เรื่องเด่น เนื้อคู่ คู่แท้ คู่บุญ คู่บารมี คู่เวรคู่กรรม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เนื้อคู่ คู่แท้ คู่บุญ คู่บารมี คู่เวรคู่กรรม
    ชาตินี้ที่พบกันเป็นเพราะ
    “บุพเพสันนิวาส”
    ไม่ใช่ “พรหมลิขิต”
    FB_IMG_1517477851818.jpg FB_IMG_1517477851818.jpg
    พระพุทธองค์ผู้เป็นพระศาสดาของเรา ทรงตรัสไว้ในเรื่องของจุดเริ่มต้น ที่จะพัฒนามาเป็นความรักจนเป็นเนื้อคู่ และได้มาเป็นคู่ครองกัน ไม่ว่าจะเป็นคู่แบบไหน คู่บุญ คู่กรรม หรือคู่ประเภทอื่นใด ที่ต้องเริ่มต้นจาก “ความรักและบุพเพสันนิวาส” ไว้ส่วนหนึ่งใน ธัมมปทัฏฐกถาภาคที่ ๒ สามาวดี ไว้ว่า
    “ ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน ปจฺจุปนฺน หิเตน วา
    เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปลํ ว ยโถ ทเกติ ฯ
    แปลโดยสรุปได้ว่า ความรักนั้น เกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการนี้คือ
    ๑. ด้วยเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน
    ๒. ด้วยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในปัจจุบัน
    หลายท่านคงสงสัยและอยากรู้ว่าทำไมพระพุทธองค์จึงทรงตรัสไว้ว่า
    ความรักจะเกิดขึ้นมานั้น ทำไมต้องมีการอยู่ร่วมกันแต่ปางก่อนและทำไมต้องเกื้อกูลช่วยเหลือกันมาด้วยในภพปัจจุบัน
    ลองมาลองคิดตามกันดูว่า เป็นไปได้ไหมว่า สิ่งมีชีวิต 2 สิ่งนี้จะมามีความสัมพันธ์กันได้อย่างไร ถ้าสองสิ่งนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ไม่เคยรู้จัก ช่วยเหลือดูแลเกื้อกูลกันมาก่อน ดั่งดอกบัวเกิดขึ้นมาจากน้ำและโคลนตม ดั่งกองไฟที่เราเห็นลุกโชนนั้น มันต้องมีฟื้น มีเชื้อปะทุไฟถึงจะติดลุกพรึ่บขึ้นมาได้ รถที่วิ่งไปวิ่งมาได้มันต้องมีเชื้อเพลิงขับเคลื่อน ร่างกายจะเคลื่อนไหวได้ต้องมีพลังงานมาสัมพันธ์มาสัมผัสกัน
    คนเราถ้าไม่รู้จักกันแล้ว ไม่เคยมีการปฎิกิริยาสัมพันธ์ต่อกันและกันแล้ว แม้จะพอรู้จักเห็นหน้าค่าตา เดินสวนกันไปสวนกันมา ทำงานในที่เดียวกันหรือตึกเดียวกัน กินข้าวร้านเดียวกัน กลับบ้านทางเดียวกัน
    แต่ไม่เคยที่จะนัดแนะมาพบปะนั่งพูดคุยกัน มองตาซึ้งๆ กัน ไปเที่ยวเตร่เฮฮา ดูหนังดูละคร ไปวัดไปวาด้วยกัน หรือทำกิจกรรมอะไรร่วมกัน แล้วคนทั้งคู่จะไปปิ๊งปั้งอะไรกันได้ ความรักของคนทั้งคู่จะเกิดขึ้นไหม ที่บอกอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับกรณีแอบรักเขาข้างเดียว ที่ต้องมีเหตุเกิดขึ้นเหมือนกัน
    เมื่อไม่ได้เกื้อกูลกัน จะรักกันได้อย่างไร
    เพราะไม่มีเหตุให้เกิดเลยสักนิด แล้วจะมีผลได้อย่างไรกัน
