หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ / ผันทชาดก - การผูกเวรของหมีและไม้ตะคร้อ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,268
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    โสณฑัณฑพราหมณ์ l ผู้สร้างธรรมเนียมเคารพใหม่ #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก #คนตื่นธรรม

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 7, 2025

    *โสณทัณฑพราหมณ์* ผู้สร้างธรรมเนียมความเคารพใหม่ ท่านครอบครองนครเล็กๆ ชื่อ *จำปา* ซึ่งเป็นนครที่พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานให้เป็นบำเหน็จ ท่านสามารถจัดเก็บภาษีจากผู้คนในนครได้ ทำให้ท่านมีฐานะมั่นคง เนื่องจากนครจำปาอุดมไปด้วยผู้คน หมู่สัตว์ หญ้า ไม้ น้ำ และธัญญาหาร โสณทัณฑพราหมณ์ได้รับการพรรณนาว่ามีคุณสมบัติหลายประการ เช่น:
    • เป็นอุโตสุชาติ ถือกำเนิดดีในวรรณะพราหมณ์ บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา
    • มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก
    • จบไตรเพท
    • มีรูปงดงาม น่าเลื่อมใส
    • ยังสอนมนต์แก่มนพถึง 300 คน
    เมื่อท่านได้ข่าวว่าพระสมณโคดม (พระพุทธเจ้า) กำลังเสด็จมายังนครจำปาและประทับอยู่ใกล้สระโบกขรณีคักคาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ประมาณ 500 รูป และเห็นชาวนครจำปาพากันเดินทางออกไปเข้าเฝ้าพระองค์ ท่านจึงสั่งให้คนสนิทไปบอกให้ผู้คนเหล่านั้นรอ เพราะท่านเองก็จะไปด้วย อย่างไรก็ตาม พวกพราหมณ์ที่มากับท่านประมาณ 500 คน ได้พากันเข้ามาห้ามท่านไม่ให้ไปเข้าเฝ้า โดยกล่าวว่าพระสมณโคดมควรจะมาหาท่านมากกว่า เนื่องจากท่านมีคุณสมบัติที่ดีพร้อมตามที่ได้กล่าวมา แต่โสณทัณฑพราหมณ์ฟังแล้วไม่ชอบใจ ท่านคิดที่จะหักล้างความคิดของพวกเขาและยืนยันว่าตนเองต่างหากที่จะต้องไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม ท่านได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก เช่น ทรงเป็นอุปโทสุชาติ (มีความบริสุทธิ์ดีทั้งสองฝ่าย), ทรงสละหมู่พระญาติ สละเงินทอง และราชสมบัติทั้งหมด, มีพระรูปงาม มีผิวพรรณดังพรหม มีศีล และทรงสิ้นราคะแล้ว แม้แต่พระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ยังทรงถึงพระองค์เป็นสรณะ ระหว่างทางที่จะไปเข้าเฝ้า โสณทัณฑพราหมณ์เกิดความวิตกกังวลว่า หากท่านถามปัญหาแล้วพระองค์ตรัสว่าไม่ดี ไม่ควรถาม หรือหากพระองค์ถามแล้วท่านตอบไม่ได้ ผู้คนก็จะหาว่าท่านโง่ ซึ่งจะทำให้ยศและทรัพย์ของท่านเสื่อม พระพุทธเจ้าทรงทราบความกังวลเหล่านี้ของพราหมณ์ เมื่อเข้าเฝ้าแล้ว พระองค์ทรงเลือกถามปัญหาที่โสณทัณฑพราหมณ์เชี่ยวชาญ คือ ปัญหาในไตรเพท โดยตรัสถามว่า ผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติกี่อย่างจึงจะบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ หรือควรเรียกตนเองว่าเป็นพราหมณ์ได้ โสณทัณฑพราหมณ์ตอบว่าต้องมี 5 อย่าง ได้แก่
    1) มีชาติที่ดี
    2) จำมนต์ในพระเวทได้
    3) มีผิวพรรณดี
    4) เป็นผู้มีศีล
    5) เป็นผู้มีปัญญา
