เรื่องเด่น “ที่พึ่งที่ถาวร”

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 31 มกราคม 2018.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    “ที่พึ่งที่ถาวร”
    FB_IMG_1517380598145.jpg
    ถ้าเราไม่ประมาท เรารีบสร้างที่พึ่งให้กับเราเอง สร้างที่พึ่งในใจเรา ปฏิบัติสร้างธรรมะสร้างความสงบให้กับใจ พอใจสงบเราก็มีที่พึ่ง คนอื่นจะเป็นอะไรเราก็ไม่เดือดร้อน ใจเราก็จะไม่หวั่นไหว ฉะนั้นตอนนี้มีบทเรียนว่าครูบาอาจารย์ท่านจะจากเราไปแล้ว แต่เดี๋ยวบางทีก็ลืม พออาจารย์องนี้ตายไปก็ไปหาอาจารย์องค์ใหม่ แล้วก็ไปเกาะอาจารย์องค์ใหม่ แล้วก็ไม่เคยคิดว่าไปเกาะอาจารย์เพื่ออะไร
    ความจริงการไปมีอาจารย์ก็เพื่อจะได้ไปศึกษาคำสอนของท่าน ท่านก็สอนให้เราปฏิบัติ สอนให้เราสร้างที่พึ่งให้กับตัวเราเอง เพราะอาจารย์เดี๋ยวก็ต้องแก่เจ็บตาย ตั้งแต่องค์แรกคือพระพุทธเจ้าท่านก็ต้องแก่เจ็บตาย ท่านก็สอนให้เราปฏิบัติ สร้างที่พึ่ง สร้างมรรคขึ้นมา สร้างสติสร้างปัญญา ถ้าเรามีที่พึ่งมีสติมีปัญญา ใจเราจะไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เมื่อไม่ต้องพึ่งผู้อื่นเวลาผู้อื่นเขาเป็นอะไรไปเราก็ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าเรายังพึ่งตัวเราไม่ได้ เรามัวแต่ไปพึ่งผู้อื่นที่เขาจะต้องมีวันจากเราไป พอเขาจากเราไปเราก็หวั่นไหว เพราะเราจะไม่มีที่พึ่ง เราหวั่นไหวเพราะเรากลัวว่าต่อไปท่านไปแล้วเราจะไม่มีที่พึ่ง นี่คือความประมาทของลูกศิษย์ลูกหาที่เข้าหาครูบาอาจารย์แต่ไม่ได้เข้าหาเพื่อปฏิบัติ เข้าหาเพื่อเกาะท่าน ได้ยินได้ฟังธรรมของท่านตอนนั้นก็เหมือนกับมีธรรม ฟังธรรมแล้วใจก็มีความสุข รู้สึกว่ามีปัญญา แต่มันเป็นปัญญาแบบชั่วคราว เวลาฟังก็เข้าใจ พอหยุดฟังก็หายไปลืมไป พอมีเหตุการณ์อะไรมากระทบใจก็หวั่นไหวขึ้น เพราะว่าปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรมนี้มันเสื่อมได้ ฟังแล้วเดี๋ยวก็ลืม
    ฉะนั้นต้องเอาปัญญาที่เราฟังนี้มาพิจารณาอยู่เรื่อยๆ คิดอยู่เรื่อยๆ ว่าอนิจจาไม่เที่ยง ของต่างๆ ในโลกนี้ไม่เที่ยง ครูบาอาจารย์ที่เราพึ่งพาอาศัยท่านก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวท่านก็ต้องจากเราไป ร่างกายของเราก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวเราก็ต้องจากโลกนี้ไป เราต้องมาสร้างธรรมที่เที่ยง ถ้ามีธรรมแล้วเราจะอาศัยธรรมนี้เป็นที่พึ่งปกป้องรักษาใจของเราได้ ธรรมที่เราต้องมีก็คือสมาธิกับปัญญา ที่เราไม่มีกัน ถ้าเรามีสมาธิมีปัญญาแล้วใจของเราจะไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์ต่างๆ อะไรจะเกิดอะไรจะดับนี้ใจเราไม่เดือดร้อน เพราะใจเรามีที่พึ่งมีความสุขในตัวเอง ไม่ต้องหาความสุขจากผู้อื่น ไม่ต้องหาความสุขจากการไปฟังเทศน์ฟังธรรมกับครูบาอาจารย์ ไม่ต้องหาความสุขจากการไปทำบุญกับครูบาอาจารย์ เราสามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเราเอง ด้วยธรรมของเรา
    เหมือนกับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านก็เป็นเหมือนเรามาก่อน เมื่อก่อนท่านก็อยู่ของท่านไม่มีที่พึ่งท่านก็ไปหาครูบาอาจารย์ ไปแล้วท่านก็ไปศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแต่ไปอยู่แล้วก็ไปฟังแต่ไม่สร้างที่พึ่งขึ้นมา การฟังนี้เป็นเพียงส่วนแรก ต้องฟังเพื่อให้รู้ว่าเราต้องทำอย่างไรเพื่อให้เราเป็นที่พึ่งของเราเอง แต่ถ้าฟังแล้วเราไม่ไปปฏิบัติ การจะเป็นที่พึ่งของเรานี้เราต้องนั่งสมาธิได้ เราต้องมีปัญญาเห็นไตรลักษณ์ เห็นอริยสัจสี่ ถ้าเรามีสมาธิมีปัญญาใจของเราจะไม่มีความทุกข์กับอะไรไม่มีการหวั่นไหวกับอะไร เพราะสมาธิกับปัญญาจะรักษาใจของเราให้นิ่งให้สงบให้ไม่กระทบกระเทือนกับสิ่งต่างๆ ที่มาสัมผัสรับรู้
    นี่คือสิ่งที่เราขาด ขาดสมาธิขาดปัญญา ปัญญาที่ไม่ลืม ตอนนี้เรามีปัญญาแต่เป็นปัญญาที่ลืม ฟังก็เข้าใจ เดี๋ยวสักพักก็ลืมหายไป ถูกกิเลสมาหลอกให้ไปหลงชอบนู่นชอบนี่ต่อไป แต่ถ้ามีปัญญาแล้วมันจะไม่หลง ถ้าปัญญาที่แท้จริงมันจะไม่หลง กิเลสจะมาหลอกให้ไปพึ่งสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันไม่ไป เพราะมันเห็นว่าไม่มีอะไรในโลกนี้พึ่งได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นของชั่วคราว พึ่งได้ชั่วคราว ได้มาแล้วเดี๋ยวก็หมดไป พอหมดไปก็วุ่นวายต้องไปหาใหม่กัน หามาเท่าไหร่ก็หมดไปเท่านั้น ฉะนั้นถ้ามีปัญญาเห็นว่าทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงไม่ถาวร เป็นของชั่วคราว พึ่งได้ไม่นาน ก็ไม่ไปพึ่งมันดีกว่า สิ่งที่เราพึ่งได้ตลอดถาวรก็คือความสงบ คือสมาธิ กลับมาสมาธิดีกว่า เวลาจะไปพึ่งสิ่งนั้นสิ่งนี้ถ้ามีปัญญาก็บอกว่าไม่ไปดีกว่า มาพึ่งความสงบดีกว่า และความสงบนี้เราสามารถพึ่งได้ตลอดเวลา ถ้าเรารู้จักวิธีทำความสงบแล้ว ใจของเราก็จะสงบไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด.
    สนทนาธรรมบนเขา
    วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑
    พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
     

แชร์หน้านี้

Loading...