    ไม่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไป ต้นไม้ ดอกไม้ที่ไหนจะงอกออกมา
    โดยความเข้าใจของคนทั่วไปนั้น พอพูดถึงคำว่า “บุพเพสันนิวาส” และคำว่า “พรหมลิขิต” มักจะตีความหมายว่าเป็นเรื่องเดียวกัน คือเรื่องคนที่มาเจอกัน รักกัน เพราะมีอำนาจเหนือโลก หรือมีพระพรหมท่านลิขิตหรือบังคับเอาไว้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ถูกกำหนดมาแล้ว ซึ่งเรื่องเหล่านี้นักเล่านิทาน นักประพันธ์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ก็ช่วยแตกความคิด แต่งแต้มจินตนาการออกไป จนผู้คนที่ได้อ่านต่างซาบซึ้งกัน ปักใจเชื่อในเรื่องนี้กันมานานแล้วทั้งบุพเพสันนิวาสและคำว่าพรหมลิขิต จึงฝังลึกลงไปในความเชื่อของคนไทยแบบทั้งพราหมณ์ทั้งพุทธปนกันไปหมด
    และส่วนใหญ่จะคิดว่าความหมายของ “บุพเพสันนิวาส” คือ แค่เรื่องความสัมพันธ์ของคนที่เคยอยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยาและกลับมาเจอกันอีกเท่านั้น แต่ในเชิงลึกนั้นแท้ที่จริงแล้ว ความหมายและความสัมพันธ์ของ “บุพเพสันนิวาส” นี้ซับซ้อนมากกว่าที่เข้าใจกัน ในเรื่องที่เคยเป็นคู่กันมานั้นถูกต้องแล้วแต่ เป็นเพียงแค่หนึ่งในร้อย เพราะยังมีความสัมพันธ์ในแบบอื่นที่ส่งผลให้มาพบกันและครองคู่กันและไม่ได้มาครองคู่กันเป็นความสัมพันธ์ระดับรองลงมา
    เพราะบุพเพสันนิวาส ยังกินความหมายเข้าไปถึง การที่คนทั้งคู่อาจจะได้เคยอยู่ร่วมกันในฐานะ ในสถานะอื่นได้หมด เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อนกับเพื่อน ศิษย์กับอาจารย์ บ่าวกับเจ้านาย หรือในบางคู่ถึงขึ้นเคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเลยก็มี เป็นเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกันและกัน หรือคนที่เคยทำกรรมร่วมกันมาแต่อดีตชาติ กลับมาทวงหนี้กรรมที่เคยติดค้างกันไว้ หรือมาเพื่อล้างแค้นโดยเฉพาะหลายคู่ที่เจอแบบนี้
    เพราะคำว่า "กรรมร่วมกันมาแต่อดีตชาติ" เป็นคำที่หมายถึง คนสองคน หรือมากกว่านั้น ได้เคยทำอะไร ร่วมกันมา จะเป็นทางดีก็ได้ ทางไม่ดีก็ได้ เช่น เคยทำบุญร่วมกันมา เคยร่วมปล้นฆ่าคนมาด้วย เคยทำร้ายกันและกัน
    ดังนั้นเรื่องของบุพเพสันนิวาสจึงไม่จำเป็นต้องเคยเป็นสามีหรือภรรยามาก่อนเท่านั้นไม่ใช่และไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ครองกันที่ดี มีความสุขเสมอไป
    เพราะกรรมร่วมกันนั้นมีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี คงหมดข้อสงสัยสำหรับคนที่มีคู่ครองที่รู้สึกถูกบีบคั้นทารุณทั้งด้านร่างกายและจิตใจ และที่เกิดมาเพื่อทำลายล้างกันดังที่เห็นเป็นข่าวแบบไล่ฆ่ากันเมื่อรักไม่สมหวังหรือเกิดปัญหาครอบครัวขึ้น จึงลงมือปลิดชีวิตตนเองและคู่ครอง