    พระพุทธเจ้าทรงถามต่อว่า หากจะตัดเหลือ 4 ข้อ จะตัดข้อใด ท่านตอบว่าตัดข้อผิวพรรณดีออกได้ หากเหลือ 3 ข้อ จะตัดข้อใด ท่านตอบว่าตัดข้อจำมนต์ออกได้ หากเหลือ 2 ข้อ จะตัดข้อใด ท่านตอบว่าตัดข้อกำเนิด (ชาติ) ออกได้ เมื่อมาถึงตรงนี้ พวกพราหมณ์ที่มาด้วยได้คัดค้านท่านว่าอย่าพูดเช่นนั้น ท่านจะเสียทีพระสมณโคดมได้ โสณทัณฑพราหมณ์จึงตอบโต้โดยยกตัวอย่างหลานชายของท่านชื่อ *อังคกานพ* ที่มานั่งอยู่ด้วย อังคกานพมีผิวพรรณดี จำมนต์ได้ และเกิดในตระกูลบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย แต่ก็ยังฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ และดื่มน้ำเมา ดังนั้น มนต์และชาติกำเนิดจึงไม่สำคัญเท่า ท่านยืนยันว่า *เมื่อใดที่พราหมณ์เป็นผู้มีศีลและปัญญา 2 คุณสมบัตินี้ จึงควรบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์* และควรเรียกตนเองว่าเป็นพราหมณ์ได้ พระพุทธเจ้าตรัสถามอีกว่า หากตัดเหลือเพียงข้อเดียวจะได้ไหม ท่านตอบว่าตัดอีกไม่ได้แล้ว เพราะศีลชำระปัญญา ปัญญาชำระศีล ในที่ใดมีศีล ในที่นั้นมีปัญญา ในที่ใดมีปัญญา ในที่นั้นมีศีล ศีลกับปัญญาเปรียบเหมือนใช้มือล้างมือ ใช้เท้าล้างเท้า คือชำระซึ่งกันและกัน *ศีลกับปัญญาจึงกล่าวได้ว่าเป็นยอดในโลก* พระพุทธเจ้าทรงรับรองธรรมของพราหมณ์ว่าถูกต้อง จากนั้นได้ตรัสอธิบายกระบวนธรรมที่ทำให้ตรัสรู้ คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ฌาน 4 และวิชา 8 หลังจบพระธรรมเทศนา โสณทัณฑพราหมณ์ได้กราบทูลสรรเสริญและแสดงตนเป็น *อุบาสก ถึงสรณะตลอดชีวิต* พร้อมทั้งอาราธนาพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น ในรุ่งเช้า หลังถวายภัตตาหารแล้ว โสณทัณฑพราหมณ์เกิดความกลัวว่า ชื่อเสียงและทรัพย์ของตนจะเสื่อม หากผู้คนรู้ว่าตนนับถือพระพุทธเจ้าซึ่งยังหนุ่มกว่า ท่านจึงกราบทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจว่า ตนเองนับถือพระองค์มานานแต่ไม่สามารถแสดงออกได้ ขอให้พระองค์เข้าใจว่าการกระทำบางอย่างของท่านนั้นเท่ากับการแสดงความเคารพ เช่น:
    • หากอยู่ในท่ามกลางผู้คนแล้วประคองอัญชลีขึ้น ก็เท่ากับลุกขึ้นจากอาสนะถวายบังคมแล้ว
    • หากถอดเครื่องโพกศีรษะออก ก็เท่ากับอภิวาทด้วยศีรษะแล้ว
    • หากกำลังนั่งอยู่ในยานแล้วยกประตักขึ้น (หรือถอนบังเหียน) แสดงว่าลงจากยานทำความเคารพแล้ว
    • หากรถล้มลง แสดงว่าอภิวาทด้วยศีรษะแล้ว (อันนี้น่าจะเป็นการเปรียบเทียบที่แสดงถึงความเคารพอย่างสุดซึ้ง แม้เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ตีความว่าเป็นการก้มเคารพ)
    พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาทานด้วยธรรมแล้วเสด็จกลับ แหล่งข้อมูลระบุว่า ด้วยความประพฤติเช่นนี้ของพราหมณ์ แม้จะได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรม *ก็ไม่อาจได้สัมผัสคุณประโยชน์ที่ควรจะได้รับเต็มที่เลย* แต่ก็จะเป็นวาสนาในกาลต่อไป ท้ายที่สุดแหล่งข้อมูลได้กล่าวถึงคาถาว่า "คบหากับคนประเสริฐ ก็จะพลอยประเสริฐไปด้วย" (ไซยยโส ไสยยโส โหติโย ไสยมุปเสวติ)
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,268
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,268
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    มหาธรรมปาลชาดก l "เหตุที่ไม่ตายในวัยหนุ่ม" #ศีลห้าคุ้มครอง #พระพุทธเจ้าสอน #เรื่องเล่าขนลุก #กรรมดี

