หลวงปู่ทวดโปรดสัตว์ปราบทุกภัยก้าวหน้า อ.นองวัดทรายขาวปลุกเสก

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,175
    ค่าพลัง:
    +21,388
    วันนี้จัดส่ง
    1747394225038.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,175
    ค่าพลัง:
    +21,388
    วันนี้จัดส่ง
    1747486590279.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,175
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1747565578959.jpg

    สมเด็จพิมพ์ปรกโพธิ์ฐานผ้าทิพย์ ท่านพระครูสาทรพัฒนกิจ(หลวงพ่อลมูล ขนฺติพโล) วัดเสด็จ จ.ปทุมธาน ฝังตะกรุด ๕ ดอกใต้ฐาน ที่ระลึกในงานฉลองสมณศักดิ์พัดยศ ปี๒๕๑๐
    หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ผู้สำเร็จวิชาลบผงวิเศษ ๑๒ นักษัตร
    ท่านเป็นพระเกจิเชื้อสายรามัญแห่งจังหวัดปทุมธานี สุดยอดพระเกจิผู้มีพุทธคมเข้มขลัง เป็นผู้ที่มีจิตสมาธินิ่งมาก สามารถเขียนผงทะลุกระดานชนวนได้เพียงอึดใจ
    ในการสร้างพระสมเด็จฯ นอกจากวิชาลบผงวิเศษทั้ง ๕ ประการแล้ว ท่านยังใช้วิชาลบผง ๑๒ นักษัตร อันเป็นวิชาของชาวมอญที่ตกทอดกันมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีพระเกจิอาจารย์รูปใดในยุคก่อนๆ ที่วงการรู้จักมีการทำผงชนิดนี้ นี่จึงเป็นของวิเศษอันสุดยอดของหลวงปู่เทียนที่พระเกจิอาจารย์รูปอื่นๆ ไม่มี
    ผง ๑๒ นักษัตร เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับโหราศาสตร์ที่อธิบายได้ว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ต้องเกิดมาในปีนักษัตรใดนักษัตรหนึ่ง และในปีหนึ่งๆ นั้นประกอบไปด้วย ๑๒ ราศี ที่มีความเกี่ยวพันกับดวงดาว อันเป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิตของคนคนนั้น ที่เรียกว่า “ดวงชะตา”
    หลวงปู่เทียน ท่านศึกษาค้นคว้าวิชานี้จากตำราโบราณที่อาจารย์มอบให้จนสำเร็จด้วยตัวเอง วัตถุมงคลของท่านทุกองค์จะมีผง ๑๒ นักษัตรผสมอยู่ด้วย จึงมีอานุภาพในการหนุนส่งดวงชะตาในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์และปกป้องไม่ให้ตกต่ำในยามที่ดวงไม่ดี
    ผงนี้กระบวนการทำนั่นยากมาก เป็นผงที่ลบจากยันต์ ๑๒ นักษัตร จึงเข้าได้กับผู้อาราธนาทุกปีเกิด มีศิษย์ที่ไปขอเรียนวิชานี้กับหลวงปู่จำนวนมาก แต่สามารถเรียนได้สำเร็จแค่ ๒ รูป คือ
    หลวงปู่เริ่ม วัดจุกกะเฌอ
    หลวงพ่อละมูล วัดเสด็จ
    คำว่า เนื้อ 12 นักษัตร นั้นหลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกะเฌอ ท่านเล่าว่า ผง 12 นักษัตรเป็นผงที่สร้างยากต้องมีความมานะพยายามอย่างสูงกว่าจะรวบรวมวัตถุมงคลให้ครบตามตำราก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว เช่น
    - กระดูกม้าขาว
    - กระดูกไก่ดำ ซึ่งกระดูกออกเป็นสีชมพู
    - กระดูกนิ้วก้อยซ้ายขวาของผีตายวันเสาร์เผาวันอังคาร มาบดผสม
    เมื่อได้กระดูกสัตว์ทั้ง 12 ชนิด และวัสดุมลคลอื่นครบถ้วนตามตำราแล้ว ต้องบดผงเข้าด้วยกันแล้วปั้นเป็นแท่งดินสอเตรียมไว้ เมื่อเข้าพรรษาก็ให้เริ่มลงอักขระเลขยันต์ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายของพรรษา ทำจนครบ 3 พรรษา
    พระครูสาทรพัฒนกิจ (หลวงพ่อลมูล) วัดเสด็จ อำเภอเมือง จ.ปทุมธานี ศิษย์เอกของหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ พระเกจิดังแห่งเมืองปทุมธานี ท่านเป็นหนึ่งในพระเกจิอาจารย์ที่นั่งปรกในพิธี "จักรพรรดิมหาพุทธาภิเษก" ณ พระวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก ปี2515 หลวงพ่อลมูล ท่านเป็นยอดพระเกจิที่เก่งมากๆ พลังจิตของท่านดีมาก จนชาวบ้านยกย่องเป็นเทพเจ้าแห่งสวนพริกไทย หลวงพ่อละมูล ท่านเองก็ชอบสร้างพระสมเด็จเช่นกันครับ เหมือนอาจารย์ท่าน คือหลวงปู่เทียน โดยหลวงปู่เทียน นอกจากท่านจะสำเร็จวิชาการทำผงวิเศษ ๕ ประการ คือ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห และ ผงพุทธคุณ แล้ว ท่านยังเป็นพระที่สำเร็จวิชา “ผง ๑๒ นักษัตร์” ซึ่งเป็นผงที่เขียนลบมาจากยันต์ ๑๒ นักษัตร์ ทั้ง ๑๒ ปี ดังนั้น พระเนื้อผงของท่านจึงดีเด่นสูงค่าไปด้วยพระพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม อุดมโชคลาภ มีกินมีใช้ทุกปี ไม่ขัดสน เข้าได้กับทุกผู้คน ทุกปีเกิด สามารถป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลาที่มีพระเครื่องของท่านพกพาอาราธนาติดตัวอยู่ เวลาดวงชะตาตกต่ำ ก็จะค้ำจุนไม่ตกอับจนเกินไป เวลาดวงชะตารุ่งโรจน์ ก็จะเสริมดวงชะตาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น หลวงปู่เทียนท่านได้ถ่ายทอดวิชาผง ๑๒ นักษัตร์นี้ให้แก่ศิษย์ คือ หลวงพ่อลมูล โดยหลวงพ่อลมูลท่านจะทำพิมพ์ให้ต่างจากหลวงปู่เทียน และท่านก็ลบผงพุทธคุณเองด้วยเช่นกัน พระท่านน่าแขวน รุ่นเก่าๆหาก็ไม่ค่อยง่ายเช่นกัน ทางพื้นที่นิยมกันมากครับ จำไว้ว่าตะกรุดที่ฝังจะไม่เรียบร้อยเช่นกัน ม้วนไม่ค่อยกลมนะครับ วัตถุมงคลของท่านนั้นสามารถใช้ป้องกันภัยอันตราย จากสัตว์มีพิษต่างๆ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย ที่มีมากมายในสวนสมัยก่อนได้อย่างน่ามห้ศจรรย์ อีกทั้งยังมีพุทธคุณครบเครื่อง ไม่เป็นรองอาจารย์ของท่าน ทั้งคงกระพัน มหาอุด มหานิยม เมตตา โชคลาภ ลูกศิษย์ทั้งหลายล้วนทราบกันดี
    หลวงพ่อลมูล ขันติพโล วัดเสด็จ อ.เมือง จ.ปทุมธานี
    หลวงพ่อลมูล ขันติพโล หรือท่านพระครูสาทรพัฒนกิจ เจ้าอาวาสวัดเสด็จ ตำบลสวนพริกไทย อ.เมือง จ.ปทุมธานี ท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่มหาชนในยุคก่อนและยุคนี้ต่างก็ให้ความเคารพนับถือมากมาย หลวงพ่อลมูลท่านเป็นชาวมอญโดยกำเนิด เดิมชื่อลมูล จับจิตต์ เกิดวันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2458 แรม 5 ค่ำ ปีเถาะ บิดาชื่อ นายติ่ง มารดาชื่อ นางแม้น จับจิต ท่านเกิดที่หมู่ 4 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มีพี่น้องด้วยกัน 6 คน ท่านเป็นคนที่ 2 ของครอบครัว เมื่อท่านอายุได้ 3 ขวบ ท่านได้ย้ายตามบิดามารดามาอยู่ในคลองบางใหญ่หมู่ที่ 1 ตำบลสวนพริกไทย อ.เมือง จ.ปทุมธานี เพราะโยมปู่เหลือ และโยมย่าแหวว จับจิตต์ ได้มอบมรดกที่ดินให้กับครอบครัวของท่านไว้ทำกิน ท่านจึงต้องย้ายมาอยู่ด้วย พอท่านอายุได้ 12 ปี โยมพ่อได้นำท่านไปฝากให้เรียนหนังสือกับ"พระอาจารย์ไม้" ที่วัดเสด็จ ท่านอยู่ได้ 1 ปี ทำให้ท่านได้ฝึกฝนนิสัยไปในทางอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักที่สูงที่ต่ำ ทั้งสิ่งที่ควรและไม่ควร ต่อมา "ครูชั้น ดำกลิ่น" ได้มาขอตัวท่านจากพระอาจารย์ไม้ไปเป็นศิษย์ โดยให้ไปเรียนหนังสือเพิ่มเติมที่วัดพระเชตุพน คณะ 20 ท่านศึกษาจนอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี โดยสมัยนั้นสมเด็จป๋าสมเด็จพระสังฆราช(ปุ่น ปุ่ณณสิริ) ยังคงเป็นครูสอนภาษาบาลีอยู่ ณ สำนักแห่งนี้ แต่ในการเรียนต่อของท่านในขณะนั้นได้ชะงักลง เพราะเหตุที่โยมพ่อต้องการให้กลับมาช่วยดูแลทำนาเพื่อช่วยครอบครัว ท่านจึงต้องกลับมาทั้งๆที่เสียดายมาก หลังจากที่ท่านกลับมาอยู่บ้าน ท่านก็ได้ช่วยโยมพ่อทำนาพร้อมกับได้เริ่มเรียนหนังสือต่ออีก เพราะอายุท่านนั้นไม่พ้นเกณฑ์ยังอยู่ในภาคบังคับ ต้องเรียนหนังสือต่อ หลวงพ่อลมูลจึงเรียนที่วัดเสด็จซึ่งได้มีการเปิดโรงเรียนประชาบาลภาคบังคับขึ้น ท่านจึงได้เริ่มเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาอีก ท่านเป็นนักเรียนคนที่ 38 ของโรงเรียนนี้ ท่านเรียนจนจบชั้นประถมปีที่ 3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น หลังจากที่ไม่ได้เรียนแล้ว ท่านก็ได้ช่วยเหลือบิดา มารดาทำนา ตามความประสงค์จนอายุได้ 18 ปี บิดามารดาของท่านได้ขอให้ท่านแต่งงานเปรียบเสมือนโซ่ตรวนผูกมัดไม่ให้บวช อีกประการหนึ่งท่านต้องการศึกษาหาความรู้ใส่ตนให้มากขึ้นกว่านี้ ประกอบกับจิตใจของท่านฝังลึกว่า การบวชนั้นเปรียบเสมือนทางไปสวรรค์ที่จะสามารถบันดาลให้พ้นทุกข์ได้
