นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รอยลัทธิซาตาน กับ ไสยศาสตร์ในเมืองไทย<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->
    ถลกหนังไซออนนิส
    ตอนที่ 3
    รอยลัทธิซาตาน กับ ไสยศาสตร์ในเมืองไทย
    ถ้าเอ่ยถึงอิลลูมิเนติหรือฟรีเมสัน คนก็มักนึกถึงในเชิงการเมืองว่าเป็นสมาคมลับที่เข้าไปแทรกแซงอยู่ทั่วโลก แต่ว่าในความเป็นจริง เราต้องไม่แยกระหว่างศาสนาความเชื่อและการเมืองออกจากกัน ทั้งนี้หากเอ่ยถึงอิลลูมิเนติและฟรีเมสันแล้ว จะต้องรำลึกเสมอว่าพวกเขาเป็นลูกหลานชาวยิว และพวกเขาบูชาชัยฏอน (ซาตาน)

    ชาวยิวนั้นต้องยกให้ว่าเป็นบิดาแห่งวิชาไสยศาสตร์ เพราะไสยศาสตร์ทั่วโลก ก็เป็นวิชาที่ศึกษาสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากชาวยิว

    ธงชาติอิสราเอลรูปดาว 6 แฉกนั้น เป็นสัญลักษณ์ของชาวยิว มันเป็นสัญลักษณ์ของผู้บูชาชัยฏอนและเครื่องหมายทางไสยศาสตร์ ซึ่งชาวยิวเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งนบีสุลัยมาน (โซโลมอน)


    [​IMG]

    ทั้งนี้เพราะฮารูตและมารูตได้นำวิชาไสยศาสตร์มาสอนแก่มนุษย์ แต่ชาวยิวได้เข้าใจผิดมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันว่าไสยศาสตร์เป็นวิชาที่ถูก สอนโดยนบีสุลัยมาน เพราะท่านมีความสามารถพิเศษที่มนุษย์ทั่วไปไม่มี ซึ่งอัลลอฮฺได้ชี้แจงตอบโต้ในเรื่องนี้ว่า

    “และพวกเขาได้ปฏิบัติตาม สิ่งที่บรรดาชัยฏอนในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธา

    โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่มะลาอิกะฮฺทั้ง สอง คือฮารูตและมารูต ณ เมืองบา บิล(บา บิโลเนีย)

    และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาจะใช้มันยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น

    และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่าแน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น ในปรโลกก็ย่อมไม่มีส่วนได้ใด ๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริง ๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้” (ความ หมายอัลกุรอาน 2:102)

    กล่าวคือ ไสยศาสตร์คือวิชาที่มะลาอิกะฮฺ (Angel) ฮารูตและมารูตนำมาเพื่อทดสอบมนุษย์ว่าจะรับหรือไม่รับวิชาที่ชั่วช้านี้ แต่แล้วชาวยิวก็รับวิชานั้นมาโดยการสอนของชัยฏอน

    จริง ๆแล้วความสามารถของท่านนบีสุลัยมานนั้นไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เป็นมุอฺญิซะฮฺ ปาฏิหาริย์ที่อัลลอฮฺได้มอบแก่บรรดารอซูลแต่ละคน ซึ่งอัลลอฮฺจะช่วยให้มีสิ่งเหนือกฎธรรมชาติที่พระองค์สร้างไว้เป็นบางครั้ง บางคราว แต่สำหรับนบีสุลัยมานนั้น ท่านได้รับสิ่งพิเศษมากที่สุดคือ สามารถกระทำสิ่งเหนือกฎธรรมชาติได้ตลอดไม่ว่าจะคุมฟ้าคุมฝน การใช้ญิน การคุยกับสัตว์ ฯลฯ

    สิ่งเหล่านั้นเป็นอำนาจพิเศษที่แตกต่างจากไสยศาสตร์โดยสิ้นเชิง เพราะไสยศาสตร์หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยเรื่องการใช้ญินให้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด (ไม่ว่าจะคุ้มครองตนเอง, ทำร้ายผู้อื่น, รักษาโรค, แก้ไสยศาสตร์, ทำเสน่ห์) โดยมีเงื่อนไขว่าต้องทำสิ่งที่เป็นกุฟรฺก่อน ซึ่งจะมีขั้นมีตอนตามเงื่อนไขที่ญินต้องการ

    การทำไสยศาสตร์นั้น ทั้งผู้ทำและผู้ที่มีวิชา ไม่จำเป็นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับญินเลย (และโดยมากทั้งคนทำและหมอไสยศาสตร์ก็มักเป็นคนที่ไม่มีความรู้ในอากีดะฮฺที่ ถูกต้อง) จะเห็นได้ว่าคนแถบบ้านเรา อย่างคนไทยและคนเขมร ก็เชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เข้าใจผิดว่าวิญญาณคนตายมีอำนาจและกลับมาได้ ไม่รู้จักญินและชัยฏอนเลย แต่เขาก็สามารถทำไสยศาสตร์ได้ โดยหากมีคาถา มียันต์ มีกระบวนการทำที่ตรงเงื่อนไขของมันแล้ว ก็จะได้รับอำนาจไสยศาสตร์ทันที

    จะเห็นได้ว่ากระบวนการเหล่านี้เป็นชีริก เป็นกุฟรฺ ซึ่งสำหรับโลกมุสลิม พิธีทางไสยศาสตร์ก็ต้องทำสิ่งที่เป็นการปฏิเสธเช่นเดียวกัน เช่นการเขียนอัลกุรอานด้วยเลือดประจำเดือน หรือการลบหลู่อัลกุรอานด้วยวิธีการต่าง ๆของหมอไสยศาสตร์ การมีเครื่องรางของขลัง ว่ากันว่าไสยศาสตร์ที่แรงที่สุดนั้นอยู่ที่ประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นแหล่งอวิชชาโบร่ำโบราณของชาวยิว


    [​IMG]


    สำหรับการครองโลกของอิลลูมิเนตินั้นก็พึ่งพาอำนาจของชัยฏอนเช่นกัน เพราะคนกลุ่มนี้จะมีพิธีกรรมบูชาชัยฏอน สัญลักษณ์ของพวกเขาก็มักจะอิงประวัติศาสตร์บาบิโลนและอียิปต์




    ที่มา http://assabikoon.wordpress.com/2009...AA-3/#comments
    เครดิต http://www.oknation.net/blog/Joseph/2010/04/12/entry-2<!-- google_ad_section_end -->

    ปล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กๆควรมีผู้ปกครองคอยให้คำแนะนำ<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพุธ ที่ 10 มิถุนายน 2552

    กำเนิดวิชาไสยศาสตร์ ในทัศนะของอิสลาม

    นี่คือจุดที่อิสลามกล่าวถึงการกำเนิดวิชาไสยศาสตร์ เสน่ห์ยาแฝด และอีกมากมายที่ขยายสาขามาจากการที่ อัลเลาะฮ์ ซ.บ. ได้ประทานเรื่องนี้ลงมาทดสอบกับมนุษย์ ในยุคของท่านนบีสุลัยมาน หรือกษัตริย์โซโลมอนแห่งอิสราเอลโบราณ ระหว่างความรู้ที่เป็นวิทยปัญญาและการศรัทธาที่แท้จริงอันนำไปสู่ศรัทธาที่ถูกต้องต่อพระเจ้า กับ ไสยศาสตร์และการศรัทธาที่สูญเปล่า และจะต้องได้รับโทษในวันปรโลก เพื่อวัดจิตใจของมนุษย์

    ในยุคนบีสุลัยมาน อ.ล.(กษัตริย์โซโลมอน) นี้มีเรื่องมากมายที่สร้างเงื้อนงำทิ้งไว้อย่างมากมายให้คนรุ่นกล่าวหาท่าน ไปต่างๆนาๆ มาตลอดเกือบสามพันปี จนถึงปัจจุบัน เช่น เกิดข้อกล่าวมากมายที่ตกอยู่ในความเชื่อของ ชาวยิวในมะดีนะฮ์ว่าท่านเชื่อในวิชาไสยศาสตร์ พวกอัศวินไนต์เทมปล้า ที่เข้ามารบกับมุสลิมในสงครามครูเสดก็อ้างว่าได้ค้นพบความลับบางอย่างที่โซโลมอนซุกซ่อนไว้ พวกฟรีเมสัน ก็อ้างว่าวิชาสถาปัตย์ชั้นยอดนั้น เป็นของนายช่างที่เป็นซาตานที่กุมความลับบางอย่างในการก่อสร้างไว้ ซึ่งอ้างว่าเรื่องนี้คัมภีร์ตัลมุดที่ยิวบางนิกายได้กล่าวไว้ บ้างก็กล่าวว่าฮีรามนายช่างยุคโซโลมอนคือนายช่างที่เป็นเสมือนเทพเจ้าของการก่อสร้าง การเกิดลัทธิยิวดำราสต้าฟาเรี่ยน เจ้าของเพลงสไตล์เร็กเก้ ก่อนจะจบจดหมายฉบับนี้ของฉันฉันจะทยอยเอาข้อมูลเหล่านี้มาให้อ่านพอสังเขปนะ

    ตอนนี้เรากลับมาที่อัลกุรอานที่กล่าวถึงวิชาไสยศาสตร์ที่ประเจ้าทรงประทานมาเพื่อเป็นการทดสอบจิตใจมนุษย์ ในยุคท่านนบีสุลัยมานกันก่อนนะ

    เหรียญในยุคนบีสุลัยมาน
    [​IMG]

