น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. พรหมรักษ์

    พรหมรักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +26
    ..สาธุๆๆ ท่านชัยยุทธพล เขียนได้ดีและแจ่มแจ้งมาก ผมก็อยากเขียนเหมือนท่าน
    นั่นหละ แต่ขาดปฎิภานในการเขียน และผมหวังว่าคงจะเป็นปาฎิหาริย์
    ทำให้คุณ เตชปญโญ ละมิจฉาทิฎฐิอันสุดโต่งนั้นเสียได้เถิด..
    และขอให้ดำเนินทางสายกลางมัชฌิมาปฎิปทา...
     
  2. big14

    big14 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +23
    คือว่าผมเป็นนักเรียนขึ้นม.4 อะครับ ตั้งแต่ม.1 ถึง ม.3 ผมยังไม่เคยเจอที่พี่เค้าบอก

    ตอนแรกเลยครับ ในหนังสือเรียนมี เรื่องต่างๆ ประวัติพระพุืทธเจ้า สาวก ธรรม พูดแบบ

    กลางๆมากกว่านะครับ ไม่เจอแนวที่พี่เค้าพูดเลย แต่ผมคิดว่า เป็นเหตุผล ดีนะครับที่เค้า

    พูดกระทู้แรกว่าให้อยู่กับปัจจุบันหน่ะครับ แต่จะไม่มีเรื่องสวรรค์ นรก มาเอี่ยว

    ไอ้พวกปฏิบัติธรรมจอมปลอม


    ปากก็บอกว่า เข้าทางธรรม แต่เอาเข้าจริงก็อยากขึ้นสวรรค์ นิพพาน พวกนั้น เผลอๆ

    จะเป็นโจรเอาครับ ถ้าไม่มีเรื่องพวกนี้มา
     
  3. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    ผมรออยู่นะครับท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ อย่างไรก็ช่วยให้คำตอบด้วยนะครับ
     
  4. B5234T5

    B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2005
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +210
    แล้วกระทู้นี้มันก็ยังไม่ไปไหนสักที...
     
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ไม่ได้เข้ามานาน เลยไม่ได้ตอบคุณ ชัยยุทธพล ขออภัยที่ให้รอ

    จากคำถามมากมายของคุณนั้นนั้น มันเป็นเรื่องรายละเอียด

    เรามาหาต้นตอของมันดีกว่า

    ถ้ามัวมาถกเถียงกันถึงเรื่องรายละอียด ก็คงไม่จบหรือไม่เข้าใจกันสักที

    ต้นตอของทุกปัญหามันมาจากจุดนี้..(ถ้าเข้าใจจุดนี้แล้วก็จะเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดเอง)