    ความตั้งใจของหลวงพ่อลมูล ขันติพโล วัดเสด็จ จ.ปทุมธานี สัมฤทธิ์ผล คือโยมบิดา มารดา ไม่อาจขัดได้จึงได้นำท่านไปฝากเป็นนาคกับ พระอธิการเผือก สุกโก ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส วัดเสด็จ ในขณะนั้นหลวงพ่อลมูล ขันติพโล ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2497 ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 7 เวลา 14 นาฬิกา 50 นาที ที่พระอุโบสถวัดเสด็จ โดยมีหลวงปู่เทียนหรือท่านพระครูบาวรธรรมกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการเผือก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ไม้ รุกขโก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ขันติพโลภิกขุ"
    หลังจากที่ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านได้ตั้งใจแน่วแน่ว่า ท่านจะเล่าเรียนพระธรรมวินัยตามระเบียบของวัด คือการเรียนพระปริยัติธรรมและจะตั้งใจปฏิบัติกิจในพระบวรพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดตลอดชั่วชีวิต ในเพศพรหมจรรย์ของท่านจะขอถวายตัวเป็นพุทธบุตรผู้สืบต่อพระพุทธศาสนาไปจนชีวิตจะหาไม่ พรรษาแรกท่านก็ได้เรียนนักธรรมชั้นตรี พรรษาที่ 2 ท่านก็สอบนักธรรมชั้นตรีได้ ในพรรษาที่ 3 ท่านก็สอบนักธรรมชั้นโท แต่สอบตก ท่านจึงอธิษฐานจิตจะไม่ขอเรียนนักธรรมชั้นโท และนักธรรมชั้นเอกอีกต่อไป ท่านจะเปลี่ยนแนวทางมุ่งไปในทางปฏิบัติ เมื่อหลวงพ่อตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ท่านก็ออกเดินธุดงค์ มุ่งหาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร แต่ก่อนเดินธุดงค์นั้นท่านได้ขอไปฝึกกรรมฐานเพิ่มเติมจาก หลวงปู่เทียน พระอาจารย์ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน ซึ่งท่านก็ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้เต็มที่ หลังจากได้รับการฝึกฝนในด้านสมาธิอย่างเพียงพอ หลวงปู่เทียน ท่านได้มอบหมายให้หลวงปู่พร้อม เป็นหัวหน้านำในการธุดงค์ในครั้งนั้น ในด้านส่วนลึกของหลวงพ่อลมูล ท่านต้องการออกธุดงค์ไปองค์เดียวแต่ติดขัดในข้อบัญญัติทางพระธรรมวินัยว่าพระที่จะออกธุดงค์ถ้ามีพรรษาไม่ถึง 5 พรรษา ต้องมีพระพี่เลี้ยงนำไป แต่ถ้าเกิน 5 พรรษาไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมี จุดแรกที่ที่ท่านออกธุดงค์ ก็คือที่วัดพระพุทธบาทสระบุรี เพราะสถานที่นี้เป็นที่อันศักดิ์สิทธิ์ มีความสงบ ร่มรื่นเหมาะในการบำเพ็ญเจริญภาวนา ต่อจากนั้นท่านก็มุ่งสู่ภาคเหนือ แม่สอด ตาก กำแพงเพชร เพราะท่านเห็นว่ามีภูเขามากเป็นแดนที่สงบ ในการเดินทางไปภาคเหนือครั้งนั้นท่านพบกับอุปสรรคอย่างมากมาย จากสัตว์ป่าบ้าง ตลอดจนอาหารที่ฉันท์เพราะไม่ค่อยมีหมู่บ้าน ท่านต้องฉันท์ผลไม้ป่าแทนแทบทุกวัน ฉันท์วันละเพียงมื้อเดียว ส่วนในด้านฝึกหัดปฏิบัติธรรมและจำวัดในตอนกลางคืน หลวงพ่อท่านก็ต้องหาสถานที่ปลอดภัย หลวงพ่อลมูลตั้งอยู่ในความไม่ประมาท หลังจากการเดินทางเข้าสู่พรรษาที่ 5 พระพี่เลี้ยงต่างก็แยกย้ายกันเดินทางกลับ หลวงพ่อลมูล จึงออกเดินธุดงค์เพียงองค์เดียว เดินทางไปถึงประเทศพม่า ท่านได้ไปพบกับถ้ำประหลาดซึ่งอยู่ในภูเขาลูกเล็กๆ แต่มหัศจรรย์มากเพราะภายในถ้ำมีแต่ขี้ค้างคาว แต่ไม่มีกลิ่นเหม็นเลยสักนิดเดียว และมีค้างคาวเต็มไปหมด แต่ค้าวคาวก็ไม่เคยบินมาถูกท่านเลย การเดินทางเอาตัวรอดในป่าดงดิบก็ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังต่อเนื่องและเคร่งครัดอำนาจบารมีของพุทธคุณ ธรรมคุณและสังฆคุณ เป็นอำนาจสูงสุด ผู้ปฏิบัติเคร่งครัดย่อมได้ผล แม้แต่ไปเจอสิงห์สาราสัตว์ที่ดุร้าย เจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา ด้วยอานุภาพบารมีดังกล่าวช่วยคุ้มภัยได้เป็นอย่างดี
    หลังจากที่หลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ ท่านได้ธุดงค์ได้ระยะหนึ่ง หลวงพ่อท่านก็ได้เดินทางกลับมายังวัดเสด็จ เพื่อมาช่วยเหลือกิจการของสงฆ์ในวัด ซึ่งในขณะนั้น หลวงปู่เผือกผู้ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสมีปัญหาเกี่ยวกับการปกครอง เนื่องจากมีพระภิกษุในวัดเดียวกันจะคิดกำจัด และปลดท่านจากการเป็นเจ้าอาวาส ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า บัญชีของวัดทำไม่ถูกต้อง และหย่อนสมรรถภาพในการปกครอง แต่ในข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเป็นเพราะหลวงปู่เผือกเป็นพระที่มีความละเอียดรอบครอบ กระทำสิ่งใดๆไม่หวังผลประโยชน์มากเกินไป จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้างเสียผลประโยชน์ พากันกลั่นแกล้งท่าน หลวงปู่เทียนซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าคณะตำบลบ้านกลางจึงได้เรียกตัวหลวงพ่อลมูลไปปรึกษาและมอบหมายให้ช่วยเหลือหลวงปู่เผือก ในด้านภารกิจต่างๆท่านได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ตั้งแต่นั้นมาท่านจึงไม่มีโอกาสออกเดินธุดงค์อีกต่อไป เพราะหน้าที่บังคับและหลังจากนั้นท่านก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ.2491 คือหลังจากที่พระอธิการเผือกได้มรณะภาพลงเมื่อปี พ.ศ.2490
    ในด้านผลงานของหลวงพ่อลมูล ท่านได้พัฒนาไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ถนนหนทาง จนถึงบ้านพักและสถานีตำรวจสวนพริกไทย อนามัย และโรงเรียน ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเลื่อมใส ต่างก็ได้ส่งบุตรหลานของตนเข้ามาบวชอยู่กับท่านอย่างมากมาย ทุกคนได้หันหน้าเข้าวัดด้วยการฝึกปฏิบัติธรรมกับท่านมิได้ขาดเพราะชาวบ้านถือกันว่าท่านเป็นพระที่มีเมตตาธรรมสูง จากผลงานในด้านปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรม ทำให้ทางคณะสงฆ์มีความเห็นขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระครูใบฏีกาลมูล เมื่อปี พ.ศ.2495 โดยฐานะนุกรมของท่านเจ้าคุณธรรมกิตติในปีพ.ศ.2500 ท่านได้รับตำแหน่งเป็นพระอุปัชฌาย์อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
    ผลงานในด้านปริยัติธรรมหลวงพ่อลมูล ท่านก็ได้ตั้งสำนักเรียนนักธรรมตั้งแต่ชั้นตรี -โท- เอก ขึ้นรวมทั้งสอนแผนกบาลีด้วย ทางด้านปฏิบัตินั้นท่านได้ฝึกอบรมกรรมฐานเป็นประจำ จนมีญาติโยมเข้ามาฝึกกรรมฐานกันมากขึ้นทุกวันเพราะเชื่อกันว่า การฝึกกรรมฐานกับท่านแล้วทำให้เกิดศรัทธาแรงกล้า ส่วนในระยะที่อยู่ในพรรษาแต่ละพรรษาท่านต้องเป็นผู้นำพระใหม่ และเก่าฝึกกรรมฐาน รวมทั้งเป็นผู้นำสวดมนต์เช้าเย็นมิได้ขาดทุกวัน ตลอดจนสั่งสอนอบรมจริยวัตรในขณะที่เป็นสงฆ์และไปเป็นฆราวาส ด้านการพัฒนาวัด หลวงพ่อลมูลได้ทำต่อเนื่องมาโดยตลอดตั้งแต่ท่านเข้าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเสด็จด้วยความสามารถนานาประการของหลวงพ่อลมูล จึงจัดว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งของเมืองไทยที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก หลวงพ่อลมูล ขันติพโล วัดเสด็จ อ.เมือง จ.ปทุมธานี ท่านมรณภาพเมื่อพ.ศ.๒๕๔๘ สิริอายุ ๘๙ ปี