    นบีสุลัยมาน(กษัตริย์โซโลมอน)กับไสยศาสตร์

    อีกเรื่องหนึ่งที่จะข้ามไปเสียไม่ได้ก็คือข้อกล่าวหาที่ว่า โซโลมอนทรงกระทำการนอกลู่นอกทางในการนับถือพระเจ้าต่างๆตามลัทธิศาสนาของพระชายาที่มาจากหลายเผ่าพันธุ์ของพระองค์ ตามทัศนะของอิสลามแล้วเราไม่เชื่อว่าท่านทำเช่นนั้นเพราะถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องร้ายแรงมาก พูดไปทำไมมี เรามาดูหลักฐานที่มุสลิมเรายึดถือในความบริสุทธิ์ของท่านนบีสุลัยมานกันดีกว่า

    -“และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน(ซาตาน)ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธศรัทธา โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์ และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่มะลาอีกะฮ์(ทูตสวรรค์)ทั้งสอง คือฮารูต และมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนแก่ผู้ใด จนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงนั้นเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธศรัทธาเลย แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาใช้มัน ยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำสิ่งนั้นให้เป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากอนุมัติของอัลเลาะฮ์เท่านั้น และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่า แน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น ในวันปรโลกเขาย่อมไม่มีส่วนได้ใดๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริงๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้”-

    (อัลกุรอาน2/102)

    โองการนี้ อัลเลาะฮ์ ทรงประทานให้นบีมูฮัมหมัด เพื่อโต้แย้งกับชาวยิวซึ่งพวกเขาอ่านคัมภีร์เตารอต(พระคัมภีร์เดิม)กันอยู่ ซื่งมีข้อกล่าวหาต่อท่านนบีสุลัยมาน(กษัตริย์โซโลมอนของชาวอิสราเอล)หลายเรื่องในนั้น เช่น การออกนอกแนวทางของอัลเลาะฮ์ รวมทั้งเรื่องการศึกษาวิชาไสยศาสตร์และเก็บรวบรวมตำราไว้ จนถึงเรื่องร้ายแรงที่สุดที่ชาวยิวในยุคท่าน นบีมูฮัมหมัด ซ.ล. ในเมืองมะดีนะฮ์(เมดินา)ต่างก็ปักใจเชื่อตามพระคัมภีร์เดิมของเขาที่ว่าท่าน นบีสุลัยมาน(โซโลมอน) เลิกนับถือ อัลเลาะฮ์ แต่หันไปนับถือศาสนาอื่นและบูชารูปปั้น ตามลัทธิศาสนาความเชื่อของบรรดา มเหสีและนางสนมจำนวนมากมายของท่าน

    ดังนั้นฉันขอยกข้อความของนักอธิบายอัลกุรอาน มาให้ฟังอย่างละเอียดหน่อย เพราะแต่ละข้อความในโองการนี้ มีความรวบรัดมาก เพราะหากใครไม่มีความรู้ในประวัติศาสตร์ หรือข้อความที่มีอยู่ในคัมภีร์เตารอตซึ่งเป็นยุคก่อนหน้าท่านนบีเป็นพันปี(ยุคกษัตริย์โซโลมอนประมาน960ปี-586 ปี ก่อนค.ศ.ท่านนบีมูฮัมหมัดเกิดในปี ค.ศ. 570-571)ก็ยากที่จะเข้าใจ และสาวกส่วนใหญ่ของท่านก็เป็นอาหรับแทบทั้งสิ้นในช่วงเวลานั้น ย่อมมีข้อซักถามมากมาย และจากข้อซักถามเหล่านี้ก็เป็นข้อมูลที่นักอธิบายอัลกุรอานใช้ขยายความให้พวกเราได้เข้าใจในยุคนี้

    “ความที่ว่า “และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน(ซาตาน,ผู้ประพฤติชั่ว)ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง”นั่นคือ พวกนักปราชญ์ของยิวกลุ่มหนึ่งที่ผินหลังให้แก่คัมภีร์เตารอต(โตรา)ได้ถือปฏิบัติในวิชาไสยศาสตร์ที่พวกประพฤติชั่วในสมัยท่าน นบีสุลัยมานเผยแพร่ พวกเขากล่าวว่า ท่านนบีสุลัยมานได้รวบรวมตำราไสยศาสตร์จากประชาชนแล้วนำไปฝังใต้บัลลังก์ของพระองค์ หลังจากที่พระองค์ได้สิ้นชีวิตลง ประชาชนก็นำตำราเหล่านั้นออกมาศึกษา และถ่ายทอดต่อๆกันมา ดังกล่าวมานี้เป็นเรื่องมุสา ซึ่งอิสราเอลได้กุขึ้นเพื่อเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติของตน โดยโยนบาปให้แก่ท่านนบีสุลัยมานผู้บริสุทธิ์

    และความที่ว่า “และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธศรัทธาไม่”นั้นคือ ท่านนบีสุลัยมานหาได้เชื่อถือและปฏิบัติในวิชาไสยศาสตร์แต่อย่างใดไม่ เพราะการเชื่อถือในวิชาไสยศาสตร์นั้นเป็นการปฏิเสธศรัทธา ในฐานะที่ท่านเป็นนบีของอัลเลาะฮ์ กระทำหน้าที่เชิญชวนประชาชนให้ยอมรับและยึดถือในเอกภาพของอัลเลาะฮ์ แล้วตัวท่านเองจะปฏิบัติในสิ่งตรงกันข้ามกระนั้นหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน ด้วยเหตุนี้อัลเลาะฮ์ ซ.บ.จึงได้ทรงแก้ข้อกล่าวหาของวงศ์วานอิสรออีล(อิสราเอล)หรือยิวในสมัยท่านนบีมูฮัมหมัด

    http://www.oknation.net/blog/dragonb.../06/10/entry-1<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    http://topicstock.pantip.com/religio...tml]PANTIP.COM : Y5382327 แหล่งข้อมูล

    ไสยศาสตร์อิสลาม, ใครว่าไสยศาสตร์เป็นเรื่องต้องห้ามในอิสลาม
    แต่มุสลิมหลายคนกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้องกับอิสลาม แต่อัลกุรอ่านได้อธิบายสิ่งนี้ไว้ นั่นคือเรื่องไสยศาสตร์ มันก็ต้องเกี่ยวข้องกับอิสลามโดยเฉพาะความเชื่อว่าไสยศาสตร์มีจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    “1.และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอนในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานไม่ได้ปฏิเสธความศรัทธา แต่ทว่า2.ชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธความศรัทธาโดยการสอนไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คนและ3.สิ่งที่ถูกประทานมาแก่มลาอิก๊ะฮฺทั้งสองคือฮารูตและมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า “แท้จริง เราแค่เป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธความศรัทธาเลย” แม้กระนั้น 4. ผู้คนก็ยังศึกษาจากเขาทั้งสอง 5.ซึ่งมันได้เป็นสาเหตุให้เกิดการแตกแยกระหว่างผู้ชายกับภรรยาของเขา และ6.พวกเขาไม่อาจใช้สิ่งนั้นทำอันตรายแก่ผู้ใดได้นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้นและ7.พวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นอันตรายต่อพวกเขาและมิได้เป็นคุณแก่พวกเขา และแน่นอน 8.พวกเขารู้ว่าใครก็ตามที่ซื้อมันจะไม่มีส่วนแห่งความดีใดในโลกหน้าและความชั่วคือราคาที่พวกเขาขายชีวิตของพวกเขาถ้าหากพวกเขารู้” (กุรอาน 2:103)

    อธิบายได้ดังนี้
    1. สุลัยมานได้รับไสยศาสตร์มาจากมลาอิกะห์ หรือเทวทูตสองท่านชื่อ ฮารูตและมารูต ซึ่งสุลัยมานยังคงเป็นมุสลิม (ไม่ปฏิเสธศรัทธา)
    2. ชัยฏอนก็ได้สอนไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คน โดยที่มาจากแหล่งเดียวกันคือ เทวทูตสองท่านนั้น
    3. อัลลอฮ์ให้มลาอิกะห์นำไสยศาสตร์ลงมาแก่สุลัยมาน รวมถึงคนอื่น ๆ เพื่อการทดสอบไม่ใช่การใช้งาน
    4. นอกจากมลาอิกะห์สอนสุลัยมาน มลาอิกะห์สองท่านนั้นยังสอนคนอื่นอีกด้วย ไม่ใช่แค่ชัยฏอน
    5. ผลของไสยศาสตร์ทำให้สามีภรรยาแตกแยกกัน (การทำเสน่ห์หรือเปล่า)
    6. ไสยศาสตร์ทำอันตรายกับผู้ใดก็ได้ หากอัลลอฮ์อนุญาต
    7. ไสยศาสตร์เป็นอันตรายกับตัวผู้เรียนด้วย และไม่มีคุณค่าใด
    8. ราคาของไสยศาสตร์คือความความดีที่เสียไป

    ถามว่า
    ๑. ความพิเศษของสุลัยมานคือ สามารถติดต่อกับสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ญิน" และสามารถใช้งานพวกมันได้ ไสยศาสตร์คือวิธีติดต่อและใช้งานพวกมันใช่หรือไม่ และการที่ชัยฏอนได้ยินวิธีการนี้และนำไปเผยแพร่ให้คนอื่น ๆ ก็เพราะพวกมันเป็นญิน

    ๒. ไสยศาสตร์ของสุลัยมานตกทอดมาถึงปัจจุบันหรือไม่

    ๓. หากไสยศาสตร์ของสุลัยมานตกทอดมา ก็ต้องมี เพื่อการทดสอบ และใช้งานจริง ตรงนี้ตัดสินอย่างไร