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 27, 2025

    *มหาธรรมปาลชาดก* ซึ่งเป็นเรื่องราวที่พระศาสดาทรงตรัสเล่าแก่พระพุทธบิดา เพื่อแสดงให้เห็นถึง *อานิสงส์ของการประพฤติธรรม* ในสมัยที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น ธรรมปาลกุมาร บิดาของท่านแสดงความไม่เชื่อต่อข่าวการตายของบุตรชาย โดยอ้างว่า *ธรรมเนียมของตระกูลไม่มีผู้ใดตายในวัยหนุ่ม* อาจารย์ของธรรมปาลกุมารจึงเดินทางไปพิสูจน์และได้เรียนรู้ว่า *การรักษาศีล 5, การให้ทาน, การประพฤติพรหมจรรย์นอกกาย และการละเว้นความชั่ว* เป็นเหตุผลที่ทำให้คนหนุ่มสาวในตระกูลนั้นไม่ตาย พระศาสดาทรงสรุปว่าการประพฤติธรรมนั้นย่อมคุ้มครองรักษาผู้ปฏิบัติ และในที่สุด พระพุทธบิดาก็ได้บรรลุธรรมหลังฟังเรื่องราวนี้ ในชาดกนี้ *แนวคิดที่ว่าคนในตระกูลธรรมบาลจะไม่ตายในวัยหนุ่ม แต่จะตายเมื่อแก่แล้วเท่านั้น* ถือเป็นประเพณีของตระกูลนี้ อาจารย์ทิสาปาโมกข์ถึงกับนำกระดูกแพะมาแสดงว่าเป็นกระดูกของธรรมปาลกุมาร เพื่อลองใจบิดาของธรรมปาลกุมาร แต่บิดากลับหัวเราะและยืนยันว่าบุตรของตนยังไม่ตาย เพราะในตระกูลของพวกตนตลอด 7 ชั่วโคตร ไม่เคยมีใครตายตั้งแต่ยังหนุ่มเลย เหตุผลที่คนหนุ่มสาวในตระกูลธรรมบาลไม่ตายนั้น มาจาก
    *การประพฤติธรรมและคุณธรรมที่สืบทอดกันมา* ดังนี้:
    • *การประพฤติธรรมและงดเว้นความชั่ว* พวกเขาประพฤติธรรม ไม่กล่าวคำเท็จ งดเว้นกรรมชั่ว และงดเว้นกรรมอันไม่ประเสริฐทั้งหมด
    • *เลือกคบสัตบุรุษ* พวกเขาฟังธรรมของทั้งอสัตบุรุษ (คนไม่ดี) และสัตบุรุษ (คนดี) แต่ไม่ชอบใจธรรมของอสัตบุรุษเลย จึงละทิ้งอสัตบุรุษและไม่ละทิ้งสัตบุรุษ
    • *ความตั้งใจในการให้ทาน* ก่อนที่จะให้ทาน พวกเขาเป็นผู้มีใจตั้งใจดี แม้กำลังให้ก็มีใจผ่องแผ้ว และเมื่อให้แล้วก็ไม่เดือดร้อนในภายหลัง
    • *การสงเคราะห์ผู้อื่น* พวกเขาเลี้ยงดูสมณพราหมณ์ คนเดินทาง ผู้นิพพก ยาจก (ผู้ขอ) และคนยากไร้ทั้งหลายให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำ
    • *การไม่นอกใจคู่ครองและการประพฤติพรหมจรรย์* พวกเขาไม่นอกใจภรรยา และภรรยาก็ไม่นอกใจพวกเขา พวกเขาประพฤติพรหมจรรย์นอกภรรยาของตน (หมายถึงการประพฤติพรหมจรรย์ในความสัมพันธ์กับคู่ครองของตนเอง ไม่ประพฤติผิดในกาม)
    • *การรักษาสีล 5* พวกเขางดเว้นจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากสิ่งของที่เขาไม่ให้ (ไม่ลักขโมย) ไม่ดื่มของมึนเมา และไม่กล่าวคำเท็จ (กล่าวคำจริง)
    • *บุตรธิดาผู้มีปัญญาและคุณธรรม* บุตรที่เกิดจากภรรยาผู้มีศีลดีเหล่านั้น เป็นคนฉลาด มีปัญญา เป็นพหูสูตร (มีความรู้มาก) และเรียนจบไตรเพท (ความรู้ 3 อย่าง)
    • *ทุกคนในครอบครัวประพฤติธรรม* ทั้งมารดา บิดา พี่น้อง บุตร ภรรยา และทุกคนในตระกูลล้วนประพฤติธรรม มุ่งประโยชน์ในโลกหน้า
    • *คนรับใช้ก็ประพฤติธรรม* แม้กระทั่งทาสี คนที่อาศัยเลี้ยงชีวิต คนรับใช้ และคนงานทั้งหมด ล้วนแต่ประพฤติธรรม มุ่งประโยชน์ในโลกหน้า
    ในที่สุด พราหมณ์ (บิดาของธรรมปาลกุมาร) ได้แสดงถึงคุณของผู้ประพฤติธรรมด้วยคาถาที่สำคัญว่า "**ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้** นี่เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปทุคติ *ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เหมือนร่มไม้ในฤดูฝน* ฉะนั้น ธรรมปาลของเราอันธรรมคุ้มครองแล้ว กระดูกที่ท่านนำเอามานี้เป็นกระดูกสัตว์อื่น บุตรของเรายังมีความสุข"

