นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ
    ทำให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง

    และเธอก็ทุกข์ทรมานกับการสูญเสียการมองเห็น
    แต่สามีเธอก็พยายามปลอบใจ และให้กำลังใจเธอตลอด
    พยายามสอนให้เธอใช้ประสาทสัมผัสให้มากขึ้น

    ที่ทำงานของเธอกับสามีอยู่คนล่ะทาง
    แต่เขาก็ขับรถไปส่งและไปรับเสมอ

    จนกระทั่งวันหนึ่งสามีเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก
    เขาจึงพูดกับเธอว่า
    " ให้เธอลองพยายามขึ้นรถเมล์ไปทำงานเอง"
    โดยที่เขาไม่ต้องไปรับไปส่งได้ไหม

    นาทีนั้น?...... ..
    เธอรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว และน้อยใจสามีเธอ
    แต่เธอพยายามทำตามที่เขาขอ

    เธอพยายามขึ้นรถเมล์เอง
    พยายามไปทำงานด้วยตัวเอง
    จนในที่สุดเธอก็สามารถทำได้

    วันหนี่งก่อนที่เธอจะลงรถไปทำงานตามปกติ
    คนขับรถเมล์ก็เข้ามาจับแขนเธอและพูดกับเธอว่า
    " ผมช่างอิจฉาคุณผู้หญิงจริงๆครับ "

    เธอก็เลยถามว่า
    " อิจฉาเธอเรื่องอะไร"
    คนขับรถเมล์ก็เลยบอกว่า

    " สามเดือนที่ผ่านมา
    ผมจะเห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง
    เขาจะขึ้นรถเมล์ตอนเช้า
    มานั่งตรงเบาะหลังคุณ
    เฝ้ามองคุณด้วยความห่วงใย
    และตามคุณลงรถไป
    และเฝ้าดูคุณเดิน.......
    เข้าไปที่ทำงานอย่างห่วงใย
    ทุกๆเย็นเขาก็จะมาเฝ้ารอดูคุณขึ้นรถ
    และคอยดูคุณจนคุณลงรถ"

    พอเธอได้ยินดังนั้น
    เธอก็น้ำตาไหล
    ด้วยความตื้นตัน.. และสำนึกผิด

    เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา
    เขาไม่เคยทิ้งเธอไปไหน
    เขายังอยู่ดูแลเธออย่างใกล้ชิด
    เขาเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่เขา
    ต้องคอยมารับมาส่งเธอซะอีก

    เธอหวนนึกถึงคำพูดเขาที่บ่นลอยๆ ออกมาบ่อยๆว่า
    ชีวิตคนไม่แน่นอน อาจตายวันนี้ พรุ่งนี้ได้ทุกเมื่อเลยน่ะ

    ดูอย่างคุณสิ ....เมื่อวานยังมองเห็น
    วันนี้ คุณมองไม่เห็นแล้ว.....

    เธอคิดน้อยใจเขามาตลอด 3 เดือน
    ที่คิดว่าเขาเบื่อรำคาญการเป็นคนตาบอดของเธอ.....

    ณ . วันนั้น เธอรู้แล้วว่า.....เขากลัวว่า
    วันนี้ พรุ่งนี้ เขาจะตายไป....
    แล้วเธอจะไม่สามารถ ไปไหนมาไหน
    หรือมีชีวิตอยู่เองได้ ถ้าขาดเขา

    http://phusarat.exteen.com/

    ปล.ถ้าเปลี่ยนตัวละครจากคู่สามีภรรยา มาเป็นคู่จิต-ใจ ในตัวเราเอง
    ก็เอามาประยุกต์ใช้ได้เหมือนกันนะ
    การดูแลสร้างพัฒนาการที่ดีขึ้นของ สัญชาติญาณ สันดาน ของตัวเราเอง
    สันดาน เธอว์ต้องการพี่เลี้ยง อ๊ะป่าว...เหอๆ
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การเมืองและประชาธิปไตยในสายตาพุทธทาส : เปลี่ยนสตางค์เป็นสติ
    สุภาคย์ อินทองคง - [ 27 มิ.ย. 49, 12:55 น. ]


    วาทกรรมทางการเมืองของพุทธทาส
    ปี พ.ศ. 2549 เป็นช่วงเวลาครบ 100 ปี ของท่านพุทธศาสนาภิกขุ ปราชญ์ทางพุทธธรรมท่านหนึ่งของดินแดนสยามประเทศไทยเรา เป็นช่วงที่สังคมโลกรู้จักปราชญ์ผู้นี้กว้างขึ้น เพราะองค์กร UNESCO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศ ได้มีมติยกย่องท่านเป็นบุคคลสำคัญแห่งโลกคนหนึ่ง ส่วนสังคมไทยเราเองนั้น คำสอนของท่านได้ไหลซึมซับเข้าสู่สังคม ปัญญาชนอย่างกว้างขวาง และต่อเนื่อง มีผู้เจริญรอยตามเรียนรู้ธรรมตามคำชี้แนะของท่านอย่างกว้างขวาง

    โดยสรุป คำสอนของท่านนั้น มีทั้ง 2 ระดับ คือ ระดับชาวบ้าน ชาวเมืองที่เรียกว่า โลกิยะ คือ ข้อธรรมที่ชาวโลกทั้งหลายผู้หวังโลกิยสุขพึงปฏิบัติตาม เพื่อเป็นบันไดสู่โลกุตรสุขต่อไป และระดับผู้มุ่งมั่นพัฒนาตนให้พ้นทุกข์ทั้งปวง ที่เรียกว่า โลกุตระ คือ ข้อปฏิบัติที่จะพัฒนาตนของปัจเจกบุคคลให้อยู่เหนือโลก เช่น คำสอนเรื่อง “ปฏิจจสมุปปาท อิทัปปัจยตา” ซึ่งแสดงให้เห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์แลดับทุกข์ได้สิ้นเชิง เพราะตัดเหตุเกิดลงได้

    คำสอนระดับโลกิยะและโลกุตระที่ว่านั้น เมื่อว่าโดยหลักรู้ หลักคิด และหลักปฏิบัติก็เป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ต่างระดับขั้นระดับชั้นแห่งการพัฒนาความเป็นคน และความกว้างแคบในระดับปัจเจกและกลุ่มชน

    คำว่า การเมือง เป็นเรื่องของกลุ่มคนหรือเรียกว่า สังคม คือ การที่คนต้องมาอยู่ร่วมกัน ในการอยู่ร่วมกัน นั้น จะพูด จะทำ จะคิดอย่างไร จึงจะส่งผลดีต่อสมาชิกของกลุ่มหรือสังคมนั้น ประเทศนั้นให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ ลด ละ เลิก ความขัดแย้งเสียได้บ้าง การเมืองในภาคปฏิบัติและเป็นเนื้อหาก็คือ การบริหารจัดการสังคม องค์กร หรือรัฐให้ขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี ซึ่งทั้งหมดนี้ จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีสิ่งสำคัญสูงสุดประการหนึ่งเป็นตัวกำกับ นั้นคือ “ตัวรู้ หรือตัวปัญญา” เพราะตัวรู้-ตัวปัญญา จะเป็นตัวทำหน้าที่พิจารณา วินิจฉัย สั่งการ และกำกับ ผ่านกลไกต่างๆ ที่สร้างขึ้น สิ่งที่ต้องรู้ คือ “ตัวความจริง” ทั้งที่ตัวมนุษย์เองและสภาพแวดล้อม และการปฏิบัติการเชื่อมโยงตนเองกับความจริงให้ถูกต้อง ระหว่างความจริงที่ตัวเองกับความจริงที่เป็นสภาพแวดล้อม ทั้งที่เป็นธรรมชาติและสังคมวัฒนธรรม เมื่อใดสังคมขาดองค์ความรู้เรื่องความจริง หรือรู้ แต่รู้ไม่ถูก ไม่ครบถ้วน การเชื่อมโยงก็จะผิดเพี้ยน และเมื่อเชื่อมโยงผิดเพี้ยน ก็จะให้ผลผิดเพี้ยน คือ แทนที่จะช่วยสร้างสุขก็กลายเป็นสร้างทุกข์ อย่างที่เราได้ยินได้ฟังและได้พบเห็นอยู่ในปัจจุบัน ความจริงที่ว่านี้แหละคือ ตัวธรรมะ

    ท่านพุทธทาสได้บอกเราไว้ว่า
    <TABLE borderColor=#cccccc cellSpacing=0 cellPadding=14 width="90%" align=center bgColor=#000000 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>“ธรรม กับ การเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ ; แยกกันเมื่อไร การเมืองก็กลายเป็นการ ทำลายโลกขึ้นมาทันที

    นักปราชญ์การเมืองแต่โบราณ ขอร้องให้ทุกคนเป็นสัตว์การเมือง ( Political animal ) คือ มีหน้าที่สนใจการเมือง ร่วมกันจัดสังคมให้อยู่กันอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องใช้อาชญา ; แต่คนสมัยนี้ ทำได้มากเกินไป ขนาดที่เรียกว่า การเมืองขึ้นสมอง แล้วใช้การเมืองนั้นเอง เป็นเครื่องมือที่กอบโกย หรือฟาดฟันผู้อื่น ครอบงำผู้อื่น เพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว ดังนั้น แทนที่การเมือง จะตั้งอยู่ในฐานะเป็นเรื่องศีลธรรม ก็กลายเป็นเรื่องอุปัททวะจัญไร ในโลกไปเสีย.

    เมื่อกล่าวโดยปรัชญาทางศีลธรรม การเมืองก็คือหน้าที่ของมนุษย์ ที่เขาจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ อันเฉียบขาด เพื่อผลคือ การอยู่กันอย่างผาสุก โดยไม่ต้องใช้อาชญา แต่เมื่อไม่มีการคำนึงถึงศีลธรรมกันเสียแล้ว การเมืองก็กลายเป็นเรื่องสกปรกสำหรับ หลอกลวงกันอย่างไม่มีขอบเขต จนกระทั่งโลกนี้กลายเป็นโลกแห่งการหลอกลวงไปเสีย มีแต่สัตว์การเมือง ที่เป็นสัตว์เอาเสียจริงๆ กล่าวคือ บูชาเรื่องกิน-กาม-เกียรติ แทนสันติสุข.

    มีใครสักกี่คน ที่เป็นนักการเมืองเพื่อเอาบุญด้วยการช่วยสร้างสันติภาพขึ้นในโลก ? และมีกี่คนที่เป็นนักการเมืองเพื่อตัวกู ของกู และมีผลกลายเป็นเรื่องของกิน-กาม-เกียรติ ที่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว.

    นักการเมืองที่แท้จริงต้องมีการสังกัดพรรค ขึ้นอยู่กับพระเป็นเจ้า ซึ่งเป็นยอดสุดของนักการเมือง โดยท่านมุ่งหมายจัดสากลจักรกลให้อยู่กันอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องใช้อาชญา แต่มนุษย์เป็นอันธพาลเสียเอง : จัดการเมืองอย่างเป็นพรรคของมารหรือกิเลส ซึ่งควรเปรียบด้วยพูดผีปีศาจ, เพื่อกู ของกู โดยไม่ต้องมองดูประโยชน์ของผู้อื่น เป็นการท้าทาย และเหยียบหยามพระเจ้า !

    การเมืองที่แท้จริงสำหรับมนุษย์ต่องต้องตั้งรากฐานอยู่บนากฐานทางศาสนาของทุกศาสนาที่มีอยู่ว่า “สัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้น” นักการเมืองที่มีธรรมสัจจะ ข้อนี้อยู่ในใจ ย่อมเป็นนักการเมืองของพระเจ้า การเคลื่อนไหวของเขาทุกกระเบียดนิ้ว มีแต่บุญกุศล จนกระทั่งกลายเป็นปูชนียบุคคลไป.

    “ขอภาวนาให้โลกเรามีนักการเมืองชนิดนั้น เป็นผู้จัดการโลกโดยทั่วไปเถิด.”
    (พุทธทาสภิกขุ. ในวาทกรรมทางการเมือง รวบรวมโดย ไพโรจน์ อยู่มณเฑียร ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์)



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วาทกรรมชิ้นนี้เตือนสติเราในเรื่องใดบ้าง
    ภายใต้วิกฤตสังคมทั้งด้านความรู้ ความคิด และการกระทำที่ขับเคลื่อนอยู่ และวิกฤตของธรรมชาติ และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีมนุษย์เป็นเหตุปัจจัยด้วย และสังคมไทยเราก็กำลังก้าวเดินอยู่บนเส้นทางสายเดียวกันนั้น วาทกรรมของท่านพุทธทาสได้ให้สติเราในเรื่องใดบ้าง จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง

    ในมุมมองของผู้เขียน มองว่าจากวาทกรรมที่ได้ยกมาเสนอไว้นั้น ท่านได้ให้สติเราในหลายเรื่อง เช่น

    1. การเมืองไม่อาจขับเคลื่อนและดำรงอยู่ได้ ถ้าไร้ธรรม นั่น หมายความว่า การเมืองเป็นสิ่งที่แยกจากธรรมไม่ได้ เมื่อใดแยกการเมืองออกจากธรรม ก็จะกลายเป็นเรื่องทำลายโลกขึ้นมาทันที การเมืองคือ การจัดการสังคมทุกระดับ การจัดการทุกระดับต้องมีธรรมเป็นฐาน ธรรม คือ ความจริง ทั้งที่คนและสภาพแวดล้อมทั้งที่เป็นธรรมชาติและสังคมวัฒนธรรม การให้คนได้รู้จักตนเองจัดการตนเอง ให้ถูกต้องตามความจริง ทั้ง 2 ส่วนนี้ และหาวิธีเชื่อมโยงให้เหมาะสม นั้นคือ กระบวนการทางการเมือง และผลลัพธ์ที่มนุษย์ทุกคนและทุกกลุ่มควรต้องการ

    2. ปรัชญาการเมืองที่ 2 สายหลัก คือ สายสัตว์ กับสายมนุษย์ สายแรกเป็นรูปแบบสัตว์การเมืองขึ้นสมอง ซึ่งเต็มไปด้วยความหลอกลวง เป็นโลกที่เต็มไปด้วยสัตว์การเมือง ที่มีการกอบโกยหรือฝาดฟันกัน ครอบงำผู้อื่น เพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว

    ส่วนรูปแบบที่สอง เป็นรูปแบบหน้าที่มนุษย์ที่จะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้อง ตามกฎของธรรมชาติอย่างเคร่งครัด และเฉียบขาด เพื่อผลดี คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของหมู่ชน โดยไม่ต้องใช้อาชญา คือ อำนาจ แต่ใช้ศีลธรรมและปัญญาเป็นตัวกำกับควบคุมพฤติกรรม คือ การพูด การทำและการคิดของมนุษย์

    สังคมโลก กำลังก้าวเดินตามปรัชญาสายไหน?
    สังคมไทยกำลังเดินตามสังคมโลกใช่หรือไม่ ?
    ถ้าใช่ เราควรจะรู้ จะคิด และจะทำกันอย่างไร?
    ใครจะเป็นผู้ชูธงเดินนำทางในปรัชญาสายนี้ ?
    ประชาธิปไตยในสายตาพุทธทาส

    การเมืองกับประชาธิปไตย กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ก็มีความต่างกันอยู่ในเนื้อใน และระดับชั้นการพัฒนา การเมืองเป็นเรื่องความรู้ ความคิด และการปฏิบัติจัดการสังคมทั่วไป ส่วนประชาธิปไตยเป็นเรื่องเดียวกัน แต่มีระดับที่สูงกว่า คือ ต้องใช้ขั้นที่รู้ดี คิดได้ และใช้เป็น

    รู้อะไร คิดอะไร ใช้อะไร ?
    รู้ความจริง คิดความจริง และใช้ความจริง หรือ
    รู้ธรรม คิดตามธรรม และปฏิบัติตามธรรม ดังที่กล่าวแล้วในตอนต้น

    ท่านพุทธทาสได้ให้แนวทางแก่เราไว้ว่า
    <TABLE borderColor=#cccccc cellSpacing=0 cellPadding=14 width="90%" align=center bgColor=#000000 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>“ประชาธิปไตยที่ว่าเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน นั้น ใช้ได้เฉพาะประชาชนที่มีธรรมเท่านั้น, ถ้าประชาชนไม่มีธรรม มันก็กลายเป็นประชาธิปตายเท่านั้นเอง, ดังนั้น ต้องหว่านพืชธรรมก่อนพืชประชาธิปไตย.

