สมเด็จสัมพุทโธลป.พลหนองคณฑีสมเด็จลพ.ถมยาวัดท่าแก้ว

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,299
    ค่าพลัง:
    +21,398
    f.-31.jpg

    สมเด็จเกี่ยวเป็นพระทองคำ ไม่เกิดอีกแล้ว (พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ)ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ยกย่องคุณธรรมของท่านเป็นอย่างยิ่งและได้แนะนำให้ลูกศิษย์ไปกราบทำบุญกับท่านหลายๆครั้ง
    ประวัติ
    สมเด็จพระพุฒาจารย์
    (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ. ๙)

    เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นหนึ่งในพระมหาเถระผู้มุ่งมั่นที่จะเห็นพระพุทธศาสนามีความมั่นคงอยู่บนผืนแผ่นดินไทย และแผ่ไพศาลไปเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก
    เมื่อเกือบ ๗๐ ปีที่แล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ตั้งใจที่จะบวชเป็นสามเณรเพียง ๗ วัน แต่กลับดำรงตนอยู่ในสมณะเพศตลอดมาตราบเข้าสู่วัยชรา ได้สร้างคุณูปการให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างมากมายมหาศาล เหมือนมีชีวิตเกิดมาเพื่อต่อลมหายใจให้กับพระพุทธศาสนา
    จริยาวัตรและปฏิปทาที่งดงาม ภายใต้ใบหน้าอ่อนโยน มีรอยยิ้มฉายอยู่บนหน้าตลอดเวลา บ่งบอกถึงพลังแห่งเมตตาธรรม เป็นภาพที่ติดตาและตรึงใจแก่ผู้พบเห็นอยู่ตลอด อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการฝึกฝนในพระกรรมฐานอย่างหนัก
    เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เรียนพระกรรมฐาน ในเบื้องต้น จากหลวงพ่อพริ้ง ซึ่งเป็นพระวิปัสสนาจารย์องค์สำคัญของเกาะสมุย โดยหลวงพ่อพริ้งได้นำเจริญพระกรรมฐานบนหลุมฝังศพขณะมีอายุ ๑๒ ปี เท่านั้น ต่อมา ได้เรียนพระกรรมฐานจากเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) ซึ่งเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า พระองค์ท่านมีความชำนาญด้านกสิณ และเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังได้ให้ความสนใจวิธีการเจริญพระกรรมฐานตามแนวต่างๆ จนมีความชำนาญ
    สามารถสวดพระปาฏิโมกข์ได้ในพรรษาแรกแห่งการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และยังสามารถเรียนสำเร็จเปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นการศึกษาพระปริยัติธรรมชั้นสูงสุดของคณะสงฆ์
    สำนึกที่มีต่อความรับผิดชอบพระพุทธศาสนาเช่นนี้ ก่อตัวขึ้นท่ามกลางการฝึกฝนอย่างหนักของเจ้าพระสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) ผู้เป็นพระอาจารย์ ผู้ได้เล็งเห็นอุปนิสัยแล้วว่า ศิษย์ผู้นี้ คือ ผู้ที่จะนำพาพระพุทธศาสนาผ่านห้วงแห่งความยากลำบากในอนาคต
    จากวันที่สำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยค เพราะความรักที่มีต่อพระพุทธศาสนาอย่างเปี่ยมล้น เมื่อก้าวขึ้นสู่การบริหารคณะสงฆ์ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะผู้ปกครอง แม้พระเถระผู้ใหญ่ในสมัยนั้น ต้องการให้เป็นเจ้าคณะผู้ปกครองในภาคกลาง แต่เจ้าประคุณสมเด็จฯ กลับเลือกที่จะไปเป็นผู้ปกครองทางภาคที่กันดารและเดินทางไปยากที่สุด คือ ภาคอีสาน เนื่องจากเจ้าประคุณสมเด็จฯได้เล็งเห็นว่า หากจะพัฒนาประเทศชาติและพระศาสนา จะต้องพัฒนาจากภาคที่มีประชากรมากที่สุดก่อน โดยเน้นที่การให้การศึกษา
    จากวันนั้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการที่จะพบปะผู้คน ทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจ เพื่องานพระศาสนาอย่างต่อเนื่อง ออกไปเยี่ยมพระสงฆ์ในทุกวัดที่อยู่ในการปกครอง ศึกษาทั้งประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์และสภาพการเป็นอยู่ของถิ่นนั้นๆ เพื่อแนะนำการจัดระบบการศึกษา
    ภายหลังเมื่อลูกศิษย์รูปหนึ่งออกไปปฏิบัติศาสนกิจในจังหวัดที่ห่างไกล เกิดอาพาธไม่มีโรงพยาบาลรักษาจนถึงแก่มรณภาพลง กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการสร้างตึกสงฆ์อาพาธในจังหวัดชายแดนตามมาอย่างเงียบๆ ภายใต้ชื่อ “ตึกผู้มีพระคุณ” โดยไม่มีการเรี่ยไร ไม่มีการบอกบุญ และไม่ได้ประกาศให้ใครรับรู้ ทุนในการสร้างทั้งหมดได้มาจากการรวบรวมปัจจัยจากผู้มีจิตศรัทธาที่ทำบุญในโอกาสต่างๆ เมื่อครบจำนวนก็ลงมือสร้างตามแบบที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
    จากวันนั้นเป็นต้นมา ตึกสงฆ์อาพาธภายใต้ชื่อ “ตึกผู้มีพระคุณ” จึงเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนตึกแล้วตึกเล่า
    เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้นำพระพุทธศาสนาก้าวเข้าสู่โลกยุคใหม่ได้ริเริ่มวางรากฐานแนวคิดงานพระศาสนาเชิงรุกที่สำคัญในด้านต่างๆ เช่น ก่อตั้งโรงพิมพ์กรมการศาสนา จัดพิมพ์แถลงการณ์คณะสงฆ์ รวบรวมกิจการต่างๆ เกี่ยวกับการบริหารงานคณะสงฆ์ ตลอดทั้งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ กฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม ระเบียบ คำสั่งมหาเถรสมาคม เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์และการพระศาสนาออกเป็นรายเดือนทุกวันที่ ๒๕ ของเดือน และหนังสือธรรมะอื่นๆ ริเริ่มให้มีศูนย์การคณะสงฆ์ประจำภาค ริเริ่มให้มีสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อรองรับงานคณะสงฆ์ ริเริ่มให้มีพุทธมณฑลประจำจังหวัด ริเริ่มให้จัดตั้งสำนักเรียนบาลีประจำจังหวัด ริเริ่มให้จัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด ริเริ่มให้ยกร่างหลักสูตรการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษในมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ยกร่างหลักสูตรโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ ริเริ่มจัดตั้งโรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ริเริ่มให้มหาวิทยาลัยสงฆ์เปิดหลักสูตรผู้บริหารสำหรับพระสังฆาธิการ เพื่อยกระดับการศึกษาของพระสังฆาธิการในสังฆมณฑล ริเริ่มจัดตั้งสถานีวิทยุและโทรทัศน์พระพุทธศาสนา ริเริ่มให้พระสงฆ์นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้กับงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ริเริ่มให้จัดตั้งกลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา จัดการเรียนการสอนตามแนวโรงเรียนวิถีพุทธ และให้เรียกเยาชนที่เรียนในโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา ว่า “ลูกพระพุทธเจ้า” ริเริ่มให้ปรับการเจริญพระพุทธชัยมงคลคาถาในวันขึ้นปีใหม่ เป็นการสวดมนต์ข้ามปี เพื่ออนุวัติให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ริเริ่มการจัดกิจกรรมงานวัด และกิจกรรมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา อนุวัติให้สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่ ริเริ่มจัดตั้งพระธรรมทูตอาสา ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ริเริ่มให้พระสังฆาธิการเกษียรอายุในวัย ๘๐ ปี เพื่อยกขึ้นเป็นปูชนียบุคคลของสังฆมณฑล
    ในส่วนงานพระพุทธศาสนาในต่างประเทศ เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นคณะกรรมการจัดตั้งสภาสงฆ์แห่งโลก เป็นผู้ริเริ่มสานศาสนสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นผู้ริเริ่มจัดงานวิสาขบูชาโลก เป็นผู้ริเริ่มเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ ริเริ่มการสร้างวัดไทยในต่างประเทศ และริเริ่มให้มีการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปประจำ ณ วัดไทยในต่างประเทศ ได้ออกเดินทางไปต่างประเทศทั่วทุกมุมโลก สร้างศาสนาสัมพันธ์อันดีกับผู้นำต่างศาสนา เพื่อหาแนวทางที่จะให้มีวัดเกิดขึ้นในประเทศนั้นๆ อันมีแรงบันดาลใจมาจากเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) ผู้เป็นพระอาจารย์
    ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้ออกเดินทางไปร่วมประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกฉัฏฐสังคีติ ณ ประเทศพม่า และในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ก็ได้เดินทางไปประชุมอรรถกถาสังคายนา เพื่อฉลองกึ่งพุทธศตวรรษ ณ ประเทศพม่า อีกครั้ง ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ภายหลังดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอธิการบดี และเป็นหัวหน้าแผนกธรรมวิจัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ได้เดินทางไปสังเกตการณ์พระศาสนาในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย และศรีลังกา เป็นต้น
    ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นหัวหน้าคณะเดินทางไปสังเกตการณ์พระศาสนาและเชื่อมศาสนสัมพันธ์ ที่ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง และจีน ฯลฯ ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนอย่างสำคัญแห่งหน้าประวัติศาสตร์ศาสนา ในการเชื่อมพระพุทธศาสนาเถรวาทกับมหายานเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น จนถึงปัจจุบัน พระพุทธศาสนามหายานในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน และจีน ได้ขอรับการอุปสมบทตามแบบอย่างพระสงฆ์เถรวาท เกิดประเพณีการบวชตามแบบอย่างพระสงฆ์เถรวาทก่อนบวชตามแบบอย่างพระสงฆ์มหายาน ขึ้นในประเทศญี่ปุ่น จีน และไต้หวัน และได้สร้างภูเขาทองจำลองไว้เป็นอนุสรณ์แห่งสายสัมพันธ์ทางศาสนา ในเวลาต่อมา
    ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ภายหลังได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ออกเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจไกลถึงภาคพื้นยุโรป เกิดวัดไทยแห่ง
    แรกขึ้นในเนเธอร์แลนด์ ชื่อว่า “วัดพุทธาราม” ต่อมา เมื่อคณะสงฆ์เกิดกองงานพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ทำให้วัดไทยเริ่มขยายออกไปตามประเทศต่างๆ ในยุโรปและออสเตรเลีย ทั้งเยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นต้น
    ในการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจนอกอาณาเขตพระพุทธศาสนาไกลออกไปถึงยุโรป เจ้าประคุณสมเด็จฯ มีโอกาสได้พบกับท่านปรีดี พนมยงค์ และชาวไทยผู้ลี้ภัยทางการเมือง ที่พำนักอยู่ในยุโรปเป็นจำนวนมาก จึงได้ทราบถึงสภาพความเป็นอยู่และความต้องการของชาวไทยในต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะต้องต่อสู้กับสภาพภูมิอากาศที่หนาวเหน็บตลอดทั้งปีแล้ว ยังจะต้องปรับตัวให้เข้าวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ด้วย สิ่งที่ชาวไทยต้องการในขณะนั้น คือ ต้องการให้มีวัด และพระสงฆ์ไปอยู่ประจำ
    สำหรับทางยุโรป โดยเฉพาะประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย เป็นดินแดนที่ไม่น่าจะมีพระสงฆ์สามารถไปสร้างวัดไทยได้ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศค่อนข้างเหน็บหนาว ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะเกือบตลอดทั้งปี
    เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ยึดเอาประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นจุดเริ่มต้นในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแถบสแกนดิเนเวีย โดยมีความเชื่อมั่นว่า แม้สภาพภูมิอากาศประเทศในแถบสแกนดิเนเวียจะหนาวเกือบตลอดทั้งปี แต่สภาพจิตใจของคนในแถบนี้กลับอ่อนโยน จึงเกิดความเชื่อมั่นว่า พระพุทธศาสนาน่าจะเจริญได้ในสแกนดิเนเวีย จึงชักธงธรรมจักรขึ้นเหนือหน้าต่างที่พัก เป็นสัญลักษณ์ว่า พระพุทธศาสนาเริ่มหยั่งรากฝังลึกลงบนดินแดนแห่งนี้แล้ว ทำให้วัดไทยเกิดขึ้นอีกมากมายในเวลาต่อมา เช่น วัดพุทธาราม เนเธอร์แลนด์ วัดพุทธาราม กรุงสต๊อกโฮล์ม วัดพุทธาราม เฟรดิก้า วัดสยามินทร์มังคลาราม ประเทศสวีเดน วัดไทยนอร์เวย์ ประเทศนอร์เวย์ วัดไทยเดนมาร์ค กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ค วัดไทยฟินแลนด์ กรุงเฮลซิงกิ วัดไทยเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน วัดไทยไอซแลนด์ และวัดไทยเบลเยียม ซึ่งขยายวัดออกไปอีกถึง ๓ วัดในลักซัมเบิร์ก ในเวลาต่อมา
    วัดพุทธาราม เนเธอร์แลนด์ นับได้ว่า เป็นวัดไทยแห่งแรกในยุโรป และเป็นศูนย์ฝึกพระธรรมทูตให้รู้จักวิธีการดำรงชีวิตในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย จากนั้น พระธรรมทูตก็จะถูกส่งออกไปปฏิบัติศาสนกิจในประเทศต่างๆ ในแถบนี้
    พระพุทธศาสนาในประเทศสวีเดน เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างดียิ่ง และเป็นประเทศแรกในโลกตะวันตก ที่ทั้งภาครัฐและเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างวัด โดยดำริจะให้มีวัดไทยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้พระพุทธศาสนาในประเทศของตน และได้จัดสรรพื้นที่ให้กว่า ๒๗๐ ไร่ เพื่อดำเนินการสร้างวัดไทย การที่ภาครัฐและเอกชนของประเทศสวีเดน ได้เข้ามาดูแลการสร้างวัดไทยเช่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจสำหรับชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา หากเอาเงินไทยไปสร้างวัดให้ฝรั่ง จะต้องนำเงินไทยออกจากประเทศจำนวนมหาศาลจึงจะสร้างวัดได้สักวัดหนึ่ง
    การสร้างวัดไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะทางด้านยุโรป พระสงฆ์ได้ใช้เงินไทยน้อย โดยใช้เงินประเทศนั้นเพื่อสร้างวัดประเทศนั้น ซึ่งเป็นการให้ฝรั่งสร้างวัดพระพุทธศาสนาให้ฝรั่งเอง เพราะเจ้าของผู้สร้างจะได้เกิดความรักความผูกพันในสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา จะทำให้วัดไทยมีความมั่นคง ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี
    เจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงวางเป็นแนวทางการสร้างวัดสำหรับพระธรรมทูตไว้ว่า
    “พระสงฆ์ไปปฏิบัติงานประเทศใดต้องใช้เงินของประเทศนั้นสร้างวัด เพราะถ้าจะเอาเงินไทยไปสร้างวัดในต่างประเทศ เราจะต้องเอาเงินบาทออกนอกประเทศเท่าไรจึงจะสร้างวัดได้วัดหนึ่ง ค่าเงินบาทกับเงินต่างประเทศแตกต่างกันมาก พระสงฆ์ที่ไปอยู่ต่างประเทศจึงต้องเก่งและมีความอดทนสูง”
    ในปี ๒๕๐๘ เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) มีบัญชาให้เป็นผู้แทนพระองค์ท่านเดินทางไปร่วมพิธีฉลองอัฐิธาตุ ๑,๐๐๐ ปี พระอติษ ทีปังกร ศรีชญาณเถระ ตามคำนิมนต์ของรัฐบาลจีน และในโอกาสเดียวกันได้เดินทางตามเส้นทางสายไหมต่อไปยังปากีสถานและอัฟกานิสถาน โดยความอุปถัมภ์ของพุทธสมาคมจีน เพื่อศึกษาเส้นทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา สำหรับพระอติษ ทีปังกร ศรีชญาณเถระ เป็นพระเถระชาวปากีสถานมีชีวิตอยู่เมื่อ ๑,๐๐๐ ปี ที่แล้ว ได้เดินทางไปเผยแผ่พระศาสนาในจีนและธิเบต จนเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนชาวจีนและชาวธิเบต โดยมีความเชื่อว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิด เพื่อขนมวลสรรพสัตว์ข้ามสังสารวัฏ
    ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ได้เดินทางไปสังเกตการณ์พระพุทธศาสนาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ตามคำนิมนต์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยคณะผู้ร่วมเดินทาง ประกอบด้วย เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นหัวหน้าคณะ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) และ พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จและเหรียญ สมเด็จพุฒาจารย์เกี่ยววัดสระเกศ ๒ องค์

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250623_185151.jpg IMG_20250623_185336.jpg IMG_20250623_185404.jpg IMG_20250623_185220.jpg IMG_20250623_185242.jpg IMG_20250623_185303.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,299
    ค่าพลัง:
    +21,398
    1750668194009-jpg.jpg

    พระวัดโบสถ์ลพบุรี
    (หลวงพ่อพริ้ง)มีดีทางแคล้วคลาด กำบังภัยอย่างยอดเยี่ยม
    หลวงพ่อกวยพบอภินิหารพระคณาจารย์ร่วมพิธี
    มหา พิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลจตุรพิธพรชัย ที่วัดรัตนชัย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นั้น หลวงพ่อกวยท่านพบอภินิหารของพระคณาจารย์ผู้ร่วมพิธีปลุกเสกหลายรูปด้วยกัน เมื่อท่านเดินทางกลับมาถึงวัดโฆสิตารามได้เล่าให้คณะศิษย์ฟังว่า
    พระวัดโบสถ์ ลพบุรี
    (หลวงพ่อพริ้ง) มีดีทางแคล้วคลาด กำบังภัยอย่างยอดเยี่ยมเมื่อ คณะศิษย์ทางวัดโฆสิตาราม ทราบจากคำบอกเล่าของหลวงพ่อกวยเช่นนั้น จึงรีบเดินทางมากราบคารวะเพื่อขอเรียนวิชา กับพระคุณเจ้าทั้ง ๓ รูป หลวงพ่อนอ, หลวงพ่อออด และหลวงพ่อพริ้ง ท่านพูดว่า “กลับไปหาท่านพระครูชัยนาทเขาเถิดท่านรุ่งเรืองวิทยาคุณต่างๆอยู่แล้ว
    ประวัติของ หลวงพ่อพริ้ง มณีธาโน” วัดโบสถ์โก่งธนู จังหวัด ลพบุรี
    ประวัติของ หลวงพ่อพริ้ง มณีธาโน” วัดโบสถ์โก่งธนู จังหวัด ลพบุรี
    สำหรับพระครูประสาทวรคุณหรือที่ใครหลายคนรู้จักท่านในนามหลวงพ่อพริ้ง มณีธาโน นั้นเดิมที่ท่านมีชื่อว่า พริ้ง เพ็งเพชร์ ท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ 2443 ตรงกับวันศุกร์ที่ 2 เดือนพฤศจิกายนเป็นปีชวด ซึ่งเป็นวันขึ้น 11 ค่ำเดือน 12 ท่านเป็นชาวจังหวัดลพบุรีโดยกำเนิดเกิดที่บ้านคุ้งนามอญ ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลโก่งธนู เป็นบุตรชายของคุณพ่อดึก และคุณแม่แสง เพ็งเพชร์ หลวงพ่อพริ้งท่านมีพี่น้องร่วมสายเลือด ทั้งหมด 6 คน ซึ่งหลวงพ่อท่านเป็นพี่ชายคนโต มีน้องสาวชื่อว่านางผลบ ไข่หงส์ มีน้องชายชื่อว่านายกรู่เพลงรอด,นายโหน่งเพลงรอด, นายบ่าย เพ็งรอด และน้องสาวคนสุดท้องของท่านชื่อว่านางสาวสาคร เพ็งรอด ซึ่งต่อมาภายหลังหลวงพ่อพริ้งท่านก็ได้เปลี่ยนนามสกุลตามน้องชายของท่าน ที่ชื่อนายกรู่ซึ่งเป็นผู้ต้นคิดในการเปลี่ยนนามสกุลมาเป็น “เพ็งรอด” และใช้นามสกุลนี้มาโดยตลอด
    สำหรับพระครูประสาทวรคุณหรือที่ใครหลายคนรู้จักท่านในนามหลวงพ่อพริ้ง มณีธาโน นั้นเดิมที่ท่านมีชื่อว่า พริ้ง เพ็งเพชร์ ท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ 2443 ตรงกับวันศุกร์ที่ 2 เดือนพฤศจิกายนเป็นปีชวด ซึ่งเป็นวันขึ้น 11 ค่ำเดือน 12 ท่านเป็นชาวจังหวัดลพบุรีโดยกำเนิดเกิดที่บ้านคุ้งนามอญ ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลโก่งธนู เป็นบุตรชายของคุณพ่อดึก และคุณแม่แสง เพ็งเพชร์ หลวงพ่อพริ้งท่านมีพี่น้องร่วมสายเลือด ทั้งหมด 6 คน ซึ่งหลวงพ่อท่านเป็นพี่ชายคนโต มีน้องสาวชื่อว่านางผลบ ไข่หงส์ มีน้องชายชื่อว่านายกรู่เพลงรอด,นายโหน่งเพลงรอด, นายบ่าย เพ็งรอด และน้องสาวคนสุดท้องของท่านชื่อว่านางสาวสาคร เพ็งรอด ซึ่งต่อมาภายหลังหลวงพ่อพริ้งท่านก็ได้เปลี่ยนนามสกุลตามน้องชายของท่าน ที่ชื่อนายกรู่ซึ่งเป็นผู้ต้นคิดในการเปลี่ยนนามสกุลมาเป็น “เพ็งรอด” และใช้นามสกุลนี้มาโดยตลอด

