อานันทเศรษฐี ไปเกิดเป็นปีศาจคลุกฝุ่น ( เทศนาธรรมพระอาจารย์คม อภิวโร )

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 2 ธันวาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,204
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,438
    hqdefault-jpg.jpg


    อานันทเศรษฐี ไปเกิดเป็นปีศาจคลุกฝุ่น
    ( เทศนาธรรมพระอาจารย์คม อภิวโร )





     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • hqdefault.jpg
      hqdefault.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.9 KB
      เปิดดู:
      96
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,204
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,438
    อานันทเศรษฐี เศรษฐีตระหนี่

    ในสมัยพุทธกาล ที่เมืองสาวัตถี มีเศรษฐีคนหนึ่ง
    ชื่ออานันทเศรษฐี มีสมบัติมากถึง ๘๐ โกฏิ แต่ว่าเป็น
    คนตระหนี่ไม่ทำบุญ ทั้งห้ามบุตรหลานทุกคนทำบุญ
    เขาสอนบุตรทุก ๑๕ วัน ๓ เวลาว่า

    " อย่าคิดว่าทรัพย์ที่เรามีอยู่นี้มาก
    ควรทำทรัพย์ใหม่ให้เกิดขึ้น เป็นประจำทุกๆ วัน
    ไม่ควรให้ทานแก่ ใครๆ เพราะทรัพย์ที่มีมาก
    ย่อมสิ้นไปทีละน้อย พึงดูอย่างยาหยอดตา
    เมื่อหยอดทีละหยดยังหมดได้
    พึงดูอย่างการพอกพูนขึ้นของจอมปลวก
    ที่เพิ่มขึ้นทีละน้อย ยังเป็นจอมปลวกใหญ่ได้
    คนครองเรือนก็ ควรเป็นอย่างนี้ "

    เขาได้ฝังขุมทรัพย์ใหญ่ไว้ ๕ แห่ง
    แต่ด้วยความที่ตระหนี่มาก
    จึงไม่ยอมบอกให้ใครทราบ
    แม้แต่บุตร ของตนชื่อ มูลสิริ
    อานันทเศรษฐีมีชีวิตอยู่อย่างเศร้าหมอง
    เพราะความตระหนี่
    เมื่อเขาตาย มูลสิริได้
    ดำรงตำแหน่งเศรษฐีต่อมา

    อานันทเศรษฐีเมื่อเขาละโลกไปแล้ว ไปเกิดในครรภ์
    ของหญิงยากจนคนจัณฑาล หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทาน
    ขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา ไม่ว่าจะไปขอทานที่ไหนก็ตาม
    มารดาจะอดอยากยากจนไปด้วย ที่ว่าจนแล้วก็ยิ่งกลายเป็นคนจน
    ในหมู่ยาจกทีเดียว รวมทั้งทำให้กลุ่มที่หญิงยากจนคนนี้
    ไปอาศัยอยู่พลอยยาก ลำบากไปด้วย ทำให้หมู่คณะสงสัยว่า
    ต้องมีคนกาลกิณีอยู่แน่นอน จึงได้แบ่งกลุ่มออกเป็น ๒ ฝ่าย และ
    ถ้าหญิงมีครรภ์ผู้นี้ไปอยู่ฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นก็จะตกยากลำบาก
    ขอทานไม่ได้ทุกครั้ง จนเป็นที่รังเกียจของผู้
    อื่น จึงขับนางออกจากกลุ่ม

    เมื่อนางคลอดบุตร ได้เห็นหน้าบุตรแล้วอยากจะร้องไห้
    เพราะบุตรของนางพิกลพิการสารพัด
    มือ เท้า หู จมูก ปาก นัยน์ตา พิการไปหมด
    เหมือนปีศาจคลุกฝุ่น น่าเกลียดเหลือเกิน แต่นางก็ไม่ละทิ้งบุตร
    ทั้งนี้เพราะความมีเยื่อใย ความรักความผูกพันตามธรรมชาติ
    ของแม่ที่มีต่อลูก นางเลี้ยงบุตรด้วยความฝืดเคือง
    วันใดที่พาบุตรไปขอทานด้วย วันนั้นจะไม่ได้อะไรเลย
    ส่วนวันใดทิ้งบุตร ไว้ที่บ้าน วันนั้นจะได้อาหาร
    พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพอดำรงชีวิตอยู่ได้เท่านั้น

    พ่อแม่จึงปรึกษากันว่า ตั้งแต่ลูกคนนี้เกิดมา
    ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็พบแต่ความอัตคัดขัดสนตลอดเวลา
    แม้กระนั้นก็ยังสู้ทนเลี้ยงดูลูกเรื่อยมา
    จนกระทั่งลูกสามารถดูแลตัวเองได้ จึงบอกกับลูกว่า
    " ลูกเอ๋ย เอา กระเบื้องใบนี้ไป ต่างคนต่างไปเถอะ
    ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะรักลูกแค่ไหน
    แต่ถ้าเอาลูกไปด้วยก็คงจะอด อยากมาก
    ดังนั้นลูกจงไปหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองเถิด "

    ลูกจึงจำต้องจากไปเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ไม่ว่าจะไปทางไหน
    ก็หาทรัพย์ไม่ได้ เด็กน้อยตะเกียกตะกาย ขอทานช่วยเหลือตัวเอง
    ไปจนถึงบ้านของมูลสิริเศรษฐี ก็ระลึกชาติได้ว่า
    บ้านนี้เคยเป็นบ้านของตนมาก่อน และเศรษฐีนี้คือ
    ลูกชายของตนเอง จึงเดินไปในบ้านนั้น
    ฝ่ายลูกของมูลสิริเศรษฐีเห็นเด็กขอทานที่หน้า
    ตาน่าเกลียด น่ากลัวเข้าก็ตกใจ จึงให้คนใช้ขับไล่ออกไป

    ในกาลครั้งนั้นพระผู้มีพระพุทธองค์มีพระอานนท์เป็นผู้ติดตาม
    เสด็จผ่านไปถึงที่นั้น พระองค์ทรงชี้ให้ดูเด็กขอทานคนนั้น
    แล้วตรัสว่า อานนท์ เด็กขอทานที่มีหน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียด
    นั้น คือ อานันทเศรษฐี " ทั้งยังตรัสกับมูลสิริเศรษฐี
    ให้ทราบอีกด้วยว่า นี่คือ อานันทเศรษฐี ซึ่งเป็นพ่อของเขาในอดีตชาติ
    มูลสิริเศรษฐีจึงทูลถามพระผู้มีพระพุทธองค์ว่า
    เขาจะทราบได้อย่างไร พระองค์ตรัสตอบว่า
    เด็กคนนี้ คือพ่อของเขา จำที่ฝังสมบัติได้
    มูลสิริเศรษฐีจึงให้เด็กขอทานนั้นไปชี้ที่ฝังสมบัติ
    เมื่อให้คนขุดดู ก็พบว่ามีสมบัติจริงตามที่ชี้
    เด็กคนนั้นเป็นพ่อในอดีตของเขาจริง

    ด้วยเหตุด้วยกรรมที่ท่านอานันทเศรษฐี ทำมาในอดีต
    ท่านอานันทเศรษฐี ไม่ทำบุญ ไม่ให้ทาน ไม่รักษาศีล
    แต่ไม่ได้ละเมิดศีล ส่งผลให้กรรมชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ
    นรกก็ไปไม่ได้ สวรรค์ก็ไปไม่ได้ ส่งผลให้มาเกิดเป็นคนอีกครั้ง
    แต่ความที่ไม่ได้รักษาศีล เกิดมาจึงมีรูปร่างไม่สวย
    เหมือนปีศาจคลุกฝุ่น ความที่ไม่ทำบุญทำทาน
    จึงเกิดเป็นลูกขอทาน แถมยังเป็นกาลกิณี
    เข้าท้องแม่ก็ไม่มีใครให้ทาน คลอดออกมาวันไหน
    แม่อุ้มลูกไปขอทานด้วย ก็ไม่มีใครให้ทาน
    นี้คือวิบากของกรรมที่เคยตระหนี่

    ชีวิตของทุกคนต้องพลัดพราก
    จากสิ่งอันเป็นที่รักทุกสิ่งทุกอย่าง
    ไม่ว่าทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์
    สามีภรรยา ลูกหลานบริวาร
    ทุกๆ อย่างในชีวิตล้วนเป็นของชั่วคราว

    ดังนั้น มีก็มีให้เป็น อย่ามีด้วยความเป็นทุกข์
    ทรัพย์สมบัติก็มีไว้เพื่อพอใช้ พออาศัย
    ในเมื่อเราเชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรมว่ามีจริง
    ภพหน้าชาติหน้ามีจริงเช่นนี้
    ก็ควรสั่งสมบุญให้สืบต่อไปในภายหน้า

    การสะสมซึ่งบุญ ทำให้เกิดความสุข
    บุคคลที่ทำบุญเองและบอกบุญผู้อื่นด้วย
    ย่อมร่ำรวยด้วยโภคทรัพย์สมบัติ และ บริวารสมบัติ
    เพราะว่า นอกจากตนเองได้รักษาทรัพย์สมบัติของตนไว้ดีแล้ว
    ยังติดตามไปรักษาทรัพย์สมบัติให้ผู้อื่น ไปเกิดในภพชาติใด
    ก็จะมั่งคั่งร่ำรวยและมีพวกพ้องบริวารมาก
    จะทำสิ่งใดก็สำเร็จได้โดยง่าย

    เพราะผู้ที่ได้รับการชักชวนทั้งหลาย ได้เสวยผลบุญเกิดมา
    มีความสุขความเจริญด้วยโภคทรัพย์สมบัติ พ้นจากวิบัติ
    คนที่มีบุญจะมีกระแสบุญตามรักษา
    ส่งเสริมสนับสนุนให้รุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป
    บริสุทธิ์กาย วาจา ใจ มีบริวาร เป็นมิตรสหาย
    คนภัยคนพาลเข้าใกล้ไม่ได้ มีแต่สิ่งที่ดีๆ
    มีโภคทรัพย์สมบัติ และบริวารสมบัติทุกอย่าง
    ทำให้สะดวกสบายในการสร้างบารมี
    นึกจะทำบุญทำกุศลก็ได้ทำ
    ถ้าหากไม่มีบุญแล้วไซร์ มีความยากจนข้นแค้น
    ก็ต้องทำงานไม่มีเวลาทำบุญทำกุศล
    เมื่อปัจจัย ๔ ยังไม่พร้อมจะมีเวลามาปฏิบัติธรรม
    สร้างบารมีได้อย่างไร ทาน ศีล ภาวนา
    จึงต้องทำไปพร้อม ๆ กัน จึงจะสมบูรณ์
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...