    ประชาธิปไตยเพื่อลดหรือป้องกันความหตก.(เห็นแก่ตัว)ถ้าเห็นแก่ตัวก็มีแต่ประชาธิปตาย, โดยไม่รู้สึกตัว ความไม่เห็นแก่ตัวจึงเป็นรากฐานของประชาธิปไตย, ประชาธิปไตยแท้จึงมีแต่ความไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นของมีได้ยาก สำหรับปุปุชนสมัยนี้ที่บูชาวัตถุ.

    ธรรมมีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ในตัวเอง , เพราะหมายถึง ความไม่เห็นแก่ตัว อยู่โดยธรรมชาติ , อย่างแยบความไม่เห็นแก่ตัวออกจากประชาธิปไตย.”
    (พุทธทาส อินทปญโญ. ป่วย 3 เดือนเกิดหนังสือเล่มนี้.มกรา-กุมภา-มีนา 35,2539 ปกหลัง)



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วาทกรรมชิ้นนี้เตือนสติเราเรื่องใด ?

    เตือนสติเราเรื่องประชาธิปไตยกับเรื่องธรรมว่า ประชาธิปไตยที่เราพูดถึงกันว่า เป็นการให้ประชาชนเป็นใหญ่ ช่วยตนเองช่วยกันเอง โดยมีพิธีกรรมการเลือกตั้ง ส่งผู้แทนเข้าไปบริหารจัดการชุมชน ประเทศนั้น ตัวประชาชนเองจะต้องมีธรรม นั้นคือ ประชาชนส่วนใหญ่จะต้องมีธรรม โดยเฉพาะผู้นำในทุกระดับและทุกภาคส่วนจะต้องมีธรรม และตัวธรรมที่ท่านพุทธทาสชี้แนะคือ “ความไม่เห็นแก่ตัว” หรือความไม่หมกมุ่นอยู่กับการใฝ่รู้ ใฝ่คิด ใฝ่ทำ เพื่อกาม เพื่อกิน เพื่อเกียติ เพื่อตนเองและพวกพ้องของตนในวงแคบ

    ตัวประชาชนที่จะเข้าไปใช้อำนาจที่เป็นของประชาชนส่วนใหญ่นั้น จะต้องมีธรรมสัจจะ ที่ว่า “สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น” อยู่ในใจ

    ตัวประชาชนที่เป็นผู้ร่วมพิธีกรรมเลือกตั้ง (ลงคะแนนเสียง) ก็ต้องท่องคาถาธรรมสัจจะนี้ เพราะเป็นคาถาช่วยพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้เคารพในความเป็นมนุษย์ของเพื่อนมนุษย์ รวมถึงสัตว์อื่น ๆ ด้วย สาระของคาถาธรรมสัจจะนี้ก็คือ คำที่จะเชื่อมโยงมนุษย์ทั้งกาย วาจา ใจ เข้าสู่ความจริงทั้งมวล ทั้งที่ตัวมนุษย์และสรรพสิ่งได้ง่ายขึ้น

    ความเห็นแก่ตัว ของมนุษย์เป็นธรรมสัจจะฝ่ายลบ ความไม่เห็นแก่ตัว เป็นธรรมสัจจะฝ่ายบวก คือ ช่วยสร้างสันติสุขให้มนุษย์และสังคมมนุษย์ได้อย่างดีวิเศษ

    คาถาบทนี้ ใครรู้ใครท่องจำจนขึ้นใจและบริกรรมตลอดไปก็จะช่วยยกระดับความรู้ ความคิด และการกระทำให้สูงขึ้นได้

    สรุป

    การเมืองและประชาธิปไตยในสายตาของพุทธทาส ก็คือ การเมืองและประชาธิปไตยในสายตาของพุทธธรรมหรือพระพุทธองค์ผู้ทรงปราศจากความเห็นแก่ตัว หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น ในความเป็นตัวกู-ของกู แต่อยู่ด้วยปัญญาที่บริสุทธิ์สะอาด ช่วยให้มองโลกและชีวิตได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงและสิ่งที่มนุษย์ควรรู้ ควรคิด ควรทำ เพื่อความผาสุกของตนและเพื่อนมนุษย์

    พุทธทาส คือ ปราชญ์ผู้เดินตามรอยพระบาทพระพุทธองค์ เรียนรู้ธรรมจากคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วนำสู่สังคมไทยและสังคมโลก จนโลกยกย่องยอมรับว่าเป็นพุทธธรรมแท้ไม่ผิดไม่เพี้ยน ใครรู้ได้ ทำได้ ใช้เป็น ก็จะเห็นผลแน่นอน

    สังคมโลกและสังคมไทยกำลังเดินเข้าสู่ทางตันในการแก้ไขปัญหาสังคม การเมือง ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะช่วยกันศึกษาเรียนรู้ และนำออกสู่การปฏิบัติ เพื่อพัฒนาตนเองและสังคมของเราต่อไป ดังวาทกรรมอีกบทหนึ่งของพุทธทาสภิกขุที่ว่า

    <TABLE borderColor=#cccccc cellSpacing=0 cellPadding=14 width="90%" align=center bgColor=#000000 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>“การเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นสิ่งจำเป็น: ต้องเปลี่ยนแปลงอุดมคติของสังคมลงไปถึง สามัญชน มิฉะนั้น เขาไม่ทำแม้สิ่งที่เขาทำได้ มีแต่การเป็นทาสอายตนะ (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายและธรรมารมณ์ : ผู้เขียน)

    “สังคม คือ ตัวเรา : มิใช่เสร็จเรื่องส่วนตัวแล้วจึงจะคิดถึงสังคม ลงมือทำอะไรก็นึกถึงสังคมไปตั้งแต่แรก นี้แหละคือ อุดมคติของสามัญชน”
    (พุทธทาสภิกขุ ใน “ป่วย 3 เดือน เกิดสมุดเล่มนี้ มกราคม-กุมภาพันธ์-มีนาคม 2535)



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สุภาคย์ อินทองคง
    ศูนย์เรียนรู้ชุมชนภาคใต้ (ศรช.)

    http://www.thaingo.org/cgi-bin/content/content2/show.pl?0418
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>นิทานสอนใจ : 'นางทาสี' หญิงรับใช้ ผู้มี 'ปัญญาหญิง'</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>18 เมษายน 2553 11:28 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    ในวันที่มีการเล่นมหรสพวันหนึ่ง ในเมืองสารัตถี ประเทศอินเดีย หญิงคนใช้คนหนึ่งของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ต้องการไปเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ในสวน จึงขอยืมเครื่องประดับ เครื่องแต่งกายของนายหญิง คือ นางบุญลักษณเทวี (ภรรยาของอนาถบิณฑิกเศรษฐี) หญิงผู้เป็นนายก็ยอมให้ยืม เพราะเห็นเป็นคนรับใช้คนสนิท และสามารถคุ้มครองรักษาเครื่องประดับนั้นได้ ซึ่งมีราคาถึงหนึ่งแสนกหาปณะ (ชื่อมาตราเงินในสมัยโบราณ 1 กหาปณะเท่ากับ 20 มาสก หรือ 4 บาท)

    นางประดับเครื่องแต่งกายอันสวยงามแล้วไปเล่นในสวนกับหมู่หญิงคนใช้ด้วยกัน โจรคนหนึ่งเกิดโลภ อยากได้เครื่องประดับของหญิงคนนั้น คิดว่าเธอจะฆ่าเธอเอาทรัพย์เสีย จึงเข้าตีสนิทเดินสนทนากันไป ซึ่งได้ให้ปลาเนื้อ และสุราแก่เธอ นางคิดว่าชายคนนี้คงให้ของแก่เธอด้วยความเสน่ห์หา จึงรับไว้ แล้วเที่ยวเล่นในสวนด้วยกัน แต่เพื่อจะทดลองให้รู้แน่ชัด ตกเย็นจึงปลุกเพื่อนๆ ผู้เล่นจนเหนื่อยแล้วหลับไปให้ลุกขึ้น แล้วตัวเองไปหาโจร เผื่อว่ามีอะไรเกิดขึ้น เพื่อนๆ จะพอช่วยได้ โดยโจรกล่าวว่า

    "ที่รัก ตรงนี้ไม่ค่อยมิดชิดนัก ไปอีกหน่อยเถิด"

    นางคิดว่า ตรงนี้ อันที่จริง ก็มิดชิดพอที่จะแสดงความรักใคร่เสน่หาสำหรับผู้ที่มีความรักโดยสุจริต ชายผู้นี้คงคิดจะฆ่าเราเอาเครื่องประดับเป็นแน่ แต่ก็เอาเถอะ เราจะสอนให้เขารู้ว่าผลแห่งการคิดชั่วนั้น เป็นอย่างไร นางบอกตัวเอง และกล่าวว่า

    "นาย ฉันอ่อนเพลียเพราะดื่มสุรามาก รวมทั้งคอแห้งกระหายน้ำ ท่านจงหาน้ำให้ฉันดื่มก่อนเถิด"

    เมื่อเดินกันไป เจอบ่อน้ำแห่งหนึ่ง นางขอให้ชายตักน้ำในบ่อ ชี้เชือก และหม้อน้ำให้ โจรเอาเชือกผูกหม้อน้ำ แล้วหย่อนลงบ่อ ขณะที่โจรก้มหลังจะตักน้ำ นางผู้มีกำลังมากจึงใช้มือทั้งสองทุบตะโพกโจรแล้วผลักลงไปในบ่อ เห็นว่าเพียงเท่านี้คงยังไม่ตาย จึงเอาหินแผ่นใหญ่ทุ่มลงตรงศีรษะพอดี โจรตายในบ่อนั้น

    นางกลับเข้าเมือง มอบเครื่องประดับให้นาย เล่าเรื่องทั้งหมดให้นายทราบ บอกว่าเกือบตาย เพราะเครื่องประดับนี้ นางบุญลักษณเทวีเล่าเรื่องนี้ให้ท่านอนากบิณฑิกเศรษฐีทราบ จึงได้ทูลเล่าเรื่องนั้นให้พระพุทธเจ้าทรงทราบต่อไป

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า นางทาสี (หญิงรับใช้) คนนี้ เป็นผู้มีปัญญาหญิงรู้เท่าทันเหตุการณ์ ไม่เพียงแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

    ย้อนกลับไปในอดีตกาล หญิงโสเภณีคนหนึ่ง ชื่อ "สุลสา" มีหญิงเป็นบริวารถึง 500 คน ราคาค่าตัวของนางคืนละห้าพันกหาปณะ ในเมืองพาราณสีนั้นมีโจรคนหนึ่งชื่อ "สัตตุกะ" มีกำลังประดุจช้างสาร กลางคืนเที่ยวปล้นทรัพย์ชาเมืองตามใจชอบ ชาวเมืองประชุมกันร้องทุกข์แด่พระราชา

    วันหนึ่ง โจรสัตตุกะถูกจับได้ ถูกเฆี่ยนด้วยหวายทีละ 5 เส้น กำลังถูกนำไปสู่ตะแลงแกง (ที่ฆ่า) นางสุลสายืนอยู่ที่หน้าต่างเห็นโจรผู้นั้น เกิดความพอใจอยากได้ไว้เป็นสามี คิดว่า ถ้าได้โจรนั้นเป็นสามี ก็จะเลิกอาชีพโสเภณี จึงให้บริวารไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ เป็นจำนวนเงินพันกหาปณะ

    เมื่อโจรพ้นโทษแล้ว นางก็ได้อยู่ร่วมอภิรมย์กับโจรนั้น ล่วงมา 3-4 เดือน โจรคิดจะฆ่านางเพื่อเอาเครื่องประดับซึ่งราคานับเป็นเงินแสนกหาปณะ จึงได้บอกนางว่า ตอนที่ถูกจับนั้น ได้ผ่านภูเขาลูกหนึ่งบนบานกับรุกขเทพว่า ถ้าพ้นโทษได้ ก็จะนำพลีกรรมมาถวาย ขอให้นางแต่งกายอย่างสวยงามด้วยเครื่องประดับราคาแพงเมื่อทำพลีกรรมด้วยกัน


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=247 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=247>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขอบคุณภาพจาก http://img159.imageshack.us</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อไปถึงเชิงเขา โจรบอกกับนางว่า ควรให้บริวารกลับไปเสีย หรือให้คอยอยู่ที่เชิงเขานั่นแหละ เพราะถ้าขึ้นไปทั้งหมด รุขเทวดาเห็นคนมาก จักไม่รับพลีกรรม นางสุลสา ตกลงตามคำของโจร นางแบกถาดเครื่องทำพลีกรรมขึ้นไป ส่วนโจรเหน็บอาวุธ 5 ชนิด เดินขึ้นไปบนภูเขา เขาให้นางวางถาดเครื่องพลีกรรมไว้ที่โคมไม้ปากเหวลึก ลึกถึงร้อยชั่วคน และพลางกล่าวว่า

    "ฉันมานี่ ที่จริง ไม่ใช่มาเพื่อทำพลีกรรมดอก แต่มาเพื่อฆ่าเธอเอาเครื่องประดับ เธอจงรีบถอดเครื่องประดับของเธอออกมาห่อผ้าเถิด"

    เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางรู้สึกตกใจ ไม่คาดหวังว่า เหตุการณ์ทำนองนี้จะเกิดขึ้น ไม่คิดว่า สันดานโจรจะเป็นสิ่งที่ละทิ้งไม่ได้ นางจึงรำพันให้สามีโจรฟังว่า

    "นาย ลองระลึกถึงคุณที่ฉันทำไว้บ้าง ฉันปลดเปลื้องนายจากโจรที่จะต้องถูกประหารชีวิต มาเป็นลูกเขยเศรษฐี มีทรัพย์มั่งคั่ง มีบริวาร กินอยู่สบาย ฉันเองแม้เคยได้ทรัพย์ถึงวันละห้าพันกหาปณะ ก็ละทิ้งรายได้นั้นเสีย เพราะเห็นแก่นาย ฉันไม่เหลียวแลชายอื่นอีกเลย นายลองนึกถึงความดีของฉันดูเถิด อย่าฆ่าฉันเลย เมื่อนายไว้ชีวิตฉัน ทั้งตัวฉัน และทรัพย์สมบัติของฉันทั้งหมด ก็เป็นของนายอยู่แล้ว ฉันยอมเป็นทาสี (หญิงรับใช้) รับใช้ท่าน"

    โจรไม่ยอมฟังเสียงรำพันของนาง ยืนยันจะฆ่าเอาเครื่องประดับอย่างเดียว นางนึกวางแผนอยู่ในใจจึงกล่าวว่า

    "ตั้งแต่น้อยคุ้มใหญ่ ฉันไม่เคยรักชายอื่นเลย ฉันรักนายคนเดียว ไหนๆ ฉันก็จะตายแล้ว ขอกอดนายให้สมใจรักอีกสักครั้งหนึ่งเถิด"