    ๔. อัลลอฮ์เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ เพราะไสยศาสตร์จะสำเร็จหรือไม่มันต้องผ่านการอนุมัติใช่หรือไม่
    เป็นการพิสูทจ์ว่า อิสลามกับไสยศาสตร์เป็นของคู่กันไม่ใช้สิ่งต้องห้ามอันใดและเป็นการพิสูทจ์ว่า ไสยศาสตร์ ปัญญา และชีวิตเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เพียงแต่ว่าให้ใช้ไปทางขาวหากจะใช้ไปทางมืดต้องขออนุญาติต่อพระอัลลอห์ ก่อน
    พูดถึงไสยศาสตร์มุสลิม ทำให้ผมนึกถึงเรื่องข้างบ้านผมแต่ก่อนมีพ่อค้าผ้าไหมและนมชื่อ อารยา ผู้ร่ำรวยแกเป็นหมอไสยศาสตร์มุสลิมแกชาญทั้งไสยเวท การเพ่งกสิณแบบอิสลามได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าของพุทธจะมี 10 แต่อิสลามรู้สึกจะมี 4 อะครับ แต่แถวบ้านผมนี้สิไม่ธรรมดาเลย เพราะฝั่งซ้ายเป็นจอมไสยเวทที่จบมาจาก เขมร ชื่อ สมหมาย ส่วน อากุลยอ อยุ่ฝั่งขวาส่วนผมอยู่ตรงกลางอย่าเข้าใจผิดเป็นสนามมวยลุมพินีล่ะ รู้สึกว่าอา สมหมาย ไม่ค่อยถูกกับอา อารยา เพราะแกไม่ค่อยถูกกลับคุณไสยอิสลาม เพราะเท่าที่ผมรู้ๆมาว่าคุณไสยอิสลามมักชนะคุณไสยเขมรอยู่เรื่อยทำให้สองบ้านนี้เป็นปรปักษ์กันทั้งที่อาอารยา ไม่อยากจะมีปัญหากับใครแต่ไม่อาจพ้นและผมก็พลอยติดร่างแห (ซวยจริงๆกู) เพราะคุณอาทั้ง 2 แกสาดไสยเวทกันดังโครมครามไอ้ผมหรือไม่เป็นอันหลับอันนอนมีทั้งกรีดร้อง เสียงหัวเราะที่สยดสยอง เสียงเสือ เสียงวัว เสียงควาย เสียงต่อเสียงแตน เสียงลม เสียงฟ้าผ่า โอ้ยจะบ้าตายไปๆมาๆ จนผมต้องย้ายออกจากที่นั้นไม่ไหวแล้ว โอ้ย เห็นได้ยินข่าวมาหลังจากย้ายมาแล้ว อาสมหมายเสียแล้วผมคงรู้อยู่แล้วว่าแกตายเพราะอะไร
    อา อารยานอกจากแกจะเก่งแล้ว แกยังมีลูกสาวสวยชื่อน้อง มาฮาน สวยมากเลยครับแค่เห็นหน้าก็รู้เคยเลือบไปเห็นน้องเขาตอนอยุ่ในบ้านไม่ได้คลุม โอ้แม่เจ้าสวยมากๆ และบังเอิญแถวบ้านผมมันมี กุ๊ย 3 ตัวชอบมายอกล้อแซวน้องมาฮานอา อารยาแกเลยสังคยานาปล่อยหุ่นไม้ผีสิงผมเรียกว่า ตุ๊กตาสะกดวิญญาณ ปล่อยมาหลอกไอ้ 3 กุ๊ยหนีหายไปเลย

    เครดิต ไสยศาสตร์อิสลาม vs ไสยศาสตร์เขมร | MThA! Webboard

    ปล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กๆควรมีผู้ปกครองคอยให้คำแนะนำ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คริสเตียนต้องร้กษาวันสะบาโตไหม?



    <HR><!-- Start Content Here -->

    คำถาม: คริสเตียนต้องร้กษาวันสะบาโตไหม?

    คำตอบ:
    บ่อยครั้งมีการอ้างว่า “พระเจ้าทรงสถาปนาวันสะบาโตในสวนเอเดน” เนื่องจากการเกี่ยวข้องระหว่างวันสะบาโตและการทรงสร้างในหนังสืออพยพ 20:11 แม้ว่าการที่พระเจ้าจะทรงพักผ่อนในวันที่เจ็ด (ปฐมกาล 2:3) จะเป็นเงาในการตั้งกฎแห่งวันสะบาโตในอนาคตขึ้นมาก็ตาม ก่อนหน้าที่ชนชาติอิสราเอลจะออกจากอียิปต์พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงวันสะบาโตเลย ไม่มีพระคัมภีร์ตอนไหนที่บอกว่าผู้คนตั้งแต่สมัยอาดัมจนถึงโมเสสยึดถือวันสะบาโต

    พระวจนะของพระเจ้าตรัสไว้อย่างชัดเจนว่าการรักษาวันสะบาโตเป็นหมายสำคัญระหว่างพระเจ้าและชนชาติอิสราเอล “โมเสสขึ้นไปเฝ้าพระเจ้า พระเจ้าตรัสจากภูเขานั้นว่า "บอกวงศ์วานยาโคบและชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า`พวกเจ้าได้เห็นกิจการซึ่งเรากระทำกับชาวอียิปต์แล้ว และที่เราเทิดชูเจ้าขึ้น ดุจดังด้วยปีกนกอินทรี เพื่อนำเจ้ามาถึงเรา เหตุฉะนั้นถ้าเจ้าฟังเสียงเรา และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ เจ้าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเราที่เราเลือกสรรท่ามกลางชนชาติทั้งปวง เพราะแผ่นดินทั้งสิ้นเป็นของเรา” (อพยพ 19:3–5)

    “เหตุฉะนี้ ชนชาติอิสราเอลจึงถือวันสะบาโตตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเขาเป็นพันธสัญญาเนืองนิตย์ เป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับชนชาติอิสราเอลว่า ในหกวันพระเจ้าได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก แต่ในวันที่เจ็ดพระองค์ได้ทรงงดการงานไว้ และได้ทรงหย่อนพระทัยในวันนั้น” (อพยพ 31:16–17)

    ในเฉลยธรรมบัญญัติ 5 โมเสสโยงบัญญัติสิบประการไปถึงชนชาติอิสราเอลรุ่นถัดไป ในตอนนี้ หลังจากที่ได้สั่งให้พวกเขารักษาวันสะบาโตในข้อ 12-14 แล้ว โมเสสยังให้เหตุผลว่าทำไมคนอิสราเอลจึงต้องรักษาวันสะบาโต: “จงระลึกว่าเจ้าเคยเป็นทาสอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าได้พาเจ้าออกมาจากที่นั่นด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และด้วยพระกรที่เหยียดออก เหตุฉะนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าได้ทรงบัญชาให้เจ้ารักษาวันสะบาโต” (เฉลยธรรมบัญญัติ 5:15)

    จงสังเกตคำว่าเหตุฉะนี้ พระประสงค์ของพระเจ้าในการกำหนดวันสะบาโตให้กับคนอิสราเอลไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาจำการทรงสร้าง แต่เพื่อให้พวกเขาจำการเป็นทาสในอียิปต์และการทรงปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ จงสังเกตุข้อเรียกร้องในการรักษาวันสะบาโต: คนที่ถือวันสะบาโตออกจากที่พักของตนไม่ได้ (อพยพ 16:29), ก่อไฟไม่ได้ (อพยพ 35:3) ให้ใครทำการงานใด ๆ ไม่ได้ (อพยพ 5:14) ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎแห่งวันสะบาโตจะต้องถูกลงโทษถึงตาย (อพยพ 31:15; กันดารวิถี 15:32–35)

    จากการค้นคว้าข้อพระคัมภีร์ในพันธสัญญาใหม่เราได้พบหัวข้อสำคัญสี่หัวข้อคือ: 1) เมื่อใดที่พระคริสต์ปรากฏพระองค์ในสภาพหลังการฟื้นคืนพระชนม์และมีการบอกวันไว้ วันนั้นจะเป็นวันแรกของสัปดาห์เสมอ (มัทธิว 28:1, 9, 10; มาระโก 16:9; ลูกา 24:1, 13, 15; ยอห์น 20:19, 26) 2) ครั้งเดียวที่วันสะบาโตถูกกล่าวถึงตั้งแต่ในหนังสือกิจการจนถึงวิวรณ์ก็เพื่อการประกาศต่อคนยิว และสถานที่ในการประกาศก็คือในธรรมศาลา (กิจการยทที่ 13–18) ท่านเปาโลเขียนว่า “ต่อพวกยิว ข้าพเจ้าก็ทำตัวเหมือนยิว เพื่อจะได้พวกยิว” (1 โครินธ์ 9:20) ท่านเปาโลไม่ได้ไปที่ธรรมศาลาเพื่อมีสามัคคีธรรมและเสริมสร้างธรรมิกชน แต่เพื่อให้พวกเขารู้สึกผิดและช่วยผู้หลงหายให้รอด 3) ครั้งหนึ่งท่านเปาโลประกาศว่า “ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างชาติ” (กิจการ 18:6), วันสะบาโตไม่ได้ถูกกล่าวถึงอีกเลย, และ 4) แทนที่ส่วนที่เหลือในพระคัมภีร์ใหม่จะเสนอแนะให้ยึดติดกับวันสะบาโต, ข้อพระคัมภีร์กลับชี้แนะไปยังทิศทางตรงกันข้าม (รวมถึงข้อยกเว้นหนึ่งข้อจากหนังสือโคโลสี 2:26 สำหรับข้อ 3 ข้างต้น)

    หากเราดูให้ละเอียดยิ่งขึ้น ข้อ 4 ข้างต้นจะเปิดเผยว่าไม่ได้มีการบังคับให้ผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่รักษาวันสะบาโต และแสดงให้เห็นด้วยว่าแนวความคิดที่ว่าวันอาทิตย์เป็นวัน “สะบาโตสำหรับคริสเตียน” ไม่มีในพระคัมภีร์เช่นเดียวกัน ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น มีอยู่ครั้งเดียวที่วันสะบาโตถูกนำมากล่าวถึงหลังจากที่ท่านเปาโลเริ่มเน้นที่คนต่างชาติ, “เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกินการดื่ม ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโตสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์” (โคโลสี 2:16–17) วันสะบาโตของชาวยิวได้ถูกลบล้างออกไปที่กางเขนที่ซึ่งพระคริสต์ “ทรงฉีกกรรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเราด้วยบัญญัติต่างๆซึ่งขัดขวางเรา” (โคโลสี 2:14)