    ในสมัยที่หลวงพ่อท่านยังเป็นเด็กอยู่นั้น คุณพ่อของท่านก็ได้นำท่านไปฝากไว้ที่สำนักของพระอาจารย์จาด ณ วัดไก่เตี้ย ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอบ้านแพรกของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ได้เรียนหนังสือ ซึ่งวิชาที่ท่านได้เรียนในขณะนั้นก็คือวิชาอักษรภาษาไทยและภาษาขอมซึ่งเป็นวิชาที่ผู้คนจะต้องเรียนในยุคนั้นโดยเริ่มต้น หลวงพ่อพริ้งนั้นท่านเป็นผู้มีความจำเป็นเลิศอีกทั้งยังหัวไวเรียนรู้ได้เร็วกว่าศิษย์คนอื่นๆที่เรียนในรุ่นเดียวกันจึงทำให้ท่านสำเร็จวิชาได้เร็ว
    แต่สมัยเด็กๆหลวงพ่อพริ้งท่านมักจะไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงทำให้คุณพ่อและคุณแม่ของท่านคิดว่าหากให้ท่านมาช่วยประกอบอาชีพทำไร่ทำนาก็คงจะไม่น่าไหว นั่นเป็นเหตุผลที่หลวงพ่อท่านจึงได้บวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุได้ 13 ปี ท่านบทที่สำนักของพระอาจารย์จาด หลังจากที่ได้บวชแล้วก็ศึกษาเล่าเรียนทางด้านเวทมนต์ เป็นพระอาจารย์คนแรกของท่านก็คือพระอาจารย์จาดซึ่งในยุคนั้น พระอาจารย์จาดท่านค่อนข้างมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องนี้
    และเมื่อหลวงปู่ท่านอายุได้20 ปีบริบูรณ์ท่านก็เข้าพิธีอุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ซึ่งตรงกับช่วงปีพ.ศ 2463 ในวันที่ 2 เดือนเมษายน ท่านบวชอยู่ที่วัดญาณเสน ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรีที่ตำบลโก่งธนู อำเภอเมือง ซึ่งพระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ให้กับท่านก็คือหลวงพ่อหลำ ซึ่งในขณะนั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดญาณเสนอยู่ พระผู้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ให้กับท่านก็คือหลวงพ่อแสนแห่งวัดญาณเสน และพระผู้เป็นพระอนุสาวนาจารย์ให้กับท่านก็คือหลวงพ่อฝอยแห่งวัดญาณเสน และฉายาททางธรรมของหลวงพ่อพริ้งก็คือ “มณีธาโน”
    การศึกษาทางด้านพุทธาคมของหลวงพ่อพริ้ง
    การศึกษาทางด้านพุทธาคมของหลวงพ่อพริ้ง
    เมื่อได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์อย่างเต็มตัวแล้ว หลวงพ่อท่านก็มีความเคร่งครัดต่อการปฏิบัติ รวมถึงจริยวัตรอันงดงามเป็นคนพูดน้อย และมักจะปฏิบัติอยู่ตลอด ซึ่งในขณะที่หลวงพ่อท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดญาณเสน ท่านก็ได้มีโอกาสออกเดินธุดงค์ติดตามพระอุปัชฌาย์ของท่านร่วมกับพระภิกษุองค์อื่นๆอีก 7 รูป
    โดยอุปนิสัยส่วนตัวของหลวงพ่อพริ้งนั้นท่านเป็นคนพูดน้อย และรักความสงบอีกทั้งยังมีความมุมานะและตั้งใจในการแสวงหาทางสงบเป็นเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้ท่านยิ่งปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและเป็นเช่นนี้มาเสมอ ซึ่งหลวงพ่อพริ้งท่านจะยึดนำกิจธุดงค์มาปฏิบัติ ซึ่งหลวงพ่อท่านมีความตั้งใจและได้เปิดเผยถึงเรื่องราวเหล่านี้ให้กับพระอาจารย์ของท่านทั้งพระอาจารย์จาดและพระอาจารย์หลำทราบ ตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณร และเมื่อได้มีโอกาสออกเดินธุดงค์ท่านก็ปฏิบัติอย่างตั้งใจ
    ซึ่งการเดินธุดงค์นั้นพระอาจารย์จาดได้เคยให้เหตุผลกับหลวงพ่อพริ้งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านว่า ผู้ที่จะออกธุดงควัตรเพื่อปฏิบัตินั้น กว่าจะได้มาซึ่งความสำเร็จมานั้นมิใช่เรื่องง่าย เนื่องจากจะต้องออกเดินธุดงค์ไปยังป่าลึกซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายไม่ว่าจะภัยจากสัตว์ป่าอันร้าย รวมถึงสิ่งที่เรามองไม่เห็น และดวงจิตต่างๆและดวงจิตต่างๆ ที่ยังไม่ได้หลุดพ้นจากวิบากกรรม อีกทั้งจะเรื่องของอาถรรพ์ต่างๆตามป่าดงพงไพรที่มีมากนัก และหนทางที่จะผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้ได้ก็คือภาวะทางจิตอันแกร่งกล้า
    ซึ่งดวงจิตอันแกร่งกล้านั้นจะได้มาก็ต่อเมื่อการฝึก ดังนั้นการหมั่นปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จึงเป็นสิ่งที่เพิ่มสมาธิให้เรามีปัญญาและมีพลังจิตที่แกร่งกล้าได้ ในเมื่อดวงจิตของเรามีความแกร่งกล้าสิ่งนั้นแหละจึงจะเป็นเกราะป้องกันตัวเรารวมถึงป้องกันภัยจากกิเลสต่างๆในใจทั้งหลายได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระอาจารย์ทั้งสองของท่านได้อบรมสั่งสอนท่านอย่างเสมอมา
    เมื่อผ่านในเรื่องของการทดสอบจิตใจจากพระอาจารย์ซึ่งก็คือหลวงพ่อหลำ จนเป็นผู้นำในการเดินธุดงค์แล้ว เป้าหมายแรกที่จะมุ่งไปก็คือภาคเหนือ น่าจะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเส้นทางในการไปถึงของยุคนั้นค่อนข้างเป็นไปด้วยความยากลำบากไม่ได้สบายเหมือนในปัจจุบัน รถลาในสมัยก่อนก็ไม่มี ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้เวลาน้อยๆในการเดินทางเลย ทั้งต้องเดินทางผ่านห้วยน้องคลองบึง ซึ่งระหว่างทางนั้นก็ย่อมเผชิญกับสัตว์นานาชนิดในป่า อีกทั้งยังจะต้องเข้าป่าดงพงไพรไปพบกับสิ่งต่างๆ ที่อาจมองไม่เห็นรวมถึงดวงวิญญาณที่ยังไม่ผ่านการหลุดพ้นในระหว่างการเดินทาง เมื่อค่ำที่ไหนก็ต้องนอนที่นั่น และต้องเจริญจิตภาวนาในทุกๆที่
    รวมถึงการแผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ยามเช้าก็ต้องเก็บเครื่องอัฐบริขาร เจริญภาวนาและออกเดินทางต่อ อยู่เช่นนี้จนกว่าจะไปถึงกับจุดหมายซึ่งก็คือภาคเหนือ ในปัจจุบันเราขับรถยนต์จากจังหวัดลพบุรีไปยังจังหวัดที่อยู่ภาคเหนือกี่กิโลเมตร ซึ่งแน่นอนว่าในยุคที่หลวงพ่อพริ้งท่านเดินธุดงค์นั้นท่านเดินทางเท้า และถึงแม้ว่าจะพบกับอุปสรรคต่างๆในระหว่างการเดินทางมาอย่างมากมายแต่หลวงพ่อท่านก็ผ่านมาได้ทุกครั้ง
    รวมถึงได้พบกับพระอาจารย์ผู้มีวิชาอีกหลายท่าน ที่เมืองปากน้ำโพ และได้แลกเปลี่ยนทัศนะความรู้ด้านทางธรรมต่อกัน จนทำให้ท่านนำมาต่อยอดวิชาอาคมรวมถึงทางด้านพลังจิตให้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งหลวงพ่อพริ้งท่านได้วิชา ตัดสายรุ้งละลายเมฆ วิชาบังไพร มาจากหลวงพ่อพวงแห่งวัดหนองกระโดน ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าวิชาบังไพรนี้หลวงพ่อพริ้งท่านได้นำมาใช้ในขณะที่มีโขลงช้างเข้ามาใกล้กับบริเวณที่ท่านปักกลดในขณะกำลังออกเดินธุดงค์
    ซึ่งนับได้ว่าท่านเป็นอีกหนึ่งพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงพุทธาคม และเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวจังหวัดลพบุรีในยุคก่อนอย่างมาก เรียกได้ว่าแทบทั้งชีวิตของท่านนั้นอุทิศให้กับพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง หลวงพ่อพริ้งท่านมรณภาพในปีพ.ศ 2527 รวมสิริอายุได้ 84 ปี 64 พรรษา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงพิมพ์เล็บมือ หลวงพ่อพริ้งวัดโบสถ์โก่งธนู ปี๒๕๒๑

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งถึง 30 บาทครับ

    (ปิดรายการ)

    img_20250623_150742-jpg.jpg img_20250623_150811-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2025 at 17:01
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,299
    ค่าพลัง:
    +21,398
    เมื่อวานแล้ววันนี้จัดส่ง
    1750688506046.jpg 1750688507988.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  4. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,012
    ค่าพลัง:
    +5,714
    จองครับ
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,299
    ค่าพลัง:
    +21,398
    1750699553605.jpg