    ความโลภเข้าครอบงำ โจรมิได้เฉลียวถึงอันตราย จึงนั่งอย่างไม่ระวัง นางสุลสาสวมกอดโจรผู้เป็นสามีพร่ำรำพันถึงความรัก ความอาลัยว่า ต่อไปนี้ จะไม่ได้เห็นกันแล้ว ไหว้โจรข้างหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง เมื่อตอนอยู่ข้างหลัง โจรเผลอตัว นางจึงได้ใช้กำลังทั้งหมด ผลักโจรลงไปในเหวสิ้นชีวิต

    เทพผู้สถิตย์อยู่ ณ ภูเขานั้น ได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด กล่าวขึ้นด้วยความยินดีว่า

    "ชายจะเป็นผู้เฉลียวฉลาดเป็นบัณฑิตในที่ทุกแห่งก็หาไม่ หญิงผู้เฉลียวฉลาดมีปัญญาวิจักษ์ คือแจ่มแจ้งชัดเจนก็เป็นบัณฑิตได้เหมือนกัน"

    "ดูเถิด ดูตัวอย่าง นางสุลสาฆ่าโจรสัตตุกะได้อย่างรวดเร็ว เหมือนพรานเนื้อผู้ฉลาด ฆ่าเนื้อได้อย่างฉับพลัน ในโลกนี้ ผู้ใดไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เบาปัญญา ผู้นั้นย่อมถูกฆ่าตายเหมือนโจรสัตตุกะ ส่วนผู้ใดรอบรู้เหตุการณ์เฉพาะหน้า มีไหวพริบ ผู้นั้นย่อมสามารถทำตนให้พ้นจากการเบียดเบียนของศัตรูได้ เหมือนสุลสาพ้นจากโจรสัตตุกะ ฉันนั้น"

    การกระทำของสุลสา ได้รับการสรรเสริญจากเทพผู้เป็นบัณฑิต เพราะเห็นว่า การกระทำนั้นสมควรแก่เหตุ นายโจรนั้น เป็นคนอกตัญญูประทุษร้ายมิตร สมควรได้รับผลเช่นนั้น ถ้าไม่ปราบปรามคนชั่วเช่นนี้ คนดีก็อยู่ลำบาก หรืออาจอยู่ไม่ได้ เพราะถูกเบียดเบียนบีบคั้น การกระทำอะไรให้สมควรแก่เหตุ จึงได้รับการยินยอม ได้รับการสรรเสริญจากบัณฑิตอยู่เสมอ

    ในสมัยพุทธกาล ก็เคยมีประวัติของพระเถรีอรหันต์รูปหนึ่ง ชื่อ "กุณฆลเกสี" เคยช่วยโจรไว้จากการประหารชีวิต ทำนองเดียวกับเรื่องสุลสานี้ ซึ่งโจรได้หลอกท่านไปฆ่าที่ภูเขา และท่านก็ได้ผลักโจรลงเหวในทำนองเดียวกัน ต่อมา ได้มาบวชในสำนักปริพพาชก และได้พบพระสารีบุตร ได้บวชเป็นภิกษุณีในพุทธศาสนาได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

    'ปัญญาหญิง' เป็นคุณธรรมสำคัญ สำหรับวินิจฉัยเหตุการณ์ว่า ในเหตุการณ์ใด ควรทำอย่างไรเป็นเนปักกปัญญา คือ ปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาตน แต่ไม่ได้หมายความว่า "ดีแต่เอาตัวรอด" ไม่กล้าเผชิญหน้ากับอุปสรรคอันตราย เป็นคนกล้าแต่กล้าอย่างมีปัญญา มิใช่กล้าอย่างโง่เขลา อันเป็นเหตุนำตนเข้าหาภัยพิบัติ

    Life & Family - Manager Online


    ขอบคุณนิทานดีๆ จากหนังสือเพื่อเยาวชนครับ ^_^

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เด๋วนี้ มีแต่เรื่องแปลกๆ ให้ได้ดู ตามยุคสมัย
    คนที่พูดอย่างหนึ่ง แต่กระทำอีกอย่างอย่างหนึ่ง ก็มีมากมาย
    จนกลายเป็นเรื่องตลกไปซะแระ อย่างคำพูดสมัยใหม่ หรือพฤติกรรมที่แสดงออกต่างๆ

    อย่างขึ้นต้นพูดว่า "ด้วยความเคารพ"
    แต่คำพูดหรือการกระทำต่อมา คือ ข่มขู่คุกคาม ไม่ได้แสดงความเคารพต่อผู้พูดอย่างแท้จริง

    เช่น
    ด้วยความเคารพ พูดสุนัขไม่รับประทานอย่างนี้ ตบกันดีฝ่าไม๊คะ
    เป็นต้น

    ก็คงมีผู้ใหญ่ทำเป็นแบบอย่างให้ดู จนเด็กๆ มันจับไต๋ได้ ก็เลยเอามาย้อนศร กันเล่น
    แต่ผู้ใหญ่วันนี้ก็ยังไม่รู้กันอีกเนอะ ยังทำผิดซ้ำซากๆ จนเด็กๆมันก็เอือมระอากันเป็นแถวๆ
    บางคนปากก็เคารพรัก...นู่นนี่ แต่กระทำการข่มขู่คุกคามเหิมเกริม สวนทางกับคำพูด
    เลอะเลือนกันจริงๆนะ ผู้ใหญ่สมัยนี้ วัยรุ่นเห็นแล้วก็...เซร็ง...(ว่ะ)ค่ะ

    ป.ล. แพล่มๆ อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2010
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คลอดพจนานุกรมคำใหม่เวอร์ชั่น3 ศัพท์ใหม่เพียบ ห้าวเป้ง, ฮากริบ, จ้อจี้, ฮากลิ้ง, ขำกลิ้ง, อั๊ปยา ...


    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    [​IMG]



    ราชบัณฑิตฯคัดไว้แล้วเกือบพันคำ คำสแลงและสำนวนที่มีความหมายเฉพาะ ห้าวเป้ง, ฮากริบ, จ้อจี้, ฮากลิ้ง, ขำกลิ้ง, อั๊ปยา, แว็กซ์ขน,ไม่ไหวจะเคลียร์, ขอบอก, อุนจิ, ทอล์กอะเบ๊าเมาธ์แตก, ทอล์กอ๊อฟเดอะทาวน์, อากู๋รู้ทุกเรื่อง, ครูกู ฯลฯ




    ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต และนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ราชบัณฑิตยสถานและคณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมคำใหม่กำลังอยู่ระหว่างรวบรวมคำศัพท์ใหม่ ศัพท์วัยรุ่น และทันยุคสมัย ทั้งคำใหม่ คำสแลง หรือสำนวนที่ใช้จนติดปากกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่ยังไม่ได้บรรจุอยู่ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 รวมทั้งคำศัพท์ที่บรรจุไว้ในพจนานุกรมแล้ว แต่ยังไม่มีคำอธิบายและยกตัวอย่างที่แสดงถึงวิธีการใช้คำศัพท์ที่ถูกต้อง ทั้งนี้ เพื่อจัดทำพจนานุกรมคำศัพท์ใหม่เล่มที่ 3 หลังจากที่ได้จัดทำพจนานุกรมคำศัพท์ใหม่เล่ม 1 และเล่ม 2 ฉบับราชบัณฑิตยสถานไปแล้ว โดยเป้าหมายการจัดทำพจนานุกรมคำใหม่ก็เพื่อเป็นแหล่งค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลคำใหม่ต่างๆ และบันทึกคำเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานแสดงการเกิดและการเปลี่ยนแปลงของคำที่ใช้ในสังคมไทย อันจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาในเรื่องที่มาของคำในอนาคต ที่สำคัญเป็นคู่มือภาษา โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ต้องการทราบความหมายของคำศัพท์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งในอดีตไม่มีการเก็บบันทึกคำศัพท์ที่เกิดใหม่ในแต่ละยุคสมัยไว้ จนทำให้คำเหล่านั้นสูญหายไปจากสังคม ดังนั้น พจนานุกรมคำใหม่จึงเป็นเครื่องแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าทางภาษา โดยพจนานุกรมคำใหม่เล่ม 3 ทางราชบัณฑิตยสถานได้คัดเลือกคำศัพท์ใหม่เพื่อบรรจุไว้ในพจนานุกรมใกล้ครบ 1,000 คำแล้ว คาดว่าจะพิมพ์เผยแพร่และเปิดตัวได้ช่วงปลายปี 2553


    นางกาญจนากล่าวต่อว่า สำหรับตัวอย่างคำศัพท์ใหม่ที่จะบรรจุในพจนานุกรมคำศัพท์ใหม่เล่ม 3 จะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม


    กลุ่มที่ 1 คำและสำนวนที่เกิดใหม่ อาทิ เป้หลังรัฐบาล, ส.ส.นอกไส้, ชิคุนกุนย่า, คาวาซากิ, อวบระยะสุดท้าย, ปากกล้าขาสั่น, เปิดหน้าชก, น้ำหมักชีวภาพ, เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล, น้ำแยกสาย ไผ่แยกกอ, ผ่านร้อนผ่านหนาว, ดังแล้วแยกวง, บริหารสมอง, บริหารขา, ได้หน้าลืมหลัง ได้หลังลืมหน้า


    กลุ่มที่ 2 คำและสำนวนที่เก็บไว้แล้วในพจนานุกรม แต่มีความหมายที่ขยายออกไป มีความหมายใหม่ เปลี่ยนรูปคำ หรือไม่มีตัวอย่างการใช้ เช่น หน้ามือเป็นหลังเท้า, เสือผู้หญิง สิงห์ผู้ชาย, อมโบสถ์มาพูด, หวัดแกมบรรจง, เดชะกรรม, บาปซ้ำกรรมซัด, เวรซ้ำกรรมซัด


    กลุ่มที่ 3 คำสแลงและสำนวนที่มีความหมายเฉพาะ และคำที่รับมาจากต่างประเทศ เช่น บดแข้ง, ห้าวเป้ง, ฮากริบ, จ้อจี้, ฮากลิ้ง, ขำกลิ้ง, อั๊ปยา, แว็กซ์ขน, กุ้งร้อยขา, ไม่ไหวจะเคลียร์, ขอบอก, อุนจิ, จั๋งหนับบุเรงนอง, ทอล์กอะเบ๊าเมาธ์แตก, ทอล์กอ๊อฟเดอะทาวน์, อากู๋รู้ทุกเรื่อง, ครูกู, พี่พจน์, พี่วิกกี้, วาซาบิ, อุด้ง, ราเม็ง, ไวนิ่ล, ล็อบบี้, เตียงหัก, ยุทธการหักเตียง


    กลุ่มที่ 4 คำเก่าใช้มานานแล้ว แต่ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรม เช่น ดูหนังสือ, ประมาณ, เลือดศิลปิน, รมควัน, คลิปวีดิโอ, ดีเลิศประเสริฐศรี, ค้าแข้ง, ฟาดแข้ง, สมองฝ่อ, สมองนิ่ม, สมองกลวง, สมองโบ๋, สมองขี้เลื่อย, ห้าดาว, ดูหนังสี่จอ, ช็อตปลา, ปอดกระเส่า, เก้าอี้ไฟฟ้า, เก้าอี้นวม, เกาตรงที่คัน, กำแพงแลงเตย, คนใกล้ชิด, เก็บอาการ, ป่วนเมือง, กัดไม่ปล่อย, เล่นไม่เลิก, น้ำท่วมหลังเป็ด และเลือดสาด


    "คำศัพท์ใหม่ในพจนานุกรมคำศัพท์ใหม่เล่ม 3 ถือว่าหลายคำมีความน่าสนใจ เพราะเป็นคำที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น ในแวดวงการเมือง มีคำว่า "เป้หลังรัฐบาล" หมายถึง ภาระหนักที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ โดยเป็นสิ่งที่กำลังรอการแก้ไข เช่น ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ราคาน้ำมันแพง และภัยแล้ง ดังนั้น เปรียบปัญหาต่างๆ เหมือนเป้ที่รัฐบาลต้องสะพาย และหากไม่แก้ไขก็จะคอยถ่วงรัฐบาลตลอดเวลา และคำว่า "ส.ส.นอกไส้" หมายถึง การเปรียบ ส.ส.และนักการเมืองที่ไม่มีความสัมพันธ์ในกลุ่มหรือคนละกลุ่ม รวมถึงเป็นคนนอกพรรค แต่ปรากฏว่ากลับได้ดีกว่าคนในพรรค นอกจากนี้ ยังมีคำสแลงที่วัยรุ่นฮิตและนิยมพูดกัน เช่น คำว่า "ครูกู" หมายถึง โปรแกรมกูเกิล (Google) ซึ่งเป็นโปรแกรมช่วยค้นหาข้อมูลในโลกอินเตอร์เน็ต รวมทั้งใช้เชื่อมต่อกับเว็บไซต์ต่างๆ และคำว่า "พี่พจน์" หมายถึง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน รวมทั้งคำว่า "พี่วิกกี้" หมายถึง วิกิพีเดีย (Wikipedia) สารานุกรมเสรีหลายภาษาบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งทุกคนสามารถอ่านและปรับปรุงเพิ่มเติมเนื้อหาได้เอง รวมทั้งยังมีคำว่า "ไม่ไหวจะเคลียร์" ซึ่งดารา นักร้อง พิธีกรนิยมพูดกันมาก โดยความหมายว่า ไม่อยากจะอธิบายหรือชี้แจงอีกแล้ว" นางกาญจนากล่าว


    นางกาญจนากล่าวด้วยว่า ปัจจุบันภาษาได้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยวัยรุ่นได้ดัดแปลงสำนวนและคำศัพท์จากในอดีตให้เป็นคำใหม่ๆ บางคำก็มีความหมายแรงขึ้น และเห็นภาพมากขึ้น อย่างเช่น "หน้ามือเป็นหลังเท้า" มาจากคำว่า ?หน้ามือเป็นหลังมือ? คำว่า ?อมโบสถ์มาพูด? ดัดแปลงมาจาก ?อมพระมาพูด? ซึ่งคำเหล่านี้เมื่อพูดทำให้เห็นภาพมากขึ้น และสะท้อนถึงปัญหาสังคมปัจจุบันได้อย่างดี อีกทั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ ที่สร้างคำศัพท์ใหม่ๆ ขึ้นมาในสังคม ทั้งในวงการการเมือง แพทย์ และกีฬา ดังนั้น ราชบัณฑิตยสถานจึงมีหน้าที่ต้องเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อพิจารณาว่าคำใดบ้างที่จะต้องเก็บบรรจุลงในพจนานุกรมคำศัพท์ใหม่ หรือว่าคำใดต้องบรรจุลงพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ทั้งนี้ ในเบื้องต้นคำศัพท์ที่จะได้บรรจุลงพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ซึ่งเป็นพจนานุกรมหลัก คงเป็นคำศัพท์ใหม่กลุ่มที่ 4 ดังกล่าว เพราะเป็นคำเก่าที่ใช้มานานแล้ว แต่ยังไม่ได้เก็บบรรจุไว้ ส่วนกลุ่มที่ 1-3 จะต้องพิจารณาเป็นคำๆ ไป


    ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ WhO? Magazine ฮู แมกกาซีน

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][SIZE=+0]ทุกวันที่ 1 และวันที่ 16 ของเดือน[/SIZE][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][SIZE=+0]http://www.whoweeklymagazine.com/[/SIZE][/FONT]​


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2010
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สังคมที่ไม่กล้าแสดงออกไม่มีวันเป็นประชาธิปไตยได้ครับ
    คนที่ไม่กล้าแสดงออกก็เกิดมาหายใจเสียเปล่าไปชาตินึง เรียกว่า ดีแต่เกิด
    ซึ่งเป็นชื่อหนังสือเล่มแรกของพี่ ที่ผู้คนบอกว่าควรอธิบายชื่อหนังสือ
    พี่ก็บอกว่าถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ควรอ่าน
    พี่ไม่เอาใจใครเลยครับ
    ไม่ใช่เพราะเป็นลูกทหารยศพลอากาศเอก
    ไม่ใช่เพราะไปโตเมืองนอกตอนคุณพ่อเป็นทูตลอนดอน
    ไม่ใช่เพราะเป็นนิสิตดีเด่นเพชรชมพูของจุฬา
    แต่เพราะพี่เหนื่อยกับการอธิบายคนที่ฟังไม่เป็นครับ
    ต่อให้พี่อธิบายจนมันเข้าใจแล้วมันก็ไปนอน แล้วมันจะสงสัยไปทำไม
    ไม่ใช่คนสำคัญอะไรเลย
    ไม่ได้เป็นแม้แต่ทรัพยากรที่มีคุณค่าอะไรต่อแผ่นดินเลย
    แต่ขี้สงสัย ถามจังเลย
    แผ่นดินสยามไม่ต้องมีมันก็ได้ครับ เปลืองออกซิเจนสยาม [​IMG]


    พี่เลือกพูดกับเฉพาะคนที่มีไอคิว ฟังเป็น เข้าใจเป็น คิดต่อเป็น
    คนเหล่านี้มีประโยชน์ต่อส่วนรวม พี่ต้องพูดกับเค้าครับ

    แต่ไอ้ประเภทฟังแล้วขี้ขโมย เช่น พี่ตู้คิดเหมือนผมเลย
    พวกนี้พี่ถีบเบาๆแล้วสอนครับ
    ท่านคิดสิ่งดีๆแล้วไม่พูดออกมา มึงจะคิดไปทำไม
    พลังเงียบไม่มีพลังนะครับไอ้โง่ !!