    เมื่อเราเข้าใจและทราบดีแล้ว่า บุพเพสันนิวาสนั้นหมายถึงอะไร จึงอาจจะได้รับคำตอบเล็กๆ ที่คาใจเราได้ส่วนหนึ่ง ในเรื่องของการใช้ชีวิตคู่กัน ที่เรารู้สึกสงสัยตงิดๆ ว่า
    แค่พบกันครั้งแรกทำไมเหมือนรู้จักกันมานานแสนนาน หรือทำไมเนื้อคู่ของเราคนนี้นั้นมีหน้าตาคล้ายๆ กับเรา มีอะไรเหมือนๆ กันเหมือนเป็นพี่น้องกัน หรือทำไมคู่ครองของเรา เธอหรือเขาช่างเป็นคนดุเข้มงวด เจ้ากี้เจ้าการ บังคับเราในเกือบทุกเรื่อง บอกให้เราต้องทำโน่นทำนี่ ไม่หยุดเหมือนกับเราเป็นลูก หรือเป็นบ่าว ไม่ใช่สามีหรือภรรยา
    หลายคู่รักกันดีมาก แต่ทำงานร่วมกันไม่ได้เพราะมีแต่เรื่องขัดแย้ง มีแต่เรื่องร้ายๆ เข้ามาจนสิ่งที่ทำนั้นไม่ก้าวหน้าหรือพังพินาศ แต่พอแยกออกไปทำกับคนอื่น กลับรุ่งเรือง
    เหตุที่เป็นเช่นนี้ ครูบาอาจารย์ท่านเชื่อกันว่า ก็เพราะกรรมที่เคยทำต่อกันและร่วมกันมารวมถึงสัญญาหรือความทรงจำเดิม นิสัยเดิมของเขาหรือเธอในภพก่อนนั้นยังไม่หมดไปเสียทีเดียว ยังมีบางส่วนคงติดค้างอยู่ในส่วนลึกของดวงจิต เพราะจิตนั้นเป็นผู้บันทึกกรรมทั้งปวงที่เคยเกิดขึ้น
    ดูจากภายนอกหรือกายเนื้อเป็นสามีภรรยาที่รักกันดี แต่ภายในกายทิพย์หรือจิตเดิมยังมีการแค้น มีการอาฆาตพยาบาทต้องการทำร้าย ทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง ยังไม่มีการอโหสิกรรม กรรมนั้นยังไม่มีการชดใช้และยังไม่ยุติส่งผลกรรม จึงยังส่งผลอยู่เรื่อยๆ แม้บางครั้งไม่ตั้งใจแต่ก็เกิดเรื่องให้ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอด
    หลายคนคงสงสัย ว่าทำไมกรรมที่เคยทำมาจึงยังส่งผล แม้เกิดในภพใหม่แล้ว ร่างกายใหม่ ชื่อใหม่จำไม่ได้แล้วว่าไปทำอะไรใครไว้แล้วผลกรรมตามหาเจอได้อย่างไร
    คำตอบ ก็คือ กรรมที่เราทำมาไม่ว่าภพชาติไหนก็ตามถูกบันทึกไว้ในดวงจิต ไม่เคยหายไปไหนเลยแม้แต่กรรมเดียว และที่ตามมาส่งผลได้แม้ว่าจะเปลี่ยนร่าง เปลี่ยนภพไปแค่ไหนเพราะอยู่ในดวงจิตนั่นเอง
    เอาง่ายๆ เปรียบได้ดังชิบแรมหน่วยความจำในเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่บันทึกข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่วันแรกที่เริ่มใช้งาน ความจำนี้ไม่ได้หายไปไหนยังคงเก็บไว้อย่างดี รอวันเวลาที่จะถูกดึงมาใช้ด้วยพลังงานที่มีความแรงนั่นเอง เราจะเปลี่ยนรูปโฉมเครื่องคอมพิวเตอร์ไปกี่ครั้ง หรือจะมีร่างกายใหม่ตามภพภูมิตามกรรมที่ส่งไปเกิด ความจำนี้ก็คงยังอยู่ตลอดไป จะจำได้มากได้น้อยแค่ไหนอยู่ที่ปัจจัยคือกำลังตัวแปรสัญญาณ