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,268
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    นางสารีพราหมณี l มารดาพระสารีบุตร "วันปรินิพพานพระสารีบุตร" #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก #คนตื่นธรรม

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    May 23, 2025

    *นางสารี พราหมณี* มารดาของพระสารีบุตร ผู้มีบุตรถึงเจ็ดคนซึ่งต่อมาได้ออกบวชทั้งหมดพร้อมทั้งหลาน โดยได้กล่าวถึง *ลำดับการออกบวชของบุตรแต่ละคน* และเหตุการณ์ที่ *พระสารีบุตรกลับไปเยี่ยมมารดา* และแสดงธรรมจนนางบรรลุโสดาปัตติผล นอกจากนี้ ยังกล่าวถึง *การปรินิพพานของพระสารีบุตร* ณ บ้านเกิดของท่าน และการสร้างเจดีย์บรรจุพระธาตุตามคำสั่งของพระพุทธเจ้า.
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,268
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    ผันทชาดก - การผูกเวรของหมีและไม้ตะคร้อ #ฟังธรรมก่อนนอน #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 4, 2025

    การผูกเวร หมายถึง *การถือโกรธ หรือการสร้างความเป็นศัตรู* ระหว่างกัน. เรื่องราวในผันทชาดกที่นำมาแสดงนั้น เป็นการกล่าวถึง *การผูกเวรของหมีและไม้ตะค้อ**.การผูกเวรเริ่มต้นขึ้นเมื่อหมีตัวหนึ่งนอนอยู่ที่โคนต้นตะค้อ แล้วกิ่งแห้งของต้นไม้ได้ตกลงมาถูกคอของหมีโดยบังเอิญ. หมีตกใจและเข้าใจผิดคิดว่าเทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้นั้นไม่ต้องการให้ตนนอนอยู่ที่นั่น. หมีจึงเกิดความโกรธและ **ผูกโกรธในที่ที่ไม่ใช่ฐานะ* และประกาศว่าจะให้คนมาขุดโค่นต้นตะค้อทั้งรากทั้งต้นเพื่อแก้แค้น. เมื่อรุกขเทวดา (เทวดาผู้สิงอยู่ ณ ต้นตะค้อ) ทราบถึงความอาฆาตของหมี และเห็นว่าหมีกำลังจะทำลายวิมานของตน (คือต้นไม้) เทวดาก็คิดว่าต้อง *ล้างผลาญหมีตัวนี้ด้วยอุบายอย่างหนึ่งให้ได้**. นี่คือการที่เทวดาผูกเวรตอบ. รุกขเทวดาจึงแปลงกายไปหลอกช่างไม้ที่กำลังหาไม้ทำรถ โดยแนะนำให้ช่างไม้ใช้เล่ห์กลลวงหมีมา เพื่อลอกเอาหนังที่คอของหมีประมาณ 4 นิ้วไปหุ้มกงล้อรถ ซึ่งจะทำให้กงล้อแข็งแรง. ด้วยอุบายนี้เอง รุกขเทวดาจึง **จองเวรสำเร็จ* โดยเป็นเหตุให้ช่างไม้สามารถฆ่าหมีได้. พระศาสดาทรงสรุปถึงผลของการผูกเวรในเรื่องนี้ว่า *ไม้ตะค้อฆ่าหมี และหมีก็ฆ่าไม้ตะค้อ ต่างก็ฆ่ากันและกันด้วยการวิวาทกัน* ด้วยประการฉะนี้. และทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงเพื่อเตือนภิกษุทั้งหลายให้ *อย่าวิวาทกัน อย่าเป็นทางหนีและไม้ตะค้อ* (หมายถึงการเป็นศัตรูที่ทำลายล้างกัน). ดังนั้น การผูกเวรสามารถเกิดขึ้นได้จากความเข้าใจผิดและอารมณ์โกรธในเรื่องที่ไม่สมควร และนำไปสู่การแก้แค้นและการทำลายล้างซึ่งกันและกันในที่สุด.
     

แชร์หน้านี้

Loading...