    ได้ผลหลายรายแล้วครับ
    จริงๆคือ มันฟังเสร็จแล้วเห็นด้วย แต่วางฟอร์ม ก็พูดว่าคิดเหมือนกัน
    ไม่ใช่มันคิดเหมือนพี่นะ มันบอกว่าพี่คิดเหมือนมัน แปลว่ามันคิดก่อน
    บัณฑิตที่เรียนถึงปริญญาเอกยังเป็นเลยครับสันดานนี้ คือ คอรัปชั่นดีๆนี่เอง
    มาจากการตักกับข้าวจากกลางโต๊ะมาใส่จานตัวเอง คือ
    เอาของส่วนรวมมาเป็นของตน
    ซึ่งเราสอนเด็กให้โกงตั้งแต่เล็กๆมาโดยไม่รู้ตัวกันครับ
    ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยในซีกโลกหนาว เวลากินข้าวต้องจานใครจานมัน
    ไม่มีการตักจากกลางโต๊ะทีละคำ มันตักทีเดียวราดเสร็จไปเลย
    เป็นการวางแผนระยะยาว

    ไทยเราคิดทีละคำ แล้วตะกละด้วยนะ กับข้าวหลายอย่างมาก
    เมืองหนาวมันกินมื้อละอย่าง เพราะยังมีมื้อหน้าค่อยกินอย่างอื่น
    มื้อนั้นไม่ใช่มื้อสุดท้ายของชีวิต มันคิดกันได้ไงครับ
    ถ้าเราสอนเด็กกินข้าวราดแกงตั้งแต่เล็ก เด็กจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ตะกละ
    ไม่ขโมยของส่วนกาง รู้จักวางแผน
    และ คิดเป็นว่าทุกมื้อไม่ใช่ THE LAST SUPPER

    เพราะคิดกันไกลอย่างเมืองหนาวไม่ได้
    เนื่องจากอุดมสมบูรณ์ ไม่มีการอดอยากหน้าหนาวอย่างพวกนั้น
    ก็ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า
    ทำให้นักการเมืองก็ไม่คิดไกล โกงง่ายๆ
    เพราะประชาชนเองก็ไม่คิดไกลเหมือนกัน

    -----------------

    มาวันนี้ที่ประชาธิปไตยเบ่งบานทะโล่ จัณฑาลก็บังอาจแสดงออกได้
    และ ซื้ออำนาจเข้ามาปกครองบัณฑิต ซึ่งไร้น้ำยาเพราะพวกน้อยกว่า
    ประเทศที่คนมีการศึกษามีจำนวนน้อยกว่าคนที่ไม่มีการศึกษา
    จะยังเป็นประชาธิปไตยไม่ไครับ
    เพราะเสียงส่วนใหญ่จะโง่ จะวุ่นวายไม่จบสิ้น
    จะตะโกนแต่คำขวัญของกรรมกรคอมมิวนิส ประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
    แล้วก็ตีกันด้วยอารมณ์ จบไม่ลงก็เดือดร้อนพ่อหลวงต้องมาระงับศึกทุกครั้งไป
    แต่ประชาชนก็ยังอยากเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ของพระเจ้าอยู่หัว โดยไม่รู้จักเจียมตัว
    ดูแลแผ่นดินกันให้เรียบร้อยยังไม่ได้ แต่อยากเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
    เป็นคอมมิวนิสที่แอบอ้างประชาธิปไตยมาต่อเนื่องครับ
    เพราะยังเชื่อกันว่า ถ้ากรรมกรเป็นใหญ่ฟ้าจะสีทองผ่องอำไพครับ
    ตัวอย่างมีให้เห็นในแผ่นดินคอมมิวนิสอื่นเยอะแยะ ยังจะดักดานกันอยู่อีก
    ก็วันนี้กุลีก็เป็นใหญ่ในแผ่นดินไทยแล้วนี่ครับ

    -------

    มนุษย์ทะเลาะกันเพราะดันเลือกพวก โดยหารู้ไม่ว่าผู้ที่ไม่มีพวกมีเยอะกว่าผู้ที่มีพวก
    ผู้ที่ไม่มีพวกจึงมีพวกเยอะกว่าครับ
    ผู้ที่เลือกว่าจะเป็นพวกไหน วันใดพวกที่เรางมงายเชิดชูเกิดทำอะไรเลวขึ้นมา
    เราก็ต้องบากหน้าแก้ตัวแทนมันอีก
    ซึ่งก็ฟังไม่ขึ้นก็ต้องเสียหมาไปตลอดกาล
    การไม่มีพวกจึงเป็นลาภอันประเสริฐครับ

    สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสไว้ว่า
    พวกเจ้าคนไทยเปรียบเหมือนหญ้าที่ต้องคอยตัดเล็ม
    เมื่อปล่อยให้โตโดยอิสระจะหาระเบียบใดมิได้
    [​IMG]
    เราจะเอาทองคำโปรยบนทางเดิน
    ผู้ใดจ้องมองด้วยดวงตากิเลส เราจะให้ทหารเอาธนูยิงลูกนัยน์ตา


    ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด • View topic - จรัสพงษ์ สุรัสวดี :: บทสัมภาษณ์ซูโม่ตู้ทอลค์โชว์


    ปล. ขอจั๊กหน่อย เถอะ มันอดไม่ได้อีกแระ ของมันแร๊งงงง ไม่ไหวจะเคลียร์ เหอะๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2010
  7. ลูกบัวผัน

    ลูกบัวผัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +295
    มนุษย์ ทะเลาะกันเพราะเลือกข้าง
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“อี้ แทนคุณ”:ผมไม่เป็นกลาง ระหว่างถูก-ผิด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>27 เมษายน 2553 07:23 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=288 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=288>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองร้อนแรงตลอดช่วงขวบปีที่ผ่านมา เชื่อว่าชื่อของ “อี้” แทนคุณ จิตต์อิสระ ได้กลายเป็นบุคคลหนึ่งที่เยาวชนรู้จักกันมากขึ้น จากบทบาทพิธีกรรายการประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ที่เขากล้าแสดงออกเจาะประเด็นในมุมมองการเมืองที่ชัดเจนถึงลูกถึงคน จนกลายเป็น “ไอดอล”ต้นแบบให้กับเยาวชนจำนวนไม่น้อย

    ก่อนจะกลายเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในสังคมวันนี้ ช่วงชีวิตสมัยเริ่มต้นเป็นนิสิต รั้ว มศว ไอดอลหนุ่มยอมรับว่า เป็นคนหัวดื้อ ชอบอยู่คนเดียว ทำอะไรตามใจตัวเอง และมีความคิดไม่ค่อยเหมือนเพื่อนๆ

    “มีหลายเหตุการณ์ที่ผมรู้สึกห่างเหินจากเพื่อนๆ เช่น ตอนรับน้องผมก็ต้องไปถ่ายละคร หรือการทำงานของคณะแล้วเพื่อนๆไม่ยอมรับ ทำให้ผมรู้สึกว่าเพื่อนไม่รักษาน้ำใจ ผมจึงแตกแยกออกมา อาจจะเพราะดื้อ ผิดหวัง เสียใจด้วย ต่อมาเวลามีกิจกรรมอะไรผมก็บอกว่า อย่าไปเลยเสียดายตังค์ เวลากินข้าวก็ไม่กินกับเพื่อนๆ ความเห็นมักแตกต่างอยู่คนเดียวจนต้องไปอยู่กับเพื่อนคณะอื่น ซึ่งไม่ใช่เพื่อนไม่ดี แต่ผมเองไม่อยากยุ่งกับใคร คล้ายกับยึดในสิ่งที่เราเชื่อว่าถูก ไม่ชอบคล้อยตาม แต่จะสวนกระแส หากใครทำอะไรเยอะๆ ผมก็ไม่ทำ ไม่ใช่ว่าอยากดัง แค่มีทางของตัวเอง ซึ่งข้อเสียจากการเป็นแบบนี้ คือ เหงาโดดเดี่ยว ไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่สุงสิงสังสรรค์กับผู้คน เก็บตัว และยึดมั่นความคิดของตัวเองสูง ผมจึงมองว่าวัยรุ่นควรหาเป้าหมายของตัวเองให้เร็ว อย่าสะเปะสะปะ” ศิษย์เก่า จาก มศว กล่าว

    อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนในชีวิตของนิสิตหนุ่มที่ชอบทำอะไรตามใจ เกิดขึ้นสมัยเรียนชั้นปี 3 เมื่อเลือกไปฝึกงานกับมูลนิธิแห่งหนึ่ง จึงมีโอกาสไปค่ายต่างจังหวัด ได้เห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวที่อาศัยในบ้านหลังเล็กๆ และนำไปสู่เหตุการณ์ที่จดจำจนถึงทุกวันนี้

    “ครอบครัวนั้นมีทั้งหมด 7 คน ลูกคนเล็กอายุแค่ 2 เดือน มีอาการไม่สบายตัวร้อน ผมถามแม่ว่าให้กินยาหรือยัง แม่ก็เอายาพาราเซตามอลบี้ใส่ช้อนให้กิน ผมเห็นว่าไม่ได้การแน่ พวกเราก็ช่วยพาเด็กไปหาหมอ ซึ่งหมอบอกว่า เด็กเป็นปวดบวม หากทิ้งไว้อีกไม่กี่ชั่วโมงก็อาจตายได้เลย ผมจึงคิดว่า มันมีโลกอีกใบซึ่งมีคนที่ต้องการเราเหมือนกับเป็นโลกที่เราได้เห็นคุณค่าของตัวเอง เขาก็เห็นคุณค่าของเรา โลกที่ต่างคนต่างเติมเต็มกันในส่วนแตกต่าง โดยไม่ต้องมานั่งตั้งคำถามว่าเสแสร้งหรือเปล่า นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต ซึ่งนั่นเกิดขึ้นได้จากการเป็นอาสาสมัคร การมีจิตอาสาพร้อมช่วยเหลือคนอื่น จนมาถึงวันนี้ เมื่อเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองคิด และตรวจสอบแล้วว่าถูกต้อง ผมก็ทำไปเลย เพราะการมีจิตอาสาทำให้ระลึกเสมอว่า มีคนลำบากกว่าเรา อย่าเห็นแก่ตัวมากเกินไป”


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=419 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=419>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในปัจจุบัน อี้ ทำงานที่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองมากขึ้น ซึ่งเจ้าตัวมองปัญหายุคปัจจุบันว่า บ้านเมืองอยู่ในอาการหนัก กลุ่มวัยรุ่นมีส่วนร่วมกับการเมืองน้อย ซึ่งพิธีกรหนุ่มย้ำว่า คนรุ่นใหม่ต้องมีส่วนร่วมให้มาก อย่าไปคิดว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องเด็กๆ เพราะความจริงแล้ว การเมืองมีทั้งเรื่องบ้านเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต ซึ่งไม่สามารถแยกออกจากกันได้

    เมื่อแสดงเจตนาชัดเจนเพื่อกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ เข้ามาใส่ใจการเมือง จึงเป็นคำถามต่อไปว่า จะต้องวางตัวเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ อย่างไร ซึ่งหนุ่มอี้เปิดเผยว่า ต้องชัดเจนมากขึ้น ใช้ปัญญามากขึ้น ตนมีสโลแกนว่า เสียสละอย่างมีปัญญา คือ ช่วยทำอะไร ต้องรอบคอบ ที่สำคัญต้องพร้อมรับการตรวจสอบในการทำงานด้วย

    “แม้ตอนนี้กระแสตอบรับดี มีคนให้กำลังใจ รวมถึงเสียงกดดันก็มี แต่ผมไม่เอาคำสรรเสริญ หรือคำด่าว่า มาเป็นตัวแปรในการทำงาน คนสรรเสริญมากก็ทำมาก คนด่ามากก็ถอย แบบนั้นไม่ใช่ นอกจากนี้มีบางคนบอกว่า ผมไม่เป็นกลาง สำหรับผมบอกเลยว่า ความเป็นกลางระหว่างความถูก-ผิด มันไม่มีอยู่แล้ว ถ้าความเป็นกลาง คือ เอาถูกกับผิด มาหารสองเหรอ มันไม่ใช่ ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก เราก็เลือกข้างถูกไปเลย เพียงแต่ต้องรู้จักศึกษาเท่านั้นเอง เช่น การที่เสื้อแดงก้าวล่วงสถาบัน นั่นเป็นสิ่งที่ผมรับไม่ได้ที่สุด ผมอยากให้เราสำนึกถึงบุญคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์มากๆ ในหลวงท่านทำอะไรมากมายเหลือเกิน มากขนาดที่ว่าเราตายแล้วตายอีกทำดีทุกปีทุกชาติ ก็ยังไม่เท่ากับภพชาติหนึ่งที่พระองค์ได้เกิดขึ้นมา เพราะมีสถาบันจึงมีประเทศไทย และมีเราในวันนี้” หนุ่มอี้ ย้ำหนักแน่น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=429 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=429>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สุดท้าย ไอดอลหนุ่ม แสดงมุมมองว่า หากจะทำให้เยาวชนหันมาใส่ใจกับการเมืองมากขึ้น ต้องเริ่มต้นที่หลักสูตรการศึกษา โดยต้องสอนให้เด็กรู้จักคิดต่างไม่ใช่ดูแค่ผลลัพธ์ แม้กระทั่งคำตอบไม่ต้องเหมือนกันก็ได้ แต่ควรดูกระบวนการคิด เพราะคนที่คิดแตกต่างก็เหมือนการเรียนรู้ประชาธิปไตย เป็นการฝึกเคารพเสียงส่วนน้อย ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ ที่สำคัญต้องไม่คุกคาม หรือก้าวร้าว

    “น้องๆเยาวชน ใครบอกว่าเป็นอนาคตของชาติ ผมว่าเชยแล้ว เพราะน้องต้องเป็น ‘ปัจจุบันของชาติ’ เพราะถ้าน้องไม่รักษาตั้งแต่ปัจจุบันวันนี้ ประเทศชาติจะมีอนาคตได้อย่างไร”

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9530000057065
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=WorkCenterHeader>สุหนัตแท้

    </TD></TR><TR><TD class=WorkCenterContent>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=WorkCenterContentFont style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 5px; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 5px">[​IMG]
    Edit TitleEdit Detail
    สุหนัตแท้