    สัญญาเดิม หรือความทรงจำนิสัยเดิม ความถนัดสามารถ เรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในหลายภพชาติจะจำได้หรือไม่ก็อยู่ที่กำลังบุญบารมีเช่นกัน
    หลายคนก่อนจะมาเกิดในชาตินี้ เคยเกิดมาเป็นครูบาอาจารย์ เกิดมาเป็นนักบวช เกิดมาเป็นเจ้านาย เกิดมาในหลายสถานะหลายอาชีพความทรงจำนี้ก็ติดตัวมาจะมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่บุญกรรมของตน จึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมบางคนสามารถทำอะไรได้ดีแม้ไม่เคยเรียนที่ไหนมาก่อนทั้งงานช่างฝีมือต่างๆ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านบรรลุธรรมเร็วมากทั้งๆ ที่อายุยังน้อย ทำไมหลายคนสมองดีเลิศเห็นอะไรทีเดียวก็จำทำได้แล้ว ที่คนในสมัยใหม่เรียกว่า”พรสวรรค์” นั่นแหละ รวมถึงเรื่องการระลึกชาติด้วย
    ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องราวในอดีตชาติที่ลึกลงไปละเอียดกว่านั้น เราคนธรรมดาไม่ใช่นักปฏิบัติธรรมชั้นสูง ไม่น่าจะจำได้ เพราะได้กระทำมามากมายทับถมมานานนับล้านๆ ชาติ เหมือนเราเอากระดาษเปล่ามาสักแผ่นหนึ่ง หยิบปากกาหมึกสีน้ำเงินมาเริ่มเขียนลงไปทุกวันๆ ทับกันลงไป สัก 1 เดือนก็พอ เราย้อนกลับไปดูได้หรือไม่ว่า ในวันแรกๆ เราเขียนอะไรลงไปในกระดาษใบนั้น เราอ่านมันออกหรือไม่ ซึ่งต่อให้อัจฉริยะให้เก่งสุดๆ ก็ไม่มีทางที่จะอ่านออกเป็นใจความได้ เอาแค่เมื่อปีที่แล้วเวลานี้เรากินอะไร ทำอะไร พูดอะไรก็ยากที่จะนึกออกแล้วแบบครบถ้วน
    มีหลายคนในยุคปัจจุบันนี้เป็นจำนวนมาก เชื่อว่าเรื่องของคนที่จะมารักกันได้นั้นเป็นเพราะ”พรหมลิขิต” ชักนำ พระพรหมท่านเป็นคนลิขิตบังคับพาให้มาเจอกัน รักกัน จนมาจับคู่อยู่เป็นคู่ตุนาหงัน ในเรื่องพรหมลิขิตนี้น่าจะผิดแนว ผิดทิศ เลี้ยวลงคลองไปเลยสำหรับท่านที่บอกว่าเป็นชาวพุทธทั้งหลาย
    และน่าจะเป็นที่เศร้าใจและน่าเสียดายสำหรับใครบางคนที่เชื่ออย่างนั้น เลยไม่คิดจะหาคู่ครอง ไม่กล้าที่จะสานสัมพันธ์เกื้อกูลอะไรกับเนื้อคู่ของตนต่อทั้งๆ ที่ได้พบกันแล้ว ได้กระตุ้นความสัมพันธ์เดิมแล้ว เพราะดันเชื่อไปเสียแล้วว่า ไม่ทำต้องอะไรหรอกเดี๋ยวพระพรหมท่านจัดการให้เอง จึงต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชาติ เพราะขาดปัจจัยที่จะมาสนับสนุน
    เรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านได้เมตตาอธิบายไว้ชัดเจนว่า
    พระพรหมท่านนั้นคงไม่ไปลิขิต หรือมีอำนาจหน้าที่ไปบังคับใครได้ในโลกนี้ไม่ว่าจะเรื่องจับคู่คน หรือแม้แต่จะไปกำหนดชะตาชีวิตอะไรเลย