    ศิษย์ของหลวงพ่อกวย อีกองค์หนึ่ง
    หลวงพ่อถมยา วิมโล วัดท่าแก้ว อ.หันคา จ.ชัยนาท
    คำนำ
    มาจะกล่าวบทไป ถึงวัดท่าแก้ว ในครั้งก่อน คนเก่าเล่าไว้ไม่แน่นอน จะตัดตอนเสริมต่อ พอเข้าใจ...
    วัดท่าแก้ว ตั้งอยู่ ต.ห้วยงู อ.หันคา จ.ชัยนาท คนเก่าเล่าไว้ว่า วัดนี้มีความผูกพันกับงูใหญ่ คือ งูจงอาง, วัดอยู่ติดแม่น้ำท่าจีน คนเก่าเล่าว่า เดิมมีงูจงอางใหญ่มากตัวหนึ่ง ชาวบ้านเกรงกลัวมาก ได้จ้างหมองูมาปราบ งูใหญ่นี้ได้คาบลูกแก้วมาด้วย (อาจเป็นไข) งูใหญ่ได้หนีหมองูมา และได้คายลูกแก้ว ทิ้งบริเวณก่อตั้งวัดนี้ (วัดท่าแก้ว) หมองูได้ฆ่างูใหญ่ ได้ชำแหละเอาหนังออกบริเวณคลอง ปัจจุบันชื่อ “คลองชำแหละ” บริเวณห้วยหนองที่งูใหญ่อาศัยอยู่ ชื่อ “ห้วยงู” เมื่อนำไปขายได้เงินสองสลึง ขายบริเวณคลองชื่อ “คลองสองสลึง” ผู้ที่ให้ข้อมูล เรียบเรียงโดย คุณวชิรภัทร กลัดทรัพย์ ได้เรียบเรียงเรื่องของ หลวงพ่อถมยา วิมโล เพราะหลวงพ่อถมยา เป็นศิษย์ องค์หนึ่งของหลวงพ่อกวย มีอาคมดี พอ ๆ กับ พระครูพิมพ์ วัดสนามชัย แต่ท่านถมยา มีปฏิปทาเรียบร้อย, ใจเย็น, ใจดี, สุภาพ, นิสัยตรงข้ามกับพระครูพิมพ์ คือ ใจร้อน, ดุ, ไม่เกรงกลัวใคร, อีกอย่างหนึ่ง ท่านอาจารย์ถมยา ได้สร้างพระสมเด็จว่านยา ตามตำราของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ทำฝากไว้ในศาสนา ฝากไว้ในแผ่นดิน สมควรบันทึกเอาไว้
    ชาติกำเนิด (ประวัติ)
    หลวงพ่อถมยา วิมโล ชื่อ ถมยา ใจแสน เกิดวัดพุธที่ 2 พฤษภาคม 2563 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก เกิดที่บ้านหนองจงอาง ต.หนองแซง อ.หันคา (บางคนบอกว่า ท่านเกิดที่บ้านสมอบด ปัจจุบันเป็นโบราณสถานใกล้ ๆ บ้านหนองจงอาง) มีพี่น้อง 6 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 2 ของคุณพ่อริด คุณแม่จำปา ใจแสน ในสมัยเด็ก ๆ สุขภาพท่านไม่ค่อยดี เป็นหอบหืด ไม่ได้เรียนหนังสือ เนื่องจากสุขภาพไม่ดี และทางบ้านก็ยากจน ท่านจึงเดินทางท่องเที่ยวไป ไปหาหมอเพื่อรักษาสุขภาพของท่าน อายุไม่ถึง 10 ขวบ ได้เดินทางมารักษาตัว และเรียนวิชา กับหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค ได้บวชเณรและบวชพระ เมื่ออายุครบ 20 ปี โดยไม่มีครอบครัว เมื่อบวชแล้ว จึงเรียนหนังสือสอบเทียบชั้น ประถม 4
    อุปสมบท
    หลวงพ่อถมยา อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี ที่วัดคลองจันทร์ ต.ห้วยงู บวชเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2583 {(ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (1 ปี)} โดยมีพระครูสรภาณพิสุทธิ เจ้าอาวาสวัดท่ากฤษณา อ.หันคา เป็นอุปัชฌาย์ สมุห์ทองสุข วัดคลองคต เป็นพระกรรมวาจารย์ พระอาจารย์ยุพิน วัดท่ากฤษณา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา วิมโล
    เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาที่วัดท่าแก้วตลอดมา อุปสมบทได้ 5 พรรษา ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส (2588)
    ผลงานสำคัญ ตำแหน่งหน้าที่และปฏิปทา
    หลวงพ่อถมยา เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญ ในการก่อสร้าง ทั้งงานไม้ งานปูน คือ ลงมือนำทำเอง ร่วมกับพระและชาวบ้าน ได้นำก่อสร้าง กุฏิ, วิหาร, หอสวดมนต์, ศาลาการเปรียญ, หอระฆัง, โรงครัว, เมรุ, และอุโบสถ โดยทำร่วมกับช่าง, ชาวบ้านและพระ สำหรับชาวบ้าน มีการตั้งโรงครัวหุงหาอาหารเลี้ยง และมอบวัตถุมงคลให้เป็นน้ำใจ เมื่อชาวบ้านเจ็บป่วย ก็จะรักษาให้ฟรี ด้วยยาสมุนไพร ตำราของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อเรียนสอบเทียบได้ชั้นประถม 4 ทางธรรมสอบได้นักธรรมโท เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี นามว่า “พระครูวิมลชัยคุณ” ในปี พ.ศ. 2514 และชั้นโท ในปี 2519 ภายหลังทางคณะสงฆ์จะแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านปฏิเสธ คือ ท่านว่าสุขภาพของท่านไม่ค่อยดี ท่านอาจารย์ถมยา เป็นพระที่พูดน้อย พูดสุภาพ ท่านมีเชื้อสายอีสาน คือ พูดไทยปนอีสาน ใจดี ใจเย็น ใครคุยด้วยกับท่าน จะไม่ลุกหนีเลย มีอาคมดี มีคนมาให้ท่านรดน้ำมนต์ มามาก, รักษาโรคและขอวัตถุมงคล
    พระคู่บุญ หลวงพ่อสายรุ้ง
    หลวงพ่อถมยา เป็นพระที่ได้ฌานสมาบัติขั้นสูง ท่านได้นั่งสมาธิเห็นนิมิตและได้ไปขุดพระที่พบในนิมิต เป็นพระพุทธรูปหินแกะสมัยลพบุรี ปางนาคปรก หน้าตักประมาณ 12 นิ้ว มีความศักดิ์มาก ถ้าวันใดปรากฏแสงสีรุ้ง บริเวณที่ตั้งหลวงพ่อสายรุ้ง จะเกิดฝนตก จึงเรียกท่านว่า หลวงพ่อสายรุ้ง ศักดิ์สิทธิ์มาก เวลาหลวงพ่อถมยา ปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านจะมาเสกต่อหน้าหลวงพ่อสายรุ้งทุกครั้ง ภายหลังหลวงพ่อถมยา ได้สร้างพระพิมพ์สมเด็จรูปหลวงพ่อสายรุ้ง สร้างทั้งผงผสมดินและดินผสมผง (สร้างครั้งเดียว พร้อมพระสมเด็จหมอยา)
    อาจารย์ของหลวงพ่อถมยา
    1. หลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค หลวงพ่อถมยาได้เดินไปกราบตั้งแต่อายุไม่ถึง 10 ขวบไปเพื่อรักษาโรค และได้บวชเณรและได้เรียนวิชา หลวงพ่อปาน มรณภาพ พ.ศ. 2481 หลวงพ่อถมยา อายุ 18 ปี เป็นเณร คาถาที่หลวงพ่อให้กับศิษย์คือ คาถาปัจเจกพุทธเจ้า เขาว่าภาวนาอยู่ที่ใดไม่อดยาก (วิระทะโย วิระโคนายัง...)
    อีกบทหนึ่งที่ท่านบอกศิษย์ คือ คาถากันไฟ, กันฟ้า, เล่ากันว่า เดิมเป็นของหลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสกันต์ อยุธยา คาถาว่า (พระโส นามะยักโข...)
    2. หลวงพ่อปลื้ม วัดปากคอลงมะขามเฒ่า (น้องชาย หลวงพ่อปากคลองมะขามเฒ่า และเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 2 ของวัดปากคลอง) วัดอยู่ อ.วัดสิงห์
    3. หลวงพ่ออุ่น วัดวิจิตรรังสรรค์ (บ้านควาย อ.สรรคบุรี) หลวงพ่ออุ่นองค์นี้ อายุพรรษา รุ่นหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่, ท่านเป็นหลานของหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก
    4. หลวงพ่อมุ่ย พุทธรักขิโต วัดดอนไร่ ต.หนองสะเดา อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ได้ถ่ายวิชาให้ หลวงพ่อถมยา 7 วัน 7 คืน
    5. พระสมุห์กลับ แสงเขียว วัดดอนตาล อ.วัดสิงห์ และหลวงพ่อบุญยัง วัดหนองน้อย 2 องค์นี้เป็นศิษย์ซ้าย - ขวา ของหลวงพ่อปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อเดินทางไปเรียนวิชา หลายปี
    6. หลวงพ่อเคน วัดคงเศรษฐี ต.หมกแกว อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี หลวงพ่อเคนเป็นพระมีเชื้อสายอีสาน เก่งทางแพทย์แผนโบราณ ต่อกระดูก หลวงพ่อเคน เป็นอาจารย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อกวย แถมยังเมตตารับอาจารย์ถมยาเป็นศิษย์
    7. หลวงพ่อดัด วัดท่าโบสถ์ หลวงพ่อดัด เป็นทั้งศิษย์พี่และอาจารย์ ท่านอยู่ อ.หันคา จ.ชัยนาท หลวงพ่อดัด เวลาทำงานกับพระและโยม จะใช้ผ้าคลุมศีรษะ แต่ไม่ใส่อังสะ (สไบ) ท่านพูดว่าสมัยพุทธกาลไม่มีสไบ
    8. หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อกวย ได้เมตตาอาจารย์ถมยามาก เมื่ออาจารย์ถมยาจะทำพระเนื้อว่านยา กันผี กันคุณ เป็นยา ป้องกัน ไข้ป่า กันปอบ กระสือ กันภัยฯ มาปรึกษาหลวงพ่อกวย หลวงพ่อกวยได้เมตตามอบว่านให้ เป็นจำนวนมาก จนครบจึงสร้างพระเนื้อว่านยาได้ โดยมีผงปถมัง, ผงนะหน้าทองผสมทำ หลวงพ่อให้ไปทั้งผงและว่าน เพื่อป้องกันภัยทางอากาศ คือ คุณผี, คุณไสย์, มนต์ดำ, ปอบ, กระสือ ฯ พระผงพิมพ์สมเด็จเนื้อผงล้วน ๆ เป็นพระพิมพ์คะแน (ขนาดเท่ากัน) อีกพิมพ์หนึ่งเป็นพิมพ์นาคปรก (หลวงพ่อสายรุ้ง) เป็นเนื้อผงพระแตกหักชำรุด ผสมผงของหลวงพ่อกวย และผงของท่านอาจารย์ถมยาเอง หลวงพ่อได้ประสิทธิวิธีทำผงให้ โดยสมมุติตนเป็นพระนารายณ์ และให้คาถามมนต์พระกาฬไป (คือวิชาทำผงอิทธิเจ, มหาราช, ผงตรีนิสิงเหฯ ต้องสมมุติตัวเป็นพระนารายณ์และต้องว่าคาถามนต์พระกาฬขณะทำผง อาจารย์ถมยาถึงมีปาก ดุจพระร่วง ใครทำไม่ดีต่อท่านต่อศิษย์ของท่านจะเป็นไปแบบทันตาเห็น) อาจารย์ถมยานี้เคยนำก้อนผงกรุ ดินที่เหลือจากการทำพระกรุสรรคบุรี (เสกแล้ว) นำมาถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อได้นำไปผสมทำพระแหวกม่านอกใหญ่ และแหวกม่านข้างเม็ด
    พระสมเด็จหมอยา หรือ พระไกสัชยคุรุพุทธเจ้า
    หลวงพ่อถมยา ได้รวบรวมว่านยา ตำราหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เพื่อนำมาสร้างพระสมเด็จหมอยา แต่ว่านยามีมาก หาเท่าไรก็ได้มีครบ จึงได้มาปรึกษากับหลวงพ่อปลื้ม วัดปากคลองมะขามเฒ่า (น้องชายหลวงปู่ศุข) และปรึกษากับ พระอาจารย์บุญยัง วัดหนองน้อย และพระอาจารย์กลับ แสงเขียว วัดดอนตาล ได้วิชาทำพระเนื้อว่านมา แต่ไม่ได้ว่านครบ ที่จะสร้างตามตำราของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค มาได้ว่านและผงครบ ที่หลวงพ่อกวย จึงได้สร้างขึ้น ก่อนสร้างยังได้ถามและศึกษาเพิ่มเติมกับหลวงพ่อเคน วัดคงเศรษฐี หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ เริ่มสร้าง พ.ศ. 2513 เป็นพระสมเด็จหลังเรียบ ไม่โตนัก คล้าย ๆ พิมพ์ตัวหนอน สร้างด้วยว่านยา และผงล้วน ๆ (อิทธิเจ เป็นพระคะแนน) โดยตำผงเองกับพระ (ผงล้วนและผงว่าน) กดพิมพ์เอง และสร้างด้วยผงเก่าผสมผงหลวงพ่อกวย และผงของท่านด้วยพิมพ์นาคปรก (หลวงพ่อสายรุ้ง) (ชนิดดินก็มีบรรจุกรุ, บรรจุไว้ใต้เพดานโบสถ์, ใต้ฐานพระประธานฯ หลวงพ่อถมยาเสกแทบทุกวันทุกคืน และเสกโดยปลุกเสก โดยพระที่รู้คาถา ไภสัชยคุรุ ทุกองค์มีดังนี้ (คาถาหมอยา)
    1. หลวงพ่ออุตตะมะ วัดวังวิเวกการาม หลวงพ่ออุตตะมะ เมตตาหลวงพ่อถมยา มาเสกให้ถึงวัด เสกอยู่เป็นวันเป็นคืนเดี่ยว ๆ องค์เดียว
    2. หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ มาเสกให้เป็นวันเป็นคืน หลวงพ่อมุ่ย เป็นอาจารย์องค์หนึ่ง ของหลวงพ่อถมยา เสกเดี่ยว ๆ ให้
    3. หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม เดิมทางไปเสกให้ เพราะท่านต้องไปรับผิดชอบว่านยา และผงของท่าน เสกให้เป็นวัน เป็นคืน เดี่ยว ๆ
    เป็นที่น่าเสียดาย ที่คาถาพระไภสัชยคุรุ ไม่มีใครได้รับการถ่ายทอดไว้เลย ควรที่บันทึกเอาไว้ มีแต่คาถากัน คุณผี คุณไสย์ และคาถาแก้พระสมเด็จหมอยานี้ เมื่อบูชาอยู่ให้เลี่ยมเปิดหน้าหลัง ใช้กันคุณผี, คุณคน, กันปอบ, กระสือ, ไข้หัวลม, ไข้ป่า) ใช้ทำน้ำมนต์ถอนคุณผี, คุณคน, คุณไสย์, มนต์ดำได้ ถ้าแก้โรคกรรมให้ปล่อยนก, ปล่อยปลา, เต่า ฯ ด้วย รวมทั้งทำบุญตักบาตรให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย
    วัตถุมงคลของหลวงพ่อถมยา
    หลวงพ่อสร้างวัตถุมงคลไว้ นอกจากพระสมเด็จ, พระสมเด็จนาคปรก (หลวงพ่อสายรุ้ง) แล้วท่านก็สร้างเหรียญรุ่นแรกไว้ 1 รุ่น, รูปหล่อ 1 รุ่น นิยมกันในท้องถิ่น นอกนั้นก็สร้างอย่างอื่นไว้ด้วย แต่สร้างน้อยหาได้ยาก เช่น
    1. พระเนื้อดิน พิมพ์สรรค์นั่ง, สรรค์ยืน, พิมพ์ป่าเลไลยก์ สร้างก่อน พ.ศ. 2500 เสกโดยหลวงพ่อถมยา, หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่, หลวงพ่อเคน วัดดวงเศรษฐี, หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม, หลวงพ่ออุ่น วัดวิจิตรรังสรรค์ (บ้านควาย) นอกจากสรรค์นั่งและยืน แล้วยังสร้างพิมพ์แบบของกำแพง และพระคง
    2. สมเด็จเนื้องิ้วดำ, สมเด็จเนื้องาช้าง
    3. สมเด็จว่านยา, สมเด็จผงอินทธเจ, สมเด็จหลวงพ่อสายรุ้งเนื้อผง และดิน สร้าง พ.ศ. 2513
    4. รูปหล่อคล้องคอ นั่งพับเพียบ, เหรียญรุ่น 1 นั่งพับเพียบ เหรียญรุ่น 2, 3 (ฝังลูกนิมิต 2529 มรณภาพปีนี้) ล็อกเก็ตจีวรแดง พ.ศ. 2529, เหรียญจิ๋ว (แจกแม่ครัว) พ.ศ. 2529 เสก 1 ปี เข้าพิธีหลวงพ่ออุตตะมะ วัดวังวิเวกการาม อ.สังขละ (เป็นอาจารย์อีกองค์หนึ่ง) รูปหล่อสร้าง พ.ศ. 2528 - 29 เหรียญรุ่น 1 สร้าง พ.ศ. 2520 แหนบและเข็มกลัดถมยา พ.ศ. 2510, และ พ.ศ. 2529 ภาพหลังตะกรุด, ภาพบูชาหลวงพ่อสายรุ้ง พ.ศ. 2514, ภาพถ่ายของท่าน พ.ศ. 2514, ผ้ายันต์แดง ตำราหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค (พระปัจเจโปรดสัตว์) นอกจากนั้นได้รับการนิมนต์เสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อดัด วัดท่าโบสถ์ มีปิดตา 6 เหลี่ยม, สมเด็จเล็กใหญ่, เหรียญหลวงพ่อดัดเสก พ.ศ. 2513 มีหลวงพ่อเชื้อ ห้วยกรด, หลวงพ่อฉาบ วัดคลองจันทร์, หลวงพ่อนะ วัดหนองบัว, หลวงพ่อถมยา, เสก 9 องค์) วัตถุมงคล ยังมีอีกดังนี้ ผ้ายันต์มหาลาภ เป็นธงสามชาย, ผ้ายันต์คลุมลูกนิมิต (ผ้ายันต์อรหันต์ 8 ทิศ) พ.ศ. 2529, รูปนามบัตร พ.ศ. 2492, ลูกอมเทียนเสก, ตะกรุดโทน, ตะกรุด 3 ดอก, ตะกรุด 9 ดอก, หวายพิรอด, สิงห์งาแกะ, ประคำผงพุทธคุณ (สืบวิชาจาหลวงพ่ออุตตะมะ) นกสาลิกาหรือนกแขกเต้าคล้องคอ, นางกวักงาแกะ, แหวนนางกวัก (คล้ายของหลวงพ่อกวย), สีผึ้ง, แป้งเสกฯ ขอยุติภาควัตถุมงคลแต่เท่านี้ ที่พบและพอหาได้ คือ สมเด็จผงยา (ว่านยา) อย่างอื่นหาได้ยากมากคนท้องถิ่น เขาใช้อยู่ ส่วนพระสมเด็จหมอยานี้ ผสมผงอิทธิเจ และผงนะหน้าทอง ขนาด คุณประเจียด คงศาสตรา ได้เขียนเรื่องตระกูลพระสมเด็จ ได้กล่าวถึงไว้คือ รุ่น พ.ศ. 2513 นี้ ทั้งสมเด็จหมอยา และพิมพ์นาคปรก (หลวงพ่อสายรุ้ง) คือดังพอสมควร ใช้แล้วมีประสิทธิภาพ
    ต่อไปจะขอกล่าวถึงอภินิหารของวัตถุมงคล น้ำมนต์ และวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อไว้
    เรื่องที่ 4 กรรมตามทัน ก่อนงานฝังลูกนิมิตไม่นาน หลวงพ่อถมยาล้มป่วย และมรณภาพก่อนงาน ก่อนนั้นมีคนมาทำบุญกับท่านกันมาก มาขอของดีก็มา เมื่อได้ปัจจัยมา หลวงพ่อถมยาก็จะให้กรรมการวัดที่เชื่อใจเก็บ รองเจ้าอาวาสอยากเก็บเอง จะเอาเอง ได้แช่งหลวงพ่อถมยาว่า เมื่อไรจะตาย ๆ ไปซะที หลวงพ่อถมยาโดนแช่งประจำ แต่ท่านก็เฉย (หลวงพ่อถม
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสงฆ์ครับ อ.เฒ่าสุพรรณ

    พระสมเด็จเนื้อผงรุ่นแรกหลวงพ่อถมยา

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250624_002022.jpg IMG_20250624_002048.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,299
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1750700445153.jpg