    26 มีนาคม 2010

    สุหนัต คือ การตัดหนังหุ้มปลายองคชาติ (ปลายอวัยวะเพศชาย)

    ประโยชน์ของการเข้าสุหนัตคือ ทางการแพทย์เพื่อความสะอาด และผลวิจัยว่าลดการติดเชื้อ HIV ได้ 60%

    ในสมัยพระคัมภีร์เดิมนั้น มีเรื่องสุหนัตตั้งแต่ปฐมกาล ในสมัยของอับราฮัม

    เมื่อพระเจ้ามีบัญชาให้ ประชากรของพระองค์เข้าสุหนัตเพื่อเป็น สัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาของพระองค์

    ปฐมกาล 17:9 พระเจ้าให้เข้า สุหนัต โดยตัดหนังหุ้มปลายองคชาติของเจ้าโดยหินมีคม

    โดยผู้ชายที่มีอายุ 8 วันต้องเข้าสุหนัต ไม่ว่าจะเป็นคนในบ้านทุกคน หรือคนที่ซื้อมา

    พระเจ้าตรัสว่า เพื่อพันธสัญญาของพระองค์จะอยู่ในเนื้อของเรา เป็นพันธสัญญา

    นิรันดร์ ผู้ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกขับออก เพราะพระเจ้าถือว่าละเมิดพันธสัญญา

    กับพระองค์

    แม้ในยุคสมัยของ โมเสสเอง พระเจ้าก็ตรัสสั่งในเรื่องของการเข้าสุหนัต

    เลวีนิติ 12 การชำระตนหลังคลอด

    บัญญัติ 1 ในหลายๆข้อ พระเจ้าได้พูดถึงการเข้าสุหนัต เด็กที่เกิดมา 8 วันต้องทำการเข้าสุหนัต

    จะสังเกตได้ว่าพระเจ้าประทาน บัญญัติ และมีคำสั่งให้ประชากรของพระองค์เข้าสุหนัต

    ย้อนไปใน อพยพ 12:43,48

    ก่อนที่จะอพยพออกมาจากอียิปต์ พระเจ้าได้ตรัสกับโมเสส และ อาโรน ถึงระเบียบ

    ของพิธีปัสกา คือห้ามชาวต่างชาติกินเนื้อลูกแกะปัสกา แต่ทาสที่วื้อมาและเข้าสุหนัตแล้วกินได้

    หรือคนต่างด้าวที่อยากร่วมปัส กา ก็ให้ผู้ชายในครัวเรือนทุกคนเข้าสุหนัต


    เราเห็นได้ว่า พระเจ้าสงวนสิทธิ์นี้ให้ชนชาติอิสราเอล ของพระองค์โดยเฉพาะ

    เราเองจึงจำเป็นต้องมีเครื่อง หมายของพระเจ้าบนตัวเรา อพยพ 4:4-26

    ก่อนโมเสสจะปลดปล่อยอิสราเอล จากชาวอียิปต์ ในเวลานั้นเขาก็ยังไม่พร้อม

    พระคัมภีร์ฉบับ NIV บันทึกว่า พระเจ้าจะเสด็จมาประหารชีวิตโมเสส แต่ NIV บอกว่า ลูกชายของโมเสส เพราะบุตรของโมเสส เกอร์โชม ยังไม่เข้าสุหนัต

    แต่นางศิปปาห์ เอามีดเฉือนหนังหุ้มปลาย อวัยวะเพศ

    ไปแตะเท้าของโมเสส


    เหตุนี้เองพระเจ้าจึงละไป

    มองได้ 2 ประเด็น ผมไม่แน่ใจ

    -โมเสสเป็นฮีบรูเข้า สุหนัตแล้ว แต่เกอร์โชมบุตรชายเป็นมีเดียนไม่ได้เข้าสุหนัต

    โมเสสถูกเลี้ยงในอียิปต์จึง ไม่เคร่งครัดพระเจ้าจึงไม่พอพระทัย

    -หรือพระเจ้าจะประหาร เกอร์โชม เพราะไม่ได้เข้าสุหนัต เพราะบัญญัติขิงพระองค์คือทุกคน และทั้งครอบครัว แต่เกอร์โชมรอด เพราะเอาหนังหุ้มปลาย ไปแตะเท้าของโมเสส

    เหตุนี้เองเราจึงควรมีเครื่องหมายของพระเจ้า


    ดูในโยชูวา 5

    พระเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า จงลับหินเป็นมีด เพื่อเข้าสุหนัตให้ ชนชาติอิสราเอล

    เนื่องจากคนที่เกิดในถิ่น กันดาร ระหว่างเดินทางจากอียิปต์ ยังไม่เข้าสุหนัต

    (การเร่ร่อน ของอียิปต์ผู้ชายที่อยู่ในวัยออกรบได้ ตายหมดแล้ว)

    โยชูวาจึงทำพิธีเข้าสุหนัตให้ บุตรชายของอิสราเอลที่โต พอที่จะแทนบิดาของตน

    หลังจากเข้าสุหนัตแล้ว ก็พักอยู่ในค่ายจนหายเป็นปกติ

    พระเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า พระองค์ได้กลิ้งความอัปยศแห่งอียิปต์

    ออกไปพ้นจากเจ้าแล้ว (หลังจากนั้นก็ยึดเยรีโคได้)

    ชายอิสราเอลต้องทำพิธีเข้า สุหนัต เพื่อเป็นเครื่องหมาย ของพันธสัญญา

    ระหว่างเขาและพระเจ้า แต่พิธีเข้าสุหนัตไม่ได้มีการปฏิบัติ ในระหว่างการอพยพในถิ่นทุรกันดาร

    เมื่ออิสราเอลเตรียมที่จะทำ สงครามกับชาติต่างๆของคานาอัน พระเจ้าจึงบัญชา

    ให้เขาเข้าสุหนัต

    แต่ในปัจจุบันนี้ เราเองเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู เราต้องเข้าสุหนัตเนื้อหนัง

    ไม่เคลื่อนไหวต่อหน้าศัตรูของเรา

    ………………………………………………………………………………………………………

    เราเองจึงต้องมีเครื่องหมาย ของการเปลี่ยนแปลง ในชีวิตของเรา ในฐานะผู้เชื่อ

    เราเองไม่ได้เข้าสุหนัตเนื้อ หนัง แต่เราต้องรับการเข้าสุหนัตจิตใจ (โคโลสี 2:11)

    การเข้าสุหนัตแท้ เป็นฝ่ายวิญญาณ จิตใจแทนที่จะเป็นเนื้อหนัง เราเองจะมีลักษณะการพูดจา

    และชีวิตที่แตกต่างออกไป

    ชีวิตเราจะแสดงเครื่องหมายของ การเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นเครื่องหมายของพันธสัญญา

    ของเรากับพระเจ้า

    โรม 2: 28-29

    ชีวิตของเราต้องแสดงเครื่อง หมายของการเปลี่ยนแปลง

    อย่ากลัว มีด แห่งพระวจนะของพระเจ้าขณะที่กำลังทำเครื่องหมายในชีวิตของเรา

    ตำหนิของอียิปต์ คือความบาป จะต้องถูกนำออกไป เมื่อพระเจ้าเฉือนบางสิ่งบางอย่างออกไป

    เรายอม มั๊ย

    ขณะที่เรากำลังอยู่ในพื้นที่ ของศัตรู เราเองต้องรู้ตัวเองว่า เราไม่สามารถต่อสู้ด้วยเนื้อหนังได้

    เราต้องวางใจในฤทธิ์อำนาจของ พระเจ้า ให้พระเจ้าครอบครองความอ่อนแอของเนื้อหนังของเรา

    การเข้าสุหนัตใจมี 2 ส่วน

    -เฉลยธรรมบัญญัติ 30:6 NIV

    พระเจ้าทรงเปลี่ยนเรา แต่เราต้องรับผิดชอบในการเข้าสุหนัต

    -เยเรมีห์ 4:4

    ชำระตัวเองจากความโสมมของ เนื้อหนัง

    เราไม่สามารถทำส่วนของเรา จนกว่าพะเจ้าจะทำส่วนของพระองค์

    สุหนัตตอนนี้จึงไม่ใช่สุหนัต เนื้อหนัง

    ไม่ได้หมายความว่าจะลบล้าง ธรรมบัญญัติของพระเจ้า

    พระเยซูเองพระเองก็บอกว่า เราไม่ได้มาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติเดิม

    แต่มาทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

    พระองค์รู้ดีว่าเราเองไม่ สามารถจะพึ่งพาเนื้อหนังของเราได้ แม้กายจะทำสัญญากับพระเจ้า

    แต่ใจภายในก็ไม่แตกต่างหรือมี อะไรเปลี่ยนแปลงเลย

    โคโลสี 2:11

    เหตุนี้พระเยซูเอง ในพระองค์นั้น ท่านได้รับพิธีเข้าสุหนัตที่มือมนุษย์ไม่ได้กระทำ

    โดยที่ท่านได้สละกายเนื้อหนัง เสียในการเข้าสุหนัต แห่งพระคริสต์

    โคโลสี 2:11-15


    เราเห็นได้ว่าพระคัมภีร์เดิมนั้นเป็นเงาของพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์เดิมจะชี้ไปยังพระเยซูอยู่เสมอ

    -ในปัสกาลูกแกะต้องถูก ฆ่า อพยพ 12:3-6

    แสดง ถึงการถวายพระเยซูเป็นเครื่องบูชา

    เมษโปดกของพระเจ้า ผู้รับความผิดบาปของโลกไปเสีย

    1 ยอห์น 1:29 1 โครินธ์ 5:7

    หรือ สัตว์ที่มาเป็นเครื่องบูชาต้องไม่มีตำหนิ ชี้ให้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบในพระคริสต์

    อพยพ 12:5 1 เปโตร 1:19

    พระองค์ ได้ทรงหลั่งเลือด ต้อเจอกับความเจ็บปวดและความทรมานบนไม้กางเขน

    ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

    บทบัญญัติระบุว่าให้ชำระทุก สิ่งด้วยเลือด และถ้าไม่มีการหลั่งเลือด ก็ไม่มีการอภัยบาป

    พระองค์จึงทรงเสด็จเข้าไปในวิ สุทธิสถานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

    และพระองค์ไม่ได้นำเลือดแพะ และเลือดลูกวัวเข้าไป

    แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์ เองเข้าไป และทรง

    สำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์

    ฮีบรู 9:12

    เราเองก็มีส่วนใน การครั้งนี้ด้วย ในโณม 2:28-29

    การเป็นยิวแท้ไม่ใช่แค่ภายนอก สุหนัตแท้ก็เป็นเรื่องของจิตใจ

    กาลาเทีย 6:11-15

    คนที่รับ การเข้าสุหนัตแท้ สุหนัตฝ่ายวิญญาณ

    จะมี ลักษณะบางประการ ในฟิลิปปี3

    -นมัสการด้วยจิตวิญญาณ และความจริง

    บังเกิด ใหม่ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

    -อวดพระเยซูคริสต์ นอกนั้นไม่มีอะไรน่าอวดในเนื้อหนัง

    -ไม่วางใจในเนื้อหนัง เพราะไม่มีอะไรน่าวางใจ

    ความหมายของเนื้อหนังคือ ชีวิตเก่า นิสัยเก่า

    นิสัยที่ไม่ได้รับการทรงนำจาก พระวิญญาณบริสุทธิ์

    การพยายาม กระเสือกกระสนด้วยตัวเองก็คือเนื้อหนัง

    จิตวิญญาณเป็นสิ่งมีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด

    ยอห์น 6:63


    อ เปาโล เองก็ไม่เห็นด้วยที่บังคับให้ผู้เชื่อในพระเยซู เข้าสุหนัต

    เพราะเหมือนกับเอาพระคุณกับ บาปมาปะปนกับธรรมบัญญัติ

    สำหรับคนที่เชื่อนั้น การกระทำเช่นนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย

    การเข้าสุหนัตเป็นเครื่องหมาย แห่งการเชื่อฟัง ฉะนั้นเมื่อเข้าสุหนัตแล้วไม่เชื่อฟังพระเจ้า

    จึงไม่ดีกว่าคนที่ไม่เข้า สุหนัต คือเข้าสุหนัตฝ่ายเนื้อหนัง แต่ไม่เข้าสุหนัตฝ่ายจิตใจ

    พระเจ้าพอพระทัยคนที่เชื่อฟัง


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://4windsprayer.igetweb.com/index.php?mo=3&art=433111
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ความคิดเห็นที่ 1
    พระเยซูสืบเชื้อสายจากยิว เรื่องการเข้าสุหนัต(ขลิบ)ของพระองค์นั้น เกิดขึ้นตั้งแต่พระองค์ยังทรงเป็นทารก ส่วนเรื่องอาหารที่เป็นมลทินนั้น พระองค์ได้สอนไว้ว่า

    ...สิ่งใดๆซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน ความคิดชั่วร้าย การฆาตกรรม การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การพูดหมิ่นประมาท ก็ออกมาจากใจ สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่ซึ่งจะรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน" (มัทธิว 15:17-20)

    ส่วนเรื่องการเข้าสุหนัต อัครสาวกของพระเยซูคริสต์สอนไว้ว่า

    ถ้าท่านรักษาพระราชบัญญัติ พิธีเข้าสุหนัตก็เป็นประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านละเมิดพระราชบัญญัติ การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าเลย เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังรักษาความชอบธรรมแห่งพระราชบัญญัติแล้ว การที่เขาไม่ได้เข้าสุหนัตนั้นจะถือเหมือนกับว่าเขาได้เข้าสุหนัตแล้วไม่ใช่หรือ และคนทั้งหลายที่ไม่เข้าสุหนัตซึ่งเป็นตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ได้ทำตามพระราชบัญญัติ เขาจะปรับโทษท่านผู้มีประมวลพระราชบัญญัติและได้เข้าสุหนัตแล้ว แต่ยังละเมิดพระราชบัญญัตินั้น เพราะว่ายิวแท้ มิใช่คนที่เป็นยิวแต่ภายนอกเท่านั้น และการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัตซึ่งปรากฏที่เนื้อหนังเท่านั้น คนที่เป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจตามจิตวิญญาณ มิใช่ตามตัวบทบัญญัติ คนอย่างนั้นพระเจ้าสรรเสริญ มนุษย์ไม่สรรเสริญ (โรม 2:25-29)

    ดังนั้นสำหรับชาวคริสต์แล้ว การขลิบก็ทำให้สะอาดครับ แต่ไม่ได้มีผลต่อความรอด หรือเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ

    จากคุณ : Chinra12
    เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 53 16:04:16
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9161002/Y9161002.html
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ใครคือบาบิโลนที่ถูกกล่าวถึงในไบเบิ้ล??? ( Mystery Babylon )

    วิวรณ์ / Revelation 18 นครบาบิโลนล่มจม

    18:1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ข้าพเจ้าก็ได้เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านมีอำนาจใหญ่ยิ่ง และรัศมีของท่านได้ทำให้แผ่นดินโลกสว่างไป

    18:2 ท่านได้ร้องประกาศด้วยเสียงกึกก้องว่า "บาบิโลนมหานครล่มจมแล้ว ล่มจมแล้ว กลายเป็นที่อาศัยของผีปีศาจ เป็นที่คุมขังของผีโสโครกทุกอย่าง และเป็นกรงของนกทุกอย่างที่ไม่สะอาดและน่าเกลียด

    18:3 เพราะว่าประชาชาติทั้งปวงได้ดื่มเหล้าองุ่นแห่งความเดือดดาลในการล่วงประเวณีของนครนั้น และบรรดากษัตริย์บนแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น และพ่อค้าทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลกก็ได้มั่งมีขึ้นด้วยทรัพย์ฟุ่มเฟือยของนครนั้น"