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จปรกโพธิ์ฐานผ้าทิพย์ฝังตะกรุด ๕ ดอก ปี๒๕๑๐ เลี่ยม พลาสติค

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)


    IMG_20250518_174501.jpg IMG_20250518_174559.jpg IMG_20250518_174629.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2025 at 23:21
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,175
    ค่าพลัง:
    +21,388
    FB_IMG_1747566747117.jpg

    เถาวัลย์หลง
    ความเชื่อ: คนโบราณเกือบทุกภาคนิยมปลูกไว้หน้าบ้าน เพราะเชื่อว่าเป็นว่านเสน่ห์เมตตามหานิยม ทำให้ค้าขายดี โบราณว่า หากเดินป่าแล้วข้ามเถาต้นเถาวัลย์หลง จะทำให้หลงป่า ต้องใช้คาถาเบิกไพรถึงจะกลับออกมาได้ หากนำเถาแห้งพกติดตัว จะเป็นนะจังงังและนะเมตตาอีกด้วย
    พระเกจิอาจารย์ผู้ เรียน รู้ตำรา นิยมนำมาเป็นมวลสารในการสร้างวัตถุมงคล
    ประวัติท่านพระครูวิมุตยาภรณ์ ( หลวงพ่อเกิด ) วัดโพธิ์แทน จ.นครนายก
    พระครูวิมุตยาภรณ์ ท่านมีนามเดิมว่า เกิด ถือกำเนิดเมื่อปี 2463 ที่บ้านราษฎร์สะเด็ด ตำบลบางปลากด ปัจจุบันมาขึ้นกับตำบลโพธิ์แทน อำเภอองครักษ์ นครนายก เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 4 ปีวอก เป็นลูกชายคนที่ 6 ของครอบครัวผู้ใหญ่ปั้น-นางพันธ์ นามสกุล อินทร์ศิริ ในจำนวนพี่น้อง 11 คน ผู้หญิง 6 คน ผู้ชาย 5 คน เนื่องจากในยุคนั้นการศึกษายังไม่เจริญเช่นปัจจุบัน ในวัยเด็กท่านจึงไม่ได้เรียนหนังสือ แม้จะเป็นถึงลูกชายผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นผู้นำหมู่บ้านหรือผู้ชุมชนในขณะนั้น จนกระทั่งอายุ 17 ปี จึงได้ไปเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนหนังสือ โดยได้เรียนหนังสือเป็นหนังสือขอมเป็นหลัก ซึ่งท่านนั้นได้มุ่งมั่นเรียนอักษรสมัยและการริเริ่มอ่าน กะ ขะ คะงะ ฯลฯ และการเขียนเป็นหนังสือขอมนั้นได้แม่น เป็นที่ชื่นชอบของครูบาอาจารย์ผู้สอนยิ่งนัก
    เนื่องจากว่าท่านนั้นเป็นผู้ใฝ่ใจการเรียนรู้ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งในยุคนั้นหาคนที่เรียนรู้แตกฉานในด้านศิลปะภาษานั้นค่อนข้างยาก? ตลอดจนตำราในด้านวิชาการนั้นก็หายากพอๆกับเดินหาเข็มบนผืนทรายใต้ทะเลทีเดียว แม้บ้านโพธิ์แทนจะอยู่ห่างจากเมืองกรุงแค่มือเอื้อม แต่การไปมาในยุค 70-80 ปีก่อน คมนาคมที่ยังต้องพึ่งเรือและช้างม้าวัวควายเป็นหลักนั้นถือว่าเป็นหมู่บ้านที่ไกลปืนเที่ยงเอาการอยู่เหมือนกัน
    การศึกษาในสายพระเวทย์หรือวิชาอาคมต่างๆ นั้น ท่านบอกว่า ท่านได้เรียนรู้วิชาอาคมต่างๆ จาก พระอาจารย์หม่น ที่วัดโพธิ์แทน นั่นเอง ต่อมาท่านพระอาจารย์หม่นได้ลาสิกขาบทออกไป จึงมอบตำราวิชาอาคมต่างให้ท่านไว้ ท่านได้ศึกษาค้นคว้าเอาจากตำราและลองทำตะกรุดตั้งแต่พรรษาที่ 5-6 เรื่อยมาจนปัจจุบัน
    การสร้างวัตถุมงคลประเภทเครื่องรางของขลังอย่างตะกรุดนั้น หลวงพ่อเกิด ว่าท่านได้สร้างมานานแล้วตั้งแต่พรรษาไม่มากนัก แจกจ่ายใช้กันในแวดวงผู้ใกล้ชิดนานปีเข้าการลงอักขระเลขยันต์ต่างๆ ม้วนเป็นตะกรุดออกไปเป็นจำนวนมากเข้า ผู้คนนำไปใช้เกิดมีประสบการณ์ในทางคงกระพันชาตรีทนมีดอยู่ปืนขึ้นมา เสียงลือเล่าอ้างจากปากสู่หูเล่าต่อๆ กันไปจนเป็นที่ต้องการของญาติโยม แม้สังขารจะเสื่อมถอยลงตามกาลเวลา เนื่องจากขันธ์สังขารเข้าสู่วัยชราญาติโยมมาหาอยู่ไม่ขาดระยะ การพักผ่อนน้อย ดูแล้วเหมือน หลวงพ่อเกิด จะอ่อนเพลียไม่ใช่น้อยในแต่ละวัน โดยเฉพาะการมาขอเช่าตะกรุดโทน ซึ่งมีประสบการณ์สูงในทางแคล้วคลาด คงกระพัน !
    พระครูวิมุตยาภรณ์ (เกิด ปริมุตฺโต) อายุ 94 พรรษา 75 เจ้าอาวาสวัดโพธิ์แทนและที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอองครักษ์ ตำบลบางปลากด อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก หรือนามที่ชาวบ้าน ลูกศิษย์ลูกหา ที่เคารพรักนับถือในตัวท่าน รู้จักกันดีคือ หลวงพ่อเกิด วัดโพธิ์แทน เกจิดังแห่งจังหวัดนครนายก ท่านได้ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคปอดติดเชื้อเมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2557 เวลา 19.00 น. ณ โรงพยาบาลพญาไท 2 กรุงเทพฯมหานคร ด้วยอาการอันสงบ ท่ามกลางความโศกสลด ของศรัทธาประชาชนและลูกศิษย์ลูกหาใกล้ไกล