    และก่อนอื่นที่เราจะเหมาเอาเองว่าเป็น พรหมลิขิตนั้น เราควรต้องรู้จักกันก่อนว่า “พระพรหม” นั้นท่านเป็นใคร คือผู้ใด ท่านมีฤทธิ์ มีอำนาจเพียงใดถึงสามารถเก่งกล้าบังคับคนโน่นคนนี้ให้มารักกันหรือทำอะไรได้
    ความเชื่อเรื่องพระพรหมนี้ มาจากพวกชาวฮินดูในอินเดียโบราณเขาเชื่อกันว่า “พระพรหม” เป็นระดับเทพผู้สร้างโลกและลิขิตได้ทุกอย่าง และได้รับการยกย่องเคารพบูชาจากพวกพราหมณ์เป็นอย่างมาก ถือเป็นเทพองค์ผู้กำหนดโชคชะตาของมนุษย์ และใครเกิดมาแก้ไขอะไรไม่ได้เลย น่าสงสารมากๆ เพราะชีวิตตัวเองแท้ๆ ดันยกยกให้พระพรหมไปเสียแล้ว บ้านเรารับมาเต็มๆ กับความเชื่อนี้พร้อมอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ที่แต่งเติมกันอย่างเหลือเชื่อ ดังที่บอกว่าพระพุทธเจ้ามาลบล้างความเชื่อที่ผิดๆ เหล่านี้ออกไป
    ในพุทธศาสนา นั้น “พระพรหม” ท่านถูกจัดอันดับ ให้เป็นเพียงชาวสวรรค์ชั้นสูงขั้นหนึ่งที่สูงกว่าเทวดาทั่วไปเท่านั้น
    เรียกกันว่า "พรหม" พระพรหมท่านไม่มีเพศ แต่ก็ยังอยู่ในกามาวจรภพ คือ ยังมีการวนเวียน ว่าย ตาย เกิด อยู่ในสวรรค์ที่เรียกว่า “ชั้นพรหม” สำหรับพรหมนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พรหมที่มีรูป เรียกว่า "รูปพรหม" มีทั้งหมด 16 ชั้น และพรหมที่ไม่มีรูป เรียกว่า "อรูปพรหม" มีทั้งหมด 4 ชั้น โดยอรูปพรหมจะสูงกว่ารูปพรหม พระพรหมที่มีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดเป็นแนวทาง เรียกว่า "พรหมจรรย์" อยู่ในภพภูมิที่เหนือกว่าอรูปพรหมขึ้นไป
    ที่ได้เป็นพระพรหม เพราะกรรมดีที่ท่านได้ปฏิบัติจนถึงขั้นได้ไปเสวยสุข เสวยบุญ เสวยบารมีที่ท่านสะสมทำมา สถิตอยู่ที่พรหมโลก บนวิมานสวรรค์ของท่าน
    พระพรหมบางองค์เมื่อท่านเสวยบุญที่ทำมาหมดแล้ว ท่านก็ต้องลงมาจากวิมาน ยังต้องกลับมาเวียน ว่าย ตาย เกิดกันอีก พระพรหมชั้นสูงขึ้นไปท่านก็มุ่งมั่นปฎิบัติที่จะให้หลุดพ้นไปเลย ไม่ต้องลงมาเกิดอีกแล้ว
    พระพรหมทั้งที่เป็นรูปพรหมและอรูปพรหมนั้น ท่านคงไม่เคยคิดและมีเวลาที่จะไปวิ่งลิขิตชีวิตใครต่อใครได้ และคงไม่ใช่เป็นหน้าที่ หรือกิจธุระกงการอะไรของท่านด้วย
    และท่านคงไม่ต้องการไปยุ่งและมีส่วนร่วมในกรรมของผู้อื่นแน่นอน เพราะจะไปขวางไปเหนี่ยวรั้งในสิ่งที่ท่านต้องการหลุดพ้นด้วย แต่ถ้าบอกว่าพระพรหมท่านช่วยดลใจมนุษย์ได้สร้างบุญกุศลสำเร็จหรือมาร่วมโมทนาคุณความดี บุญกุศลที่มนุษย์ได้ทำขึ้น ก็พอจะรับฟังและพอจะเชื่อได้บ้าง