    แนวความคิดนี้ได้ถูกย้ำมากกว่าหนึ่งครั้งในพันธสัญญาใหม่: “คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งดีกว่าอีกวันหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งถือว่าทุกวันเหมือนกัน ขอให้ทุกคนมีความแน่ใจในความคิดเห็นของตนเถิด ผู้ที่ถือวันก็ถือเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่กินก็กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบพระคุณพระเจ้า และผู้ที่ไม่ได้กิน ก็มิได้กิจเพื่อถวายเกียรติแค่องค์พระผู้เป็นเจ้า และยังขอบพระคุณพระเจ้า” (โรม 14:5–6ก) “แต่บัดนี้เมื่อท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกก็คือพระเจ้าทรงรู้จักท่านแล้ว เหตุไฉนท่านจึงจะกลับไปหาวิญญาณต่างๆซึ่งอ่อนแอและอเนจอนาถ และอยากจะเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอีก ท่านถือวัน เดือน ฤดู และปี” (กาลาเทีย 4:9–10)

    แต่บางคนอ้างว่ากษัตริย์คอนสแตนตินได้ “เปลี่ยน” วันสะบาโตจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์ในปีคศ 321 คริสตจักรในยุคแรกประชุมนมัสการกันวันไหน? พระคัมภีร์ไม่เคยพูดถึงการเข้ามาชุมนุมกันของผู้เชื่อเพื่อมีสามัคคีธรรมและนมัสการในวันสะบาโต (วันเสาร์) ไหนเลย แต่มีข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่กล่าวถึงวันแรกของสัปดาห์ ยกตัวอย่างเช่น, หนังสือกิจการ 20:7 กล่าวว่า “ในวันต้นสัปดาห์เมื่อพวกสาวกประชุมกันทำพิธีหักขนมปัง” ใน 1 โครินธ์ 16:2 ท่านเปาโลหนุนใจผู้เชื่อชาวเมืองโครินธ์ว่า “ทุกวันต้นสัปดาห์ให้พวกท่านทุกคนเก็บผลประโยชน์ที่ได้รับไว้บ้าง” เนื่องจากท่านเปาโลได้ระบุให้การถวายทรัพย์นี้เป็น “การปรนิบัติ” ในหนังสือ 2 โครินธ์ 9:12 ดังนั้นการถวายนี้คงเกี่ยวข้องไปถึงการประชุมนมัสการของคริสเตียนในวันอาทิตย์ ตามประวัติศาสตร์ วันอาทิตย์ ไม่ใช่วันเสาร์ คือวันประชุมตามปกติของคริสเตียนในคริสตจักร และการปฏิบัตินี้ยึดถือกันมาตั้งแต่สมัยศตวรรษแรก