    จุดเริ่มต้นในการศึกษาคำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้า
    จุดเริ่มต้นในการศึกษาคำสอนระดับสูงที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า ให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องนั้น ก่อนอื่นเราจะต้องปล่อยวางความเชื่อถือในตำรา หรือในคำสอนที่ได้ฟังหรือเรียนรู้มาจากคนอื่นทั้งหมดก่อน แล้วตั้งใจศึกษาธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง ที่เราสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้ในปัจจุบัน โดยใช้เหตุผลในการศึกษา เราจะไม่ใช้การคาดเดาหรือคาดคะเนในการศึกษาอย่างเด็ดขาด ซึ่งการศึกษาเช่นนี้จะทำให้ไม่มีทางผิดพลาดได้ และเมื่อพร้อมแล้วเราก็มาเริ่มพิจารณาตามหัวข้อทั้ง ๑๐ นี้ไปตามลำดับ พร้อมทั้งถามตัวเองว่า “ยอมรับความจริงเหล่านี้หรือไม่?”
    *******************************************************
    ๑. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ทุกสิ่ง(ทั้งวัตถุและสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุอันได้แก่พวกจิตหรือใจ)ที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่ ล้วนจะต้องอาศัยเหตุ(ต้นเหตุ)และปัจจัย(สิ่งสนับสนุน) มาปรุงแต่ง(หรือสร้างหรือประกอบ)ให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ทั้งสิ้น”
    ๒. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุและปัจจัย”
    ๓. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วและยังตั้งอยู่นั้น เมื่อเหตุหรือปัจจัยของมันได้เสื่อมสลาย(ใช้กับพวกวัตถุ)หรือดับ(ใช้กับพวกจิตใจ)หายไป สิ่งที่ตั้งอยู่นั้นก็ย่อมที่จะเสื่อมสลายหรือดับหายตามไปด้วยเสมอ”
    ๔. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่นั้น ไม่มีสิ่งที่เป็น ‘ตนเอง’ (อัตตา – ตนเอง หรือ ตัวตนที่แท้จริง ที่เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวร หรือเป็นอมตะนิรันดร) ดังนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา จึงมีความไม่เที่ยงแท้ถาวร คือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะและยังต้องดับสลายหายไปในที่สุดอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว (อนิจจัง) และยังต้องทนประคับประคองตัวเองอยู่ด้วยความยากลำบาก มากบ้างน้อยบ้างตลอดเวลา (ทุกขัง) รวมทั้งไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง (อนัตตา)”
    ๕. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ร่างกาย, วัตถุ, และพลังงานทั้งหลาย ล้วนตกอยู่ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนทั้งสิ้น”
    ๖. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “แม้สิ่งที่เป็น ‘จิต’ (สิ่งที่รับรู้, รู้สึก, จำ, และคิดได้) ของเราและสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ก็ล้วนตกอยู่ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนเหมือนกับร่างกาย”
    ๗. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ถ้าไม่มีร่างกาย (คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ-สมอง) ที่ยังไม่ตายมาเป็นเหตุ จิตก็เกิดขึ้นมาไม่ได้”
    ๘. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ถ้าไม่มีสิ่งภายนอก (เช่น รูป เสียง กลิ่น รส) มาสัมผัสจิต (มาเป็นปัจจัย) จิตก็เกิดขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน”
    ๙. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ทั้งร่างกายและจิตที่รู้สึกว่าเป็น ‘ตัวเรา-ของเรา’ นี้ มันไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูก ‘ปรุงแต่ง’ หรือสร้างขึ้นมาชั่วคราวจากเหตุและปัจจัยโดยธรรมชาติเท่านั้น หาได้เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างถาวรหรือเป็นอมตะนิรันดรไม่”
    ๑๐.ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ความเห็นหรือความเชื่อที่ว่า 'จิต (หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามที่รู้สึกและยึดถือว่าเป็นเรา) ของเราและสัตว์ทั้งหลายนี้เป็นตัวตนที่แท้จริง (คือเชื่อว่าจิตเป็นอัตตา) ที่จะสามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วไปเกิดใหม่ได้อีกเรื่อยไป' นั้น เป็นความเห็นหรือความเชื่อที่ผิดหรือไม่ถูกต้อง”
    ********************************************************************
    ถ้าใครได้พิจารณาอย่างแยบคาย (คือตั้งใจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในทุกแง่ทุกมุม) แล้ว และยอมรับความจริงทั้ง ๑๐ ข้ออย่างไม่มีข้อสงสัย ก็แสดงว่าผู้นั้นได้เริ่มรู้จัก หรือเริ่มเข้าใจคำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องแล้ว
    แต่ถ้าใครไม่ยอมรับ โดยเฉพาะในข้อที่ ๑๐ ก็แสดงว่าผู้นั้นยังไม่รู้จัก หรือไม่เข้าใจคำสอนระดับสูงที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เขาเพียงได้รู้จักแค่คำสอนระดับต่ำๆ(ศีลธรรม)ของพระพุทธเจ้า ที่ผสมปนเปอยู่กับคำสอนของศาสนาพราหมณ์(ฮินดู)มาแล้วเท่านั้น.
    เตชปญฺโญ ภิกขุ. ๑๕ พ.ย. ๒๕๕๑
    อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

    (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net หรือ www.whatami.5u.com)
     
  6. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    เรียนท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ หากท่านจะมีมารยาทแบบชาวพุทธสักหน่อย
    กรุณาอ่านที่ผมสนทนากับท่าน แล้วช่วยตอบข้อคำถามที่ผมถามไปทั้งหมดก่อน จากนั้นผมจะตอบคำถามของท่านทุกคำถาม


    ธรรมะของพระพุทธเจ้า กรุณาอย่ากล่าวหาว่าสิ่งนั้นสูง สิ่งนี้ต่ำ เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนล้วนเป็นของสูง ไม่มีสูงต่ำ มีแต่ปฏิบัติได้ยาก ได้ง่ายกว่ากันเท่านั้นเอง

    ในครั้งนี้ผมจะตอบคำถามของท่านข้อ 1 และข้อถับไปจะตอบหลังจากที่ท่านได้ตอบคำถามของผมละเอียดดีแล้ว

    ๑. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ทุกสิ่ง(ทั้งวัตถุและสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุอันได้แก่พวกจิตหรือใจ)ที่เกิดขึ้น และตั้งอยู่ ล้วนจะต้องอาศัยเหตุ(ต้นเหตุ)และปัจจัย(สิ่งสนับสนุน) มาปรุงแต่ง(หรือสร้างหรือประกอบ)ให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ทั้งสิ้น”

    ทุกสิ่งในวัตตะสงสาร ไม่ว่าจะเป็นโลกไหนๆ ก็ย่อม มี
    เกิด ที่เนื่องมาจากการตาย
    ตั้งอยู่ ที่เนื่องมาจากการเกิด
    ดับไป ที่เนื่องมาจากการคงอยู่ได้ยาก นี่คือเหตุ และผล ที่ท่านต้องการ
    แต่กฎของ ไตรลักษณ์ ไม่สามารถทำอะไรผู้ที่หมดสิ่งที่ผูกมัดเราไว้ในวัตตะสงสาร คือหมดกิเลส