    หลวงพ่อมหาอาคม
    พระครูอนุรักษ์วาปีพิสัย หลวงพ่อมหาอาคม อินฺทสโร
    วัดดาวนิมิต บึงสามพัน เพชรบูรณ์
    ชาติภูมิ
    ชื่อเดิม : ชื่อ อาคม ตระกูล ประทุมทอง
    บ้านเกิด : วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2467 ณ บ้านโนนแดง หมู่ที่ 20 ต.ลำชี อ.กมลาพิไสย จ.กาฬสินธุ์
    ท่านเป็นบุตรโทนของนายเคน และนางแดง(เสียชีวิตแล้วทั้งสองท่าน)
    อุปสมบท : ปี พ.ศ.2487 ณ วัดบ้านโนนแดง(วัดบ้านเกิด)โดย พระสารคามมุณี เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา “อินทสโร”
    #สมณศักดิ์
    พ.ศ.2494 เป็นเจ้าอาวาสวัดบุ้งน้ำเต้า และเจ้าคณะตำบลบุ้งน้ำเต้า อ.หล่มสัก
    พ.ศ.2519 เป็นเจ้าอาวาสวัดราหุล อ.บึงสามพัน และได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
    พ.ศ.2525 เป็นพระครูสัญญาบัตรพัดยศ ชั้นโท ที่ “พระครูอนุรักษ์วาปีพิสัย” และ เจ้าคณะอำเภอบึงสามพัน พร้อมทั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดดาวนิมิต
    พ.ศ.2530 เป็นเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
    เรื่องราวของ “หลวงพ่อมหาอาคม อินทสโร” พระผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “อาคมขลังเมืองมะขามหวาน” หากจะว่ากันให้ละเอียดแล้ว 2 ฉบับ ก็ไม่หมดเนื้อหา ดังนั้นต้องกราบขออภัยที่ต้องย่อเรื่องให้กระชับ แต่อย่างไรก็ตามผมจะพยายามให้รายละเอียดต่าง ๆ คงเดิม ตามที่ “ครูแดง” ให้ข้อมูลมาครับ
    กล่าวได้อย่างเต็มที่ว่า หลวงพ่อเป็นผู้ฝักใฝ่ในการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จะเห็นได้ว่าเมื่อเข้าเรียนขั้นมูลหรือชั้นประถมต้น เมื่อายุ 10 ขวบ พ.ศ. 2477 ณ โรงเรียนวัดโนนแดง ต.หนองแปง อ.กมลาไสย จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใกล้บ้าน หลวงพ่อใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นก็จบชั้นประถมปีที่ 4 ใน พ.ศ. 2480 และในปีรุ่ง พ.ศ.2481 ท่านก็ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านตูมชัย ต.หนองแปง ในแถบบ้านเกิดของท่าน ขณะนั้นท่านอายุเพียง 14 ปี
    และดังที่ได้เรียนไว้เบื้องต้น หลวงพ่อเป็นผู้ใฝ่การศึกษา ดังนั้นในการศึกษาพระปริยัติธรรม ท่านจึงพ้นอย่างสะดวกสบาย โดยในขณะอายุ 19 ปี ท่านก็สอบนักธรรมชั้นเอกเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนั้น ท่านยังได้เรียนบาลีไวยากรควบคู่ไปอีกจนแตกฉานกว่าสามเณรในวัยเดียวกัน และเพราะความที่ชอบในการศึกษา หลังช่วงว่างจากการศึกษาบาลีไวยากรแล้ว หลวงพ่อก็เริ่มศึกษาวิชาอาคมกับพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งแต่ละเถรคณาจารย์จะเก่งทางด้านคงกระพันชาตรีและการขับภูติผีปีศาจ แก้คุณไสยต่าง ๆ อาทิ หลวงปู่ป้อ แห่งวัดบ้านเอียด ต.เขว้า อ.เมือง จ.มหาสารคาม และตั้งแต่เป็นสามเณรหลวงพ่อก็ได้วิชาต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะ วิชาขับผี ไล่ปอบ ซึ่งหลวงพ่อก็ได้วิชานี้จนโด่งดัง สมัยเป็นสามเณรแล้ว
    หลังจากอุปสมบทอย่างต่อเนื่องเมื่ออายุครบ 20 ปี แล้วหลวงพ่อก็ได้เดินทางไปศึกษาบาลีธรรมบท ในกรุงเทพมหานคร โดยพักจำพรรษาที่วัดสระเกศ 3 พรรษาด้วยกัน และได้เปลี่ยนสำนักเรียนอีก 2-3 แห่งคือวัดสุทัศน์ และวัดมหาธาตุ แต่แล้วในปี พ.ศ. 2490 ได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น ประเทศไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง เกิดวิกฤติ ข้าวยากหมากแพง จากกรุงเทพมหานคร หลวงพ่อก็ได้โยกย้ายกลับขึ้นไปทางภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ หลบภัยอดอยากจากสงครามโดยจำพรรษาอยู่ที่วัดพระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 2 พรรษา
    ก้าวแรกสู่แดนมะขามหวาน นครพ่อขุนผาเมือง”
    ปี พ.ศ. 2494 หลวงพ่อได้ออกธุดงค์จากจังหวัดเชียงใหม่ล่องใต้ตามไม้หมอนรถไฟ และข้ามน้ำข้ามห้วยปีนเขามาถึงอำเภอหล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจำพรรษาครั้งแรกที่วัดไพรสณฑ์วรารามและได้รับมอบหมายจากเจ้าอาวาสให้เป็นครูสอนบาลีธรรมเพราะในขณะนั้น หลวงพ่อได้เปรียญธรรม 4 ประโยค และในปี พ.ศ.เดียวกันนี้ หลวงพ่อก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลลุ้งน้ำเต้า อ.หล่มสัก และจุดนี้คือจุดหักเหให้ชีวิตในสมณเพศของหลวงพ่อ เป็นไปในการเผยแผ่พระศาสนา อบรมปฏิบัติธรรม จริยธรรม แก่พระภิกษุสามเณรในเขตการปกครอง ตลอดจนการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยการเทศน์สั่งสอน อุบาสก อุบาสิกา และประชาชนทั่วไป จนทำให้ชื่อเสียงในการเป็นพระธรรมถึกของหลวงพ่อโด่งดังไปทั่วอำเภอและใกล้เคียง
    ในปีรุ่งขึ้น พ.ศ.2495 หลวงพ่อก็ได้รับความไว้วางใจ จากคณะสงฆ์จังหวัดเพชรบูรณ์แต่งตั้งให้เป็นพระธรรมฑูต ของจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหน้าที่ออกเผยแผ่ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ตลอดจนพระภิกษุและสามเณรในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์และใกล้เคียง และเพื่อสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ หลวงพ่อจึงต้องจำพรรษาในจังหวัดซึ่งเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ ณ วัดมหาธาตุ พระอารามหลวงประจำจังหวัด ซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่ออยู่จำพรรษามากที่สุด ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอบึงสามพัน
    ช่วงที่อยู่จำพรรษาที่วัดมหาธาตุ เพชรบูรณ์ หลวงพ่อได้ศึกษาวิชาทางโลกเพิ่มเติมจนได้รับสิทธิให้เข้าสอบวิชาครู และสอบได้ในประกาศนียบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการ หลักสูตร “ครูมลพิเศษ” และนับเป็นรูปแรกของพระภิกษุในจังหวัดเพชรบูรณ์ และเพราะวิสัยชอบศึกษาความรู้ในทุก ๆ แขนง เท่าที่โอกาสจะอำนวยให้จนเป็นผู้คงแก่เรียน รู้จริง ปฏิบัติจริง ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อจึงได้รับโปรดประทานจากสมเด็จพระสังฆราชาฯ ให้ดำรงตำแหน่ง “พระวินัยทรในเขตภาคเหนือ” มีหน้าที่ดูแลความเป็นระเบียบของพระภิกษุสามเณรให้อยู่ในระเบียบวินัยและกฎของมหาเถรสมาคม เขตรับผิดชอบ 8 จังหวัดทางภาคเหนือตอนล่าง อาทิ พิจิตร, นครสวรรค์, กำแพงเพชร, สุโขทัย, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, ตากและเพชรบูรณ์
    หลวงพ่อมหาอาคมอยู่ในตำแหน่ง “พระวินัยทร” ตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงเมื่อยกเลิกระบบการปกครองของสงฆ์ในปี พ.ศ. 2507 นับเป็นพระวินัยทรรูปสุดท้ายของจังหวัดเพชรบูรณ์
    นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2505-2517 หลวงพ่อตั้งปณิธานที่จะออกธุดงควัตร บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมและศึกษาด้านเวทมนต์คาถาจากพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ เพิ่มเติม โดยเริ่มต้นจากภาคเหนือ นับแต่ พิจิตร, พิษณุโลก, สุโขทัย ข้ามภูพระวอที่ตาก ไปแม่สอดและข้ามแม่น้ำเมยเข้าไปพม่า จากนั้นจึงวกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือทางจังหวัดเลย มุ่งอีสานข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งลาว แขวงจำปาศักดิ์ แล้วลงภาคใต้ที่ประจวบฯ ลุยขึ้นเขาสามร้อยยอดต่อไปอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปักกลดแถบเขาโตนงาช้างของนครศรีธรรมราช, ยะลาและข้ามไปปาดังเบซาร์แดนมาลายู
    หลวงพ่อใช้เวลาการเดินทางธุดงค์ศึกษาศาสตร์ต่าง ๆพร้อมทั้งบำเพ็ญเพียรกรรมฐาน และสมาธิจิตกลางป่าดงดิบนานถึง 12 ปีเต็ม ๆ ได้วิชาความรู้ด้านเวทมนต์คาถา จากพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมหลายรูป ทั้งฝากตัวเป็นศิษย์ และทั้งแลกเปลี่ยนวิชาอักขระยันต์ต่าง ๆ ตามแต่โอกาสจะอำนวยให้ เช่น ปี พ.ศ. 2508 ขณะธุดงค์ไปจังหวัดตาก ข้ามภูพระวอไปอำเภอแม่สอด ได้ไปขอศึกษาวิชาคงกระพันชาตรี เพิ่มเติมกับ “ครูบากัญชัย” หรือ พระครูศิริรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมาตานุสสรณ์ บ้านแม่กึ๊ดหลวง ฉายา เทพเจ้าลุ่มแม่น้ำเมย
    และในปีเดียวกันนี้ หลวงพ่อก็ได้ตัว “นะ” สำคัญยิ่งมาหนึ่งตัว นะตัวนี้หลวงพ่อเคยนำมาสักให้กับลูกศิษย์คนหนึ่งปรากฏว่าเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นมา ถ่ายรูปทำบัตรประชาชนไม่ติด ต้องมาสักแก้จึงถ่ายรูปทำบัตรประชาชนได้ นะตัวดังกล่าวคือ “นะลือชา” หลวงปู่แพง วัดสิงห์หารบ้านสะพือ อุบลราชธานี ศิษย์เอกเทพเจ้าภูเขาควายที่ลือลั่น “สมเด็จรุน” หลวงพ่อได้ร่ำเรียนวิชา ฝังตะกรุดทองคำใต้ท้องแขน และฝังแก้วมณี 4 ดวง (แก้วมณี โชติ-แก้วไพฑูรย์-แก้วปัทมราช-แก้ววิเชียร) คาถาเหล่านี้เป็นคาถาสารพัดนึก ใช้ได้ อยู่ยงคงกระพันมหาอุด แคล้วคลาด เมตตามหานิยม แก้คุณไสยทุกประเภท
    หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์ สุดยอดพระเกจิในอดีต ได้มอบยันต์และคาถากำกับโดยผ่านศิษย์เอกของท่านรูปหนึ่ง ซึ่งปักกลด อยู่ตรงรอยต่อของอำเภอท่าตะโก นครสวรรค์และเพชรบูรณ์ และหลวงพ่อมหาอาคมได้ไปพบเข้าพอดี นะของหลวงพ่อเดิมที่หลวงพ่อได้รับมา คือ “นะ ซ้อนหัว” ซึ่งหลวงพ่อมหาอาคมได้นำลงในตะกรุดทุกดอกของท่านที่มีการจัดสร้าง
    หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู ลพบุรี คือ พระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่หลวงพ่อได้ไปขอศึกษาวิชาอาคมโดยถวายตัวเป็นศิษย์ ซึ่งหลวงพ่อพริ้ง ได้เมตตามอบคาถา “ประสานกระดูก” ให้หลวงพ่อทำน้ำมันวิเศษ 108 รักษาประชาชนได้สารพัดโรค
    หลวงพ่อใช้ จังหวัดอุตรดิตถ์ ศิษย์เอกหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ภูเก็ต ได้มอบตำราและคาถาการสร้างยันต์ตะกรุดโทน “คู่ชีวิต” ให้เมื่อครั้งหลวงพ่อธุดงค์ผ่านจังหวัดอุตรดิตถ์
    และเมื่อต้นปี 2513 เมื่อหลวงพ่อข้ามเขารังไปยังอำเภอชนแดน เพื่อกราบนมัสการเยี่ยมหลวงพ่อทบ ที่วัดพระพุทธบาทชนแดน เพราะทราบข่าวว่ามีคนร้ายบุกขึ้นไปปล้นทรัพย์หลวงพ่อทบบนกุฏิและคนร้ายได้ยิงหลวงพ่อทบถึง 4 นัด แต่ลูกปืนไม่ออก หลวงพ่อได้กราบเรียนหลวงพ่อทบว่า ขณะที่คนร้ายยิงหลวงพ่อทบได้ใช้คาถาอะไร ปืนคนร้ายจึงยิงไม่ออก หลวงพ่อทบท่านมีความเมตตา และชอบพอนิสัยหลวงพ่อมหาอาคมอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ท่องคาถาให้หลวงพ่อมหาอาคมฟัง 1 เที่ยว แล้วลองให้หลวงพ่อท่องให้ฟัง ปรากฏว่าหลวงพ่อมหาอาคมท่องได้ถูกหมดและแม่นยำ หลวงพ่อทบจึงได้บอกว่าเอาไปใช้ดูเป็นคาถาดับไฟดับปืนให้เป็นน้ำ ซึ่งก่อนหน้านี้หลวงพ่อมหาอาคมก็เคยได้คาถา “เมตตาค้าขายดี” ของหลวงพ่อทบมาก่อนแล้ว โดยผ่านโยมผู้หญิงกลางคนหนึ่งที่เป็นศิษย์หลวงพ่อทบ ซึ่งโยมผู้นั้นมีอาชีพค้าขาย ต้องการค้าขายดี ร่ำรวย จึงได้พาลูกและครอบครัวไปกราบขอพึ่งบารมีหลวงพ่อทบ ซึ่งท่านได้เมตตาเขียนเป็นตัวหนังสือขอมลงในกระดาษแทนผ้ายันต์ เพื่อให้ไปบูชา เมื่อได้คาถามาแล้วโยมผู้นั้นอ่านไม่ออก ก็นำคาถาบทนั้นมาให้หลวงพ่อมหาอาคมอ่านและแปลให้ฟัง หลวงพ่ออ่านและแปลจนเข้าใจและท่องจำได้ขึ้นใจ เมื่อมีโอกาสพบหลวงพ่อทบจึงท่องให้ฟัง ซึ่งหลวงพ่อทบบอกว่าใช่ ความจำมหาดีมาก ฉันยกให้ลองเอาไปใช้ดูนะแม้จะได้วิชาอาคมจากพระเกจิชื่อดังแห่งยุคหลาย ๆ รูป แต่ดูเหมือนจะไม่อิ่มในการใฝ่เรียนรู้ของหลวงพ่อมหาอาคมเพราะแม้แต่คฤหัสคนใดที่เก่งจริงรู้จริง หรือจะเป็นเทพเป็นร่างทรง ท่านเป็นขอศึกษาเล่าเรียนทันที เช่น “หลวงปู่ทองคำ” ซึ่งอยู่ในร่างทรงของผู้ประพฤติดี ปฏิบัติดี ท่านหนึ่ง (หลวงปู่ทองคำ เป็นพระภิกษุที่มรณภาพกว่า 400 ปีแล้ว) หลวงพ่อมหาอาคมก็เคยฝากตัวเป็นศิษย์ และได้คาถาดี ๆ จากองค์ที่นับถือเป็นครูอาจารย์
    12 ปี แห่งการแสวงหาและบำเพ็ญเพียรของหลวงพ่อมหาอาคม ได้ทำให้วัตถุมงคลของท่านมีพุทธาคมเข้มขลัง มีพลังแห่งอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์สูงส่ง
    และเป็นที่มาแห่งฉายา“อาคมขลัง เมืองมะขามหวาน”
    และนับแต่ปี พ.ศ. 2520 หยุดการธุดงค์แล้ว 15 ปี หลวงพ่อก็เริ่มจำพรรษาที่วัดบ้านราหุล ต.โคกตะยอ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ ตามคำนิมนต์ ของบรรดาศิษย์และได้ค้นหาภูเขาเล็ก ๆ ที่เคยเดินธุดงค์มาพบ เพราะเหมาะแก่การสร้างวัด เมื่อค้นพบแล้วจึงชวนชาวบ้านและคณะศิษย์ย้ายจากวัดราหุล เริ่มก่อสร้างวัดขึ้นใหม่ ในทำเลนี้ ซึ่งก็คือ วัดดาวนิมิต ในปัจจุบัน
    มรณกาล
    หลวงพ่อมหาอาคมถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชราในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ นับเป็นการสูญเสียพระเถระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบไปอีกรูปหนึ่ง สุดท้ายนี้จะได้นำเอาคำสั่งสอนของหลวงพ่อมาลงไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ดังนี้
    "มนุษย์และสัตว์ในโลกนี้ เขาเหล่านั้นมาเกิด
    เขาไม่รู้ว่าชาติความเกิดเป็นทุกข์ ชราความแก่เป็นทุกข์
    พยาธิความป่วยไข้เป็นทุกข์ มรณะ ความตายก็เป็นทุกข์
    เกิดมาแล้วโตขึ้นมาจึงเห็นความทุกข์ จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
    ถ้าเขารู้คงไม่มาเกิดและไม่มีใครอยากเกิดด้วย
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย สี่อย่างนี้มาพร้อมกันตั้งแต่เกิด
    ถ้าไม่เกิด ก็ไม่แก่ ถ้าไม่แก่ก็ไม่เจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็ไม่ตาย
    เขาเรียกกันว่าธรรมชาติ เป็นธรรมดาของโลกต้องเป็นไปอย่างนั้น
    ขันธ์ทั้ง ๕ (ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ)
    ไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้เสวย ไม่มีผู้ตั้งมั่น ไม่มีผู้ดำเนิน
    (ดังนั้นจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ว่าเป็นตัวเรา
    และไม่ควรยึดมั่นสิ่งทั้งหลายว่าเป็นของเรา)"
    เปิดบันทึกตำนานหลวงพ่อมหาอาคม-

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหล่อรุ่น๑หลวงพ่อมหาอาคม

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250624_004141.jpg IMG_20250624_004210.jpg IMG_20250624_004113.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,299
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1750699753882.jpg FB_IMG_1750699821949.jpg

    สมเด็จตรัสรู้ วัดทุ่งเสรี ปี๒๕๑๙
    หลวงปู่โต๊ะ , อ.ชุม ไชยคีรี และพระเกจิรวมปลุกเสก
    พระผงพิมพ์โพธิ์ พุทธคยา วัดมหาธาตุ ปีพ.ศ. 2519 พิธีใหญ่ หลวงปู่แหวน หลวงปู่โต๊ะ พร้อมกล่องเดิม
    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง พระผงใบโพธิ์พุทธคยา จัดสร้างปี พ.ศ. 2519 โดยวัดทุ่งเสรี กรุงเทพ มีขนาดเล็ก สูง 2.3 x 1.5 ซ.ม. พิธียิ่งพุทธาภิเษกยิ่งใหญ่ มีการปลุกเสก 3 วาระด้วยกันดังนี้
    วาระที่ 1 เกจิคณาจารย์ดังจากทั่วประเทศปลุกเสกเดี่ยว 99 รูป
    วาระที่ 2 ประกอบพิธีปลุกเสก ณ สถานที่ตรัสรู้ ภายในบริเวณมหาวิหารพุทธคยา ประเทศอินเดีย
    วาระที่ 3 ประกอบพิธีพุทธาภิเษกที่วัดทุ่งเสรี กรุงเทพ วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2519 โดยมีพระเกจิคณาจารย์ชื่อดังจากทั่วประเทศมาร่วมพิธีมากมาย อาทิ
    หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    หลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย
    หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง
    - หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง
    - หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม
    - หลวงปู่เส่ง วัดกัลยาณ์
    - หลวงพ่อผล วัดมหาธาตุ
    - หลวงพ่อผ่อง วัดสามปลื้ม
    - พระมงคลราชมุนี วัดสุทัศน์
    - พระอาจารย์สมพวง วัดเวฬุราชิน เป็นต้น
    พระอาจารย์ ชุม ไชยคีรี เป็นต้น นอกจากนี้ หลวงปู่แหวน ได้ปลุกเสกเดี่ยวเพิ่มอีก ณ. วัดมหาธาตุ จ.กรุงเทพฯ
    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง พระผงใบโพธิ์พุทธคยา เสก 3 วาระ พร้อมกล่องเดิม พ.ศ.๒๕๑๙

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งเดือน 30 บาทครับ

    IMG_20250624_001922.jpg IMG_20250624_001947.jpg IMG_20250624_001855.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,299
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1750762164575.jpg FB_IMG_1750762348139.jpg