    วันสะบาโตเป็นวันที่ถูกกำหนดไว้สำหรับคนอิสราเอล วันสะบาโตยังคงเป็นวันเสาร์ ไม่ใช่วันอาทิตย์ และไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย แต่วันสะบาโตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิม และคริสตเตียนเป็นอิสระแล้วจากพันธนาการแห่งธรรมบัญญัติ (กาลาเทีย 4:1-26; โรม 6:14) การรักษาวันสะบาโตไม่ได้เป็นข้อเรียกร้องสำหรับคริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ วันแรกของสัปดาห์ (วันอาทิตย์, วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า) (วิวรณ์ 1:10) เป็นวันเฉลิมฉลองการทรงสร้างใหม่โดยมีพระคริสต์ทรงเป็นผู้นำที่ฟื้นคืนพระชนม์ เราไม่จำเป็นที่จะต้องยึดถือวันสะบาโตตามกฎของโมเสส (วันพักผ่อน) เพราะบัดนี้เราเป็นอิสระแล้วที่จะติดตามพระคริสต์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ (ปรนิบัติ) อัครทูตเปาโลบอกว่าคริสเตียนแต่ละคนควรตัดสินใจว่าจะรักษาวันสะบาโตหรือไม่ “คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งดีกว่าอีกวันหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งถือว่าทุกวันเหมือนกัน ขอให้ทุกคนมีความแน่ใจในความคิดเห็นของตนเถิด” (โรม 14:5) เราสมควรที่จะนมัสการพระเจ้าทุกวัน ไม่ใช่เพียงแค่วันเสาร์หรือวันอาทิตย์เท่านั้น
    คริสเตียนต้องร้กษาวันสะบาโตไหม?
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สะบาโต
    คำนี้มาจาก ภาษาฮีบรู แปลว่า ``หยุดพัก'' ปรากฏครั้งแรกในปฐก.2:2-3 ที่บันทึกว่า พระเจ้าทรงสร้างโลก 6 วัน และหยุดพักในวันที่ 7 ต่อมาในสมัยของโมเสส พระเจ้าทรงประทานบัญญัติ 10 ประการ แก่ชนชาติอิสราเอล โดยบัญญัติข้อที่ 4 นั้น ทรงสั่งให้หยุดพักในวันที่ 7 (วันสะบาโต) โดยให้ถือว่าเป็นวันบริสุทธิ์ (อพย.20:8) ในสมัยที่ชาวอิสราเอลถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน วันสะบาโตก็มีความหมายเพิ่มขึ้นอีกคือ เป็นวันที่พวกเขาจะศึกษาพระบัญญัติของพระเจ้า แต่ตั้งแต่ปี 460 ก่อน ค.ศ.เป็นต้นมา มีการเข้มงวดเรื่องวันสะบาโตมากเกินไป จนถึงขนาดออกเป็นกฎหยุมๆ หยิมๆ แต่พระเยซูไม่ทรงเห็นด้วย เพราะพวกเขายึดถือกฎบัญญัติต่างๆ เพื่ออ้างว่าตนเป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรม แทนที่จะถ่อมตัวลงต่อพระเจ้า ทำให้วันสะบาโตกลายเป็นภาระ แทนที่จะเป็นพระพร (มก.2:27) คริสตชนในสมัยเริ่มแรก นมัสการพระเจ้าในวันสะบาโตซึ่งเป็นวันเสาร์ แต่ต่อมาพวกเขานมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ด้วย เพราะพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตายในวันอาทิตย์ จึงถือเป็นวันที่เป็นพระพรมากที่สุด แต่เมื่อแยกตัวออกจากพวกยิว คริสตชนก็นมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์เท่านั้น (ดู คำว่า ``พำนัก'' และใน อพย.16:22-26; ยรม.17:27)
    สะมาเรีย
    กษัตริย์อมรีแห่งอาณาจักรอิสราเอล (ฝ่ายเหนือ) เป็นผู้สถาปนาเมืองสะมาเรียขึ้นเป็นเมืองหลวง (1พกษ.16:24) แต่ถูกพวกอัสซีเรียยึดในปี 722 หรือ 721 ก่อน ค.ศ. (2พกษ.17) และพวกอัสซีเรียได้โยกย้ายชนชาติอื่นๆ หลายชนชาติมาอยู่ในเมืองสะมาเรีย พวกอิสราเอลในเมืองสะมาเรียจึงแต่งงานกับชนชาติเหล่านี้ ชนชาติยิวที่กลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลนในปี 538 ก่อน ค.ศ. จึงไม่ยอมรับชาวสะมาเรียเพราะถือว่าพวกนี้ไม่ใช่ยิวแท้ ชาวยิวจะนมัสการพระเจ้าที่พระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ส่วนชาวสะมาเรียก็สร้างพระวิหารของตนเองขึ้นบนภูเขาเกริซิม และนมัสการที่นั่น (ยน.4:20) ในสมัยของพระเยซูคริสต์ ชาวยิวและชาวสะมาเรียต่างเกลียดชังซึ่งกันและกันอย่างยิ่ง ชาวสะมาเรียยึดถือเฉพาะหนังสือ 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์เดิม และยกย่องบูชาโมเสสว่าเป็นวีรบุรุษที่ไม่มีใครเทียบเท่า และรอคอยว่าสักวันหนึ่งจะมีพระเมสสิยาห์ดังเช่น โมเสสมาปรากฏ (ฉธบ.18:18; ยน.4:25) ปัจจุบันนี้ยังมีชาวสะมาเรียอยู่ แต่มีเหลือเพียงไม่กี่ร้อยคน คนเหล่านี้อาศัยอยู่ที่เชิงเขาเกริซิม
    สันติสุข
    ในพระคัมภีร์คำนี้หมายถึงความสงบสุขที่เกิดขึ้นในชีวิตส่วนตัวหรือหมู่คณะ ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการคืนดีกันระหว่าง 2 ฝ่ายคือ มนุษย์กับพระเจ้า (รม.5:1) และมนุษย์กับมนุษย์ (อฟ.2:15)
    สามัคคีธรรม
    มาจากคำภาษากรีกว่า ``คอยโนเนีย'' ตามรากศัพท์หมายถึง การมีส่วนร่วมแบ่งปันกัน เป็นความผูกพันทางจิตวิญญาณระหว่างคริสตชนกับพระเจ้า และระหว่างคริสตชนด้วยกัน โดยทางการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ และการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระคัมภีร์ไทย ได้แปลคำว่า ``คอยโนเนีย'' นี้ออกเป็นคำต่างๆ เช่น ร่วมสามัคคี (1ยน.1:3) การมีส่วนร่วม (1คร.10:16) สามัคคีธรรม (กจ.2:42) สัมพันธ์สนิท (1คร.1:9) แบ่งปัน (ฮบ.13:16) เป็นต้น
    หนังสือม้วน
    ในสมัยของพระคัมภีร์ยังไม่มีการผลิตกระดาษ หรือหนังสือที่เย็บเล่มชนิดที่เราใช้อยู่ในเวลานี้ แต่ใช้กระดาษปาปิรัสซึ่งทำมาจากพันธ์ไม้ชนิดหนึ่งคล้ายอ้อหรือกก หรืออาจใช้แผ่นหนังเรียบในการบันทึกข้อความต่างๆ โดยทำเป็นม้วนยาวแล้วประทับตราประจำม้วน ตรงปลายเอกสารทั้งสองด้านจะติดด้ามไม้กลมๆ เพื่อสะดวกแก่การม้วนเก็บ และคลี่ออกอ่าน โดยปกติหนังสือม้วนจะมีความยาวมากที่สุดประมาณ 10 เมตร ในพระคัมภีร์ทุกครั้งที่กล่าวถึงคำว่า ``หนังสือ'' จะหมายถึง หนังสือม้วนแบบนี้
    องค์พระผู้เป็นเจ้า
    ในพระคัมภีร์เดิมหมายถึงพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง พระองค์ทรงเป็นผู้สมควรได้รับเกียรติจากมนุษย์ทั้งปวง (สดด.68:32;\= 86:8-9) ส่วนในพระคัมภีร์ใหม่ ภาษาไทยใช้คำต่างๆ คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า พระเป็นเจ้า เจ้า หรือ เจ้าข้า ใช้เป็นคำยอมรับอำนาจของพระเยซู ซึ่งเป็นผู้ทำพระราชกิจโดยฤทธิ์เดช และพระนามของพระเจ้า (มธ.15:22) นอกจากนี้เมื่อพระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว พวกอัครทูตเข้าใจว่าพระเยซูทรงเป็นกษัตริย์แห่งสมัยพระเมสสิยาห์ ฉะนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่าพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมีเกียรติเสมอพระเจ้า (กจ.2:5)
    อธรรม
    คำนี้มีความหมายคล้ายกับคำว่า การทำผิด หรือ การทำบาป (สดด.1:5; รม.6:13; ฮบ.8:12) แต่จะเน้นถึงลักษณะการหลงจากทางอันถูกต้อง (สดด.58:3; 2ปต.2:15) เป็นการทำสิ่งที่ผิดพลาดจากมาตรฐานที่พระเจ้าวางไว้ (รม.1:29) ในบางครั้งหมายถึง ``ความไม่สัตย์ซื่อ'' (ลก.6:8) หรือ ``ความอยุติธรรม'' (ลก.18:6)
    อัครทูต
    มาจากคำภาษากรีกว่า ``อาพอสทอลอส'' แปลตรงตัวว่า ``ผู้ที่ถูกส่งออกไป'' คำนี้ในพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่หมายถึง อัครสาวก 12 คนที่พระเยซูคริสต์ทรงเลือก (ลก.6:12-16) และรวมไปถึงเปาโลที่พระเยซูทรงใช้ให้เป็นอัครทูตด้วย (1คร.15:8-9; 2คร.12:11-12; กท.1:11-24) ดู ``อัครสาวก 12 คนของพระเยซู'' และ ``ชีวิตของเปาโล'' ในหน้าพิเศษ
    อับราฮัม
    เป็นชื่อบรรพชนต้นตระกูลของชนชาติอิสราเอล คำว่า ``อับราฮัม'' หมายถึง บิดาของมวลชน ท่านเชื่อฟังพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงเรียกท่านออกจากบ้านเกิดเมืองนอนไปยังแผ่นดินแห่งพันธสัญญาคือคานาอัน (ปฐก.12:1-9) ท่านเชื่อว่าจะได้บุตรตามพระสัญญาของพระเจ้า แม้ว่านางซาราห์ภรรยาของท่านมีอายุมากเกินกว่าที่จะมีบุตรได้ (ปฐก.15:6; 17:17) และเมื่อพระเจ้าลองใจท่านเรื่องบุตรชายคนเดียวคืออิสอัค ท่านก็ได้เชื่อฟังพระองค์ (ปฐก.22) ท่านจึงได้ชื่อว่า ``เป็นบิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ'' (รม.4:11-16; ฮบ.11:8-19) และได้รับการขนานนามว่า ``บิดาของประชาชาติ'' (ปฐก.17:5) การที่พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมนั้น พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ท่านเป็นผู้นำพระพร คือความรอดไปสู่บรรดาประชาชาติทั่วโลก (ปฐก.12:1-3; กท.3:8)
    อาเมน
    เป็นคำทับศัพท์ภาษาฮีบรู หมายถึง ความแน่นอน ความหนักแน่นมั่นคง ความน่าไว้วางใจ ความจริง ความสัตย์ซื่อ ชาวอิสราเอลพูดคำนี้เมื่อต้องการยืนยันหรือสนับสนุนคำพูดของคนอื่น เช่น คำสาบาน คำอวยพร คำเผยพระวจนะ ฯลฯ ชาวยิวทั้งในสมัยพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ จะใช้คำนี้ในพิธีนมัสการ คือจะกล่าวคำว่า ``อาเมน'' เมื่อจบบทเพลงสดุดีและบทสรรเสริญพระเจ้า เพื่อเป็นการตอบสนองและยืนยันคำอธิษฐาน พระเยซูก็มักใช้คำนี้เมื่อเริ่มสั่งสอน คือคำกล่าวที่ว่า ``อาเมน อาเมน เลโก ฮูมิน'' ซึ่งในภาษาไทยแปลว่า ``เราบอกความจริงแก่ท่านว่า'' คำนี้ยังใช้กล่าวถึงพระลักษณะของพระเยซู ว่า ``ทรงเป็นพระอาเมน'' (วว.3:14) ซึ่งมีความหมายว่า พระองค์เป็นผู้สัตย์ซื่อ น่าไว้วางใจ ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสัจจะ
    อุปมา
    เป็นวิธีสอนความจริงโดยใช้เรื่องในชีวิตประจำวันมาเปรียบเทียบ เช่น เรื่องแกะของคนจน ใน 2ซมอ.12:1-14 ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่พระเยซูทรงใช้คำอุปมาโดยเล่าเรื่องจากชีวิตจริง แต่ละเรื่องมีจุดประสงค์สำคัญเพียงจุดเดียว โดยมีรายละเอียดอื่นๆ เป็นเพียงส่วนประกอบ เช่น เรื่องเมล็ดพืช ใน มก.4:26-29 เรื่องของหาย ใน ลก.15:1-32 แต่คำอุปมาบางเรื่องนั้น พระเยซูทรงเล่าแบบปริศนาธรรม ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ในเรื่องก็มีความหมายด้วย เช่น เรื่องสวนองุ่น ใน มก.12:1-12 เรื่องผู้หว่านพืช ใน มธ.13:1-23
    เอลียาห์
    เป็นคำภาษาฮีบรูแปลว่า ``พระเจ้าของข้าพเจ้าคือพระเยโฮวาห์'' เอลียาห์เป็นผู้เผยพระวจนะในอาณาจักรฝ่ายเหนือคืออิสราเอล (ฝ่ายใต้คือยูดาห์) มีชีวิตก่อนพระเยซูประมาณ 850 ปี ท่านเป็นหนึ่งในสองคนเท่านั้นที่ไม่ต้องประสบกับความตาย (อีกคนหนึ่งคือเอโนค ดู ปฐก.5:21-24) เรื่องของอยู่ในหนังสือ 1 พกษ.17 - 2 พกษ.2 เอลียาห์เป็นผู้ประกาศพระวจนะแก่ชาวยิวในสมัยพระคัมภีร์เดิม เพื่อเตรียมใจพวกเขาให้เชื่อฟังพระเจ้า เหมือนดังที่ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาประกาศพระวจนะแก่ชาวยิว ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ เพื่อเตรียมใจพวกเขาให้พร้อมที่จะรับพระผู้ช่วยให้รอด (มธ.11:14; 17:10-13) ทั้งนี้เป็นไปตามคำพยากรณ์ของมาลาคีผู้เผยพระวจนะ (มลค.4:5) เอลียาห์ยังได้มาปรากฏขณะที่พระเยซูทรงจำแลงพระกายด้วย (มก.9:2-8)
    ฮีบรู
    เป็นอีกชื่อหนึ่งของชาวอิสราเอล ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม อับราฮัมเป็นคนแรกในพระคัมภีร์เดิมที่ถูกเรียกว่า ``ฮีบรู'' (ปฐก.14:13) แหล่งที่มาของคำนี้ไม่ปรากฎชัด อาจมาจากคำว่า ``เอเบอร์'' ซึ่งเป็นลูกหลานของโนอาร์ (ปฐก.10:21) คำนี้ถูกใช้ในความหมายของเชื้อสายหรือชนเผ่า ซึ่งหมายถึงพวกลูกหลานของยาโคบ (ปฐก.43:32) อย่างไรก็ตามในสมัยต่อๆมาคำว่า ``ฮีบรู'' ก็ถูกใช้ในความหมายของชนชาติอิสราเอล (1ซมอ.4:5-9; ยรม.34:9) แต่ในพระคัมภีร์ใหม่คำนี้ใช้หมายถึงพวกยิว ที่ยึดถือขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม รวมทั้งภาษาฮีบรูและภาษาอาราเมคที่พวกเขาใช้อยู่ โดยไม่ยอมให้อิทธิพลของภาษาและวัฒนธรรมกรีกเข้าครอบงำ (กจ.6:1; 2คร.11:22; ฟป.3:5) อย่างไรก็ดีคำว่า ยังใช้หมายถึงภาษาดั้งเดิมของชาวยิวด้วย (ยน.5:2; 19:20)

    สะบาโต
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    True SABBATH is Saturday วันสะบาโตแท้จริงคือวันเสาร์