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสิวลีมหาลาภว่านเถาวัลย์หลงหลังยันต์หัวใจพระสิวลี อธิษฐานจิตปลุกเสกโดยหลวงพ่อเกิดวัดโพธิ์แทน และ อาจารย์พันเสือวัดคลองไทรสระบุรี รูปถ่ายรุ่นที่ระลึกบูรณะศาลาการเปรียญวัดโพธิ์แทนนครนายก

    ให้บูชา 230 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250518_181609.jpg IMG_20250518_181709.jpg IMG_20250518_181634.jpg IMG_20250518_181800.jpg IMG_20250518_181822.jpg
     
  5. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,093
    ค่าพลัง:
    +7,112
    ขอจองครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,175
    ค่าพลัง:
    +21,388
    5o.jpg
    7216172-30153.jpg 7216172-4854a.jpg

    หลวงปู่ทวดประทับทรง พ่อท่านนอง วัดทรายขาว
    กดพิมพ์เป็นปฐมฤกษ์นั้น กำหนดในวันที่ 6 กุมภาพันธ์
    2536 พราหมณ์บวงสรวงสังเวยเทวดาและฤกษ์แล้ว ท่านอาจารย์นองก็ขึ้นแท่น
    เททองหล่อรูปเท่าองค์จริง
    ขณะเททองนั้น ก็เกิด เหตุการณ์ประหลาดคือใบหน้าของท่านพระอาจารย์นองเกิดเครียดและดูเหี่ยวย่นกว่าใบหน้าจริงไปมาก หลังคุ้ม ลงและตัวสั่นเหมือนคนแก่อายุมากๆ แต่ ท่านอาจารย์นองยังคงฝืนสติไว้ได้ไม่สั่นจนเททองไม่ได้ เพราะท่านคงจะเกรงว่าจะ
    เททองไม่ติด พอเททองแล้วเสียงของท่านพระอาจารย์นองก็เปลี่ยนไป แสดงให้
    เห็นถึงการที่ไม่อาจจะต้านทานวิญญาณของหลวงปู่ทวดไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
    "ไปเอาแม่พิมพ์มาเลย"
    หลวงพ่อทวด อ.นอง วัดทรายขาว รุ่นโปรดสัตว์ ปราบทุกข์ภัย ก้าวหน้า เนื้อผงผสมว่าน ปี 2536 พิมพ์ใหญ่ ในปี พ.ศ.2536 ศูนย์อำนวยการบริหาจ.ชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)ซึ่งมีหน้าที่ภารกิจหลักเพื่อพัฒนาชาติโดยเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดภาคใต้ ได้มีการจัดสร้างวัตถุมงคล รุ่นโปรดสัตว์ ปราบทุกข์ภัย ก้าวหน้า ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์นอง แห่งวัดทรายขาว เป็นประธานในพิธีปลุกเสก โดยกำหนดเททองหล่อองค์และกดพิมพ์พระเครื่องเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536 และประกอบพิธีพุทธาภิเษกในวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ตรงกับวันที่ 27 มีนาคม 2536(ตรงกับฤกษ์เสาร์ ๕)
    โดยมีการจัดสร้างวัตถุมงคลดังนี้
    1.พระบูชาปางธุดงค์ เนื้อโลหะสัมฤทธิ์รมดำ มี 2 ขนาด (ใหญ่/เล็ก)
    2.ลูกแก้ว
    3.พระพิมพ์หลวงพ่อทวด พิมพ์พระประธานจำนวน 1 พิมพ์ และขนาดเล็ก 1 พิมพ์ เป็นพระปางธุดงค์ เนื้อผงผสมว่าน
    พระครูธรรมกิจโกศล (พระอาจารย์นอง ธมฺมภูโต) วัดทรายขาว จ.ปัตตานี
    “เกจิดัง” พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว ปัตตานี
    เจ้าตำรับตะกรุดนารายณ์แปลงรูป “กระฉ่อนเมือง”
    พระครูธรรมกิจโกศล หรือ พระอาจารย์นอง ธมฺมภูโต เดิมชื่อ “นอง หน่อทอง“เกิด เมื่อวันเสาร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีมะแม ตรงกับวันที่ 15 ตุลาคม 2462 ที่ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี โยมบิดาชื่อ นายเรือง หน่อทอง โยมมารดาชื่อ นางทองเพ็ง มีพี่น้อง 3 คน คนแรก คือตัวพระอาจารย์นอง คนที่สองนางทองจันทร์ และคนที่สามนายน่วม พระอาจารย์นองเรียนจบ ป.3 ที่โรงเรียนนาประดู่ ขณะมีอายุ 15 ปี ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนาทำสวน และบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อายุ 19 ปี ที่วัดนาประดู่ มีพระพุทธไสยารักษ์ (นุ่ม) วัดหน้าถ้ำ เป็นพระอุปัชฌาย์ แต่บวชได้ 1 เดือน ก็ลาสิกขาออกมาช่วยพ่อแม่ทำนาทำสวนต่อไประยะหนึ่ง จนกระทั่งอายุได้ 21 ปี เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2482 ก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดนาประดู่ โดยมีพระครูวิบูลย์สมณกิจ (ชุ่ม) วัดตุยง เจ้าคณะเมืองหนองจิก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการดำ วัดนางโอ และพระครูภัทรกรโกวิท (แดง)วัดนาประดู่ เป็นพระคู่สวดได้ฉายา “ธมฺมภูโต” อยู่วัดนาประดู่ได้ 12 พรรษา จากนั้นย้ายมาจำพรรษาที่วัดทรายขาว จนได้เป็นเจ้าอาวาส และเป็นเจ้าคณะตำบลโคกโพธิ์ตราบจนมรณภาพ
    สำหรับ พระอาจารย์นองเป็นสหธรรมิกกับพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ เคยร่วมสร้างพระเครื่องหลวงพ่อทวดเนื้อว่านเมื่อปี 2497 จนโด่งดังทั่วสารทิศ และต่อมาพระอาจารย์นองได้สร้างเครื่องรางของขลังที่ดังไปทั่วเมืองไทย คือตะกรุดนารายณ์แปลงรูปและพระเครื่องหลวงพ่อทวดเนื้อว่านฝังตะกรุด นอกจากนั้นแล้วพระอาจารย์นองยังเป็นพระนักพัฒนารูปหนึ่งที่ได้รับการยกย่อง ชมเชยตลอดมา และเป็นพระอยู่ในนิกายมหานิกาย สิริรวมอายุถึงวันมรณภาพได้ 80 ปี 11 เดือน 60 พรรษา
    ความ สัมพันธ์กับอาจารย์ทิม วัดช้างให้ ท่านเป็นสหธรรมิกกับท่านพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ เป็นทั้งกัลยาณมิตรเป็นศิษย์กับอาจารย์ต่อกัน เกื้อกูล เกื้อหนุนกันมาโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนวาระสุดท้ายของท่านอาจารย์ทิม เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2512
    ทั้ง พระอาจารย์ทิม และพระอาจารย์นอง เป็นศิษย์ร่วมสำนักวัดประดู่มาด้วยกันเมื่อพระอาจารย์ทิมมาอยู่วัดช้างให้ และพระอาจารย์นองไปอยู่วัดทรายขาว ก็ยังมีความสัมพันธ์ดีงามมาโดยตลอด กิจการใดของวัดช้างให้ ท่านจะเป็นผู้คอยช่วยเหลืออยู่ข้างกายพระอาจารย์ทิมทุกอย่าง ที่สำคัญ การสร้างพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน ปี พ.ศ.2497 ถ้าจะกล่าวกันแล้ว ปฐมเหตุจริงๆ ก็มาจากท่านที่เป็นผู้ชักชวนพระอาจารย์ทิมให้สร้างพระหลวงพ่อทวด ตามที่ท่านได้เล่าให้ฟังเท่าที่จำได้คร่าวๆ คือ
    ช่วง นั้น ท่านกับพระอาจารย์ทิม ขึ้นมากรุงเทพฯ และไปที่วัดระฆัง เพื่อที่จะไปเช่าบูชาพระสมเด็จของหลวงปู่นาค มาเพื่อให้คนทำบุญจะได้นำเงินไปสร้างโบสถ์วัดช้างให้ พกเงินขึ้นมาประมาณ 3,000 บาท ขณะที่กำลังจะขึ้นไปเช่าพระ ท่านบอกว่า “กูนึกยังไงก็ไม่รู้ สะกิดอาจารย์ทิม บอกว่า ท่านๆ ทำไมเราไม่กลับไปทำพระของเราเองล่ะ” “พระอะไร…?” พระอาจารย์ทิมถาม “ก็พระหลวงพ่อทวดไง” พระอาจารย์ทิมบอก “เออ…!! นั่นน่ะสิ” ทั้งสองท่านจึงได้เช่าบูชาพระสมเด็จหลวงปู่นาคม เพียงเล็กน้อยและพากันกลับปัตตานี