    ผงอิทธิเจของหลวงปู่ปรงนั้นเด็ดขาดมาก ทางมหานิยม มหาเสน่ห์ ขนาดว่าเวลาที่ท่านลบผงและทำผงอิทธิเจ จะมีพวกแมลงต่างๆมากมายมารุมเกาะตามตัวและใบหน้าของท่านเต็มไปหมด
    ข้อมูลจากเฟส พระชัยพุทธมหานาถ หลว...
    พระผงรูปเหมือนรุ่นแรกนี้ !!! สร้างจากผงอิทธิเจที่หลวงปู่ท่านลบผงเอง และนำพิมพ์เหรียญรุ่นแรกมาทำพระผงด้วยมือท่านเองหลวงปู่เคยสั่งไว้ว่าถ้าจะให้เป็นเมตตามหานิยมท่านให้เอาองค์พระมาวนรูปที่แก้มบนใบหน้าของเราแล้วอธิฐานจะเป็นมหานิยมมหาเสน่ห์ดีนักแล ,,
    ( ปล. เพื่อเผยแผ่บารมีของหลวงปู่เป็นวิทยาทานเท่านั้น ),.,, สาธุๆๆ
    พระผงอิทธิเจ หลวงปู่ปรง วัดธรรมเจดีย์ จ.สิงห์บุรี รุ่นฉลองอายุ 85 ปี มีผงมวลสารผสม ( ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงอิติปิโส ) สุดยอดเมตตา
    หลวงปู่ปรง ท่านเป็นศิษย์สายเดียวกันกับหลวงกวย วัดโฆสิตาราม นั่นคือสายหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์
    ประวัติหลวงปู่ปรงเเละวัตถุมงคลต่างๆของท่าน
    วัดธรรมเจดีย์ ตั้งอยู่ ต.สระเเจง อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เดิมเป็นวัดร้าง สันนิษฐานตามพระเครื่องที่มีการค้นพบที่วัด พิจารณาจากลักษณะเป็นพระโคนสมอในสมัยอยุธยาตอนปลาย เดิมชื่อวัดโคกเจดีย์ เป็นวัดร้าง ไม่มีป้ายบอกชื่อวัด มีเเต่โคกเจดีย์เก่าเเก่ มีสภาพชำรุดทรุดโทรม ถูกลักลอบขุดหาวัตถุโบราณ ปัจจุบันโคกเจดีย์ที่ว่านี้ ถูกปรับสภาพเรียบไปเเล้ว ไม่พบวัตถุโบราณเเละหรือพระเครื่องหลงเหลืออยู่เลย อีกสถานที่หนึ่งใกล้กับโคกเจดีย์นี้ ขณะปรับพื้นที่วัด ได้พบโครงกระดูกมากมาย เเละยังพบพระเครื่องเนื้อดินเผาอยู่ในหม้อดินถูกฝังไว้เเตกหักเสียหายเป็นจำนวนมากเนื่องจากการใช้รถปรับที่ให้เรียบ พระเครื่ององค์ดีๆหรือที่บิ่นชาวบ้านเก็บเอาไปบูชา สมัยก่อนใช้วิธีการคือใช้ลวดถักคล้องคอ เกิดเหตุอัศจรรย์คือ คนที่คล้องพระจะยังอยู่ เเต่คนที่เอาพระไปเก็บไว้บ้าน พระจะหายไป บางคนมาตามเจอ ปรากฎว่า พระกลับมาอยู่ที่เดิม องค์ที่เเตกชำรุดก็จะกลับมาอยู่ที่เดิมเช่นกัน
    เมื่อหลวงปู่ปรงมาจำพรรษาที่วัดนี้ ชาวบ้านได้สร้างกุฎิศาลามุงเเฝกให้ เเละได้ขออนุญาตทางกรมศาสนาตั้งชื่อวัดตามชาวบ้านที่เรียกว่า วัดโคกเจดีย์ หรือวัดดอนเจดีย์ เเต่หลวงปู่ปรงบอกชื่อวัดธรรมเจดีย์ดีที่สุด
    ลำดับเจ้าอาวาส
    ตั้งเเต่เป็นวัดเเละกลายสภาพเป็นวัดร้าง ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับอดีตเจ้าอาวาสเลย จนหลวงปู่ปรงได้มาจำพรรษาเเละกลายเป็นเจ้าอาวาสรูปเเรกของวัดยุคใหม่(วัดธรรมเจดีย์)
    ประวัติหลวงปู่ปรง
    เดิมชื่อ ปรง ปิ่นทอง เกิดปีมะเส็ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๘ เป็นบุตรของคุณพ่อปั้น ปิ่นทอง เเละคุณเเม่ปลีก ปิ่นทอง มีพี่น้องสามคน คนเเรกชื่อ นานยโป้ย ปิ่นทอง คนรองชื่อนางเปล่ง จงกสิกรรม หลวงปู่ปรงเป็นคนสุดท้อง
    อุปสมบท
    อุปสมบทครั้งเเรกเมื่อพ.ศ.๒๔๖๘ ที่วัดห้วยเจริญสุข มีหลวงพ่อพระครูศรี วิริยะโสภิต วัดพระปรางค์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อช้ามเเละหลวงพ่อผ่อง เป็นพระคู่สวด เรียนวิชากับหลวงพ่อศรีได้ ๖ พรรษา จากนั้นได้ลาสิกขาเพราะร้อนวิชา ออกมามีครอบครัวเเละใช้ชีวิตเเบบฆราวาส มีบุตรชายหนึ่งคน
    ท่านเคยใช้ชิวิตเเบบเสือ เเบบนักเลง ภายหลังกลับใจมาบวชอีกครั้ง หลวงปู่เข้าอุปสมบทครั้งที่สองปีพ.ศ.๒๕๐๔ ที่วัดราชประสิทธิ์ จ.สิงห์บุรี มีหลวงพ่อเตี้ยมเป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้น ท่านได้มาจำพรรษาที่วัดธรรมเจดีย์ ๓๐ พรรษา จากนั้นหลวงปู่ได้ออกธุดงค์ไปทางจังหวัดอุทัยธานี เข้าสู่ป่าใหญ่ ออกไปถึงประเทศเขมรเป็นเวลา ๓ ปี จึงกลับมายังวัดธรรมเจดีย์
    การศึกษาวิทยาคม
    ได้บวชเรียนเเละศึกษาวิชาต่างๆกับหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ๖ พรรษา นอกจากนี้ยังได้เรียนวิชาจากพระสงฆ์เเละฆราวาสต่างๆดังนี้
    หลวงพ่อต้วม วัดสนามชัย ชัยนาท
    หลวงพ่อคำ จ.อุทัยธานี
    หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ
    หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา
    หมอเจียก จ.อุทัยธานี
    หลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี จ.อุทัยธานี หลวงพ่อเคนนี้ เป็นอาจารย์หลวงปู่กวยด้วยเช่นกัน เก่งวิชารักษาโรค ประสานกระดูก มีวิชาเล่นเเร่เเปรธาตุ ทำตะกั่วให้เป็นทองคำได้เเบบหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ
    อาจารย์รื่น อำเภอวิเชียร จ.เพชรบูรณ์
    อาจารย์อ้วน วัดด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี
    เสือกลับใจ
    หลังจากบวชครั้งที่สองปีพ.ศ.๒๕๐๔ หลวงปู่จำพรรษาที่วัดธรรมเจดีย์ โดยตัดทางโลกสิ้นเชิง สมัยนั้นทางกองปราบเคยส่งมือปราบมาฆ่าท่าน เพราะท่านเคยมีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำ ทางกองปราบส่งคนปลอมตัวมาเเบบสามัญชน มาหลอกถามท่านว่า บวชทำไม จะสึกหรือไม่ หลวงปู่ตอบไปว่า บวชครั้งนี้ ขอบวชให้พระพุทธองค์ จะไม่ขอลาสิกขาอีกเเล้ว จนกว่าจะถึงฝั่งพระนิพพาน คนที่ปลอมตัวมา เห็นหลวงปู่พูดจาจริงจังดังนั้นจึงไม่ทำอะไรท่าน เเละได้ลบชื่อหลวงปู่ออกจากรายชื่อบัญชีดำ หลวงปู่ก็ได้ปฎิบัติธรรมอย่างจริงจังดังที่ท่านได้กล่าวออกไป
    จากนั้นท่านก็ไปศึกษาตำราเก่าของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ สมัยนั้นหลวงพ่อทอง เป็นเจ้าอาวาส เดินทางไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐที่อุทัยธานี หลวงปู่เก่งวิชาหลายอย่างที่เรียนจากหลวงพ่อศรี เช่น การทำเเหวนเเขน ลงตะกรุด เช่นตะกรุดสามกษัตริย์ ตะกรุดโทน ตะกรุดสามดอก นอกจากนี้ยังเก่งเรื่องทำผงวิเศษ ทำสีผึ้ง ลงมีดหมอได้ขลัง เเละเก่งวิชาตะกรุดกระดอนสะท้อน คือ ถ้าถูกยิง ลูกปืนจะย้อนกลับ
    ปฎิปทา
    ๑. เป็นผู้คงเเก่เรียน ชอบศึกษา ทำผงได้เก่ง เก่งทางตะกรุด มีดหมอ ลงอาถรรพ์ วิชาหลายอย่างทำได้เเบบหลวงปู่กวย
    ๒. ชอบทำวัตถุมงคลเอง ที่หน้ากุฎิหลวงปู่มักนั่งจารตะกรุด หรือเขียนผ้ายันต์ คนไปกราบ บางครั้งนั่งลงยันต์ไป นั่งคุยไป เขียนเสร็จ เสกเดี๋ยวนั้นเลยก็มี
    ๓. ร้อนวิชา หลวงปู่ค่อนข้างร้อนวิชา อย่างที่กล่าว ท่านชอบลงของ ทำของด้วยตัวเอง
    ๔. ชอบเลี้ยงสัตว์ หลวงปู่เลี้ยงหมา เเมว ไก่ ตอนเช้าๆท่านจะขุนข้าวให้มันเอง ปรกติหลังหกโมงเย็น หลังจารตะกรุด ท่านจะมาให้ข้าวพวกมัน เเมวคลุกข้าวให้กินในกุฎิ หมาจะมีข้าวในอ่างให้ข้างนอก เสร็จกิจ หลวงปู่จะสรงน้ำ ทำวัตรสวดมนต์ ปลุกเสกวัตถุมงคลเเละปฎิบัติธรรม
    ๕. ชอบยิงคุนกระสุน คันกระสุนนี้ ใช้ลูกดินยิงเเทนลูกธนู ท่านมักวางไว้ใกล้ตัว สมัยก่อน ใครเคยไปกราบ มักจะเห็นคันกระสุนวางข้างๆตัวท่าน
    คุณวิเศษ
    ๑. หายตัวได้ หลายครั้งที่ศิษย์พบเหตุการณ์ดังกล่าว เช่นขับรถมาถึงหน้ากุฎิ เห็นหลวงปู่นั่งจารตะกรุด พอลงรถมาถึง จะกราบท่านเเละนำของมาถวาย กลับมองไม่เห็น พอเดินไปเดินมา หาท่าน กลับเห็นท่านนั่งอยู่ที่เดิม พอถามว่าท่านไปไหน หลวงปู่ตอบว่า นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปไหน ศิษย์ใกล้ชิดบางคนบอกมาว่า เวลาหลวงปู่เสก หรือลงตะกรุดให้เป็นกำบัง ต้องลงจนไม่มีใครเห็นตัวท่าน
    ๒. ถ่ายรูปไม่ติด หลายครั้งที่ท่านไปงานพิธีต่างๆ มีช่างมาขอถ่ายรูปท่าน บางครั้งหลวงปู่รำคาญ ถ่ายเเบบไม่เกรงใจ หรือท่านยังไม่พร้อม พวกช่างเลยกดชัตเตอร์ไม่ลง บางครั้งถ่ายไปไม่ติดก็เคยมี หลวงปู่เคยเหน็บตะกรุดชนิดหนึ่งที่ท่านทำให้คนทำบุญ เเต่ท่านพกติดตัว มีศิษย์ถาม ท่านเลยตอบไปว่า ท่านรำคาญพวกถ่ายรูป เลยต้องมีดีติดตัวไว้บ้าง ครั้งนึงมีศิษย์มาจากอเมริกา มากราบท่าน หลวงปู่ได้เอาตะกรุดชนิดนี้ออกมาให้ทำบุญ ท่านบอกว่า เงินหาได้ เเต่ตะกรุดเเบบนี้ หาได้ยากกว่าหลายร้อยเท่านัก
    ๓. ทำวัตถุมงคลได้ขลัง ท่านเป็นพระ ชอบพระเอง เเม้อายุมาก ผ้ายันต์ ตะกรุดจารเอง มีดหมอก็จารเอง สมเด็จยุคเเรกๆหลวงปู่ทำเอง รุ่นต่อมาเเม้ไม่ได้ทำเอง เเต่ก็คุมเรื่องมวลสาร เนื้อหา ส่วนผสมต่างๆ วัตถุหลักที่เป็นส่วนผสม เช่น ผงอิทธิเจ เเร่ เส้นเกศา เป็นต้น
    การปลุกเสก มีการอัญเชิญพระอรหันต์ เสกด้วยคาถาชินบัญชร พระคาถาธรรมจักรกัปปะวัตนสูตร พระผงท่านเด่นทางเมตตาเเรง เหรียญเเละตะกรุดก็มหาอุตม์ หยุดปืนได้ไม่เเพ้ใคร
    ๔. ลงอาถรรพ์ได้ ในสระที่วัด หลวงปู่ได้ขุดไว้ ให้ชาวบ้านได้ใช้น้ำอาบเเละกิน ท่านได้ลงอักขระทื่เสา ฝังไว้ที่ขอบสระทั้งสี่ด้าน ถือเป็นเขตวัด เขตอภัยทาน ต่อมีมีชาวบ้านบางกลุ่ม ถือวิสาสะ ไม่เกรงใจเขตวัดเขตอภัยทาน มาดักปลาในสระไปทำอาหารกินกัน ต่อมาเกิดอาเภท บ้านถูกไฟไหม้ ต้องคดีติดคุก มีอันเป็นไปต่างๆนานา เรื่องนี้เป็นที่โจษขานกันมาก ลองไปถามเเถววัดดู เเล้วจะทราบดี
    มรณภาพ
    ในบั้นปลายชีวิต หลวงปู่ได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดห้วยเจริญสุข บ้านเกิดท่าน มาช่วยสร้างโบสถ์ จากนั้น ท่านก็จำพรรษาที่วัดนี้ จนมรณภาพ
    วัตถุมงคล
    ๑. เหรียญ
    เหรียญรุ่นเเรก เเบ่งออกเป็น ๓ ประเภทคือ
    ๑. เหรียญรูปใบมะยมขอบหยัก ด้านหน้ารูปหลวงปู่ปรง ด้านหลังเป็นยันต์ ออกให้วัดช่องลม จ.สิงห์บุรี ปีพ.ศ.๒๕๓๓ เนื้อทองเเดงกะหลั่ยเงินเเละทองเเดงผิวไฟ
    ๒. เหรียญรูปไข่ ออกให้วัดช่องลม ปีเดียวกับเหรียญใบมะยม ด้านหน้ารูปหลวงปู่
    ปรง นั่งทับปืนสั้นสองกระบอก ด้านหลังเป็นพระพุทธรูป หลวงพ่อหิน มีเนื้อ
    ทองเเดงรมดำเเละรมน้ำตาลเป็น เหรียญที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบรรดาวัตถุ
    มงคลประเภทเหรียญ
    เหรียญใบมะยมเเละเหรียญนั่งปืน สร้างโดยอาจารย์มานะหรืออาจารย์เเดง สมัยที่บวชเป็นเจ้าอาวาสวัดช่อง
    ลม ต่อมาอาจารย์เเดงได้ลาสิกขา จากนั้นอาจารย์ทวีศักดิ์ก็มาเป็นเจ้าอาวาสเเทน เหรียญนี้มีการทำพิธีพุทธาภิเษกที่วัดช่องลม โดยมีหลวงปู่ปรง หลวงพ่อเเพ เเละเกจิอื่นๆ เเละหลวงปู่ปรงก็ได้ปลุกเสกเดี่ยวอย่างเต็มที่ หลังจากพิธีได้มีการนำเหรียญที่เสกมาลองยิง ปรากฎว่ายิงไม่ออกสักนัด
    ๓. เหรียญใบเสมา ออกที่วัดธรรมเจดีย์วัดท่าน สร้างปีเดียวกันสองเหรียญที่ออกให้วัดช่องลม ด้านหน้าหลวงปู่ปรงนั่งทับงู ซึ่งเป็นปีเกิดของท่าน ด้านหลังยันต์พุทธซ้อน
    เหรียญทั้งสามเเบบ หมดจากวัดไปหลังจากที่ออกได้ไม่นาน เพราะมีประสบการณ์สูงมาก คือ ด้านมหาอุตม์เเละคงกระพัน เหรียญทั้งสามเเบบออกในคราวหลวงปู่อายุ ๘๕ ปี
    เหรียญรุ่นสอง ลักษณะเป็นเหรียญใบมะยมปี ๒๕๓๗ เนื้อทองเเดงรมน้ำตาล ด้านหน้ารูปหลวงปู่ ด้านหลังพญานาคคู่ ออกในคราวหลวงปู่อายุ ๙๐ ปี
    เหรียญรุ่นสาม ออกปี ๒๕๓๘ ลักษณะ เป็นรูปใบมะยมหรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เนื้อตะกั่วหล่อ ถอดพิมพ์จากเหรียญรุ่นสอง ศิษย์ทำมาถวาย ด้านหน้า หลวงปู่ปรงเต็มองค์ ด้านหลังเรียบ หลวงปู่จารตัว นะ ให้ทุกเหรียญ สมัยก่อนใครไปกราบ ท่านจะเเจกให้ฟรี
    เหรียญออกให้วัดอื่น
    ๑. เหรียญกลมขี่งู ออกให้วัดหัวเด่น ปี ๒๕๓๙ เนื้อทองเเดงรมน้ำตาลเเละรมดำ ด้านหน้ารูปหลวงปู่นั่ง มีงูด้านล่าง ด้านหลังยันต์นะพุทธซ้อน ยันต์ประจำตัวหลวงปู่ สร้าง ๕๐๐๐ เหรียญ เข้าร่วมพิธีปี๓๙ ของวัดโฆสิตาราม งานพิธีพุทธาภิเษกวัดโคกดอกไม้ เเละพิธีที่วัดใหม่เจริญธรรม ก่อนนำเข้าร่วมพิธีต่างๆ หลวงปู่ปรงได้ทำการเสกเดี่ยวก่อนเป็นเวลา ๑ เดือน
    ๒. เหรียญรูปไข่นั่งบัว ออกให้วัดหัวเด่น ปี ๒๕๓๙ เนื้อทองเเดงรมดำ กะหลั่ยเงินเเละกะหลั่ยทอง สร้าง ๑๐๐๐๐ เหรียญ หลวงปู่ปรงเสกเดี่ยว ๑ เดือนกว่า เสกจนพอใจก่อนบอกให้อาจารย์สมานนำเหรียญกลับ
    ๓. เหรียญใบมะหวด ออกให้วัดห้วยเจริญสุข ด้านหน้ารูปหลวงปู่ครึ่งองค์ ด้านหลังรัชกาลที่ ๕ เนื้อทองเหลืองกะหลั่ยทอง ออกปี ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นเหรียญรุ่นสุดท้าย ก่อนที่หลวงปู่มรณภาพ
    ๒.รูปหล่อ
    ๑.รูปหล่อบูชารุ่นเเรก ออกวัดธรรมเจดีย์ ขนาด ๓ นิ้ว เนื้อทองเหลืองรมน้ำตาล สมัยก่อน ออกจากวัดองค์ละ ๕๐๐ บาท
    ๒.รูปหล่อโบราณรุ่นเเรก ออกให้วัดช่อมลม ปี ๒๕๓๓ เป็นรูปหล่อเนื้อทองผสม หล่อโบราณ ไม่ค่อยสวยเเต่ดูเข้มขลัง ก้นตัน สร้างจำนวนน้อย เหตุที่ไม่ค่อยสวย เพราะช่างรีบสร้าง เพราะกลัวไม่ทันงานหลวงปู่ รูปหล่อนี้ มีอภินิหารเเละประสบการณ์สูงมาก เด่นทางมหาอุตม์เเละทางคุ้มครอง ถือเป็นวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบรรดาพระเครื่องของหลวงปู่ปรง
    ๓.รูปหล่อฉีด ออกปี ๒๕๓๖ คราวหลวงปู่อายุ ๙๐ ปี
    ๔.รูปหล่อตั้งหน้ารถ
    ๓.พระผง
    ๔.ตะกรุด
    ๕.มีดหมอ
    ๖.ผ้ายันต์
    มีผ้ายันต์กันไฟ ผ้ายันต์สิวลี ผ้ายันต์เสริมดวง หลวงปู่จารเองหมด
    ๗.เครื่องรางอื่น
    เช่นปลัดขิกเนื้องาเเละไม้ รักยม สมเด็จงาเเกะ นามบัตร
    ๘.รูปถ่าย
    รูปถ่ายขนาดบูชา รูปถ่ายขนาดห้อยคอ ล็อกเก็ต
    พระชุดนอกวัด
    เป็นพระเครื่องที่ศิษย์สร้างถวาย ให้ท่านปลุกเสก มี
    ๑.รูปหล่อก้นอุดผง ลักษณะเป็นรูปหลวงปู่ทรงชลูด ก้นอุดผง มีเนื้อทองเหลือง เนื้อนวโลหะเเละเนื้อเงิน
    ๒.เเหวนมงคลเก้า เนื้อเงินเเละเนื้อทองเหลือง
    ประสบการณ์วัตถุมงคล
    ๑.เหรียญรุ่นเเรกปืนเเตก
    ๒.เหรียญตะกั่วต้านปืน
    ๓.ตะกรุดกำบัง
    ๔.มีดหมอกันผีปอบ
    ๕.ผ้ายันต์กันไฟ
    ข้อมูลต่างๆ ยังไม่ครบสมบูรณ์ จะรีบเพิ่มเติมให้สมบูรณ์โดยด่วนครับ
    ขอบคุณที่มา
    http://www.watkositaram.com/forum/index.php?topic=8429.0
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ อ.เฒ่า สุพรรณ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250624_175853.jpg IMG_20250624_175927.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2025 at 20:36
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,299
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1750764737386.jpg FB_IMG_1750764734318.jpg
    ผานไถ รุ่นรวยพลิกแผ่นดิน
    หลวงพ่อทองกลึง วัดเจดีย์หอย จ.ปทุมธานี ปี ๒๕๕๑
    เนื้อโลหะ หลวงพ่อชื่น วัดในปราบ ร่วมปลุกเสก
    “ผานไถ” ถือเป็นเครื่องรางของขลังอีกชิ้นหนึ่งที่มีการสร้างขึ้นมาแต่ครั้งโบราณกาล มีอิทธิคุณเด่นมากมายยิ่งนัก ในเรื่องโชคลาภโภคทรัพย์ แม้กระทั่งผานไถที่มีการใช้งานจริง เมื่อมีการปลดระวาง ชาวบ้านต่างนำมาเก็บไว้บูชาเพื่อให้มีโชคลาภวาสนา โดยในปัจจุบันมีผู้สร้าง “ผานไถ” แล้วมีประสบการณ์ มีชื่อเสียงจนเป็นที่เลื่องลือกันอย่างกว้างขวางมีเพียง 2 รูป นั่นก็คือ หลวงพ่อชื่น วัดในปราบ และหลวงพ่อทองกลึง วัดเจดีย์หอย นั่นเอง
    เหรียญผานไถรุ่นนี้หลวงพ่อทองกลึงท่านสร้างขึ้นโดยรวบรวมมวลสารผานไถเก่าจำนวนมาก แผ่นยันต์เกจิคณาจารย์ต่างๆ ที่เน้นเรื่องโชคลาภโภคทรัพย์มากมาย รวมถึงมีพระคณาจารย์ร่วมอธิษฐานจิตผานไถรุ่นนี้นับร้อยรูป พิธีเททองและอธิษฐานจิต มีพระเกจิคณาจารย์ 2 รูป เป็นประธาน ซึ่งนั่นก็คือ หลวงพ่อชื่น วัดในปราบ และหลวงพ่อทองกลึง วัดเจดีย์หอย ซึ่งทั้งสองรูปนี้ต่างก็เชี่ยวชาญในวิชา และการสร้างผานไถ
    ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ผานไถรุ่นนี้จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก นอกจากนี้ยังใช้ทำน้ำมนต์ไล่ภูติผีปีศาจ ไล่ของออกจากผู้ที่ถูกแฝงได้ชะงัดยิ่งนัก จัดเป็นของดีราคาไม่แพง ผู้สนใจรีบเก็บสะสมกันก่อนที่จะหายากในอนาคต
    เหรียญผานไถรุ่นนี้หลวงพ่อทองกลึงท่านสร้างขึ้นโดยรวบรวมมวลสารผานไถเก่าจำนวนมาก แผ่นยันต์เกจิคณาจารย์ต่างๆ ที่เน้นเรื่องโชคลาภ โภคทรัพย์ มากมาย รวมถึงมีพระคณาจารย์ร่วมอธิษฐานจิตผานไถรุ่นนี้นับร้อยรูป
    พิธีเททองและอธิษฐานจิตผานไถ มีพระเกจิคณาจารย์ 2 รูปเป็นประธานอธิษฐานจิต ซึ่งนั่นก็คือ "หลวงพ่อชื่น วัดในปราบ "และ "หลวงพ่อทองกลึง วัดเจดีย์หอย" ซึ่งทั้งสองรูปนี้ต่างก็เชี่ยวชาญในวิชาและการสร้างผานไถ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ผานไถรุ่นนี้จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
    โดยหลวงพ่อทองกลึง ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อสละ วัดประดู่ทรงธรรม, หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค, หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราชวรวิหาร, หลวงปู่บุตร วัดบางเดื่อ, หลวงปู่รอด วัดเกริน, หลวงพ่อสาลี่ วัดสองพี่น้อง, หลวงปู่เส็ง วัดบางนา เป็นต้น
    วัตถุมงคลที่ท่านจัดสร้างน่าบูชาเป็นอย่างมาก
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250624_183310.jpg IMG_20250624_183337.jpg
     