    <!-- Main -->[SIZE=-1]<CENTER>วันสะบาโต วันบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือวันที่ 7 ของสัปดาห์ หรือ วันเสาร์</CENTER>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>





    <CENTER>กล่าวถึงพระเยซูคริสต์

    "ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในเริ่มแรกนั้นพระองค์นั้นทรงอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์"
    </CENTER>

    <CENTER>ยอห์น 1:1-3</CENTER>


    <CENTER>หมายความว่า บัญญัติ 10 ประการและวันสะบาโตก็ถูกสร้างขึ้นโดยพระเยซูคริสต์ด้วย พระองค์จึงได้ตรัสว่าพระองค์เป็นพระเจ้าของวันสะบาโต</CENTER>


    <CENTER>For the Son of Man is Lord of the Sabbath." Mat 12:8 (NIV) </CENTER>


    <CENTER>พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนอับราฮัมบังเกิดมานั้นเราก็อยู่ที่นั่นแล้ว" </CENTER>

    <CENTER>ยอห์น 8:58</CENTER>



    <CENTER>"เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรหนึ่งหรือจุดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญัติ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น" </CENTER>

    <CENTER>มัทธิว 5:18 </CENTER>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    <CENTER>"จงถือวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชาไว้แก่เจ้า จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชาย บุตรสาวของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือวัวของเจ้า หรือลาของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า เพื่อทาสทาสีของเจ้าจะได้หยุดพักอย่างเจ้า จงระลึกว่าเจ้าเคยเป็นทาสอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าได้พาเจ้าออกมาจากที่นั่นด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และด้วยพระกรที่เหยียดออก เหตุฉะนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าได้ทรงบัญชาให้เจ้ารักษาวันสะบาโต" (เฉลยธรรมบัญญัติ 5:12-15) </CENTER>


    จงรักษาวันสะบาโต

    พระเยโฮวาห์ตรัสแก่ข้าพเจ้าดังนี้ว่า "จงไปยืนในประตูสำหรับบุตรแห่งพลเมือง ซึ่งบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์เสด็จเข้า และซึ่งพระองค์เสด็จออก และในประตูทั้งหลายของเยรูซาเล็ม และกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า `ท่านทั้งหลายผู้เป็นกษัตริย์ของยูดาห์ และบรรดาคนยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มทั้งสิ้น ผู้ซึ่งเข้าทางประตูเหล่านี้ จงฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า จงระวังเพื่อเห็นแก่ชีวิตของเจ้าทั้งหลาย อย่าได้หาบหามอะไรในวันสะบาโต หรือนำของนั้นเข้าทางบรรดาประตูเยรูซาเล็ม และอย่าหาบหามของของเจ้าออกจากบ้านในวันสะบาโต หรือกระทำงานใดๆ แต่จงรักษาวันสะบาโตไว้ให้บริสุทธิ์ ดังที่เราได้บัญชาบรรพบุรุษของเจ้าไว้ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง แต่กระทำคอของเขาทั้งหลายให้แข็ง เพื่อจะไม่ได้ยินและไม่รับคำสั่งสอน พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ต่อมาถ้าเจ้าเชื่อฟังเรา และไม่นำภาระใดๆเข้ามาทางประตูเมืองนี้ในวันสะบาโต แต่รักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์ และไม่กระทำงานในวันนั้น แล้วจะมีกษัตริย์และเจ้านาย ผู้ประทับบนบัลลังก์แห่งดาวิดเสด็จเข้าทางประตูทั้งหลายของเมืองนี้ เสด็จมาในรถรบ และบนม้า ทั้งบรรดากษัตริย์และเจ้านายของพระองค์ ทั้งคนยูดาห์และชาวเยรูซาเล็ม และเมืองนี้จะดำรงอยู่เป็นนิตย์ และประชาชนจะมาจากหัวเมืองแห่งยูดาห์ และจากที่ซึ่งอยู่รอบเยรูซาเล็ม จากแผ่นดินเบนยามิน จากที่ราบ จากเทือกเขา และจากภาคใต้ นำเอาเครื่องเผาบูชา และเครื่องสักการบูชา เครื่องธัญญบูชาและกำยาน และนำเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญมายังนิเวศของพระเยโฮวาห์ แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายไม่ฟังเราที่จะรักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์ และที่จะไม่แบกภาระเข้าทางประตูทั้งหลายของเยรูซาเล็มในวันสะบาโต แล้วเราจะก่อไฟไว้ในประตูเมืองเหล่านั้น และไฟนั้นจะเผาผลาญราชวังทั้งหลายของเยรูซาเล็ม และจะดับก็ไม่ได้'" เยเรมีย์ 17:19-27

    อิสยาห์ 56
    56:1 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า "จงรักษาความยุติธรรมไว้ และกระทำความเที่ยงธรรม เพราะความรอดของเราใกล้จะมา และความชอบธรรมของเราจะเผยออก
    56:2 ความสุขย่อมมีแก่ผู้กระทำเช่นนี้ และแก่บุตรของมนุษย์ผู้ยึดไว้มั่น ผู้รักษาวันสะบาโตไม่เหยียดหยามวันนั้น และระวังมือของเขาจากการกระทำชั่วร้ายใดๆ"

    56:4 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า "เรื่องขันทีทั้งหลายผู้รักษาวันสะบาโตของเรา ผู้เลือกบรรดาสิ่งที่พอใจเรา และยึดพันธสัญญาของเราไว้มั่น
    56:5 ภายในนิเวศของเราและภายในกำแพงของเรา เราจะให้สถานที่และชื่อแก่เขาเหล่านั้น ที่ดีกว่าบุตรชายและบุตรสาว เราจะให้ชื่อนิรันดร์แก่เขาทั้งหลายซึ่งจะไม่ตัดออกเลย

    56:6 และคนต่างชาติผู้เข้าจารีตถือพระเยโฮวาห์ ปรนนิบัติพระองค์และรักพระนามของพระเยโฮวาห์ และเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ทุกคนผู้รักษาวันสะบาโต และมิได้เหยียดหยาม และยึดพันธสัญญาของเรามั่นไว้

    56:7 คนเหล่านี้เราจะนำมายังภูเขาบริสุทธิ์ของเรา และกระทำให้เขาชื่นบานอยู่ในนิเวศอธิษฐานของเรา เครื่องเผาบูชาของเขาและเครื่องสักการบูชาของเขา จะเป็นที่โปรดปรานบนแท่นบูชาของเรา เพราะนิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน สำหรับบรรดาชนชาติทั้งหลาย"


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    พระเยโฮวาห์ตรัสว่า "และฝ่ายเรา นี่เป็นพันธสัญญาของเรากับเขาทั้งหลาย คือวิญญาณของเราซึ่งอยู่เหนือเจ้า และคำของเราซึ่งเราใส่ไว้ในปากของเจ้าจะไม่พรากไปจากปากของเจ้า หรือจากปากเชื้อสายของเจ้า หรือจากปากของเชื้อสายแห่งเชื้อสายของเจ้า ตั้งแต่เวลานี้ไปจนกาลนิรันดร์" พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้...อิสยาห์ 59:21



    พระเยซูไม่ได้มายกเลิกพระบัญญัติ แต่มาทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ดังที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า... "อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะทำลายพระราชบัญญัติหรือคำของศาสดาพยากรณ์เสีย เรามิได้มาเพื่อจะทำลาย แต่มาเพื่อจะให้สำเร็จ"...มัทธิว 5:17

    พระเยซูเสด็จกลับไปยังธรรมศาลาในเมืองนาซาเร็ธ"
    ...แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระคัมภีร์" ...ลูกา 4:16


    "ถ้าท่านทั้งหลายรักษาบัญญัติของเรา ท่านก็จะยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา เหมือนดังที่เรารักษาพระบัญญัติของพระบิดาเรา และยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์" ...ยอห์น 15:10

    พระองค์ไม่ได้ยกเลิก แล้วยังพยายามสอนให้ปฏิบัติอย่างถูกต้องในวันสะบาโต (มัทธิว 12:1, 12 )



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    และพระองค์ยังตรัสอีกว่า...ผู้ใดได้ทำให้ได้ฝ่าฝืนแม้เพียงข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในพระบัญญัตินี้ ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่า เป็นผู้น้อยที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามพระบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่า เป็นใหญ่ในอาณาจักรแห่งสวรรค์....มัทธิว 5:19

    คริสตจักรเริ่มต้น รักษาวันสะบาโต (กิจการ 13:14)



    <CENTER>จงถือรักษาวันสะบาโตเพื่อเป็นพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับเรา</CENTER>

    <CENTER>
    "ถ้าเจ้าหยุดเหยียบย่ำวันสะบาโต คือจากการทำตามใจของเจ้าในวันบริสุทธิ์ของเรา และเรียกสะบาโตว่า วันปีติยินดี และเรียกวันบริสุทธิ์ของพระเยโฮวาห์ว่า วันมีเกียรติ ถ้าเจ้าให้เกียรติมัน ไม่ไปตามทางของเจ้าเอง หรือทำตามใจของเจ้า หรือพูดถ้อยคำของเจ้าเอง แล้วเจ้าจะได้ความปีติยินดีในพระเยโฮวาห์ และเราจะให้เจ้าขึ้นขี่อยู่บนที่สูงของแผ่นดินโลก และเราจะเลี้ยงเจ้าด้วยมรดกของยาโคบบิดาของเจ้า เพราะโอษฐ์ของพระเยโฮวาห์ได้ตรัสแล้ว"
    </CENTER>

    <CENTER>อิสยาห์ 58:13 - 14</CENTER>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    <CENTER>"เพราะฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ซึ่งเราจะสร้าง จะยังอยู่ต่อหน้าเราฉันใด" พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ "เชื้อสายของเจ้าและชื่อของเจ้าจะยังอยู่ฉันนั้น" พระเยโฮวาห์ตรัสว่า "และต่อมาทุกวันขึ้นหนึ่งค่ำ และทุกวันสะบาโต เนื้อหนังทั้งสิ้นจะมานมัสการต่อหน้าเรา" อิสยาห์ 66:22 -23</CENTER>