    18:4 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งประกาศมาจากสวรรค์ว่า "ชนชาติของเรา จงออกมาจากนครนั้นเถิด เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่มีส่วนในการบาปของนครนั้น และเพื่อท่านจะไม่ต้องรับภัยพิบัติที่จะเกิดแก่นครนั้น

    18:5 เพราะว่าบาปของนครนั้นกองสูงขึ้นถึงสวรรค์แล้ว และพระเจ้าได้ทรงจำความชั่วช้าแห่งนครนั้นได้

    18:6 นครนั้นได้ให้ผลอย่างไร ก็จงให้ผลแก่นครนั้นอย่างนั้น และจงตอบแทนการกระทำของนครนั้นเป็นสองเท่า ในถ้วยที่นครนั้นได้ผสมไว้ก็จงผสมลงเป็นสองเท่าให้นครนั้น

    18:7 นครนั้นได้เย่อหยิ่งจองหองและมีชีวิตอย่างหรูหรามากเท่าใด ก็จงให้นครนั้นได้รับการทรมานและความระทมทุกข์มากเท่านั้น เพราะว่านครนั้นทะนงใจว่า `เราดำรงอยู่ในตำแหน่งราชินี ไม่ใช่หญิงม่าย เราจะไม่ประสบความระทมทุกข์เลย'

    18:8 เหตุฉะนั้น ภัยพิบัติต่างๆของนครนั้นจะเกิดขึ้นในวันเดียว ความตาย และความระทมทุกข์ การกันดารอาหาร และไฟจะเผานครนั้นให้พินาศหมดสิ้น เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า ผู้ทรงพิพากษานครนั้น ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่"

    กษัตริย์และพ่อค้าแห่งแผ่นดินโลกคร่ำครวญต่อบาบิโลน

    18:9 บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกที่ได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น และได้มีชีวิตอย่างหรูหราร่วมกันนั้น เมื่อได้เห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้น ก็จะพิลาปร่ำไห้คร่ำครวญเพราะนครนั้น

    18:10 พวกกษัตริย์จะยืนอยู่แต่ห่างๆเพราะกลัวภัยแห่งการทรมานของนครนั้น และจะกล่าวว่า "อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย บาบิโลนมหานครที่ยิ่งใหญ่ นครที่แข็งแรง เพราะเจ้าได้รับการพิพากษาโทษให้พินาศไปภายในชั่วโมงเดียวเท่านั้น"

    18:11 บรรดาพ่อค้าในแผ่นดินโลกจะร่ำไห้คร่ำครวญเพราะนครนั้น เพราะว่าไม่มีใครซื้อสินค้าของเขาอีกต่อไปแล้ว

    18:12 สินค้าเหล่านั้นคือ ทองคำ เงิน เพชรพลอยต่างๆ ไข่มุก ผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วง ผ้าไหม ผ้าสีแดงเข้ม ไม้หอมทุกชนิด บรรดาภาชนะที่ทำด้วยงา บรรดาภาชนะไม้ที่มีราคามาก ภาชนะทองเหลือง ภาชนะเหล็ก ภาชนะหินอ่อน

    18:13 อบเชย เครื่องเทศ เครื่องหอม กำยาน เหล้าองุ่น น้ำมัน ยอดแป้ง ข้าวสาลี สัตว์ต่างๆ แกะ ม้า รถรบ และทาส และชีวิตมนุษย์

    18:14 และผลซึ่งจิตของเจ้ากระหายใคร่ได้นั้นก็ล่วงพ้นไปจากเจ้าแล้ว สิ่งสารพัดอันวิเศษยิ่งและหรูหราก็พินาศไปจากเจ้าแล้ว และเจ้าจะไม่ได้พบมันอีกเลย

    18:15 บรรดาพ่อค้าที่ได้ขายสิ่งของเหล่านั้น จนเป็นคนมั่งมีเพราะนครนั้น จะยืนอยู่แต่ไกลเพราะกลัวภัยจากการทรมานของนครนั้น พวกเขาจะร้องไห้คร่ำครวญด้วยเสียงดัง

    18:16 ว่า "อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย มหานครนั้น ที่ได้นุ่งห่มผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วง และผ้าสีแดงเข้ม ที่ได้ประดับด้วยทองคำ เพชรพลอยต่างๆและไข่มุกนั้น

    18:17 เพียงในชั่วโมงเดียว ทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่นั้นก็พินาศสูญไปสิ้น" และนายเรือทุกคน คนที่โดยสารเรือ พวกลูกเรือ และคนทั้งหลายที่มีอาชีพทางทะเล ก็ได้ยืนอยู่แต่ห่างๆ

    18:18 และเมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้นก็ร้องว่า "นครใดเล่าจะเป็นเหมือนมหานครนี้"

    18:19 และเขาทั้งหลายก็โปรยผงคลีลงบนศีรษะของตน พลางร้องไห้คร่ำครวญว่า "อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย มหานครนั้น อันเป็นที่ซึ่งคนทั้งปวงที่มีเรือกำปั่นเดินทะเลได้กลายเป็นคนมั่งมีด้วยเหตุจากสิ่งของมีค่าของนครนั้น เพราะภายในชั่วโมงเดียวนครนั้นก็เป็นที่รกร้างไป"

    การชื่นชมยินดีในสวรรค์ต่อการพิพากษาของพระเจ้า

    18:20 เมืองสวรรค์ พวกอัครสาวกอันบริสุทธิ์ และพวกศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย จงร่าเริงยินดีเพราะนครนั้นเถิด เพราะพระเจ้าทรงแก้แค้นต่อนครนั้นให้ท่านทั้งหลายแล้ว

    18:21 แล้วทูตสวรรค์องค์หนึ่งที่มีฤทธิ์มาก ก็ได้ยกหินก้อนหนึ่งเหมือนหินโม่ใหญ่ทุ่มลงไปในทะเลแล้วว่า "บาบิโลนมหานครนั้นจะถูกทุ่มลงโดยแรงอย่างนี้แหละ และจะไม่มีใครเห็นนครนั้นอีกต่อไปเลย"

    18:22 และจะไม่มีใครได้ยินเสียงนักดีดพิณเขาคู่ นักเล่นมโหรี นักเป่าปี่ และนักเป่าแตร ในเจ้าอีกต่อไป และในเจ้าจะไม่มีช่างในวิชาช่างต่างๆอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยินเสียงโม่แป้งในเจ้าอีกต่อไป

    18:23 และในเจ้าจะไม่มีแสงประทีปส่องสว่างอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยินเสียงเจ้าบ่าวเจ้าสาวในเจ้าอีกต่อไป เพราะว่าบรรดาพ่อค้าของเจ้าได้เป็นคนใหญ่โตแห่งแผ่นดินโลกแล้ว และโดยวิทยาคมของเจ้าได้ล่อลวงบรรดาประชาชาติให้ลุ่มหลง

    18:24 และในนครนั้นเขาได้พบโลหิตของพวกศาสดาพยากรณ์และพวกวิสุทธิชน และบรรดาคนที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก"

    -----------------------

    (ปล.เจ้าของบลอกนี้ เคยบอกไว้ว่าบาบิโลนหมายถึง usa)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2010
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ความน่ากลัวของ Supervolcanoes ที่อาจนำมาซึ่งการล้างโลก ได้พร้อมที่จะระเบิดอีกครั้งแล้ว

    ความน่ากลัวของ Supervolcanoes ที่อาจนำมาซึ่งการล้างโลก ได้พร้อมที่จะระเบิดอีกครั้งแล้ว
    ภูเขาไฟยักษ์หรือ Supervolcano ซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายใต้อุทยานแห่งชาติ Yellowstone Park ในสหรัฐอเมริกา ผู้เชียวชาญทำนายว่าภูเขาไฟดังกล่าวอาจจะประทุขึ้นมาอีกภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แรงระเบิดซึ่งคาดว่าจะรุนแรงกว่าภูเขาไฟธรรมดาหลายร้อยเท่า ส่งเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกครั้งใหญ่ นักวิทยาศาสตร์หลายๆคนทำนายว่าความเสียหายเทียบได้กับการพุ่งชนของอุกกาบาตลูกเล็กๆทีเดียว


    Supervolcanoes แตกต่างจากภูเขาไฟทั่วไปที่เรารู้จัก คือไม่ได้มีลักษณะเป็นปล่องภูเขาไฟ แต่มันซ่อนตัวอยู่ลึกใต้พื้นดิน และยากต่อการตรวจพบ ภูเขาไฟโดยทั่วไปเกิดจากการที่หินละลายใต้เปลือกโลก ถูกแรงดันมหาศาลภายในโลกผลักดันให้ปะทุออกมาบนผิวโลก แต่สำหรับ Supervolcanoe นั้นแทนที่หินละลายเหล่านี้จะระเบิดออกมาที่ผิวโลก มันกลับเกิดการ สะสมกันก่อนเป็นเวลาหลายพันปีเกิดเป็นบ่อหินละลายขนาดยักษ์ ซึ่งอยู่ใต้พื้นโลกลึกลงไป นักธรณีวิทยาเรียกว่าบ่อหินละลายใต้ดินนี้ว่า Magma chamber

    หินละลายหรือ Magma ที่สะสมอยู่ใน Magma chamber นั้นจะทับถมกันจนหนาหลายสิบกิโลเมตร ต่างจาก Magma Chamber ของภูเขาไฟธรรมดาที่มีความหนาไม่กี่กิโลเมตร ซึ่งมันจะดูดซับเอาก๊าซต่างๆ เช่น ก๊าซซัลเฟอร์ไดอ๊อกไซด์ และ คารบอนไดอ๊อกไซด์ไว้ ก๊าซเหล่านี้เมื่อสะสมกันเวลาหลายๆ พันปีก็จะเกิดแรงดันมหาศาล และเมื่อถึงจุดๆหนึ่งก็จะระเบิดประทุขึ้นมาเหนือผิวโลก ด้วยความรุนแรงมากกว่าการระเบิดจากภูเขาไฟธรรมดาหลายร้อยเท่า นักธรณีวิทยาพบว่า Supervolcanoes นั้นโดยมากจะเกิดในบริเวณที่เรียกว่า Subduction zone ซึ่งเป็นบริเวณที่เปลือกโลกในพื้นมหาสมุทร เคลื่อนตัวลงไปใต้ชั้นหินของแผ่นทวีป เช่น บริเวณชายฝังแปซิฟิกของสหรัฐอเมริก และ บริเวณประเทศอินโดนิเชียเป็นต้น

    การระเบิดของ Supervolcanoes นี้จะไม่เหมือนการระเบิดของภูเขาไฟธรรมดาออกมาจากปล่องภูเขาไฟ เมื่อSupervolcanoes ประทุขึ้นมันจะพ่นหินละลายออกสู่ผิวโลกด้วยความเร็วสูง Magma ที่สะสมอยู่ใน Magma chamber ใต้ดินจะถูกพ่นออกมาและหมดไปอย่างรวดเร็วทำให้เปลือกโลกที่อยู่ข้างบนยุบตัวลงไป เกิดเป็นหลุมขนาดยักษ์ เหมือนกับหลุมที่เกิดจากการพุ่งชน ของอุกกาบาต ซึ่งนักธรณีวิทยาเรียกหลุมที่เกิดจากการระเบิดของ Supervolcanoes ว่า Caldora

    นอกจากนั้นเถ้าถ่านภูเขาไฟจากการระเบิดครั้งใหญ่นี้จะปกคลุมบรรยากาศ ก๊าซจำพวกซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะสะท้อนแสงอาทิตย์ไม่ให้ตกลงมาสู่พื้นโลกได้เต็มที่ ทำให้อุณหภมิโลกลดลง อย่างรวดเร็ว เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าฤดูหนาวนิวเคลียร์ ( nuclear winter )

    ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้นไม่เคยได้มีการบันทึกการระเบิดของ Supervolcanoes เอาไว้ แต่จากหลักฐานทางธรณีวิทยานั้นพบว่า Supervolcanoes ได้ระเบิดครั้งล่าสุดเมื่อ 75,000 ปีมาแล้ว คือภูเขาไฟ โทบา (Toba) ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะสุมาตราประเทศอินโดนิเชีย

    สำหรับที่อุทยานแห่งชาติ Yellowstone Park ในอเมริกานั้น จากหลักฐานทางธรณีวิทยาพบว่า ได้เคยเกิดการระเบิดของ Supervolcanoes มาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้งแต่ละครั้งห่างกันเป็นเวลาประมาณ 600,000 ปี ที่น่าตกใจคือครั้งล่าสุดที่เกิดการปะทุขึ้นนั้นเมื่อ 640,000 ปีมาแล้ว

    นักธรณีวิทยา ศ. โรเบิรต์ สมิต ( Robert Smith )แห่งมหาวิทยาลัยยูทารห์(University of Utah) ได้ทำการวัดขนาดของ Magma chamber ที่ฝังตัวอยู่ภายใต้ Yellowstone Park โดยอาศัย
    คลื่นความสั่นสะเทือนของแผ่นดินใหว พบว่าขนาดของ Magma chamber ที่ Yellowstone มีขนาดมหึมา ความกว้างประมาณ 20 กิโลเมตร ความยาวประมาณ 40 ถึง 50 กิโลเมตรและลึกไม่ต่ำกว่า 10 กิโลเมตร
    Supervolcanoes แห่งนี้เคยสร้างความตกใจให้แก่ผู้ที่อาศัยในบริเวณนั้น เมื่อ 3-4 ปีก่อน โดยพื้นที่ในอุทยาน Yellowstone ได้ปูดและพองขึ้นมาเป็นสัญญาณเตือน ทำให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างพากันอพยพ
    แต่จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอเมริกันโดยละเอียดหลายท่าน ได้ให้ความเห็นว่า ลาวาใน Magma Chamber ได้สะสมเพิ่มขึ้น จนทำให้พื้นที่ในบริเวณนั้นพองและสูงขึ้นมา และยังคาดการณ์จากการวัดระดับการเปลี่ยนแปลง พวดเขาก็ให้ความเห็นกันอีกว่า Supervolcanoes แห่งนี้ อาจจะระเบิดอีกครั้งในช่วงปลายปี 2012 โดยมีโอกาสสูงมากทีเดียวเพราะหินละลายจะล้นออกมาในช่วงนั้นพอดี

    หลักฐานจากชั้นหินใต้มหาสมุทรอินเดีย และ แท่งน้ำแข็ง ชี้ให้เห็นว่า การระเบิดของภูเขาไฟ โทบาในอินโดนิเซียเมื่อ 75,000 ปีมาแล้วนั้น ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกลดต่ำลงกว่า 5 องศาเซลเซียส (อย่าดีใจนะที่โลกเย็นลง สวนกระแสภาวะโลกร้อน) ซึ่งจะทำให้สภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างรุนแรงและอาจนำมาซึ่งการสูญพันธ์ของพืชและสัตว์จำนวนมหาศาล

    รูปข้างล่างแสดงบริเวณ Yellowstone Park เส้นสีแดงแสดงซากของหลุมภูเขาไฟที่เหลือจากการระเบิดเมื่อ 600,000 ปี มาแล้ว ( ซึ่งเรียกว่า Caldora )
    [​IMG]


    ภาพด้านซ้ายแสดงภูเขาไฟทั่วไป ซึ่งหินละลายจากใต้เปลือกโลก ดันตัวออกมาตามปล่องภูเขาไฟซึ่งเราเห็นกันจนคุ้นตา
    ส่วนด้านขวาแสดงลักษณะของ Supervolcanoes แทนที่หินละลายจะแทรกตัวขึ้นมาที่ตามเปลือกโลกตามปกติ มันกับสะสมตัวกันเป็นอ่างยักษ์อยู่ใต้ดิน ที่เรียกว่า Magma Chamber นักธรณีวิทยายังไม่มีทฤษฎีที่จะอธิบายได้แน่ชัดว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น