  10. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,012
    ค่าพลัง:
    +5,714
    จองครับ
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,299
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1750771225224.jpg FB_IMG_1750771228400.jpg 1303055-23f8f.jpg

    ผมเชื่อว่าชื่อของ "หลวงปู่พล ธัมมปาโล" แห่งวัดหนองคณฑี จังหวัดสระบุรี นั้น อาจจะไม่ใช่ชื่อที่ทุกท่านคุ้นหูกันมากซักเท่าไหร. . .แต่หากว่าเราเดินทางไปถามคนในพื้นที่วัด และคณะศิษย์ในสายของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน แห่งวัดท่าซุงแล้วละก็ ทุกท่านคงจะพูดเป็นเสียงเดียวกันครับว่าหลวงปู่พลฯ ท่านเป็นดั่ง "ปรมาจารย์" ด้านวิปัสสนาธุระ หรือหากจะเปรียบเปรยกับยุทธภพคงจะต้องเรียกว่า ท่านเป็นดั่ง. . ."เฮ้งเตงเอี้ยง" ยอดจอมยุทธผู้เร้นกาย เลยก็ว่าได้
    ซึ่งปาฏิหาริย์ต่างๆของท่านนั้นชี้ให้เราเห็นได้ถึงผลลัพธ์ ที่สำคัญของการปฏิบัติ วิปัสสนา ดังจะเรียบเรียงอย่างย่อต่อไปนี้ครับ
    ประการแรกเรื่องราวของลูกศิษย์ท่านหนึ่งซึ่งชอบเหน็บธนบัตรเอาไว้ในหนังสือ ครั้นต้องการจะหาเงินก็ไม่สามารถหาให้เจอได้สำเร็จ จึงนำความมาแจ้งแก่หลวงปู่พลฯ เพื่อขอความช่วยเหลือ หลวงปู่พลท่านหลับตาครู่หนึ่งและบอกกับลูกศิษย์ว่า "เงินยังอยู่ที่เดิม. . .แต่เราจะขยับให้" หลังจากนั้นลูกศิษย์จึงกลับไปที่บ้านอีกครั้งและพบว่า มีเงิน ยื่นออกมาจากหนังสือ แบบที่หลวงปู่ท่าน บอกกล่าวมาอย่างน่าอัศจรรย์
    ประการที่สอง มีหญิงชราท่านหนึ่งป่วยเป็นโรคร้ายแรงที่แพทย์ลงความเห็นว่า สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน ๗ วันเท่านั้น ทางครอบครัวได้แต่ทำใจและเริ่มเตรียมงานศพ. . .ปรากฏว่าหลวงปู่พล ท่านทำยาส่งให้หญิงชราท่านนี้ ๑ แก้วและถามรายละเอียดว่าอยู่โรงพยาบาลไหน ห้องอะไร คืนนี้ท่านจะนั่งสมาธิไปรักษาให้ ปรากฏว่าวันต่อมาหญิงชราท่านนี้ ลุกขึ้นมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสมบูรณ์ต่อไปอีกถึง ๓ ปีก่อนจะเสียชีวิตโดยไม่ต้องการการรักษาใดๆ
    ประการสุดท้ายเป็นเรื่องของคุณจักรและคุณศาสน์ซึ่งเล่าว่าสมัยเด็กท่านวิ่งเล่นอยู่ในสถานที่ซึ่งหลวงปู่พล ท่านมาสอนวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยความซุกซน จึงลองปฏิบัติตามที่หลวงปู่พลท่านสอน อย่างเด็กๆเล่นซนกัน แต่กลับสำเร็จได้ถึง "ทิพจักขุญาณ" สามารถบอกได้ว่า สถานที่ต่างๆมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง สามารถสื่อสารกับสัตว์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ และมองเห็นสิ่งต่างๆเหนือธรรมชาติได้อย่างชัดเจน
    ซึ่งจากเรื่องราวข้างต้นนั้นเป็นเพียงเรื่องราวฉบับย่อเท่านั้นโดยทุกท่านคงจะหาเรื่องราวฉบับเต็มได้ไม่ยาก หากแต่ความสำคัญของ หลวงปู่พลฯ นั้นคงจะต้องบอกว่าท่านมีความล้ำลึกพิศดารในทางจิต อย่างสมบูรณ์แบบ ดังจะสามารถสรุปได้ว่า. . .วัตถุมงคลที่ท่านสร้างนั้น เป็นเหมือนเครื่องมือสื่อสารกับท่านได้อย่างดีเยี่ยม
    และท่านมักจะให้ผู้นับถือศรัทธาท่องว่า. . ."สัมพุทโธ" อยู่เป็นประจำซึ่งน่าจะใช้เป็นการทำสมาธิและติดต่อสื่อสารในรูปแบบของท่านก็เป็นได้ครับ
    ก็อยากจะแนะนำให้ทุกท่านลองปฏิบัติตามแนวทางและหาวัตถุมงคลของท่านมาบูชากันดูนะครับ ผมเชื่อว่า "หนุนดวง" ได้อย่างแน่นอน
    เชษฐ์พุทธศิลป์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จสัมพุทโธ
    หลวงปู่พล วัดหนองคณฑี
    พระพุทธบาทสระบุรี
    คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ
    เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระเดชพระคุณพระอริยสงฆ์ ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเรียกว่า พระสุปฏิปันโน มาหลายองค์แล้ว ชักจะเบื่อ ๆ ลองมาเปลี่ยนบรรยากาศติดตามเรื่องของฆราวาส ๒ ท่านดูบ้าง คือ เรื่องของ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ เดี๋ยวพอให้คลายหายง่วงหายเหงา แล้วค่อยกลับเรื่องไปคุยถึงหลวงพ่อ ฯ หลวงปู่องค์อื่น ๆ กันอีกก็แล้วกันนะครับ
    ในสมัยที่ผมได้มาพบกับหลวงพ่อ ฯ ของเรานั้น ผมมียศเป็นร้อยตำรวจเอก แต่ได้รับเกียรติยศเป็นอย่างสูง ให้ไปช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า (ปัจจุบันเรียกชื่อใหม่ว่า “ศูนย์อำนวยการร่วม กองบัญชาการทหารสูงสุด”)
    ทั้งนี้ เป็นความกรุณาอย่างยิ่งของท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งในขณะนั้นมียศเป็น พ.อ. ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองยุทธการ ท่าน พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นมียศ พล.ท. ดำรงตำแหน่งรองเสนาธิการกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ท่าน พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหาร และท่าน พล.อ. ทำเนียบ ทับมณี รองประธานคณะเสนาธิการ กองอำนวยการกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ขณะนั้นยศ พ.ท. ดำรงตำแหน่งประจำกองยุทธการ
    ความจริงนอกจากผู้หลักผู้ใหญ่ทางฝ่ายทหารจะได้กรุณาผมดังกล่าวแล้ว ท่านผู้ใหญ่ทางตำรวจที่ให้ความกรุณาเป็นอย่างยิ่งกับผมในครั้งนั้นก็มี คือ ท่าน พล.ต.ท. ประเนตร ฤทธิ์ฤาชัย อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน และท่าน พล.ต.อ. วสิฏฐ์ เดชกุญชร ณ อยุธยา อดีต รมช. กระทรวงมหาดไทย ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ได้ช่วยเหลือและชักชวนให้ผมไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดนเช่นเดียวกัน
    ผมจำได้ดีว่า ทั้งสองท่านยังได้กรุณาพาผมไปเลี้ยงอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งแถวถนนพหลโยธิน แต่แล้วในที่สุด ด้วยความจำเป็นและความสะดวกสบายที่ได้รับมากกว่าจากทางกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ผมจึงจำเป็นต้องเลือกการไปช่วยราชการอยู่กับฝ่ายทหาร ทั้งๆ ที่ความผูกพันทางใจที่ลึกซึ้งนั้นอยู่กับตำรวจตระเวณชายแดนมากกว่า
    แต่ถ้าท่านเป็นผม ก็คงจะต้องเลือกเช่นเดียวกับที่ผมเลือกไปแล้ว ก็ลองคิดดูว่าจะให้ผมเลือกทางไหน ในเมื่อขณะนั้นผมยังเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เหน็บรักแร้ค้ำยันเวลาเดิน และต้องไปรักษาพยาบาลที่ ร.พ. พระมงกุฎทุกวัน ผมและภรรยาเช่าบ้านอยู่ที่ท่าดินแดงฝั่งธนบุรี ผมจะไปทำงานที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ซึ่งอยู่ตรงข้ามซอยสายลม พหลโยธินได้อย่างไร จะเบียดขึ้นรถประจำทางรึ ก็คงจะไปไม่รอด ครั้นจะขึ้นรถแท็กซี่อีกรึ ก็คงจะไม่มีปัญญา
    สำหรับทางฝ่ายทหารนั้นมีขีดความสามารถในการสนับสนุนและช่วยเหลือผมได้ดีกว่ามาก กล่าวคือ ได้จัดรถยนต์รับ-ส่ง พร้อมพลขับให้ อันเป็นการดูแลและอำนวยความสะดวกตลอดจนบรรเทาความเดือดร้อนในการเดินทาง ทั้งการไปทำงานและการไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ
    ดังนั้น ผมจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางที่จะสามารถดำรงชีวิตได้เอาไว้ก่อน และในระหว่างที่ผมช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้านี้นั่นเอง ผมก็ได้รับความกรุณาจากท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต เป็นอย่างยิ่ง โดยท่านได้กรุณาสนใจและเอาใจใส่ ให้ความสนิทสนม ให้ความคุ้นเคยประดุจบิดาซึ่งกระทำต่อบุตร
    ท่านมักเข้ามาที่ห้องทำงานของผมบ่อย ๆ นอกจากจะเข้ามาคุยเฮฮาสัพเพเหระ หรือเข้ามาสอนเรื่องหน้าที่การงานต่าง ๆ แล้ว ยังสอบถามเกี่ยวกับสาระทุกข์สุขดิบไม่เคยขาด เพราะความดีมีน้ำใจอันสม่ำเสมอของท่านนี่เอง ทำให้ท่านได้เห็นหนังสือที่เกี่ยวกับหลวงพ่อของเรา (ประวัติหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางนมโค) ที่ผมได้พยายามซ่อนเร้นแล้วบนโต๊ะทำงานของผม
    (ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจซ่อนให้จริงจังอะไร เพราะไม่ได้เป็นความผิดอะไร เพียงแต่อายนิดหน่อย กลัวท่านจะหาว่าบาดเจ็บแค่นี้ถึงกับเสียอกเสียใจจนต้องเข้าหาพระหาเจ้า จึงเอาหนังสือเล่มอื่นวางทับไว้ และด้วยเกรงว่าท่านจะหาว่าเอาเวลาราชการมาอ่านหนังสืออย่างหนึ่ง และงมงายอีกอย่างหนึ่ง)
    ต่อมาท่านก็คงจะสังเกตว่า เมื่อมีเวลาว่างคราใด ผมจะต้องหยิบหนังสือของหลวงพ่อ ฯ ขึ้นมาอ่านทุกที (ส่วนใหญ่เป็นเวลาหลังอาหารเที่ยง) ท่านจึงหยิบไปเปิดอ่านดูบ้าง พลิกไปพลิกมาแล้วก็คืน ผมเดาว่าท่านคงจะมีความสนใจ ดังนั้น ถ้าผมมีหนังสือเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ ผมจะหามาเผื่อให้ท่านด้วยอีก ๑ ชุดเสมอ หลังจากนั้นเมื่อท่านพบผม ท่านถามทำนองหยั่งเชิงผมทันทีว่า
    “คุณว่าจริงเร๊อะ” (ท่านคงจะหมายถึง เรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนเล่าเอาไว้)
    ผมก็ได้แต่มองหน้าท่านแบบยิ้ม ๆ ไม่ตอบท่านตรง ๆ ในทันที (เพราะผมก็ยังไม่แน่ใจนั่นเอง) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมได้มีโอกาสศึกษาธรรมจากหลวงพ่อ ฯ และยังได้พบเห็นสิ่งแปลก ๆ ที่น่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ ฯ และเมื่อสังเกตว่าท่านมีเวลาว่างพอ ผมจึงได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ ที่ผมได้ประสบพบมาให้ท่านฟัง ซึ่งท่านก็ฟังเรื่องที่ผมเล่าอย่างสนใจ แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปจากผมว่า จริงหรือไม่จริง
    ส่วนผมเองนั้นก็ไม่ทราบว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ (บุคคลในระดับนี้นั้น เด็กระดับผมชักจูงท่านไม่ได้หรอกครับ) เพราะภูมิปัญญาและความรู้ตลอดจนประสบการณ์ของท่าน สูงกว่าผมมากมายนัก
    เวลาล่วงเลยไปอีกระยะหนึ่ง ผมจึงได้ทราบว่า ท่านนั้นมีความเคารพเชื่อถือใน “หลวงปู่พล” เป็นอย่างยิ่ง สาเหตุนั้นมีอยู่ กล่าวคือ ท่าน พล.อ.ท. ลิขิต สุวรรณทัต (ยศ น.ท. สมัยนั้น) ญาติของท่านและภรรยา ได้ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับ “หลวงปู่พล” อยู่เสมอ ๆ
    สมัยนั้นทราบว่า หลวงปู่พล ฯ ท่านมักจะมาสอนกรรมฐานอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งแถว ๆ บางแค ท่านลิขิต ฯ กับภริยาก็มักจะหาโอกาสไปฝึกเสมอ และได้นำบุตรชายของท่าน ๒ คนติดตามไปด้วย คือ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ซึ่งเมื่อท่านบิดามารดากำลังฝึกกรรมฐาน คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็เล่นกันอยู่ข้างนอกตามประสาเด็ก
    ครั้นเล่นจนเหนื่อยอ่อนจึงมานั่งคอยบิดามารดา และได้ยินการสอนของ หลวงปู่พล ฯ ไปด้วยโดยบังเอิญ และก็ตามประสาเด็กอีกนั่นแหละ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็ชวนกันเล่นนั่งสมาธิเลียนแบบผู้ใหญ่ตามที่ได้ยินคำสอนของ หลวงปู่พล ฯ นั้น
    ปรากฏว่า ทั้ง คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ นั้น พอจิตเป็นสมาธิก็ได้ทิพจักขุญาณทันที สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระ และไม่ใช่เพียงแต่เห็นอย่างเดียว ยังสามารถติดต่อพูดคุยด้วยได้อีก สิ่งของต่าง ๆ ที่บ้านใคร คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ บอกได้หมดว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปที่บ้านนั้นมาก่อน
    แม้สิ่งของบางอย่างที่เจ้าของลืมไปแล้วว่าสิ่งของในกล่องที่เก็บเอาไว้นั้นเป็นอะไร ก็สามารถบอกได้เลยว่าสิ่งของนั้นเป็นอะไร ทีนี้ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณตาท่านก็สนุกใหญ่ ท่านพา คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปที่บ้านของท่าน พาไปที่ห้องเก็บของ แม่จ้าวโวย...สัพเพเหระ สิ่งของกองเป็นพะเนินอยู่ในห้อง อยู่ในกล่องก็มี ห่อเอาไว้ก็มี ขี้ฝุ่นหนาปึ้ก
    ท่านเจ้าของเองก็ลืมไปหมดแล้วว่า ภายในมีอะไรบ้าง แล้วคุณตาก็ถามคุณหลานว่าห่อนั้นห่อนี้มีอะไร คุณหลานก็บอก ซึ่งเมื่อแก้กล่องหรือห่อออกมาพิสูจน์ดู ก็ตรงตามที่คุณหลานบอกเอาไว้ไม่มีผิดพลาด คุณตากับคุณหลานก็มักจะเล่นทายสิ่งของที่หมกเอาไว้จนคุณตาลืมอยู่เป็นประจำ จนคุณหลานสุดแสนจะเบื่อหน่าย แต่คุณตาไม่เบื่อเลย (สมัยนั้น คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ อายุราว ๆ ๔-๕ ขวบ)
    คุณตาอยากเล่นแบบนี้ด้วยทุกวัน เพราะการทายสิ่งของดังกล่าวนี้ คุณตาสามารถท้าพิสูจน์กับใครก็ได้ว่าคุณหลานเห็นจริง ๆ นอกจากนั้น เรื่องที่ตลกและขำขันก็คือ คราวหนึ่ง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นึกสนุกอยากจะรู้ใจเจ้าสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้ขึ้นมา จึงได้ผลัดกันหลอกถามเจ้าสุนัขน้อยนั้นว่า ระหว่าง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น เจ้าหมาน้อยรักใครมากกว่า
    คำตอบของเจ้าหมาน้อยทำให้ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ หัวเราะลั่นจนงอหาย ชอบอกชอบใจว่าสุนัขนั้นตอบถูกใจ แต่ก็ทำเอาคุณพ่อคุณแม่ตกอกตกใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้มาสอบถาม และจึงพลอยได้รู้เรื่องนี้ไปด้วย
    ทั้งนี้ไม่ว่าใคร พอได้ทราบว่าเจ้าหมาน้อยตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไรแล้ว ต่างก็หัวร่อกันงอหายเช่นเดียวกับ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปตาม ๆ กัน เพราะสำหรับสุนัขแล้ว คำตอบนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าสุนัขน้อยตัวนี้ นอกจากจะฉลาดแล้วยังมีปฎิภาณไหวพริบและ IQ ไม่เบา
    อยากรู้ไหมว่าเจ้าสุนัขตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไร มันตอบว่า “รักเท่ากัน”
    ผมยังจำได้ดีในขณะที่ได้ฟังเรื่องนี้จากท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ท่านจะเล่าไปหัวเราะไปขบขันขนาดน้ำหูน้ำตาไหล ท่านว่า “แหม...ไอ้หมาตัวนี้มันฉะหลาด (ฉลาด)” แล้วก็หัวร่อต่อจนงอหงาย..!
    "หลวงปู่พล ธัมมปาโล" วัดหนองคณฑี จ.สระบุรี
    "ปรมาจารย์" ด้านวิปัสสนาธุระ" พระผู้ปฏิบัติดี
    ปฏิบัติชอบ รักสงบ แต่มากด้วยเรื่องราวของอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เกิดขึ้นกับบรรดาลูกศิษย์มากมาย
    ประการแรก เรื่องราวของลูกศิษย์ท่านหนึ่งซึ่งชอบเหน็บธนบัตรเอาไว้ในหนังสือ ครั้นต้องการจะหาเงินก็ไม่สามารถหาให้เจอได้สำเร็จ จึงนำความมาแจ้งแก่หลวงปู่พลฯ เพื่อขอความช่วยเหลือ หลวงปู่พลท่านหลับตาครู่หนึ่งและบอกกับลูกศิษย์ว่า "เงินยังอยู่ที่เดิม. . .แต่เราจะขยับให้" หลังจากนั้นลูกศิษย์จึงกลับไปที่บ้านอีกครั้งและพบว่า มีเงิน ยื่นออกมาจากหนังสือ แบบที่หลวงปู่ท่าน บอกกล่าวมาอย่างน่าอัศจรรย์
    ประการที่สอง มีหญิงชราท่านหนึ่งป่วยเป็นโรคร้ายแรงที่แพทย์ลงความเห็นว่า สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน ๗ วันเท่านั้น ทางครอบครัวได้แต่ทำใจและเริ่มเตรียมงานศพ. . .ปรากฏว่าหลวงปู่พล ท่านทำยาส่งให้หญิงชราท่านนี้ ๑ แก้วและถามรายละเอียดว่าอยู่โรงพยาบาลไหน ห้องอะไร คืนนี้ท่านจะนั่งสมาธิไปรักษาให้ ปรากฏว่าวันต่อมาหญิงชราท่านนี้ ลุกขึ้นมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสมบูรณ์ต่อไปอีกถึง ๓ ปีก่อนจะเสียชีวิตโดยไม่ต้องการการรักษาใดๆ
    ประการที่สาม หลวงปู่เสกทราย ไล่แมลงที่มากัดกินพืชตามไร่นา มีลูกศิษย์มาเรียนหลวงปู่ว่าพืชไร่ที่ปลูกไว้โดนแมลงต่างๆ เข้ามาทำลายทำให้เกิดความเสียหายต่อพืชผล หลวงปู่พล จึงให้นำทรายมา แล้วท่านเสกให้ชาวบ้านเอาไปโรยตามไร่นา ปรากฏว่าแมลงต่างๆ หายไปหมด
    หลังจากนั้นจึงมีคนขนทรายมาเป็นคันรถ ให้หลวงปู่เสก เพื่อนำไปโรยตามไร่นา
    หลวงปู่พล ธัมมปาโล ท่านมรณะภาพ
    22 / พ.ย./ 2534 ( 92ปี )