    ปฐม เหตุตรงจุดนี้ คือกำเนิดของสุดยอดพระเครื่องเมืองใต้ หลวงพ่อทวดเนื้อว่าน ปีพ.ศ.2497 อันเป็นอมตะตลอดกาล ส่วนคุณอนันต์ คณานุรักษ์ นั้น เป็นส่วนประกอบที่ช่วยเหลือให้การจัดสร้างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ซึ่งคงเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อทวดที่บันดาลชักนำ คุณอนันต์ คณานุรักษ์ คหบดีชาวปัตตานีให้มาเป็นกำลังสำคัญ
    พระอาจารย์นอง ธัมมภูโต วัดทรายขาว
    การ จัดสร้างพระหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน ปี พ.ศ.2497 ท่านจึงมีส่วนอย่างมากในทุกๆ ขั้นตอนการจัดสร้าง ฉะนั้น…ท่านจะรู้พิธีกรรม และเรื่องว่านดีที่สุด เมื่อท่านมาสร้างพระหลวงพ่อทวด ขึ้นเองจึงมีความขลังแ ละศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนมาโดยตลอด
    เหตุการณ์ที่บ่งให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองพระอาจารย์ที่ผู้เขียนได้ฟังแล้วรู้สึกประทับใจและกินใจมาก ตามที่ท่านเล่าให้ฟังว่า
    ก่อน ที่อาจารย์ทิมจะไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ ท่านมาหาเราที่วัด สั่งเสียไว้หลายเรื่องฝากให้เราช่วยดูแลวัดช้างให้ ท่านหยิบขันน้ำมนต์ขึ้นมา ท่านจับประคองอยู่ด้านหนึ่งให้เราจับอีกด้านหนึ่ง แล้วท่านพูดว่า “ตั้งแต่คบกันมา คุณไม่เคยทำให้ผมเสียใจเลย คนอื่นยังมีตรงบ้าง คดบ้าง “เรา” ขออธิษฐาน บุญใดที่เคยทำร่วมกันมา และยังไม่เคยทำร่วมกันมาก็ดี ทั้งชาตินี้และอดีตชาติ ขออธิษฐาน เกลี่ยบุญให้เท่ากัน เพื่อจะได้เกิดทันกันทุกๆ ชาติไปจนถึงชาติสุดท้าย”
    จาก นั้นพระอาจารย์ทิมก็เข้าไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ และก็มรณภาพที่โรงพยาบาลกลางเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2512 คำอธิษฐานนี้ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่ เป็นอมตวาจาอย่างแท้จริง ได้ความรู้สึกถึงความผูกพันที่ท่านทั้งสองมีต่อกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด ได้ร่วมสร้างตำนานอันมหัศจรรย์ ของหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ แผ่ออกไปทั่วทุกสารทิศ พระอาจาร์ทิม ถ้านับจาก พ.ศ.2497-2512 ก็เพียง 15 ปี แต่พระอาจารย์นองท่านใช้เวลาถึง 45 ปี (2497-2542)
    ปัจจุบัน หลวงพ่อทวดวัดช้างให้ ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงของหลวงพ่อทวดดังไปถึงมาเลเซีย สิงคโปร์ ก็มีผู้คนนับถือไม่น้อยเช่นกัน
    เรื่อง ความสัมพันธ์กับพระอาจารย์ทิมนั้น ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับ “ดีนอก” คือมีปัจจัยอื่นช่วยส่งเสริม แต่เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็คือ “ดีใน” นั่นเอง หมายถึง คุณลักษณะส่วนตัวของพระอาจารย์นอง สองสิ่งต้องคู่กันจึงจะสมบูรณ์ เมื่อดีก็ต้องดีทั้งนอก ดีทั้งใน
    พระ อาจารย์นอง ท่านยึดถือมาตลอดในการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่เลือกว่าจะเป็นศาสนาใดๆ ยากดีมีจน ท่านจะเป็นผู้ให้มาโดยตลอด ทั้งเรื่องสร้างโรงพยาบาลซื้ออุปกรณ์การแพทย์ สร้างโรงเรียน ทุนการศึกษา สร้างถนนหนทาง บริจาคทรัพย์ให้กับสาธารณกุศลอยู่เป็นประจำ ช่วยสร้างอุโบสถวัดต่างๆ แม้กระทั่งบริจาคเงินให้กับชาวอิสลามที่อยู่แถบ วัดทรายขาว ตลอดจนช่วยเหลือสงเคราะห์เรื่องต่างๆ จนได้รับการยอมรับนับถือจากชาวอิสลามเป็นจำนวนมาก
    ใน เรื่องของการบริจาคทรัพย์ซื้ออุปกรณ์การแพทย์นั้น ท่านบอกว่า สามารถช่วยเหลือชีวิตคนได้มากประโยชน์เกิดขึ้นทันที ด้วยการที่ท่านเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้งท่านจึงเห็นคุณประโยชน์ของ อุปกรณ์การแพทย์ บางครั้งเวลาท่านอารมณ์ดีท่านจะเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ท่านเคยพูดว่า
    “ตอน กูไปอยู่โรงพยาบาล กูก็เตรียมเงินสดไปด้วยตลอด แล้วถามหมอว่า ขาดอะไรบ้าง หมอบอกว่า ขาดไอ้นั่น ไอ้นี่ กูควักเงินสดให้ไปซื้อเลย ครั้งหลังๆ นี่ พอกูไปนอนโรงพยาบาล ตื่นขึ้นมามองซ้าย มองขวา มีชื่อ พระครูธรรมกิจโกศล ติดเต็มไปหมด” ท่านพูดเสร็จก็หัวเราะร่วนชอบใจใหญ่
    ท่าน เคยพูดให้ฟังเสมอว่า “คนที่เขาเดือดร้อนมาพึ่งเรา หากไม่เกิดวิสัยแล้ว เราช่วยได้ก็จะช่วย บางคนมาไม่มีเงิน ค่ารถ ค่ากิน เราก็ให้ไปเรื่องบุญ เรื่องทาน ใครทำใครก็ได้ไป บุญยิ่งทำก็ยิ่งได้บุญ ทานยิ่งให้ทานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้กลับมามากยิ่งๆ ขึ้นเป็นการสั่งสมบารมีลดกิเลสลงไป”
    จริง ดั่งท่านว่า “ยิ่งทำก็ยิ่งได้ ยิ่งให้ก็ยิ่งมา” ธรรมะข้อนี้เป็นเรื่องที่เหมาะสำหรับสังคมยุคปัจจุบันอย่างยิ่ง เพราะสังคมเราทุกวันนี้ มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที ถ้าคนเรารู้จักคำว่าให้ รู้จักคำว่าพอ รู้จักเสียสละ เชื่อว่าสังคมจะดีขึ้นกว่านี้แน่นอน เรื่องทานบารมีเป็นธรรมะที่พระอาจารย์นอง ยึดปฏิบัติบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอดชีวิตของท่าน ถือว่าเป็นคุณความดีในตัวท่านเอง แต่สามารถสร้างคุณานุประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างมหาศาลท่านจึงเป็นที่รักเคารพ ของมหาชน
    พระ อาจารย์นองท่านดำรงชีวิตอยู่ในสมณเพศด้วยความเรียบง่าย กิน (ฉัน) ง่ายอยู่ง่ายไม่พิถีพิถัน วางเฉยในเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่มีความทะยานอยาก ท่านพัฒนาวัดทรายขาว จนมีความเจริญรุดหน้าอย่างเห็นได้ชัดเจน ชั่วระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี ท่านสร้างวัดทรายขาว ให้งามสง่ากว่าวัดใดๆ ใน จ.ปัตตานี หรือแม้กระทั่งจังหวัดใกล้เคียง เงินที่นำไปสร้างทั้งหมดกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท ล้วนแล้วแต่เป็นเงินที่มาจากการสร้างพระหลวงพ่อทวดทั้งสิ้น ท่านมิได้แตะต้องเงินทำบุญที่มีผู้บริจาคให้วัดแต่อย่างใด ปรากฏว่าหลังจากท่านมรณภาพ คณะกรรมการได้เคลียร์บัญชีทรัพย์สินในบัญชีต่างๆ เหลือเงินสดถึงกว่าสามสิบล้านบาท ทุกบัญชีท่านแยกแยะไว้ชัดเจนว่าเป็นเงินอะไรบ้าง มีที่มาที่ไปอย่างไร หนี้สินใครบ้าง ท่านมีบัญชีทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความเป็นนักบริหารงานที่มีการจัดการที่ดีเยี่ยม