    หินละลายใน Magma Chamber อาจสะสมตัวกันนับเป็นพันๆ ปี ก๊าซต่างๆ เช่น ซัลเฟิร์ไดออกไซด์ จะสะสมกันจนมีความดันมากมายมหาศาล และในที่สุดก็จะระเบิดออกมา
    [​IMG]

    การระเบิดของ Supervolcanoes นั้นไม่ได้ทำให้เกิดปล่องภูเขาไฟ แต่จะทำให้
    พื้นดินที่อยู่เหนือ Magma Chamble นั้นยุบตัวลงมา เกิดเป็นหลุมขนาดยักษ์
    คล้ายๆ กับหลุมอุกกาบาต ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังภาพข้างล่างนี้

    เมื่อแรงดันจากก๊าซต่างๆ ใน Magma Chamble มีมากจนถึงจุดวิกฤต มันก็จะ
    ประทุขึ้นมาด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งจะปั้มเอาหินละลายที่เก็บอยู่ใน Magma Chamble
    ขึ้นไปสู่บรรยากาศโลกด้วย

    เมื่อหินละลายใน Magma Chamble ถูกปั้มออกไปมากๆ เข้า พื้นดินที่อยู่เหนือขึ้นไป
    ก็ไม่มีที่รองรับน้ำหนัก ในเวลาไม่นานนัก มันก็จะยุบตัวลงมา
    [​IMG]

    อีกภาพหนึ่งแสดงปริมาณเถ้าถ่านภูเขาไฟ จากการระเบิดของ Supervolcanoes ในอดีต
    - กล่องสีชมพูแสดงปริมาณของเถ้าถ่านภูเขาไฟที่ โทบาปล่อยออกมา
    เมื่อ 75000 ปีมาแล้ว คิดเป็นประมาณ 2800 ลูกบาศก์กิโลเมตร
    -สีเหลืองเป็นปริมาณของเถ้าถ้านที่ปล่อยออกมาจาก Supervolcanoes
    Huckleberry Ridge Tuff ใน Yellowstone ซึ่งปะทุขึ้นเมือ 2 ล้านปีมาแล้ว
    ปล่อยเถ้าถ่านออกมา 25000 ลูกบาศก์กิโลเมตร
    -ส่วนสีฟ้าเป็นของ Lava Creek Tuff ใน Yellowstone อีกเช่นกัน
    ซึ่งเป็นการประทุครั้งล่าสุดเมื่อ 60000ปีมาแล้ว ปล่อยเถ้าถ่านออกมา
    1000 ลูกบาศก์กิโลเมตร

    ในขณะที่การระเบิดของภูเขาไฟธรรมดาอย่างภูเขาไฟกรากะตัว ในปีค.ศ. 1883
    นั้นปล่อยเถ้าถ่านออกมาเพียงแค่ 18-20 ลูกบาศก์กิโลเมตรเท่านั้น

    [​IMG]

    มุมหนึ่งของ Yellowstone Park ในสหรัฐอเมริกา
    เป็นภาพของ Grand Canyon ในอุทยาน

    [​IMG]

    Credit: Board siamphone.com

    ความน่ากลัวของ Supervolcanoes ที่อาจนำมาซึ่งการล้างโลก ได้พร้อมที่จะระเบิดอีกครั้งแล้ว - Raycity Talk - Raycity

    ไปเที่ยวกันนะ
    เที่ยวอเมริกา ตอนที่ 3 ... ถึงซะทีเยลโลว์สโตน อุทยานแห่งชาติลำดับที่ 1 ของโลก จะยิ่งใหญ่อลังการสมราคาหรือไม่
    http://board.trekkingthai.com/board/show.php?forum_id=2&topic_no=212336&topic_id=215092&&page=1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2010
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เฉิน ซู่จี๋ว์ แม่ค้าขายผักใจบุญ
    [​IMG]

    อังลี (หลี่ อัน) ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไต้หวัน เจ้าของผลงานรางวัลออสการ์อย่าง Crouching tiger hidden dragon และ Brokeback Mountain พูดถึงเฉิน ซู่จี๋ว์ แม่ค้าขายผักในตลาดเมืองไถตง ว่าการที่เธอประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องไม่ได้เกินเลยจากความเป็นจริงเลย เธอเป็นคนมีจิตใจเอื้ออาทรแก่ผู้อื่นมาตลอดชีวิต

    เฉิน ซู๋จี๋ว์ วัย 59 ปี เคยเดินทางออกนอกไถตงเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น และเพิ่งได้ไปไทเปเมื่อไม่นานมานี้ เฉินเกิดในครอบครัวยากจน ตอนที่เธอเรียนชั้นประถมปีที่ 6 แม่และน้องชายคนหนึ่งล้มป่วย และด้วยไม่มีเงินซื้อยามารักษา ทั้งสองจึงต้องลาโลกไป เฉินต้องหาเลี้ยงน้องๆ 6 คน จึงต้องออกจากโรงเรียน เธอสู้ชีวิตตื่นแต่ตีสี่ออกจากบ้าน มาขายผักที่ตลาด และเก็บแผงตอน 3 ทุ่ม จากวันนั้นมา เธอขายผักเลี้ยงตัวเลี้ยงน้อง...นานถึงเกือบครึ่งศตวรรษอย้างไม่เคยเปลี่ยนแปร!

    ไทมส์ เผยว่า ปี 2547 เฉินบริจาคเงินเข้ากองทุนเด็ก 32,000 ดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 1 ล้านบาท) และบริจาคอีก 144,000 ดอลลาร์ (ราว 4.7 ล้านบาท) เป็นทุนสร้างห้องสมุดให้โรงเรียนเก่าของเธอเอง ขณะที่ในปีนี้เธอมีแผนจะตั้งกองทุนมูลค่า 313,000 ดอลลาร์ (10.2 ล้านบาท) สำหรับช่วยเหลือด้านการศึกษาและสาธารณสุขแก่คนยากจน โดยสำหรับตัวเฉินเองนั้น ก็รับอุปการะเด็กกำพร้าอีก 3 คน

    นางเฉิน ซู่จี๋ว์ เผยว่า เธอรู้สึกเขินที่มีชื่อติดอันดับ 100 ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลก จากการจัดอันดับประจำปีนี้ของนิตยสารไทม์สของสหรัฐฯ ซึ่งเธอไม่เคยรู้จัก และไม่เคยอ่านด้วย

    เฉิน กล่าวแบบแม่ค้าที่ไม่คิดอะไรให้ซับซ้อนหรือสร้างภาพกับนักข่าวว่า "เงินจะมีประโยชน์สูงสุด ก็ต่อเมื่อ มันอยู่ในมือผู้ที่มีความจำเป็นมากที่สุด"

    China - Manager Online
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วาทะธรรมทางการเมือง ของพุทธทาสภิกขุ

    ประชาธิปไตย ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนเป็นใหญ่นั้นมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ประชาชนเห็นแก่ตัว โดยประชาชน ของประชาชน เพื่อประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด

    ระบบประชาธิปไตย มันเป็นระบบครองโลกหรือเกี่ยวถึงกันไปหมดทั้งโลก ถ้าว่าระบบนี้มันมืดมิดแล้วก็ ทั้งโลกมันจะมืดมิด แล้วมันก็กำลังมืดมิดเพราะว่าความเป็นประชาธิปไตยมันไม่ค่อยจะมี


    ทางประชาธิปไตยนั่นฟ้าสางอย่างไร พูดสั้น ๆ ก็ว่า คือการทำให้ศีลธรรมกลับมาเป็นรากฐานของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยนี้มันดีต่อเมื่อมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ถ้าไม่มีศีลธรรมเป็นรากฐานมันก็เป็นประชาธิปไตยโกง


    ประชาธิปไตยโกงนั่นมันร้ายกาจอย่างไร คือประชาชนทั้งหลายไม่มีศีลธรรม แต่ถือระบบประชาธิปไตย มันก็มีโอกาสที่จะใช้กิเลสของตนอย่างเสรี แต่ละคน ๆ มีเสรีภาพที่จะใช้กิเลสของตนอย่างเต็มที่ แล้วจะทนไหวหรือ ในเมื่อทุกคนใช้กิเลสของตนอย่างเต็มที่


    เมื่อประชาชนทุกคนมันไม่มีศีลธรรม มันโกง มันก็เลือกผู้แทนโกง


    ระวังให้ดี อย่าเป็นประชาชนโกง เลือกผู้แทนโกง มันจะเป็นการทำลายเกินไป


    เมื่อประชาชนเลือกผู้แทนโกง ก็ได้ผู้แทนโกง ผู้แทนโกงทั้งหลายไปประกอบกันเป็นรัฐสภา ก็เป็นรัฐสภาโกง รัฐสภาโกงไปตั้งคณะรัฐบาล ก็เป็นคณะรัฐบาลโกง เจ้าหน้าที่ทุกคนก็เป็นคนโกง โกงกันทั้งบ้านทั้งเมือง จนกระทั่งพระเจ้าพระสงฆ์ก็ไม่เว้น หรือจะโกงขึ้นไปถึงเทวดา เพราะว่าคนโกงมันทำบุญทำกุศลไปเกิดเป็นเทวดา มันก็เป็นเทวดาโกง โกงกันหมดทั้งจักรวาล แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร


    ประชาธิปไตยต้องมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ไม่อย่างนั้นจะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ที่พูดกันว่า ประชาธิปไตยดีกว่าระบบใดนั้น หลับตาพูด คนไทยนับถือฝรั่งเป็นอาจารย์ เมื่อฝรั่งเขาว่าอย่างไร ก็พูดตามกันไปอย่างนั้น ว่าประชาธิปไตยนี้เพื่อประชาชน ของประชาชน โดยประชาชน แต่ลืมพูดไปว่าที่นี่มีศีลธรรม


    เมื่อไม่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ระบบประชาธิปไตยนั่นแหละ จะเป็นระบบที่เลวร้ายที่สุด

    เครดิต : direstraits <!--[​IMG] -->วันที่ : 25/05/2010 เวลา : 21.20 น.
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "His secret is cheerfulness.
    Nothing ever get him down."






    <TABLE class=ecxecxMsoNormalTable cellSpacing=3 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0.75pt; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; PADDING-TOP: 0.75pt" vAlign=top>If u feel desperate, open this mail.
    WOULD YOU BELIEVE ME ,IF I TELL YOU THAT YOU ARE SO LUCKY
    ถ้าคุณรู้สึกท้อแท้, อ่านเมล์นี้สิ
    คุณจะเชื่อไหม, ถ้าจะบอกว่า คุณน่ะ โชคดีจริงๆ


    ---------------------------------------------------------------------------------------------------




    "Half Man - Half Price Store"


    ร้านครึ่งคนครึ่งราคา


    The Story of Peng Shuilin


    เรื่องราวของ เป็ง ชุ่ยหลิน


    [​IMG]


    <TABLE class=ecxecxMsoNormalTable cellSpacing=3 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0.75pt; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; PADDING-TOP: 0.75pt" vAlign=top>In life we keep complaining about what is or why we don't have.

    ตลอดชีวิตคนเรามักจะพร่ำบ่น " อะไรนี่ ?" หรือ " ทำไมเราไม่ได้ ?"
    Half the time we seem dissatisfied, though full-bodied and free to choose. Fat people say,"I want to be slim." Skinny people say,"I w ant to be fatter."
    ครึ่งชีวิตเรามักพบความไม่พอใจ ถึงแม้ว่าเราจะมีร่างกายที่สมบูรณ์และอิสสระ ในการเลือก คนอ้วน " ฉันอยากผอม " คนผอม " ฉันอยาอ้วนกว่านี้ "
    Poor people want to be rich and rich are never satisfied with what they have.
    คนจนอยากรวย และ คนรวยก็ยังไม่เคยพอใจในสิ่งตนมีอยู่



    PENG Shuilin is 78cms high. He was born in Hunan Province, China.
    เป็ง ชุ่ยหลิน สูงแค่ 78 ซม . เขาเกิดที่จังหวัดหูหนาน ประเทศจีน
    In 1995, in Shenzhen, a freight truck sliced his body in half.
    ปี 1995 ที่ เซินเจิ้น รถบรรทุกได้หั่นร่างของเขาไปครึ่งหนึ่ง
    His lower body and legs were beyond repair.
    ร่างกายส่วนล่างและท่อนขาทั้งสองเกินกว่าจะซ่อมแซมได้
    Surgeons sewed up his torso.
    ศัลยแพทย์เย็บลำตัวที่เหลือของเขาเข้าด้วยกัน
    Peng Shuilin, 37, spent nearly two years in hospital in Shenzhen, southern China,
    เป็ง ชุ่ยหลิน อายุ 37 ใช้เวลาเกือบสองปี นอนในโรงพยาบาลที่เซินเจิ้น ประเทศจีน
    undergoing a series of operations to re-route nearly every major organ or system inside his body.
    ผ่านการผ่าตัดใหญ่หลายรอบ เพื่อทำการจัดอวัยวะที่สำคัญ และระบบภายในของร่างกาย
    Peng kept exercising his arms, building up strength, washing his face and brushing his teeth.
    เป็ง พยายามออกกำลังกายแขนทั้งสอง เพื่อสร้างพลัง ล้างหน้าแปรงฟัน
    He survived against all & nbsp;odds.
    เขาผ่านพ้นความท้าทายทุกอย่าง
    Now Peng Shulin has astounded doctors by learning to walk again after a decade.
    ตอนนี้ เป็ง ได้สร้างความตลึงแก่บรรดาแพทย์โดยเขาเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นเดินหลังจาก 10 ปี
    Considering Peng's plight, doctors at the China Rehabilitation Research Centre in Beijing
    ความเห็นใจในโชคชตาของ เป็ง คณะแพทย์แห่งศูนย์วิจัยการฟื้นฟูสมร ถภาพ แห่งกรุงปักกิ่ง
    devised an ingenious way to allow him to walk on his own,
    ได้ประดิษฐ์วิธีการอันมหัศจรรย์เพื่อให้เขาได้เดินได้ด้วยตนเอง
    creating a sophisticated egg cup-like casing to hold his body, with two bionic legs attached.
    ได้สร้างแม่พิมพ์ ห่อหุ้มร่างของเขาเหมือนเปลือกไข่ และติดตั้งขาเทียมสองข้าง
    It took careful consideration, skilled meaasurement and technical expertize.
    พวกเขาได้ใช้ความพยายาม , ความชำนาญ และเทคนิคอย่างมาก < /SPAN>
    Peng has been walking the corridors of Beijing Rehabilitation Centre
    เป็งได้เริ่มหัดเดินรอบๆระเบียงของศูนย์ฯที่ปักกิ่ง
    with the aid of his specially adapted legs and a resized walking frame.
    ด้วยช่วยของขาเทียมที่ปรับปรุงและปรับขนาดหลายครั้ง
    RGO is a recipicating gait orthosis, attached to a prosthetic socket bucket.
    There is a cable attached to both legs so when one goes forward, the other goes backwards.
    Rock to the s ide, add a bit of a twist and the leg without the weight on it advances,
    while the other one stays still, giving a highly inefficent way of ambulation.
    Oh so satisfying to 'walk' again after ten years with half a body!
    ด้วยอุปกรณ์ที่คณะแพทย์ได้วิจัยและสร้างขึ้นเพื่อช่วยในการเดินของเขา
    เป็ง ก็สามารถเริ่มเดินได้อีกครั้งหลัง 10 ปีที่มีร่างกายเพียงครึ่งท่อน



    </TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0.75pt; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; PADDING-TOP: 0.75pt" vAlign=top>Hospital vice-president Lin Liu said: "We've just given him a checkup; he is fitter than most men his age."
    รองประธาน รพ . หลินหลิว " เราเพิ่งตรวจสภาพร่างกาย เขามีความแข็งแรงสูงกว่าชายในวัยเดียวกับเขา "
    Peng Shuilin has opened his own bargain supermarket, < /SPAN>
    เป็ง ชุ่ยหลิน ได้เปิดซุปเปอร์มาร์เก็ตราคาถูกของเขาเอง
    called the Half Man-Half Price Store.
    เขาตั้งชื่อร้านว่า " ครึ่งคน ครึ่งราคา "
    The inspirational 37-year-old has become a businessman
    ชายวัย 37 ผู้เต็มไปด้วยความบันดาลใจได้กลายเป็นนักธุรกิจ
    and is used as a role model for other amputees.
    และได้เป็นแบบอย่างแก่คนทุพพลภาพอื่นๆ
    At just 2ft 7ins tall, he moves around in a wheelchair giving lectures on recovery from disability.
    ด้วยความสูงเพียง 2 ฟุต 7 นิ้ว เขาเดินทางไปด้วยรถเข็นไปเพื่อบรรยายให้กับผู้ทุพพลภาพที่กำลังพักฟื้น
    His attitude is amazing, he doesn't complain.
    ทัศนคติที่น่าทึ่ง เขาไม่บ่น
    "He had good care, but his secret is cheerfulness. Nothing ever gets him down."