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จสัมพุทโธ หลวงปู่พล
    วัดหนองคณฑี ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250624_201617.jpg IMG_20250624_201651.jpg
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,299
    ค่าพลัง:
    +21,398
    1750764529893.jpg 1750764538035.jpg

    เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ราวปี 2527 ลงในนิตยสารมหัศจรรย์ เกี่ยวกับมีผู้ค้นพบต้นไม้ประหลาดต้นหนึ่งในจ.กาญจนบุรี มีนกมาเกาะอยู่เต็มต้นโดยไม่ยอมบินไปไหนจนกระทั่งตาย บุคคลผู้นั้น คือนาย บูรพา สพรรณอ่อง ซึ่งมี ที่พำนักอยู่ในซอยลาดพร้าว 42 (ซอยคลองน้ำแก้ว)ต่อมาได้เขียนลงคอลัมน์ในนิตยสารมหัศจรรย์เกี่ยวกับไม้กาหลงรังต้นนี้ โดยมีแม่กาหลงสามนาง คือ แม่ทองคำ แม่ทองดำ และแม่ทองเปลว และได้มีการนำไม้ต้นนี้มาตัดแบ่งออกทำเป็นรูปวัตถุมงคลต่างๆที่เกี่ยวกับมหานิยม มหาเสน่ห์ เช่น สาลิกา, รูปแม่กาหลงรัง,ตะกรุด(กิ่งก้านขนาดเล็กของต้นไม้นี้) ส่วนดินโคนต้นก็ได้นำมาทำเป็นวัตถุมงคลเช่นกัน นิตยสารมหัศจรรย์ลงตลอดเกี่ยวกับผู้มีไว้บูชาจะเกิดโชคลาภ ทำมาค้าขึ้น น่าใช้ครับ
    วัตถุมงคลที่เสกจนนกกากลงบินมาเกาะวัตถุมงคลถึงจะใช้ได้เด่นด้านเมตตามหาเสน่ห์
    “เจ้าแม่แห่งความรัก” เล่าลือกันถึงความเชื่อและศรัทธาที่ว่า...ใครไม่มีแฟน ครอบครัวร้าวฉาน ต้องมาบนบานกับเจ้าแม่กาหลง สองตำนานที่ชวนสะพรึง ณ สะพานข้ามแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี เริ่มกันที่ความเชื่อ ความศรัทธาในจังหวัดกาญจนบุรี นอกจากสะพานข้ามแม่น้ำแควที่มีความเป็นมาที่โลกต้องจดจำความเจ็บปวดของสงครามที่ต้องสูญเสียชีวิตนับหมื่นนับแสน จนเป็นที่มาของเส้นทางรถไฟสายมรณะแล้ว ณ ที่แห่งนี้ ว่ากันว่ายังมี “ศาลเจ้าแม่กาหลง” ถือว่ามีความสำคัญมาก ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเปี่ยมไปด้วยฤทธานุภาพแห่งพลังเมตตาจิตของท่าน ที่ส่งผลทำให้ไม่ว่าใครที่พบรักแล้วผิดหวัง เจ้าแม่กาหลงท่านจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ขจัดปัดเป่าความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคลให้หมดไปได้
    ตำนานที่มาของ “เจ้าแม่กาหลง” นั้นเกิดจากพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินทางออกจาริกมาถึงบริเวณใกล้สะพานข้ามแม่น้ำแควซึ่งวันหนึ่งท่านได้นั่งสมาธิและได้นิมิตพบว่ามีต้นกาหลงอยู่ในบริเวณที่แห่งนั้น ซึ่งมีหญิงสาวผมยาวผิวเหลืองดุจขมิ้น แต่งกายเหมือนสาวชาววังสมัยโบราณด้วยผ้าสีเขียวอร่ามสิงสถิตอยู่ เมื่อชาวบ้านทราบเรื่องจึงเกิดความศรัทธาและพากันจัดสร้างศาลเจ้าแม่กาหลงขึ้นมา โดยบริเวณที่ตั้งศาลเจ้าแม่กาหลงนั้นอยู่ใกล้กับศาลข้ามแม่น้ำแคว เดินทางไปจะอยู่ฝั่งซ้ายมือ ใครที่สักการะด้วยของหอม แม่กาหลงท่านโปรดของหอม เช่น น้ำปรุง น้ำอบ จัดใส่โหลแก้วถวายท่านได้เลย
    วิธีการบูชา จุดธูปหอมสักการะ 7 ดอก ตามด้วยพระคาถาบูชาดังนี้....... “มะอะอุ ศิวังพรหมมา จิตตัง วิญญานังพระแม่กาหลงรัง พระแม่ทองคำ พระแม่ทองเปลว พระแม่กาหลง และองค์พระพุทธนารายณ์มานิมา มานิมา มานิมา”......บอกกล่าวเล่าเรื่องราวที่จะขอได้เลยทุกปัญหาความรัก ผิดหวังความรัก สามีไปมีภรรยาน้อย ภรรยานอกใจ ขอให้ธุรกิจการค้ารุ่งเรือง ขอเข้ารับราชการ หน้าที่การงาน หรือ แม้แต่มาขอหวย มาบอกกล่าวให้เจ้าแม่ช่วยเหลือได้ ซึ่งท่านก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย“...มีเรื่องเล่ากันว่า ในอดีตจะมีหนุ่มสาวที่ผิดหวังในความรัก มาจุดธูปให้เจ้าแม่กาหลงช่วยให้สมหวังในความรัก เจ้าแม่กาหลง...ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นนางไม้ที่อยู่ในต้นกาหลงจะชอบยื่นมือมาช่วยคนที่ผิดหวังในความรัก ท่านมีความสามารถชักจูงและหว่านล้อมให้คนรักกัน ต่อให้เลิกรักกันไปหลายปีก็จะกลับมารักกันได้อีก” อีกหนึ่งเรื่องราวเล่าขานความเป็นมา “ศาลเจ้าแม่กาหลง” มีว่า...ไม้กาหลงรัง ที่มี นก-กา พากันมาลุ่มหลงตายเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของศาลแห่งนี้ เมื่อ บูรพา สุพรรณอ่อง ได้ติดตามมาพบ ณ ในบริเวณสถานีรถไฟของจังหวัดกาญจนบุรีตรงนี้แล้ว จึงมีเหตุให้มานั่งสมาธิด้วยความจำเป็นนาน 7 วัน 7 คืน ระหว่างที่กำลังมอบไม้กาหลงรังให้กับทุกคน เวลานั้นก็เกิดอัศจรรย์อันเหลือเชื่อ เป็นนกสาลิกาลิ้นทองบินลงมาจับต้องตามตัว ตั้งแต่สายยันใกล้เย็น ให้ทุกคนเห็นจริง แล้วจึงสร้างศาลไว้ตรงนี้ เช่นเดียวกับผู้ที่เข้ามากราบไหว้ขอพรยังศาลเจ้าแม่กาหลงเป็นครั้งแรก เมตตา เผือกอ่อน เจ้าของธุรกิจอุปกรณ์เสริมความงาม จ.กาญจนบุรี บอกเล่าถึงความรู้สึกถึงสัมผัสแรกที่เข้ามากราบไหว้ศาลเจ้าแม่กาหลงว่า...“รู้สึกขนลุกตลอดเวลา เหมือนสัมผัสได้ถึงบารมี เข้ามาก็ร่มเย็น ทำให้เกิดความสบายใจ สิ่งที่ขอก็เรื่องของครอบครัวเรื่องสุขภาพ และทำมาค้าขายขอให้เศรษฐกิจดีในเร็ววัน.....”แขกผู้มาเยือนเจ้าของสัมผัสพิเศษ ยังเล่าต่ออีกว่า โดยส่วนตัวเชื่อในเรื่องบุญเรื่องกรรม อยู่ในดินแดนทหารที่มีประวัติศาสตร์ ก็จะรู้สึกถึงความปลอดภัย “เคยเจอเรื่องด้วยตัวเอง ซึ่งเกิดกับคุณแม่ ตอนนั้นปลูกบ้านหลังใหม่ โดยตั้งศาลไม่ถูกจุดกับที่เคยตั้งศาลเก่าอยู่ ทำให้แม่ป่วยหนักถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล หาสาเหตุไม่พบ เลยต้องพึ่งทางไสยศาสตร์ โดยให้ตั้งศาลใหม่เดินออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 47 ก้าว ปรากฏว่าเจอศาลเก่าที่เคยมีก่อนหน้านี้ จึงต้องทำพิธีให้ถูกต้อง แม่ก็หายเป็นปกติ” นอกจากเรื่องราวของความรักแล้ว “เจ้าแม่กาหลง” ก็ยังช่วยเหลือในเรื่องค้าๆขายๆ ผู้ใดมีไม้กาหลงที่ผ่านจากการปลุกเสกจากอาจารย์ที่เรืองเวท ก็จะมีลูกค้ามาอุดหนุนไม่มีขาด ค้าขายร่ำรวย

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงเจ้าแม่กาหลง เนื้อผงกาหลงรัง อ.บูรพา สุวรรณอ่อง จ.กาญจนบุรี ปัจจุบัน ท่านบวชพระเป็นเจ้าอาวาสที่จังหวัดกาญจนบุรี

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250624_204857.jpg IMG_20250624_204937.jpg
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,299
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1750775423249.jpg

    "หลวงพ่อสุด วัดกาหลง" เคยชม "หลวงพ่อรักษ์ วัดน้อยแสงจันทร์" ว่า...
    "ท่านรักษ์เก่งญาณ
    มีญาณแก่กล้าอย่างยิ่ง
    ญาณของท่านรักษ์
    แก่กล้ายิ่งกว่าฉันเสียอีก"
    หลวงพ่อรักษ์วัดน้อยแสงจันทร์
    พระครูสุธรรมธาดา หรือหลวงพ่อรักษ์ ฐิตธรรมโม อดีตเจ้าอาวาสวัดน้อยแสงจันทร์ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ฉบับนี้ขอแนะนำเหรียญดังที่ปลุกเสกเดี่ยวโดยเกจิอาจารย์ผู้ถูกจัดลำดับหนึ่งในร้อยแปดเกจิขลังเมื่อครั้ง ๔๐-๕๐ ปีที่แล้ว ท่านเป็นอดีตเจ้าอาวาสรูปที่ ๔ ของวัดน้อยแสงจันทร์ ซึ่งถือว่าเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๕ (พ.ศ.๒๔๔๔) ในครั้งนั้นได้มีคหบดี ๔ ราย บริจาคที่ให้สร้างวัด คือ นายน้อย นางแสง นายจันทร์ และนายเหม็น วัดนี้จึงได้รับการตั้งชื่อตามผู้บริจาคที่ดิน เพียงแต่รายที่ ๔ ซึ่งมีนามว่านายเหม็นนั้น เจ้าตัวเห็นว่าชื่ออาจจะไม่เป็นมงคลนัก จึงให้ใช้ชื่อเพียง ๓ รายว่า “น้อยแสงจันทร์” เป็นชื่อวัด
    คนแม่กลองนับถือหลวงพ่อรักษ์ วัดน้อยแสงจันทร์กันมากๆ เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณท่าน พระเกจิย่านแม่กลองและมหาชัย ถ้าไม่เก่งจริง คงไม่มีใครเขานับถือกันหรอกครับ ท่านเป็นพระยุคเดียวกับหลวงพ่อสุด วัดกาหลง แต่คนละจังหวัด เอาเป็นว่าจะหาพระที่หวังพึ่งพระพุทธคุณจริงๆ เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อรักษ์ แห่งวัดน้อยแสงจันทร์เหรียญนี้ ใส่แล้วไม่ต้องห่วง นานๆจะมีซักเหรียญครับ เหรียญหลวงพ่อรักษ์ วัดน้อยแสงจันทร์ยุคแรกๆ มักมีรูปโยมพ่อ โยมแม่ หรือคนที่ท่านนับถือ หรือพระอุปัชชาย์อยู่ในเหรียญเสมอ เพราะท่านเป็นพระที่มีความกตัญญูสูงมากครับ
    ครูบาอาจารย์ที่ถือเป็นองค์หลักของท่านเลย คือ หลวงพ่อช้าง วัดเขียนเขต ต.บึงยี่โถ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี แต่จะได้เรียนกับหลวงพ่อเปลื้องด้วยหรือไม่นั้นไม่มีหลักฐานยืนยัน นอกจากนี้ท่านยังได้ชื่อว่ามีความกตัญญูเป็นเลิศ เลี้ยงดูบิดามารดาจนสิ้นอายุขัย ที่วัดศิษย์สายหลวงพ่อคง ท่านก็ว่าหลวงพ่อรักษ์ เก่งเอาการ วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์เรื่องป้องกันภัยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์สูงมาก ประเภทรถคว่ำพังยับแต่คนที่แขวนพระของท่านไม่เป็นอะไร ที่ว่าประสบการณ์ด้านนี้มีเยอะก็เพราะว่าแถบแม่กลองจะมีการขนส่งผลไม้ ของทะเล ฯลฯ
    หลวงพ่อรักษ์ท่านมีสมณศักดิ์ที่พระครูสุธรรมธาดา ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ทำการบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรทั้งใกล้ไกลนับไม่ถ้วน เป็นที่เคารพรักเทิดทูนบูชาของลูกศิษย์โดยเฉพาะชาวจังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดใกล้เคียง รวมไปถึงจังหวัดปทุมธานี ที่องค์อาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทพระเวทย์วิทยาคมให้แก่หลวงพ่อรักษ์ คือ หลวงพ่อช้างวัดเขียนเขต หลังจากได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชาจากหลวงพ่อช้างอย่างหมดสิ้น ปี ๒๔๙๔ ท่านก็ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดน้อยแสงจันทร์ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม และท่ายังได้ศึกษาพระเวทย์อาคมกับท่านพ่อบัณฑูรย์สิงห์ ฆารวาสผู้กระเดื่องนามที่มีเกจิอาจารย์ยุคเก่าเป็นลูกศิษย์ของท่านมากมาย
    หลวงพ่อรักษ์แห่งวัดน้อยแสงจันทร์องค์นี้จัดเป็นเกจิขลังอาจารย์ดังผู้มี “ดี” อย่างแท้จริง ท่านจะปลุกเสกวัตถุมงคลทุกรุ่นด้วยตัวท่านเองเพียงลำพัง ไม่มีการจัดพิธีพุทธาภิเษกแต่อย่างใด แม้ท่านจะจากไปในปี ๒๕๓๘ ด้วยวัย ๘๖ ปี แต่ลูกศิษย์ลูกหาของท่านยังเหนียวแน่น ในจำนวนวัตถุมงคลของท่านหลายรุ่นหลายแบบทั้งเนื้อผง รูปหล่อ และเหรียญ หลายรุ่นหลายวาระ ตั้งแต่เหรียญรุ่นแรก ปี ๒๕๐๖ ด้านหลังเป็นพระพุทธชินราชเนื้ออัลปาก้า อันเป็นที่นิยมและแสวงหาด้วยสูงประสบการณ์อย่างครบถ้วนทั้งแคล้วคลาดคงกระพัน
    หลวงพ่อรักษ์ท่านเป็นบุตรผู้มีกตัญญูกตเวทิตาต่อบุพการีอย่างยิ่ง โยมพ่อโยมแม่ของท่านจึงได้รับการปั้นรูปเอาไว้ในที่บูชาและอัญเชิญประดับหลังเหรียญของท่านเพื่อเป็นมงคลแก่ผู้บูชา เหรียญทุกรุ่นของท่านมีประสบการณ์อย่างเล่าขานกันไม่รู้จบ ไม่เพียงแคล้วคลาดคงกระพันที่เชื่อขนมกินได้ตามสำนวนโบราณที่เล่าขานกันมาว่าทั้งเหนียวและแคล้วคลาดแบบแมลงวันไม่ได้กินเลือด จึงจัดเป็นเหรียญดีเหรียญเด่นเหรียญเก่าที่มีค่านิยมและยังพอแสวงหากันได้
    โอกาสถัดไปจะเอาประวัติและรายละเอียดเรื่องราวพร้อมทั้งประวัติการสร้างวัตถุมงคลทุกรุ่นมานำเสนอให้ละเอียด โดยเฉพาะพระเนื้อผงพิมพ์สมเด็จสะดุ้งกลับของท่านนั้นเป็นที่แสวงหากันอย่างยิ่ง ว่ากันว่าพุทธคุณดุจเดียวกับหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วทีเดียวครับ
    อมตะสังขารหลวงพ่อรักษ์
    หลวงพ่อรักษ์ ฐิตธมฺโม เป็นบุตรของปู่ยิ้ม ย่าเหม (มีรูปปั้นอยู่บนกุฏิขลังมากมีคนบนบานสำเร็จมามากรายแล้ว) เกิดที่คลองบางตะบูน เดือนเจ็ด วันพุธ ปีจอ ในวัยเด็กเป็นเด็กวัดอยู่วัดสวนแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ภายหลังย้ายมาอยู่ใกล้วัดน้อยแสงจันทร์ เคยตามอาไปอยู่ที่ปทุมธานีใกล้วัดเทียนถวาย แล้วย้ายไปที่ อ.ธัญบุรี เรียนหนังสืออยู่ที่นั่นจนอายุครบอุปสมบทวันที่ ๒๒ ก.ค.๒๔๗๔ มีพระครูธีญญเขตรเขมากรเป็นพระอุปัชฌาย์
    ต่อมาพระประทุมวรนายกเมตตาส่งให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพวงแก้ว ต.บึงบอน อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี ที่วัดนี้ท่านสอบได้นักธรรมโท และไปต่อนักธรรมเอกที่วัดเขียนเขต (เชียงเขต) โดยท่านสอบได้คะแนนดีกว่ารูปอื่นๆ
    ท่านเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อช้างที่วัดเขียนเขต และเรียนกรรมฐานเพิ่มเติมจากท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ (เจิม คุณาบุตร)ที่วัดเกตมวดีศรีวราราม ต.บางโทรัด อ.สมุทรสาครเมื่อท่านกลับมาอยู่ที่วัดน้อยแสงจันทร์เพื่อโปรดโยมมารดาที่ชราภาพ ในขณะนั้นหลวงพ่อพูนเป็นเจ้าอาวาสอยู่ เมื่อหลวงพ่อพูนมรณภาพท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสต่อ เพราะท่านมีคุณสมบัติเหมาะสมด้วยอายุพรรษากาล
    ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้นท่านจะเน้นงานเผยแผ่พุทธศาสนาอย่างยิ่ง มีการฝึกอบรมพระภิกษุสามฌรรทุกกึ่งเดือน ทำวัตรเช้า-เย็น รวมทั้งมีการอบรมศีลธรรมแก่เด็กวัด และนักเรียนโรงเรียนของรัฐ ประชาชนตามหลักเบญจศีลเบญจธรรม พ.ศ.๒๕๑๖ ท่านได้ช่วยสอนประชาชนในจังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดใกล้เคียงให้รู้จัก "หลักการนั่งกรรมฐาน"
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จเนื้อ ผงว่านยาหลวงพ่อรักษ์ วัดน้อยแสงจันทร์ ปี๒๕๑๙

