาศบอกว่า "ที่นี่ต่อไปจะเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุรากขวัญเบื้องซ้ายของตถาคต และก็ในเมืองนี้ต่อไปจะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะทรงพระพุทธศาสนาครบ 5000 ปี" นี่ไม่ได้ประกาศที่อินเดีย อย่าลืมนะ ท่านรู้ที่อินเดียเป็นอย่างไร และคนเคารพนับถือท่านอยู่ที่ไหน

    จากหนังสือ "สนทนาธรรม เล่ม 10 "
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    ที่ข้าพเจ้าเขียน รวบรวมขึ้นมานี้ ก็เพื่อให้ผู้ที่ยังสงสัย ได้พอบรรเทา คลายความสงสัยลงไปได้บ้าง
     
  2. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +369
    อ่านเอาหรือฟังเอาคงหนีไม่พ้นสงสัยหรอกท่าน พระที่เก่งจริงท่านใช้อนาคตังสญาณไปพิสูจน์เองเลยหมดสงสัย อาจรู้ถึงยุคพระศรีอาริย์โน่น
     
  3. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    น่าสนใจครับ
    ศาสนามันจะอยู่กี่ปีช่างมันเถอะ

    ที่น่าสงสัยกว่านั้น
    พวกพุทธภูมมาเกิดประเทศไทยตอนนี้กันมาก
    โดยเฉพาะอนิยตโพธิสัตว์

    พวกท่านมาทำหน้าที่อะไร?
    รู้หน้าที่เจ้าของตัวเองหรือยัง?

    หรือเอาแต่เที่ยวหลงโลกไปวันๆ
    หรือมานั้งวิเคราะห์ไปวันๆ

    หรือรับงานมาแล้ว ไม่ยอมทำหน้าที่
    เพราะไม่รู้เกิดชาตินี้ทำหน้าที่อะไร?

    หรือมาแค่ประกาศตนว่าข้าคือ พุทธภูม อย่าปรามาส...
     
  4. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ผมเคยถามหมอดูคนหนึ่ง เอาเป็นว่าน่าจะพูดชื่อได้เพราะ เพราะสิ่งที่จะโพสไม่น่าจะพาดพิงให้เขาเสียหาย เขาคือ หมอกฤษ คอนเฟิร์ม หมอดูบอกผมว่า ข้างบนส่งผมมาให้ทำหน้าที่อะไรสักอย่าง ช่วงนั้นต้นไม้บังสัญญาณโทรศัพท์พอดี เลยไม่รู้ว่า เราโดนส่งมาทำอะไร

    แต่ ในความคิด ก็ไม่อยากจะเชื่อหมอดูท่านนั้นเท่าไร เพราะ มีความคิดว่า อาจจะเป็น จิตวิทยาของหมอดูคนนั้น ที่พยายามจะให้กำลังใจเรา ในยามที่จิตใจเศร้าหมอง

    ตอนนี้ผมอยู่ในฐานะ ผู้ศึกษาธรรมชาติ (ไม่ใช่พระไตรปิฏกนะ) และพวกที่นั่งวิเคราะห์ไปวัน ๆ


    เฮ้อ....
    = =
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2016
  5. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +2,226
    ได้ลองศึกษาคำสอนและวิธีปฏิบัติธรรมของ หลวงปู่ดู่ แล้วหรือยังครับ
    ท่านเก่งมากนะครับ
     
  6. littleyogi

    littleyogi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +41
    สวัสดีครับ เป็นลูกศิษย์ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า ในสำนักของท่านพุทธภูมิผู้หนึ่ง ท่านอาจารย์ประกาศว่าท่านปราถนาโพธิญาณ และตอนนี้ท่านเป็นผ้าขาวเปิดเผยธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างตรงไปตรงมาอยู่ที่น้ำหนาว เพชรบูรณ์ครับ
    เรื่องศาสนาพุทธอยู่ได้ 5000 ปี ท่านอาจารย์ผ้าขาวเล่าไว้ว่า ศาสนาเสื่อมลงเรื่อยๆจนหลังพศ.10,000 มีการฆ่าล้างกันเรียกว่ายุคสัตถันตรกัป คนที่รอดคือพวกมีศีลธรรม จะหนีเข้าป่า จนเสียงเงียบได้ออกมาจากป่า เพชร ทอง กองเต็มบ้านเมืองไม่สนใจหาเก็บเอาแต่เมล็ดข้าวไปกิน
     
  7. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +2,226
    แนะนำทำบุญให้เต็มกำลัง พอหลังพุทธศาสนาแล้ว ให้ไปพักที่สวรรค์ หรือพรหมโลก นะครับ
     
  8. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ขอบคุณที่แนะนำครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...