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่ทวดโปรดสัตว์ปราบทุกข์ภัยก้าวหน้า พิมพ์ใหญ่

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งอีก 30 บาทครับ


    FB_IMG_1747594806198.jpg

    IMG_20250519_013408.jpg IMG_20250519_013453.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,175
    ค่าพลัง:
    +21,388
    พระสมเด็จ ปรกโพธิ์พระครูลมูล (ส.พัฒนกิจ) วัดเสด็จ ปทุมธานี ไม่ฝังตะกรุด ปี๒๕๑๓
    รูปหล่ออุดผง ปี ๓๔ หลวงพ่อลมูล
    หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ผู้สำเร็จวิชาลบผงวิเศษ ๑๒ นักษัตร
    ท่านเป็นพระเกจิเชื้อสายรามัญแห่งจังหวัดปทุมธานี สุดยอดพระเกจิผู้มีพุทธคมเข้มขลัง เป็นผู้ที่มีจิตสมาธินิ่งมาก สามารถเขียนผงทะลุกระดานชนวนได้เพียงอึดใจ
    ในการสร้างพระสมเด็จฯ นอกจากวิชาลบผงวิเศษทั้ง ๕ ประการแล้ว ท่านยังใช้วิชาลบผง ๑๒ นักษัตร อันเป็นวิชาของชาวมอญที่ตกทอดกันมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีพระเกจิอาจารย์รูปใดในยุคก่อนๆ ที่วงการรู้จักมีการทำผงชนิดนี้ นี่จึงเป็นของวิเศษอันสุดยอดของหลวงปู่เทียนที่พระเกจิอาจารย์รูปอื่นๆ ไม่มี
    ผง ๑๒ นักษัตร เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับโหราศาสตร์ที่อธิบายได้ว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ต้องเกิดมาในปีนักษัตรใดนักษัตรหนึ่ง และในปีหนึ่งๆ นั้นประกอบไปด้วย ๑๒ ราศี ที่มีความเกี่ยวพันกับดวงดาว อันเป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิตของคนคนนั้น ที่เรียกว่า “ดวงชะตา”
    หลวงปู่เทียน ท่านศึกษาค้นคว้าวิชานี้จากตำราโบราณที่อาจารย์มอบให้จนสำเร็จด้วยตัวเอง วัตถุมงคลของท่านทุกองค์จะมีผง ๑๒ นักษัตรผสมอยู่ด้วย จึงมีอานุภาพในการหนุนส่งดวงชะตาในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์และปกป้องไม่ให้ตกต่ำในยามที่ดวงไม่ดี
    ผงนี้กระบวนการทำนั่นยากมาก เป็นผงที่ลบจากยันต์ ๑๒ นักษัตร จึงเข้าได้กับผู้อาราธนาทุกปีเกิด มีศิษย์ที่ไปขอเรียนวิชานี้กับหลวงปู่จำนวนมาก แต่สามารถเรียนได้สำเร็จแค่ ๒ รูป คือ
    หลวงปู่เริ่ม วัดจุกกะเฌอ
    หลวงพ่อละมูล วัดเสด็จ
    คำว่า เนื้อ 12 นักษัตร นั้นหลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกะเฌอ ท่านเล่าว่า ผง 12 นักษัตรเป็นผงที่สร้างยากต้องมีความมานะพยายามอย่างสูงกว่าจะรวบรวมวัตถุมงคลให้ครบตามตำราก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว เช่น
    - กระดูกม้าขาว
    - กระดูกไก่ดำ ซึ่งกระดูกออกเป็นสีชมพู
    - กระดูกนิ้วก้อยซ้ายขวาของผีตายวันเสาร์เผาวันอังคาร มาบดผสม
    เมื่อได้กระดูกสัตว์ทั้ง 12 ชนิด และวัสดุมลคลอื่นครบถ้วนตามตำราแล้ว ต้องบดผงเข้าด้วยกันแล้วปั้นเป็นแท่งดินสอเตรียมไว้ เมื่อเข้าพรรษาก็ให้เริ่มลงอักขระเลขยันต์ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายของพรรษา ทำจนครบ 3 พรรษา
    พระครูสาทรพัฒนกิจ (หลวงพ่อลมูล) วัดเสด็จ อำเภอเมือง จ.ปทุมธานี ศิษย์เอกของหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ พระเกจิดังแห่งเมืองปทุมธานี ท่านเป็นหนึ่งในพระเกจิอาจารย์ที่นั่งปรกในพิธี "จักรพรรดิมหาพุทธาภิเษก" ณ พระวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก ปี2515 หลวงพ่อลมูล ท่านเป็นยอดพระเกจิที่เก่งมากๆ พลังจิตของท่านดีมาก จนชาวบ้านยกย่องเป็นเทพเจ้าแห่งสวนพริกไทย หลวงพ่อละมูล ท่านเองก็ชอบสร้างพระสมเด็จเช่นกันครับ เหมือนอาจารย์ท่าน คือหลวงปู่เทียน โดยหลวงปู่เทียน นอกจากท่านจะสำเร็จวิชาการทำผงวิเศษ ๕ ประการ คือ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห และ ผงพุทธคุณ แล้ว ท่านยังเป็นพระที่สำเร็จวิชา “ผง ๑๒ นักษัตร์” ซึ่งเป็นผงที่เขียนลบมาจากยันต์ ๑๒ นักษัตร์ ทั้ง ๑๒ ปี ดังนั้น พระเนื้อผงของท่านจึงดีเด่นสูงค่าไปด้วยพระพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม อุดมโชคลาภ มีกินมีใช้ทุกปี ไม่ขัดสน เข้าได้กับทุกผู้คน ทุกปีเกิด สามารถป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลาที่มีพระเครื่องของท่านพกพาอาราธนาติดตัวอยู่ เวลาดวงชะตาตกต่ำ ก็จะค้ำจุนไม่ตกอับจนเกินไป เวลาดวงชะตารุ่งโรจน์ ก็จะเสริมดวงชะตาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น หลวงปู่เทียนท่านได้ถ่ายทอดวิชาผง ๑๒ นักษัตร์นี้ให้แก่ศิษย์ คือ หลวงพ่อลมูล โดยหลวงพ่อลมูลท่านจะทำพิมพ์ให้ต่างจากหลวงปู่เทียน และท่านก็ลบผงพุทธคุณเองด้วยเช่นกัน พระท่านน่าแขวน รุ่นเก่าๆหาก็ไม่ค่อยง่ายเช่นกัน ทางพื้นที่นิยมกันมากครับ จำไว้ว่าตะกรุดที่ฝังจะไม่เรียบร้อยเช่นกัน ม้วนไม่ค่อยกลมนะครับ วัตถุมงคลของท่านนั้นสามารถใช้ป้องกันภัยอันตราย จากสัตว์มีพิษต่างๆ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย ที่มีมากมายในสวนสมัยก่อนได้อย่างน่ามห้ศจรรย์ อีกทั้งยังมีพุทธคุณครบเครื่อง ไม่เป็นรองอาจารย์ของท่าน ทั้งคงกระพัน มหาอุด มหานิยม เมตตา โชคลาภ ลูกศิษย์ทั้งหลายล้วนทราบกันดี