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250624_213231.jpg IMG_20250624_213326.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2025 at 23:43
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,299
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1750785711975.jpg FB_IMG_1750785621456.jpg FB_IMG_1750785639554.jpg

    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน
    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน อมตะเถระแห่งปราจีนบุรี พระรุ่นนี้เมื่อก่อนเค้าก็ไม่พูดไม่บอกกัน ไปถามซื้อเค้าก็บอกแค่ราคา ถามว่าทันหลวงพ่อมั้ย เค้าก็บอกไม่ทราบบ้าง
    วัดสร้างบ้าง ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ผสมปนเปกันไป ทำให้เราผู้ที่เคารพศรัทธาหลวงพ่อปวดหัวกันพอสมควร ใจก็อยากได้ ราคาก็หลักร้อยต้น จะไปเช่าองค์เป็นพันเป็นหมื่นก็สู้ไม่ไหว แต่พอจะเช่ารุ่นนี้กลับมีประวัติคลุมเครือเสียอีก เอาล่ะคับ สาระมาแล้ว
    ... พระผงรูปเหมือน หลวงพ่อเอีย รุ่นนี้ หลวงพ่อสมจิตต์ (ศิษย์เอกหลวงพ่อเอีย) ได้สร้างถวายบูชาพระคุณหลวงพ่อ มวลสารเป็นเนื้อผงพุทธคุณผสม เถ้าอังคารหลวงพ่อเอีย ซึ่งเป็นคติการสร้างแบบโบราณที่นำเถ้าอังคารของครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือมาสร้างเป็นองค์พระรูปเหมือน แล้วนำมาบูชา ประหนึ่งว่า หลวงพ่อท่านยังอยู่กับผู้เคารพศรัทธาไม่ไปไหน บารมีหลวงพ่อเอียเหลือล้นตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ พระเครื่องของท่านได้รับความนิยมสูง ประสบการณ์มากมาย นั่นหมายความว่า
    พระรุ่นนี้ไม่ทันหลวงพ่อเสกนะครับ แต่มีดีที่ผสมเถ้าอังคารหลวงพ่อนี่แหล่ะ และที่สำคัญ่รุ่นนี้ยังประสบการณ์แคล้วคลาดปลอดภัยมากมากเหมือนพระเครื่องรุ่นอื่นที่หลวงพ่อสร้างไว้เลยครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    "เทพเจ้าแห่งเมืองหน่อไม้ไผ่ตง"
    หลวงพ่อเอีย กิตฺติโก (พระครูสังวรกิตติคุณ)
    วัดบ้านด่าน อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี
    หลวงพ่อเอียนี้ผู้เขียนรู้จักมาตั้งแต่ผู้เขียนยังเป็นเด็กอายุยังไม่ถึงสิบขวบ ที่รู้จักท่านก็เพราะท่านมีความคุ้นเคยกับคุณตาซึ่งเป็นคนจังหวัดปราจีนบุรีเหมือนกัน และมารดาของผู้เขียนก็เป็นศิษย์รุ่นเก่าของหลวงพ่อเอีย ผู้เขียนจึงพลอยได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อเอียบ่อยๆ ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อเอียทุกครั้งที่ไปหาท่าน
    หลวงพ่อเอียเป็นคนบ้านด่านโดยกำเนิด ท่านถือกำเนิดเมื่อวันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2448 บิดาชื่อ เธียว
    มารดาชื่อ มา นามสกุล ขยันคิด ทั้งสองถึงแก่กรรมตั้งแต่หลวงพ่อเอียยังเป็นเด็ก
    เมื่อหลวงพ่อเอียมีอายุ 17 ปีจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2465 หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรแล้วก็ศึกษาพระปริยัติธรรมมาตามลำดับ ต่อมาท่านได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท ว่าหลวงปู่ศุขเป็นผู้ทรงคุณวิเศษทางกรรมฐานและวิทยาคม ทั้งมีภูมิธรรมสูง หลวงพ่อเอียจึงได้เดินธุดงค์ไปกราบนมัสการหลวงปู่ศุขถึงที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ปรนนิบัติรับใช้ ทั้งยังได้ศึกษาพระกรรมฐานและวิทยาคมจากหลวงปู่ศุข
    ช่วงที่หลวงพ่อเอียอยู่กับหลวงปู่ศุขนั้น ได้ทันเห็นเสด็จเตี่ยหรือกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จไปกราบนมัสการหลวงปู่ศุขอยู่เป็นประจำ
    เมื่อหลวงพ่อเอียอายุได้ 20 ปี จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2468 ณ พัทธสีมาวัดสัมพันธ์ ต.สัมพันธ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี โดยมีพระครูสังวรกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการอ้วน วัดชัยมงคล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการเคน เจ้าอาวาสวัดบ้านด่าน เป็นอนุสาวนาจารย์ หลวงพ่อเอียอุปสมบทได้รับฉายาว่า กิตติโก
    หลวงพ่อเอียได้เรียนวิทยาคมจากพระธุดงค์อีกรูปหนึ่ง พระธุดงค์รูปนี้มีชื่อว่า พระอาจารย์โกลั่นฟ้า นัยว่าเป็นศิษย์ของสำเร็จลุน โดยพระอาจารย์โกลั่นฟ้าได้ธุดงค์มาจากประเทศลาว มาปักกลดอยู่ภายในบริเวณวัดบ้านด่านนั่นเอง หลวงพ่อเอียได้นิมนต์ให้พระอาจารย์โกลั่นฟ้าจำพรรษาอยู่ที่วัด หลวงพ่อเอียได้ศึกษาวิชาจากพระอาจารย์โกลั่นฟ้านาน 6 เดือนกว่าๆ หลังจากนั้นพระอาจารย์โกลั่นฟ้าก็ออกเดินธุดงค์ต่อไป
    หลวงพ่อเอียเล่าว่าขณะที่หลวงพ่อกำลังครองจีวรเพื่อที่จะออกไปส่งพระอาจารย์โกลั่นฟ้านั้น ปรากฏว่าพระอาจารย์โกลั่นฟ้าหายได้ไปแล้ว หลวงพ่อเอียรีบเดินตามเท่าไรก็ไมทัน ท่านว่าพระอาจารย์โกลั่นฟ้าสำเร็จวิชาย่นระยะทางได้
    หลวงพ่อเอียได้สงเคราะห์สาธุชนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง จนมีประชาชนเคารพเลื่อมใสท่านเป็นอันมาก ถึงกับเรียกขนานนามหลวงพ่อเอียว่า "เทพเจ้าเมืองหน่อไม้ไผ่ตง"
    พ.ศ.2482 หลวงพ่อเอียได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านด่าน ซึ่งยังเป็นยุคที่บ้านเมืองยังอยู่ในภัยสงคราม วัตถุมงคลของหลวงพ่อเอียมีประสบการณ์คุ้มครองทหารและประชาชนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
    ประชาชนที่มาหาหลวงพ่อเอียนั้น มีทั้งที่มาขอรับวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง มาขอน้ำมนต์ไปดื่มและอาบเป็นศิริมงคล ขณะที่หลวงพ่อเอียมอบวัตถุมงคลให้ หลวงพ่อเอียจะสอนให้เป็นคนดีมีศีลธรรม ผู้เขียนนี้ยังจำเสียงสำเนียงของหลวงพ่อเอียเวลาที่ท่านพูดได้ ถ้าเป็นคนทางกรุงเทพฯไปกราบท่านก็จะพูดภาษาภาคกลาง ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไปท่านก็จะพูดเป็นภาษาอิสาน ซึ่งเป็นภาษาอิสานแบบปราจีนบุรี เวลาที่ท่านสนทนากับมารดาของผู้เขียนจะคุยเป็นภาษาอิสาน ซึ่งผู้เขียนได้ยินชัดเจน แต่พอหลวงพ่อเอียท่านคุยกับผู้เขียนท่านก็จะพูดแบบคนกรุงเทพฯ
    ในช่วงพ.ศ. 2510ขึ้นมานั้น พระอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มีชื่อเสียงขึ้นมาจนเป็นกระแสนิยมพระกรรมฐาน พระอาจารย์ฝ่ายวิทยาคมหรือพระเกจิอาจารย์นั้นมีผู้กล่าวถึงน้อยลงไปมาก แต่หลวงพ่อเอียเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ฝ่ากระแสพระสายกรรมฐานขึ้นมาได้ โดยมีชื่อเสียงเกียรติคุณร่วมสมัยกันกับพระอาจารย์รูปสำคัญๆของสายหลวงปู่มั่น แม้แต่การอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลของพระสายกรรมฐานในจังหวัดปราจีนบุรี ก็ยังต้องนิมนต์หลวงพ่อเอียมาร่วมอธิษฐานจิตอยู่เสมอ
    ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงพ่อเอียจึงเลื่องลือระบือไกล มีประชาชนแห่ไปให้ท่านรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แม้แต่คนบ้าเสียสติ สติฟั่นเฟือน คนที่ถูกคุณไสย คุณภูตผีปีศาจหรือถูกกระทำยยำเยียลมเพลมพัด ต่างก็มุ่งหน้ามาขอให้หลวงพ่อเอียรักษาให้ หลวงพ่อเอียไม่เคยเรียกร้องเงินทองเป็นค่ารักษาเลยแม้แต่รายเดียว บางรายมาไกลอาการหนักก็ต้องพักอยู่ที่วัดเป็นแรมเดือน อาหารการกินของผู้ป่วยหลวงพ่อเอียเมตตาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด คิดเป็นเงินเดือนละหลายหมื่นบาท ซึ่งนับเป็นจำนวนที่สูงมากในสมัยนั้น
    ผู้เขียนเคยเห็นหลวงพ่อเอียทำน้ำมนต์ในถังเหล็ก หลวงพ่อเอียท่านเสกเดี๋ยวเดียวเห็นน้ำให้ถังหมุนวนได้เอง เห็นหลวงพ่อเอียประพรมน้ำมนต์ให้ผู้ป่วย แล้วผู้ป่วยอาเจียนออกมาเป็นเส้นผมเป็นกระจุก
    ครั้งหนึ่งผู้เขียนนั่งดูหลวงพ่อเอียรักษาผู้ป่วย อยู่ๆก็มีเสียงคนฮือฮากันขึ้นมา แล้วเฮโรกันเข้าไปมุงดูจนมองไม่เห็นหลวงพ่อเอียเลย ผู้เขียนไม่เห็นเหตุการณ์ในตอนแรก จึงถามคนดูก็ได้ความว่า พอหลวงพ่อเอียประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ปรากฏว่ามีก้อนเนื้อหล่นออกมาจากผู้ป่วย แล้วหลวงพ่อเอียใเอาน้ำมนต์รดก้อนเนื้อนั้น แล้วให้เอาไปทำอาหารกินได้ ยังทันเห็นคนหยิบก้อนเนื้อนั้นไปด้วย
    อีกครั้งหนึ่งมีคนพาผู้ป่วยเป็นผู้หญิงมาหาหลวงพ่อเอีย ผู้เขียนจำได้ว่าตอนนั้นกำลังยืนดูเหรียญรุ่นมังกรคู่ ซึ่งให่ทำบุญเพียงแค่สิบบาท เห็นหญิงผู้ป่วยนั้นอาละวาดดิ้นรนไม่ยอมขึ้นมาบนศาลาที่หลวงพ่อเอียท่านนั่งอยู่ เมื่อญาติๆคุมตัวขึ้นมาได้แล้วผู้หญิงคนนี้ก็นั่งซึม หลวงพ่อเอียเสกน้ำมนต์ประพรมให้เท่านั้น ผู้ป่วยร้องกรี๊ดโหยหวนแล้วได้สติเป็นปกติฟื้นขึ้นมากราบหลวงพ่อเอีย หลวงพ่อก็ให้เอาสายสิญจน์คล้องคอไว้
    วัตถุมงคลของหลวงพ่อเอียทุกรุ่นเป็นที่นิยมกันมาก นับวันจะหายากขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์วัตถุมงคลของหลวงพ่อเอียมีทั้งหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพันมหาอุดแคล้วคลาด เมตตามหานิยมมหาโชคมหาลาภ มีวัตถุมงคลเนื้อผงผสมว่านรุ่นหนึ่งเรียกันว่ารุ่นไล่ควาย ซึ่งความจริงน่าจะเรียกว่ารุ่นควายไล่มากกว่า เรื่องมีอยู่ว่า
    วันหนึ่งลูกศิษย์ของท่านแวะมากราบท่าน ลูกศิษย์ท่านนี้ผู้เขียนเคยสนทนาด้วย แต่วันเวลาผ่านไปนานมากจึงจำชื่อเลือนๆไป ท่านผู้นี้เห็นพระเนื้อผงผสมว่านรุ่นนี้วางตากอยู่ โดยที่หลวงพ่อเอียยังปลุกเสกไม่เสร็จ แต่ด้วยความอยากได้พระจึงหยิบเอาไปก่อน
    ปรากฏว่าวันหนึ่งเดินผ่านควายตัวใหญ่แล้วเกิดเหตุการณ์หวาดเสียวขึ้น ควายตัวที่เห็นนั้นอยู่ๆก็เกิดอาละวาดวิ่งไล่ขวิดศิษย์หลวงพ่อเอียจนล้มลุกคลุกคลาน โดนเขาควายแหลมๆตักเข้าที่ลำตัวหลายครั้งจนเสื้อกางเกงขาดรุ่งริ่ง แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย พอวิ่งหนีควายก็วิ่งไล่ขวิดตามหลังมาตลอด จึงเรียกวัตถุมงคลรุ่นนี้ว่ารุ่นไล่ควาย
    พระองค์ที่เป็นต้นตอของชื่อรุ่นไล่ควายเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อเอียพิมพ์สี่เหลี่ยม รุ่นไล่ควายนี้มีพิมพ์พระสมเด็จขนาดเล็กด้วย(ไม่เล็กนัก) หลวงพ่อเอียมอบให้คุณตาของผู้เขียน แล้วภายหลังคุณตามอบให้ผู้เขียนอีกทีหนึ่ง
    ของขลังของหลวงพ่อเอียแบบหนึ่งดูแล้วไม่มีราคาเพราะเป็นแค่ก้อนขี้ผึ้งแห้งๆ แต่ลูกศิษย์ต่างอยากได้กันมาก ของชิ้นนี้เรียกกันว่า นวด มีคุณวิเศษใช้ได้สารพัด เป็นเมตตามหานิยมมหาโชค คุ้มครองป้องกันภัยกันคุณไสยต่างๆ
    นวด ของวิเศษของหลวงพ่อเอีย
    วิชาสำคัญของหลวงพ่อเอียอีกวิชาหนึ่งเป็นวิชาเสกปรอทห้าสี ท่านได้เรียนวิชานี้มาจากหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า เป็นวิชาเสกปรอทให้แข็งเป็นก้อนด้วยอำนาจจิต โดยจะทำเป็นเม็ดปรอท 5 เม็ด เสกให้ปรอทแข็งและแต่ละก้อนเสกแล้วจะเกิดมีสีไม่เหมือนกัน ปรอทชุดนี้ท่านจะใส่เอาไว้ที่ก้นย่าม คุณวิเศษครอบจักรวาล ที่แปลกคือเวลาที่จะมีใครมาหาท่าน ปรอทชุดนี้จะขยับตัวกรุกๆกรักๆบอกให้ท่านรู้ตัว
    หลวงพ่อเอียมีพระพุทธรูปเป็นแก้วผลึกอยู่องค์หนึ่ง เป็นพระคู่บารมีของท่านโดยตรง มีขนาดหน้าตักประมาณไม่เกิน 3 - 4 นิ้ว เพราะวางไว้บนฝ่ามือได้ ปัจจุบันนี้ไม่ทราบว่าตกอยู่กับท่านใด
    ประชาชนขนานนามท่านว่าเป็น "เทพเจ้าแห่งเมืองหน่อไม้ไผ่ตง" หลวงพ่อเอียสงเคราะห์ประชาชนด้วยความเมตตาตลอดมา จนกระทั่งถึงวันมรณภาพ วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2521 รวมสิริอายุ 73 ปี
    ขอบคุณที่มา
    http://m-legens.blogspot.com/2015/11/blog-post_29.html
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนผสมอัฐิเถ้าอังคารหลวงพ่อเอียวัดบ้านด่าน ปลุกเสกโดยหลวงพ่อสมจิตรวัดบ้านด่าน ศิษย์เอก ที่สืบทอดวิชาของท่าน

    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250624_210254.jpg IMG_20250624_210322.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...