    <CENTER>สะบาโตแห่งการพักสงบสำหรับประชากรของพระเจ้า</CENTER>


    ฮีบรู 4

    4:1 เหตุฉะนั้น เมื่อมีพระสัญญาทรงประทานไว้แล้วว่า จะให้เข้าในที่สงบสุขของพระองค์ ให้เราทั้งหลายมีความยำเกรงว่า ในพวกท่านอาจจะมีผู้หนึ่งผู้ใดเหมือนไปไม่ถึง

    4:2 เพราะว่าเราได้มีผู้ประกาศข่าวประเสริฐให้แก่เราแล้ว เหมือนแก่เขาเหล่านั้นด้วย แต่ว่าถ้อยคำซึ่งเขาได้ยินนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์แก่เขา เพราะว่าเขาไม่มีความเชื่อร่วมกันกับผู้ที่ได้ยิน

    4:3 เพราะว่าเราทั้งหลายที่เชื่อแล้วก็เข้าในที่สงบสุขนั้น เหมือนพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า `ตามที่เราได้ปฏิญาณด้วยความพิโรธของเราว่า "ถ้าเขาจะเข้าสู่ที่สงบสุขของเรา"' แม้ว่างานนั้นสำเร็จแล้วตั้งแต่วางรากสร้างโลก

    4:4 และมีข้อหนึ่งที่พระองค์ได้ตรัสถึงวันที่เจ็ดดังนี้ว่า `ในวันที่เจ็ดพระเจ้าทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์'

    4:5 และแห่งเดียวกันนั้นได้ตรัสอีกว่า `ถ้าเขาจะเข้าสู่ที่สงบสุขของเรา'

    4:6 ครั้นเห็นแล้วว่ายังมีช่องให้บางคนเข้าในที่สงบสุขนั้น และคนเหล่านั้นที่ได้ยินข่าวประเสริฐคราวก่อนไม่ได้เข้าเพราะเขาไม่เชื่อ

    4:7 พระองค์จึงได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้อีก คือกล่าวในคัมภีร์ของดาวิดซึ่งล่วงไปช้านานแล้วว่า "วันนี้" เหมือนตรัสเมื่อคราวก่อนแล้วว่า `วันนี้ ถ้าท่านทั้งหลายจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านแข็งกระด้างไป'

    4:8 เพราะว่าถ้าเยซูได้พาเขาเข้าสู่ที่สงบสุขนั้นแล้ว พระองค์ก็คงมิได้ตรัสในภายหลังถึงวันอื่นอีก

    4:9 ฉะนั้นจึงยังมีสะบาโตสำหรับชนชาติของพระเจ้า

    4:10 ด้วยว่าคนใดที่ได้เข้าไปในที่สงบสุขของตนแล้ว ก็ได้หยุดการงานของตน เหมือนพระเจ้าได้ทรงหยุดจากพระราชกิจของพระองค์

    4:11 เหตุฉะนั้นให้เราทั้งหลายอุตส่าห์เข้าในที่สงบสุขนั้น เพื่อมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดล้มลงไปในการไม่เชื่อเช่นเขาเหล่านั้นซึ่งเป็นตัวอย่าง

    4:12 เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิต และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

    4:13 ไม่มีสิ่งเนรมิตสร้างใดๆ ที่ไม่ได้ปรากฏในสายพระเนตรของพระองค์ แต่สิ่งสารพัดก็เปลือยเปล่าและปรากฏแจ้งต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องเกี่ยวข้องด้วย


    อัครฑูตเปาโลนั้นไม่เคยทิ้งวันสะบาโต พบหลักฐานมากมายในพระธรรมกิจการ เช่น "เปาโลจึงแก้คดีเองว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำอะไรผิดกฎหมายของพวกยิว หรือต่อพระวิหาร....กิจการ 25:8 "



    <CENTER>ประชากรของพระเจ้าคือผู้ที่ถือรักษาพระบัญญัติของพระองค์</CENTER>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    <CENTER>"นี่คือความอดทนของประชากรของพระเจ้า คือต้องอดทนเพื่อปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า และยังมั่นคงในความเชื่อในพระเยซู" </CENTER>

    <CENTER>วิวรณ์ 14:12</CENTER>

    ดูวิดีโอ คลิ๊กลิงค์ข้างล่าง:

    http://www.john1429.org/video/Sabbath/Sabbath.html

    การไปนมัสการวันอาทิตย์เป็นการรับเครื่องหมายซาตาน


    <CENTER><EMBED src=http://www.youtube.com/v/0lqIREAZCOU&hl=en&fs=1&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999&border=1 width=445 height=364 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED></CENTER>



    <CENTER>พระเจ้าเตือนให้เราออกจากการนมัสการซาตาน(พระอาทิตย์)ในวันอาทิตย์ ..."ชนชาติของเรา จงออกมาจากนครนั้นเถิด เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่มีส่วนในการบาปของนครนั้น และเพื่อท่านจะไม่ต้องรับภัยพิบัติที่จะเกิดแก่นครนั้น" วิวรณ์ 18:4</CENTER>

    ท่านอาจจะสงสัยว่าแล้วจะทำอย่างไรจึงจะถูกต้องในทางของพระเจ้า คำตอบคือ คริสตจักรบ้าน เหมือนกับคริสตจักรยุคเริ่มต้น

    โปรดคลิ๊กที่ Link เพื่อดูเรื่อง Home Church;
    http://www.worldslastchance.com/view-video/25/what-is-a-home-church.html



    <CENTER><EMBED src=http://www.youtube.com/v/PzV_GSubxyc&hl=en&fs=1&color1=0x234900&color2=0x4e9e00&border=1 width=445 height=364 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED></CENTER>


    Ref. :
    http://thaipope.org/webdual/index.htm
    เครดิต Bloggang.com : Narno7 - True SABBATH is Saturday
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อุบาสกเปลี่ยน รักแซ่
    วันที่ ๔ มีนาคม ๒๔๙๔ ได้สนทนาธรรมกับคุณลุง
    คุณลุงแสดงว่า
    "ดับหมด เป็นหมด"
    "ผมใช้ภาวนา ธรรมดา รู้อยู่"
    "พิจารณาแยกออกหมดแล้วมันก็ไม่มีอะไร"
    "มันก็ จิตดูจิต เป็นเอง"
    "พระพุทธเจ้าท่านเห็นโลกธรรมแปดนั่นเอง
    อย่างไรทุกข์เกิด มันก็ดับไปเอง"
    "บางทีผมก็ใช้ภานา จิตว่าง วางเฉย
    ถึงพระสามองค์
    บางทีก็มีปรุงเหมือนกันแต่ผมก็เฉยเสีย"


    หลังจากนี้ท่านก็พูดซ้ำๆ ตลอดมาเป็นประจำ
    รวมทั้งที่แสดงในเวลาประชุม ก็มักแสดงว่า
    "รู้อยู่ ก็ว่างอยู่"
    "รู้ว่าอะไรๆมันไม่เที่ยง แล้วจะไปยึดอะไร"
    "ดับหมด เป็นหมด"
    "หมดเกิด หมดตาย"
    "นามรูปขันธ์ห้าไม่เที่ยง ใครจะไปบังคับบัญชามันได้
    ก็มันไม่มีคัวของมันเอง"
    "รู้เอง เป็นเอง เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบานด้วยธรรม"


    ท่านได้เริ่มป่วยมากเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๐๘
    เมื่อเริ่มป่วยใหม่ๆ มีผู้หนึ่งไปเยี่ยม ถามว่า "คุณตาเป็นอย่างไรบ้างคะ"
    ท่านลุกขึ้นยิ้มตอบว่า
    "ไม่เป็นไร อยู่เฉยๆว่างๆรู้ตัวเอง ปล่อยตัวเองเสียแล้ว
    ก็ไม่เจ็บป่วยอะไร"

    ต่อมาหลายวัน ผู้ปฏิบัติท่านหนึ่งทำน้ำโสมชงเพื่อให้ชุ่มคอให้ดื่ม
    เห็นรู้สึกกลืนไม่ใคร่สะดวก จึงบอกให้ค่อยๆดื่ม
    แล้วจะทำแป้งมาให้รับประทานเพื่อจะได้ระงับเวทนา
    ท่านว่า "ก็เวทนาไม่มี แล้วจะมาดับอะไร" ผู้ให้เลยต้องนิ่งไป

    ขณะป่วยได้พยายมยามช่วยตัวเองทุกระยะ โดยไม่รบกวนใคร
    เสร็จแล้วก็นอนเฉยๆตลอดวันและคืน
    หลังจากป่วยแล้วหลายวันได้ช่วยตัวเองอยู่โดยอาการอย่างนี้
    วันหนึ่งขณะลุกขึ้นยืนจะเข้าห้องน้ำจึงได้ล้มฟาดลงมาทั้งยืน
    รุ่งขึ้นมีผู้ปฏิบัติถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง
    คงตอบว่าไม่เป็นอะไรเช่นเคย อยู่เฉยๆไม่เป็นอะไร
    ผู้ปฏิบัติหลายคนคิดจัดแจงให้ความสะดวกเรื่องห้องน้ำ
    ท่านกลับพูดว่า "ช่างปรุงช่างแต่งกันไปเอง"
    มีผู้หนึ่งถามว่าแล้วเวทนาไม่รวบรัดคุณตาบ้างหรือ
    ก็ตอบว่า "ทำไมไม่รวบ ทำไมไม่รัด แต่รู้ดับ รู้ปล่อยเสียแล้ว มันไม่มีอะไร"