    หลวงพ่อลมูล ขันติพโล วัดเสด็จ อ.เมือง จ.ปทุมธานี
    หลวงพ่อลมูล ขันติพโล หรือท่านพระครูสาทรพัฒนกิจ เจ้าอาวาสวัดเสด็จ ตำบลสวนพริกไทย อ.เมือง จ.ปทุมธานี ท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่มหาชนในยุคก่อนและยุคนี้ต่างก็ให้ความเคารพนับถือมากมาย หลวงพ่อลมูลท่านเป็นชาวมอญโดยกำเนิด เดิมชื่อลมูล จับจิตต์ เกิดวันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2458 แรม 5 ค่ำ ปีเถาะ บิดาชื่อ นายติ่ง มารดาชื่อ นางแม้น จับจิต ท่านเกิดที่หมู่ 4 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มีพี่น้องด้วยกัน 6 คน ท่านเป็นคนที่ 2 ของครอบครัว เมื่อท่านอายุได้ 3 ขวบ ท่านได้ย้ายตามบิดามารดามาอยู่ในคลองบางใหญ่หมู่ที่ 1 ตำบลสวนพริกไทย อ.เมือง จ.ปทุมธานี เพราะโยมปู่เหลือ และโยมย่าแหวว จับจิตต์ ได้มอบมรดกที่ดินให้กับครอบครัวของท่านไว้ทำกิน ท่านจึงต้องย้ายมาอยู่ด้วย พอท่านอายุได้ 12 ปี โยมพ่อได้นำท่านไปฝากให้เรียนหนังสือกับ"พระอาจารย์ไม้" ที่วัดเสด็จ ท่านอยู่ได้ 1 ปี ทำให้ท่านได้ฝึกฝนนิสัยไปในทางอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักที่สูงที่ต่ำ ทั้งสิ่งที่ควรและไม่ควร ต่อมา "ครูชั้น ดำกลิ่น" ได้มาขอตัวท่านจากพระอาจารย์ไม้ไปเป็นศิษย์ โดยให้ไปเรียนหนังสือเพิ่มเติมที่วัดพระเชตุพน คณะ 20 ท่านศึกษาจนอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี โดยสมัยนั้นสมเด็จป๋าสมเด็จพระสังฆราช(ปุ่น ปุ่ณณสิริ) ยังคงเป็นครูสอนภาษาบาลีอยู่ ณ สำนักแห่งนี้ แต่ในการเรียนต่อของท่านในขณะนั้นได้ชะงักลง เพราะเหตุที่โยมพ่อต้องการให้กลับมาช่วยดูแลทำนาเพื่อช่วยครอบครัว ท่านจึงต้องกลับมาทั้งๆที่เสียดายมาก หลังจากที่ท่านกลับมาอยู่บ้าน ท่านก็ได้ช่วยโยมพ่อทำนาพร้อมกับได้เริ่มเรียนหนังสือต่ออีก เพราะอายุท่านนั้นไม่พ้นเกณฑ์ยังอยู่ในภาคบังคับ ต้องเรียนหนังสือต่อ หลวงพ่อลมูลจึงเรียนที่วัดเสด็จซึ่งได้มีการเปิดโรงเรียนประชาบาลภาคบังคับขึ้น ท่านจึงได้เริ่มเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาอีก ท่านเป็นนักเรียนคนที่ 38 ของโรงเรียนนี้ ท่านเรียนจนจบชั้นประถมปีที่ 3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น หลังจากที่ไม่ได้เรียนแล้ว ท่านก็ได้ช่วยเหลือบิดา มารดาทำนา ตามความประสงค์จนอายุได้ 18 ปี บิดามารดาของท่านได้ขอให้ท่านแต่งงานเปรียบเสมือนโซ่ตรวนผูกมัดไม่ให้บวช อีกประการหนึ่งท่านต้องการศึกษาหาความรู้ใส่ตนให้มากขึ้นกว่านี้ ประกอบกับจิตใจของท่านฝังลึกว่า การบวชนั้นเปรียบเสมือนทางไปสวรรค์ที่จะสามารถบันดาลให้พ้นทุกข์ได้
    ความตั้งใจของหลวงพ่อลมูล ขันติพโล วัดเสด็จ จ.ปทุมธานี สัมฤทธิ์ผล คือโยมบิดา มารดา ไม่อาจขัดได้จึงได้นำท่านไปฝากเป็นนาคกับ พระอธิการเผือก สุกโก ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส วัดเสด็จ ในขณะนั้นหลวงพ่อลมูล ขันติพโล ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2497 ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 7 เวลา 14 นาฬิกา 50 นาที ที่พระอุโบสถวัดเสด็จ โดยมีหลวงปู่เทียนหรือท่านพระครูบาวรธรรมกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการเผือก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ไม้ รุกขโก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ขันติพโลภิกขุ"
    หลังจากที่ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านได้ตั้งใจแน่วแน่ว่า ท่านจะเล่าเรียนพระธรรมวินัยตามระเบียบของวัด คือการเรียนพระปริยัติธรรมและจะตั้งใจปฏิบัติกิจในพระบวรพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดตลอดชั่วชีวิต ในเพศพรหมจรรย์ของท่านจะขอถวายตัวเป็นพุทธบุตรผู้สืบต่อพระพุทธศาสนาไปจนชีวิตจะหาไม่ พรรษาแรกท่านก็ได้เรียนนักธรรมชั้นตรี พรรษาที่ 2 ท่านก็สอบนักธรรมชั้นตรีได้ ในพรรษาที่ 3 ท่านก็สอบนักธรรมชั้นโท แต่สอบตก ท่านจึงอธิษฐานจิตจะไม่ขอเรียนนักธรรมชั้นโท และนักธรรมชั้นเอกอีกต่อไป ท่านจะเปลี่ยนแนวทางมุ่งไปในทางปฏิบัติ เมื่อหลวงพ่อตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ท่านก็ออกเดินธุดงค์ มุ่งหาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร แต่ก่อนเดินธุดงค์นั้นท่านได้ขอไปฝึกกรรมฐานเพิ่มเติมจาก หลวงปู่เทียน พระอาจารย์ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน ซึ่งท่านก็ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้เต็มที่ หลังจากได้รับการฝึกฝนในด้านสมาธิอย่างเพียงพอ หลวงปู่เทียน ท่านได้มอบหมายให้หลวงปู่พร้อม เป็นหัวหน้านำในการธุดงค์ในครั้งนั้น ในด้านส่วนลึกของหลวงพ่อลมูล ท่านต้องการออกธุดงค์ไปองค์เดียวแต่ติดขัดในข้อบัญญัติทางพระธรรมวินัยว่าพระที่จะออกธุดงค์ถ้ามีพรรษาไม่ถึง 5 พรรษา ต้องมีพระพี่เลี้ยงนำไป แต่ถ้าเกิน 5 พรรษาไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมี จุดแรกที่ที่ท่านออกธุดงค์ ก็คือที่วัดพระพุทธบาทสระบุรี เพราะสถานที่นี้เป็นที่อันศักดิ์สิทธิ์ มีความสงบ ร่มรื่นเหมาะในการบำเพ็ญเจริญภาวนา ต่อจากนั้นท่านก็มุ่งสู่ภาคเหนือ แม่สอด ตาก กำแพงเพชร เพราะท่านเห็นว่ามีภูเขามากเป็นแดนที่สงบ ในการเดินทางไปภาคเหนือครั้งนั้นท่านพบกับอุปสรรคอย่างมากมาย จากสัตว์ป่าบ้าง ตลอดจนอาหารที่ฉันท์เพราะไม่ค่อยมีหมู่บ้าน ท่านต้องฉันท์ผลไม้ป่าแทนแทบทุกวัน ฉันท์วันละเพียงมื้อเดียว ส่วนในด้านฝึกหัดปฏิบัติธรรมและจำวัดในตอนกลางคืน หลวงพ่อท่านก็ต้องหาสถานที่ปลอดภัย หลวงพ่อลมูลตั้งอยู่ในความไม่ประมาท หลังจากการเดินทางเข้าสู่พรรษาที่ 5 พระพี่เลี้ยงต่างก็แยกย้ายกันเดินทางกลับ หลวงพ่อลมูล จึงออกเดินธุดงค์เพียงองค์เดียว เดินทางไปถึงประเทศพม่า ท่านได้ไปพบกับถ้ำประหลาดซึ่งอยู่ในภูเขาลูกเล็กๆ แต่มหัศจรรย์มากเพราะภายในถ้ำมีแต่ขี้ค้างคาว แต่ไม่มีกลิ่นเหม็นเลยสักนิดเดียว และมีค้างคาวเต็มไปหมด แต่ค้าวคาวก็ไม่เคยบินมาถูกท่านเลย การเดินทางเอาตัวรอดในป่าดงดิบก็ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังต่อเนื่องและเคร่งครัดอำนาจบารมีของพุทธคุณ ธรรมคุณและสังฆคุณ เป็นอำนาจสูงสุด ผู้ปฏิบัติเคร่งครัดย่อมได้ผล แม้แต่ไปเจอสิงห์สาราสัตว์ที่ดุร้าย เจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา ด้วยอานุภาพบารมีดังกล่าวช่วยคุ้มภัยได้เป็นอย่างดี
    หลังจากที่หลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ ท่านได้ธุดงค์ได้ระยะหนึ่ง หลวงพ่อท่านก็ได้เดินทางกลับมายังวัดเสด็จ เพื่อมาช่วยเหลือกิจการของสงฆ์ในวัด ซึ่งในขณะนั้น หลวงปู่เผือกผู้ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสมีปัญหาเกี่ยวกับการปกครอง เนื่องจากมีพระภิกษุในวัดเดียวกันจะคิดกำจัด และปลดท่านจากการเป็นเจ้าอาวาส ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า บัญชีของวัดทำไม่ถูกต้อง และหย่อนสมรรถภาพในการปกครอง แต่ในข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเป็นเพราะหลวงปู่เผือกเป็นพระที่มีความละเอียดรอบครอบ กระทำสิ่งใดๆไม่หวังผลประโยชน์มากเกินไป จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้างเสียผลประโยชน์ พากันกลั่นแกล้งท่าน หลวงปู่เทียนซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าคณะตำบลบ้านกลางจึงได้เรียกตัวหลวงพ่อลมูลไปปรึกษาและมอบหมายให้ช่วยเหลือหลวงปู่เผือก ในด้านภารกิจต่างๆท่านได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ตั้งแต่นั้นมาท่านจึงไม่มีโอกาสออกเดินธุดงค์อีกต่อไป เพราะหน้าที่บังคับและหลังจากนั้นท่านก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ.2491 คือหลังจากที่พระอธิการเผือกได้มรณะภาพลงเมื่อปี พ.ศ.2490
    ในด้านผลงานของหลวงพ่อลมูล ท่านได้พัฒนาไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ถนนหนทาง จนถึงบ้านพักและสถานีตำรวจสวนพริกไทย อนามัย และโรงเรียน ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเลื่อมใส ต่างก็ได้ส่งบุตรหลานของตนเข้ามาบวชอยู่กับท่านอย่างมากมาย ทุกคนได้หันหน้าเข้าวัดด้วยการฝึกปฏิบัติธรรมกับท่านมิได้ขาดเพราะชาวบ้านถือกันว่าท่านเป็นพระที่มีเมตตาธรรมสูง จากผลงานในด้านปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรม ทำให้ทางคณะสงฆ์มีความเห็นขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระครูใบฏีกาลมูล เมื่อปี พ.ศ.2495 โดยฐานะนุกรมของท่านเจ้าคุณธรรมกิตติในปีพ.ศ.2500 ท่านได้รับตำแหน่งเป็นพระอุปัชฌาย์อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
    ผลงานในด้านปริยัติธรรมหลวงพ่อลมูล ท่านก็ได้ตั้งสำนักเรียนนักธรรมตั้งแต่ชั้นตรี -โท- เอก ขึ้นรวมทั้งสอนแผนกบาลีด้วย ทางด้านปฏิบัตินั้นท่านได้ฝึกอบรมกรรมฐานเป็นประจำ จนมีญาติโยมเข้ามาฝึกกรรมฐานกันมากขึ้นทุกวันเพราะเชื่อกันว่า การฝึกกรรมฐานกับท่านแล้วทำให้เกิดศรัทธาแรงกล้า ส่วนในระยะที่อยู่ในพรรษาแต่ละพรรษาท่านต้องเป็นผู้นำพระใหม่ และเก่าฝึกกรรมฐาน รวมทั้งเป็นผู้นำสวดมนต์เช้าเย็นมิได้ขาดทุกวัน ตลอดจนสั่งสอนอบรมจริยวัตรในขณะที่เป็นสงฆ์และไปเป็นฆราวาส ด้านการพัฒนาวัด หลวงพ่อลมูลได้ทำต่อเนื่องมาโดยตลอดตั้งแต่ท่านเข้าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเสด็จด้วยความสามารถนานาประการของหลวงพ่อลมูล จึงจัดว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งของเมืองไทยที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก หลวงพ่อลมูล ขันติพโล วัดเสด็จ อ.เมือง จ.ปทุมธานี ท่านมรณภาพเมื่อพ.ศ.๒๕๔๘ สิริอายุ ๘๙ ปี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ๒ องค์
    พระสมเด็จปรกโพธิ์ พระครูลมูล (ส.พัฒนกิจ) วัดเสด็จ ปทุมธานี ไม่มีฝังตะกรุด ปี๒๕๑๓
    รูปหล่ออุดผงหลวงพ่อลมูล ปี ๒๕๓๔

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20250519_013822.jpg IMG_20250519_013902.jpg IMG_20250519_013931.jpg IMG_20250519_014009.jpg IMG_20250519_014053.jpg IMG_20250519_014152.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...