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    " เขาได้รับการดูแลที่ดี แต่เคล็ดลับของเขาคือความสุขความหวัง ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาสิ้นหวังได้ "
    You have a whole body. You have feet.
    คุณมีร่างกายที่สมบูรณ์ มีขาทั้งสองข้าง
    Now y ou have met a man who has no feet.
    ตอนนี้คุณได้พบกับชายไร้ขาทั้งสอง
    His life is a feat of endurance, a triumph of the human spirit in overcoming extreme adversity.
    ชีวิตของเขาคือความทุกข์ทรมาน แต่ความมุ่งมั่นแห่งจิตวิญญาณมนุษย์ทำให้เขาก้าวข้ามทุกสิ่ง
    Next time you want to complain about something trivial, don't.
    คราวหน้า หากคุณจะบ่นไม่ว่าเรื่องใหญ่โตหรือเล็กน้อย โปรดหยุดก่อน
    Remember Peng Shulin instead.
    นึกถึง เป็ง แทน

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <TABLE class=photo_list cellSpacing=6 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD>[​IMG] </TD><TD>[​IMG] </TD><TD>[​IMG] </TD><TD>[​IMG] </TD></TR><TR><TD>[​IMG] </TD><TD>[​IMG] </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.teeneelanna.com/moojoomhao/home/space.php?uid=1&do=album&id=418

    เครดิตจาก ฟอร์เวิร์ดเมลล์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2010
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 25 พฤษภาคม 2553 18:49
    <!-- End Content Header --><DL class="columnist-first clearfix"><DT>[​IMG] <DD class=columnist-name>อานันท์ ปันยารชุน <DD class=columnist-name> <DD class=columnist-name>อนาคตร่วมกัน</DD></DL>โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    <!-- Begin Media Content --><SCRIPT type=text/javascript>$(function() {$('#media-content').tabs();});</SCRIPT>
    ผมเชื่อมาตลอดว่าบทพิสูจน์ธาตุแท้ของแต่ละคนคือดูว่าเขาสามารถรับมือและฟันฝ่าอุปสรรคความยากลำบากไปได้อย่างไร
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT>ผลพวงจากเหตุการณ์น่าสลดใจเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสที่จะพิสูจน์กับตัวเองและชาวโลกให้เห็นถึงธาตุแท้ของคนไทยที่มีความเข้มแข็ง มีความมุ่งมั่นที่จะได้มาซึ่งความเป็นธรรม การส่งเสริมความปรองดองแห่งชาติ และการสร้างสรรค์สังคมที่รวมทุกกลุ่มทุกฝ่ายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
    ในความเป็นชาติ เราได้วนเวียนในวังวนแห่งความโกลาหลและสับสนวุ่นวายมานาน บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องร่วมกันหายใจลึกๆ และเรียกสติกลับคืนมา ให้มีความสมดุลและความพอดี ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกลับมาเน้นและส่งเสริมค่านิยมไทยที่สั่งสมมาแต่ช้านาน ค่านิยมที่ว่านี้คือ ความอดทนอดกลั้น การยึดทางสายกลาง และความเมตตากรุณา ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมประจำชาติของเราทั้งสิ้น
    เราควรหยุดชี้นิ้วกล่าวหากันอย่างไม่มีสติ การโยนความผิดใส่กันอย่างที่กำลังนิยมทำกันในขณะนี้ การมีอารมณ์อกุศลเช่นความโกรธแค้นและเกลียดชังมีแต่ความหายนะ เราจะต้องก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้และเหนือสิ่งอื่นใดคือ แสวงหาความจริงให้ได้ การสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างอิสระและน่าเชื่อถือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการดำเนินการตามครรลองของกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา จะต้องเกิดขึ้นอย่างจริงจังนับแต่นี้ไป
    นอกจากนั้น เรายังจำเป็นต้องเร่งกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดความปรองดองในชาติและสันติภาพที่ยั่งยืน คนไทยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องมาร่วมพูดคุยหารือกันโดยยอมรับและเคารพในจุดแตกต่าง ความสนใจ และค่านิยมของกันและกัน การยอมรับกันและการสำนึกผิด ของทุกฝ่ายสามารถนำไปสู่การให้อภัย ซึ่งเป็นกุญแจที่แท้จริงที่นำไปสู่การเยียวยาจิตใจและความรู้สึกนึกคิดของคนไทยทุกคน
    เราจำต้องพยายามรีบปิดช่องว่างทางสังคมที่นับวันมีแต่ลึกและกว้างขึ้นทุกที โดยต้องมุ่งแก้ไขความยากจนในโครงสร้าง การกีดกันทางสังคม และความไม่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าเราจะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมา เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าความไม่พอใจของผู้ประท้วงจำนวนไม่น้อยมีน้ำหนัก เราจึงต้องเร่งกำหนดมาตรการให้ครบถ้วนเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาสำคัญๆ ต่อไปนี้
    (1) ความไม่สมดุลของการกระจายรายได้ (2) ความสามารถที่ถูกลิดรอน และ (3) ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงและโอกาส
    หากเราเพิกเฉย ไม่ยอมรับ ไม่แก้ไขข้อร้องเรียนเหล่านี้ บาดแผลที่กรีดลึกจากความรุนแรงในประวัติศาสตร์ไทยบทนี้ก็จะกลายเป็นแผลเปื่อยเน่า ซึ่งจะยิ่งทำให้ช่องว่างแห่งความแปลกแยกกลายเป็นหุบเหวที่กว้างขึ้นกว่าเดิมอันจะนำไปสู่ความโกลาหลและความรุนแรงต่อไปอีก
    ประเทศของเราได้สูญเสียมากมายในครั้งนี้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนในห้วงที่สำคัญยิ่งของกระบวนการพัฒนาประเทศ ถ้าหากในอนาคตเรามองย้อนหลังไป ก็อาจมองว่าการที่พี่น้องที่ยากจนในชนบทได้มีสิทธิมีเสียงทางการเมืองมากขึ้นนับเป็นก้าวที่สำคัญและขาดไม่ได้ในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย
    เราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับรู้ข้อเรียกร้องที่ชอบธรรมและรับฟังเสียงของกลุ่มสังคมเหล่านี้ ไม่ว่าในกระบวนการเลือกตั้งหรือกระบวนการตัดสินใจอื่นๆ
    ในความเป็นชาติ เราได้ก้าวมาถึงจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้ว การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเราทุกคนล้วนมีส่วนได้ส่วนเสียในอนาคตของประเทศชาติ และต้องมีส่วนช่วยให้การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์
    ขอให้เราจงมาร่วมกันแปรวิกฤตนี้ให้กลายเป็นโอกาส เพื่อที่จะสร้างฉันทามติใหม่ทางการเมือง ให้มี “วาระของประชาชน” เพื่อให้ได้มาซึ่งสังคมที่รวมทุกหมู่เหล่า สังคมที่มีความเท่าเทียมกัน และสังคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับคนไทยทุกคน

    ͹Ҥ
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 27 พฤษภาคม 2553 01:00

    <!-- End Content Header --><DL class="columnist-first clearfix"><DT>[​IMG] <DD class=columnist-name>กาแฟดำ <DD class=by-line><DD class=by-line>ไม่มีใครไม่ต้องการแก้ความยากจน ไม่มีใครไม่ต้องการประชาธิปไตย</DD></DL>โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    <!-- Begin Media Content --><SCRIPT type=text/javascript>$(function() {$('#media-content').tabs();});</SCRIPT><!-- Media Picture content --><!-- Begin More Pics-->[​IMG]






    ไม่มีใครปฏิเสธ ไม่ว่าคุณจะยืนอยู่ฝั่งไหน ของแนวคิดทางการเมืองปัจจุบัน ว่า “ความยากจน” เป็นปัญหาสำคัญ ของสังคมไทยที่จะต้องแก้ไข
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT>และไม่มีใครปฏิเสธได้เช่นกันว่า ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงบางส่วน ที่ต้องการเห็นประเทศไทยมีความเป็นธรรม โอกาสเท่าเทียม และแก้ไขความช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้น เป็นประเด็นที่มีเหตุมีผล จำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ
    แต่ความยากจนไม่อาจจะแก้ได้ด้วยการเผาบ้านเผาเมือง และช่องว่างของความรวยกับความยากจนไม่อาจจะถมให้หายไปด้วยการสร้างความเกลียดชัง และความแตกแยกในสังคมไทยได้
    หากคนที่ฝ่ายที่อ้างว่ารักชาติรักบ้านเมือง ต้องการจะทำเพื่อสังคมไทยจริง ทำไมเราไม่เห็นความพยายามของเสื้อแดง เหลือง ฟ้า ชมพู หลากสีที่จะรวมพลัง เพื่อแก้ปัญหาที่คาราคาซังของประเทศชาติให้หายไปได้อย่างถาวร
    หรือเพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว สาเหตุแห่งการฟาดฟันกัน จนกลายเป็นการนองเลือดนั้น คือ การแก่งแย่ง “อำนาจทางการเมือง” และต้องการผูกขาดอำนาจรัฐไว้กับกลุ่มของตนมากกว่า
    หากเราต้องการแก้ไขปัญหาของคนรากหญ้าอย่างแท้จริง หรือต้องการจะต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง” อย่างที่กล่าวอ้างกัน ทำไมเราไม่ให้ผู้คนที่อาสามาปกครองประเทศ แถลงแนวทางการแก้ปัญหาให้เราได้ยินได้ฟัง เพื่อพิจารณาอย่างรอบด้าน
    ทำไมไม่แข่งขันกันด้วยเหตุด้วยผลว่า “ประชานิยม” กับ “รัฐสวัสดิการ” อย่างไหนแก้ความยากจนให้กับคนไทยได้ผลกว่ากัน
    หรือคนที่เรียกตัวเองว่า “ซ้าย” ในขบวนการการเมืองขณะนี้ ก็ควรจะบอกกล่าวกับสาธารณชนอย่างเปิดเผยและโปร่งใส ว่า สูตรการแก้ไขความยากจน และสร้างความเป็นธรรมให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นอย่างไร
    ถ้าพวกเขาคิดว่าแนวคิดแบบ “มาร์กซ์” หรือ “คอมมิวนิสต์” หรือ “สังคมนิยม” คือ ทางออกของประเทศชาติ ก็ควรจะนำเสนอวิธีคิดเหล่านั้น ให้ประชาชนได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา มิใช่แอบซ่อนอยู่ข้างหลังวาทกรรม เช่น “สงครามชนชั้น” หรือ “สงครามประชาชน” จนทำให้เกิดภาพของ “การเปลี่ยนประเทศด้วยวิธีการรุนแรง” อย่างที่หวั่นเกรง หากเกิดการปลุกปั่นล้างสมอง ด้วยวิธีที่รัสเซีย จีน และเวียดนาม เคยประสบมา
    ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนพร้อมจะฟังข้อเสนอ “วาระแห่งชาติ” ที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาความยากจน และเหลื่อมล้ำต่ำสูงของสังคมไทย เพื่อนำมาถกแถลงให้ตกผลึก และมุ่งจะช่วยเหลือคนไทยจริงๆ
    มิใช่ใช้คำว่า ความยากจน หรือ “ความไม่เป็นธรรม” และ “รวยกระจุก จนกระจาย” มาเป็นเพียงวาทกรรม เพื่อปลุกระดมให้ “มวลชน” มาเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงอำนาจรัฐมาเป็นฝ่ายตนเท่านั้น
    คำว่า ประชาธิปไตย ก็เช่นกัน ถูกใช้เป็นเพียงวาทกรรมในการระดมให้ผู้คนมารวมตัวกัน เพียงเพื่อจะผลักดันให้กลุ่มการเมืองหนึ่งเผชิญหน้ากับกลุ่มการเมืองอีกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น โดยไม่ใส่ใจว่าคำว่า ประชาธิปไตย นั้น มีความหมายแท้จริงอย่างไร
    หรือท้ายสุด ผู้ชนะการประลองกำลังทางการเมืองเท่านั้น ที่จะเป็นผู้นิยามคำว่า “ประชาธิปไตย
    เพราะวันนี้ จีน คิวบา รัสเซีย และสิงคโปร์ ที่มีรูปแบบการปกครองทางการเมืองที่แปลกแตกต่างกันไปนั้น ต่างก็อ้างว่าตน คือประชาธิปไตยอันแท้จริง” ด้วยกันทั้งนั้น
    แน่นอนว่า คนไทยทุกคนต้องการ “เสรีภาพ” และ “ภราดรภาพ” ในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่นั่นย่อมหมายความว่า หากเราเชื่อในความหมายของ ประชาธิปไตย ที่แท้จริง ก็ไม่ควรที่กลุ่มหนึ่งจะกล่าวหาคนที่มีความเห็นแตกต่างว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาต ที่จะต้องจองล้างจองผลาญกันอย่างที่เราเห็นอยู่ในสังคมไทยวันนี้
    เอาเป็นว่า ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน ว่า เราต้องแก้ปัญหา ความยากจน และต้องการได้ ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง” โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ
    ดังนั้น จึงสมควรที่ทุกฝ่ายเกี่ยวข้องจะระดมสรรพกำลังกัน เพื่อร่วมกันหาทางบรรลุเป้าหมายแห่งชาติด้วยกัน โดยไม่อ้างฝ่ายตนเท่านั้นที่เข้าใจและจริงใจ ในการที่จะแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองมากกว่าคนอื่นๆ
    หรืออ้างว่ามีใครคนใดคนหนึ่งหรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ที่ต่อสู้เพื่อคนยากไร้และเพื่อประชาธิปไตยได้
    เพราะนั่นนอกจากจะไม่ประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับสังคมไทย อย่างรุนแรงหนักหน่วงอย่างที่เพิ่งประสบมาจนบ้านเมืองพังพินาศมาแล้ว

    http://www.bangkokbiznews.com/home/...การแก้ความยากจน-ไม่มีใครไม่ต้องการประชาธิปไตย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2010
  18. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    [​IMG]



    มาแวะมาเวียน ฮะ ป้าๆฮะ ... เอาโลโก้ มาเชลชวนชิมฮะ ป้าๆฮะ ...
    .. กระทู้ ยอดคะน้า ชวนผัด อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2010
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รูปไม่เห็นนะ ยอดคะน้าอวบๆ ด้วยอ๊ะเป่า
     
  20. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    [​IMG]

    นี่ฮะ รูป ฮะ งงแว๊ ... ประทับตรา อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...