    ในพระชาดก ก็เคยมีเรื่องของพระพรหมท่านดลใจ เรื่องหนึ่ง คือ เรื่องของพระพรหมชั้นสุทธาวาส (อนาคามีพรหม) เคยดลใจให้นายทุคตะ เกิดความเพียรว่ายน้ำช่วยเหลือชีวิตมารดา เพื่อให้นายทุคตะ มีโอกาสมาสร้างกรรมสร้างบารมีสำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันที่เป็นพระศาสดาของเรา ที่เล่ามาทั้งหมดเพื่อจะเห็นว่าพระพรหมท่านดลใจได้เท่านั้นให้คิดได้ คิดออก แต่ไม่ได้ลงไปอุ้มไปช่วยเสกอะไรให้ใคร
    แต่ที่เป็นตัวการสำคัญที่จะลิขิตชีวิตคนทุกคนได้นั้น มีหนึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือ “กรรม”
    กรรมจะเป็นผู้กำหนดเอง และเรื่องของความรักและเนื้อคู่ในแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานั้นก็เป็นเรื่องของกรรมลิขิตล้วนๆ ทั้งจากการที่เคยอยู่ร่วมกันมาเป็นกรรมเก่า และในชาติปัจจุบันได้ใกล้ชิด เกื้อกูลกันเป็นกรรมใหม่ไม่ใช่เรื่องอะไรของพระพรหมหรืออำนาจเทพอะไรทั้งสิ้น
    เชื่อมั่นว่า ตอนนี้ทุกท่านคงพอเข้าใจว่า ความรักนั้นเกิดขึ้นด้วยเหตุใด และทำไมถึงมาอยู่ด้วยกันได้ เรามาดูกันต่อว่าเนื้อคู่นั้นคืออะไร หมายถึงใครบ้าง เนื้อคู่มีมากกว่าหนึ่ง มีลำดับเนื้อคู่มากมายจริงหรือ และหาเจอเนื้อคู่แท้เมื่อเจอกันแล้วควรต้องพิจารณาอะไรบ้างจึงจะเป็นคู่ที่ดีมีความสุขมากๆ หรือเอาแบบทุกข์น้อยๆ ที่พระพุทธองค์สอนให้พิจารณากันดีๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือก
    เพื่อที่จะได้พบคู่แท้ คุ่บุญที่แท้จริง ร่วมกันสร้างบุญกุศล ทำให้มีความสุขในชีวิตคู่ตลอดไป...
    จากหนังสือเรื่อง เคล็ดศักดิ์สิทธิ์ ปลดกรรมเรื่อง ความรัก และคู่ครอง ให้สุข ดี รุ่งเรืองทันตาเห็น โดย ธ.ธรรมรักษ์
    ***ท่านใดที่ต้องการสร้างบุญใหญ่ในรอบบุญใหญ่พิเศษ ได้บุญสร้างพระใหญ่ไปพร้อมกัน ด้วยการเป็นเจ้าภาพ สุดยอดหนังสือธรรมทานเพียงเล่มละ 19 บาท ความหนา 128 หน้า พร้อมเคล็ดศักดิ์สิทธิ์ในเล่ม ติดรายชื่อฟรี สั่งได้แล้ววันนี้หรือสอบถามรายละเอียด โทร.-095-6900444 Line id 0956900444 สั่งผ่านข้อความในเฟซบุ๊คนี้ หรือ https://line.me/R/ti/p/@mvt7683h
    ขอให้กัลยาณมิตร กัลยาณธรรม ทุกท่าน พบแต่ความสุข ความเจริญ รุ่งเรืองตลอดไป
    สาธุ สาธุ สาธุ
    ทีมงาน ธ.ธรรมรักษ์
    ***ติดตามบทความปาฏิหาริย์แห่งบุญที่จะช่วยให้ทุกชีวิตได้ดี สุข รวย ได้ที่https://www.facebook.com/ธ-ธรรมรักษ์
    #พระพุทธเจ้า #พระปัจเจกพุทธเจ้า #พระอรหันต์ #พระโพธิสัตว์ #พระอริยเจ้า #ธรรม #ธรรมทาน #หนังสือธรรมทาน #ธรรมรักษ์ #สร้างพระ #บุญ #กรรม #ปาฏิหาริย์ #เวรกรรม #อานิสงส์ #สวดมนต์ #บนบาน #อธิษฐาน #ทาน #ศีล #ภาวนา #สติ #สมาธิ #มหาสติ #ความดี #ปฏิบัติธรรม #ปลดกรรม #เจ้ากรรมนายเวร #เทวดา
     

แชร์หน้านี้

Loading...