    ต่อมาวันหนึ่ง ผู้ปฏิบัติสนทนากันถึงเรื่องขันธ์ห้า
    ว่าเมื่อวันประชุม ท่านให้พวกเราพิจารณาให้รู้ความลับของขันธ์ห้า
    ถามกันว่าอะไรเป็นความลับของขันธ์ห้า
    คุณตาได้ยินจึงพูดขึ้นว่า "ก็ความไม่เที่ยงน่ะ ซี เป็นความลับ"
    มีผู้หนึ่งถามว่า ใช่หรือ
    ท่านยืนยันว่า "ทำไมจะไม่ใช่"

    วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๐๘
    หลาน(ที่ร้านธรรมดานิยม) มาเยี่ยม ถามว่า "คุณลุงเป็นอะไรบ้างคะ"
    ตอบว่า "จิตใจเป็นธรรมนำผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์ออกจากกิเลส
    อยู่ว่างๆ เปล่าๆ ไม่ยึดถืออะไร ไม่มีอะไร
    รู้ของไม่เที่ยง จิตใจว่างไม่ยึด ไม่ถือ"

    ๖ กันยายน ๐๘
    ผู้เยี่ยมถามว่า "วันนี้คุณตาเป็นอย่างไรบ้างคะ"
    ตอบอย่างวันก่อน "จิตใจเป็นธรรม นำผู้ปฏิบัติออกจากกองทุกข์กองกิเลส
    จิตใจรู้ว่าง ไม่มีอะไร ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย
    อยู่ที่ว่างๆเสียแล้วก็ไม่มีอะไร
    รู้เองเห็นเอง จิตใจอยู่ที่ไม่ยึดถือ มันก็ว่างจากทุกข์"

    มีผู้พยาบาลให้ยารับประทาน
    ท่านพูดว่า "จิตมันว่างเปล่าอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรก็ได้
    ยาอะไรๆก็ดี แต่สู้จิตว่างเปล่าไม่ได้"

    ๘ กันยายน ๐๘
    ท่านได้พูดกับผู้มาเยี่ยมว่า "จิตใจเป็นธรรมนำผู้ปฏิบัติออกจากกองทุกข์กองกิเลส
    อย่างจัดแจงอะไรจะอยู่เฉยๆ"
    คำว่าจะอยู่เฉยๆ พูดอยู่เสมอ เพื่อจะรู้ภายในให้แนบแน่นยิ่งขึ้น

    ๙ กันยายน ๐๘ เวลา ๑๐.๐๐ น.
    มีบุตรหลานมาเยี่ยมหลายคน มีเสียงพูดคุยกัน
    ขณะที่มีลูกนั่งอยู่ใกล้ ท่านได้ยกมือขึ้นสองข้างแล้วพูดว่า
    "ข้างหนึ่งเป็นความว่างไม่ปรุงแต่งอะไร
    ข้างหนึ่งปรุงแต่ง เกิดดับกันไป ไม่ปะปนกัน

    ผู้พยาบาลพยุงให้นอน ท่านพูดว่า "จิตใจเป็นธรรม"
    ลูกๆจะจัดแจงอิริยาบถให้เรียบร้อย
    ท่านว่า "ขันธ์ห้ามันเป็นทุกข์จะไปจัดแจงอะไร"

    ที่มา 001905 -
    เครดิต
    http://palungjit.org/threads/ตายก่อนตาย-อุบาสกเปลี่ยน-รักแซ่.245398/<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2010
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="640" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/fCEERNiWTm4&color1=0xb1b1b1&color2=0xd0d0d0&hl=en_US&feature=player_embedded&fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/fCEERNiWTm4&color1=0xb1b1b1&color2=0xd0d0d0&hl=en_US&feature=player_embedded&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="385"></embed></object>
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/WlLN_Jcg1pc&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/WlLN_Jcg1pc&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/KDG89bZ-qJ8&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/KDG89bZ-qJ8&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/m8sT0mxp5tE&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/m8sT0mxp5tE&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/B5dHswFAKNw&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/B5dHswFAKNw&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/6UMqssLqrVc&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/6UMqssLqrVc&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/uZIfyXc8RWk&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/uZIfyXc8RWk&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/KE3aB2m71a4&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/KE3aB2m71a4&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/0VcKpEbm9sQ&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/0VcKpEbm9sQ&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/TqJBh4SmwBU&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/TqJBh4SmwBU&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ ขวัญ กลายเป็น สาวก ลัทธิสีลพตรปรามาส แล้วหรือ

    บอกให้ทำสมาธิให้ดี แล้วจะไม่ถูกพระยามาร บงการ
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทำไมหรือ ท่านขันธ์
    การศึกษาความจริงของโลก การศึกษาคำสอนของศาสดาของศาสนาอื่นๆ
    เป็นข้อห้ามของชาวพุทธ หรือไง
    ท่านขันธ์ ผู้มีปัญญามาก พิจารณาเองไม่ได้หรือ สิ่งไหนคือธรรม สิ่งไหนคืออธรรม
    ผู้มีปัญญา ย่อมเคารพ ผู้มีปัญญา
    ผู้มีธรรม ย่อมเคารพ ผู้มีธรรม
    ผู้นิยมชมชอบความดี ย่อมเคารพ ผู้มีความดี
    ผู้สอนให้ละบาปด้วยใจ ย่อมเป็นบัณฑิตผู้สมควรยกย่อง

    ชาวพุทธ ที่คิดว่าตนเองเป็นเลิศกว่าผู้อื่น แต่มองไม่เห็นความดีของผู้อื่น
    ก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีปัญญา เป็นแต่ผู้ที่ที่เชื่อในสิ่งที่ตนอยากเชื่อเท่านั้น

    เรายกย่องจิตใจที่บริสุทธิ์ และผู้ที่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ และเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น
    พวกที่แบ่งเขาแบ่งเรา ยกตนข่มท่าน มารในใจของตนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้
    เอาคำสอนของพระศาสดามาบิดเบือนตามใจตน กล่าวหาผู้อื่นด้วยอคติ
    ทำสงครามด้วยความคิดและจิตใจที่เป็นอกุศลจิตเนืองๆ
    เบียดเบียนผู้อื่นและตนเอง ด้วยความไม่รู้
    พวกที่มีแต่ศรัทธาที่สูญเปล่า
    เราไม่นำมาใส่ใจเราหรอก ท่านจะคิดอย่างไรก็เรื่องของท่านขันธ์
    ท่านขันธ์ ก็ทำตนเองให้พ้นทุกข์ให้ได้ก็แล้วกัน ทำให้ได้แล้วค่อยไปสอนคนอื่น
    ถ้าเรื่องแค่นี้ ยังแยกแยะไม่ได้ว่า คนอื่นเขามีเจตนาอะไร ก็อย่าเพิ่งไปตัดสินใครเขาเลย

    คนที่ถูกพระยามารบงการ อาจจะเป็นท่านขันธ์เองก็ได้

    เรื่องศาสนาคริสต์ เราศึกษาหาอ่านเป็นความรู้ เราก็ได้รู้ว่า
    คนที่เชื่อพระคริสต์แต่ปาก ทำตัวเคร่งกฏศาสนา แต่จิตใจยังฝักใฝ่รักการทำบาปอยู่
    ก็เป็นแต่เพียงศรัทธาที่สูญเปล่า คนที่พาคนอื่นเข้ารีตด้วยความเชื่อแต่ไม่เข้าใจในคำสอน
    ก็ไม่ได้ชื่อว่าทำตามคำสอนของศาสดาเขา แถมยังทำตัวไปเบียดเบียนคนศาสนาอื่น
    ก็ได้ชื่อว่าไม่ได้ทำตามหลักธรรมของพระคริสต์ สอนไปผิดทางในแง่ของการเชื่อแบบงมงาย
    ก็ไม่ถูกต้อง เราเรียนเพื่อรู้และเข้าใจโลก เข้าใจคนอื่น เราไม่ได้เรียนไปเพื่อเข้ารีตศาสนาไหนๆ

    แม้แต่คนในศาสนาพุทธเอง ถ้ายังคิดร้าย คิดไม่ดี ต่อคนในศาสนาอื่นๆ ไม่เห็นความจริง
    ของคนที่เสียสละเพื่อคนอื่น คุณจะได้ชื่อว่ามีปัญญาจากการปฏิบัติธรรมได้อย่างไร ถ้ายัง
    ไม่เปิดใจมองความจริง เคารพในความดีของคนอื่นไม่ได้ ก็ได้ชื่อว่ามีจิตใจคับแคบอยู่ใน
    โลกที่ตนเองเชื่อว่าดีเท่านั้น โลกนี้ไม่ได้มีแต่คนพุทธ สงครามระหว่างเชื้อชาติก็แย่มากแล้ว
    จะยังมีสงครามศาสนาอีกหรือยังไง ถ้าปัญญาของคุณถูกต้องตามจริง ย่อมเห็นความจริง
    ได้ถูกต้องตามจริง โลกนี้ก็ไม่มีอะไรปิดบังคุณได้ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณมีปัญญารู้พอจะแยกแยะ
    ความจริงและความลวงได้ ไม่ว่าพระธรรมแท้ หรือพระธรรมเท็จ คุณย่อมรู้อยู่แก่ใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2010
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คนที่บอกว่าตนเป็นชาวพุทธ แต่ดูถูกคนศาสนาอื่นๆ ก็ไม่ได้ชื่อว่ามีปัญญารู้ธรรมตามจริง
    คนที่บอกว่าตนมีสมาธิดี มีพรหมวิหาร4 ถือศีลฟังธรรม
    พอเผลอตัวขาดสติ ก็เบียดเบียนคนอื่นทั้งทางกาย วาจา ใจ ขาดหิริโอตัปปะ
    ใจจริงของคุณเป็นอย่าง มีธรรมหรือเปล่า คุณก็พิจารณาตนเองแล้วกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...