    และผมก็จะขอถามกลับด้วยว่า จะจิตหรือวัตถุ ก็ตามแต่ ท่ารู้จักมันดีแค่ไหน ถ้าถามแบบนี้ท่านก็คงต้องไปพึ่งนักวิทยาศาสตร์อีก แล้วผมก็จะถามต่อว่า วิทยาศาสตร์เข้าใจคำว่าจิตมากแค่ไหน เขาก็บอกว่าจิตน่ะ คือความคิด แล้วทำไมมันมีพลังมหาศาลเพียงพอที่จะเคลื่อนย้ายสิ่งต่างๆ หรือดลบันดาลอะไรสักอย่างขึ้นมาได้ อันนี้เขาตอบไม่ได้
    เช่นตอนนี้ขำกำลังวิจัย ถ้าท่านอ่านข่าวคงจะรู้ ฤาษี ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ ปัสสาวะได้เป็นปกติ ตอนนี้อยู่ในห้องที่จับด้วยกล้องมาเกือบ 3 อาทิตย์แล้ว นักวิทยาศาสตร์งงเป็นไก่ตาแตก แต่ชาวพุทธเรารู้ ว่านั่นคืออำนาจ ฌาน

    จะจิตหรือวัตถุ มันก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่จิตที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลาจะเป็นจิตดวงเดิม ในเวลาที่รวดเร็วมาก เนื่องจากความละเอียดที่มาก วัดออกมาได้เป็นคลื่นพลังงาน เช่นเดียวกับ สะสารทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นกรวดหินดินทาย คือคลื่น คือพลังงาน มีการแตกดับและเริ่มต้นใหม่ในแบบของมัน เพราะพลังงานมันไม่หายไปไหน
    แต่จิตมันเป็นสิ่งที่พิเศษกว่า ประกอบด้วยธาตุหนึ่งคือธาตุรู้ เป็นธาตุเหมือนกันแต่เป็นธาตุพิเศษ เมื่อไปอยู่โลกสวรรค์ สิ่งที่สำผัสได้มันอาจไม่ใช่สะสาร แต่มันอาจเป็นมโนภาพที่สามารถเนรมิตรได้ดั่งใจ เป็นมโนภาพที่มากระทบจิตในรูปแบบของความสุข ในระดับชั้นนั้นๆ ที่ตนเองบำเพ็ญมาได้
    หรือจะอยู่นรก อยู่โลกก็ตาม สิ่งที่เรากิน เราเหยียบ เราสำผัส เราได้ยิน มันก็ล้วนเป็นพลังงาน เพียงแต่เป็นพลังงานหยาบกว่าเท่านั้นเอง
    สิ่งที่มองเห็น และสัมผัสได้ มันจะเป็นอะไรก็ช่าง พูดไปก็เสียเวลา แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่จะบอกว่าสิ่งเหล่านี้มันมีจริงๆ ไม่ใช่สิ่งหลอกลวง คือความสุขหรือความทุกข์ ที่อยู่ในระดับของภพภูมินั้นๆ นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2010
  7. Sgman

    Sgman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +12
    "ไม่มีใครสามารถที่จะชักจูงให้ผู้อื่นเปลี่ยนแปลงได้ เราแต่ละคนมีการป้องกันอยู่ภายในจิตใจราวกับเป็นประตูของการเปลี่ยนแปลง เราไม่สามารถเปิดประตูนั้นให้ผู้อื่นได้ไม่ว่าจะด้วยการถกเถียงหรือการอ้อนวอนก็ตาม" (ดูต้นฉบับด้านล่างนะครับ ผมแปลเองอาจไม่ได้อรรถรสเท่ากับต้นฉบับ)
    "No one can persuade another to change. Each of us guards as a gate of change that can only be opened from the inside. We cannot open the gate of another, either by argument or by emotional appeal."
    by Marilyn Ferguson(นักประพันธ์หญิงที่มีอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของอเมริกา)
    หวังว่าเพื่อนๆทุกท่านไม่ว่าฝ่ายใด ได้มาลองเปิดประตูที่ปิดกั้นพวกเราสู่การเปลี่ยนแปลง ปิดกั้นเราสู่ความเข้าใจมุมมองของผู้อื่นกันนะครับ

    ................................................................................
    ผมขอยกความหนึ่งหนึ่งในหนังสือเรื่อง Siddhartha แต่งโดย
    Hermann Hesse(รางวัลโนเบล สาขา วรรณกรรม ปี 1946)
    http://en.wikipedia.org/wiki/Siddhartha_(novel)

    "...ความจริง(คิดว่าท่านHesseน่าจะหมายถึงความจริงสูงสุด)นั้นสามารถแสดงออกมาเป็นคำพูดได้เพียงด้านเดียวเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความคิดและแสดงออกมาเป็นคำพูดได้นั้นจะเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเสมอ ซึ่งจะเห็นได้จากการขาดความครบถ้วน,ความสมบูรณ์และความเป็นหนึ่งเดียวกันในตัวมันเอง เมื่อท่านพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับโลก(คิดว่าท่านHesseน่าจะหมายถึงธรรมชาติ) ท่านจึงจำเป็นต้องแบ่งความจริงนั้นออกเป็นสังสารวัฐและนิพพาน เป็นภาพลวงตาและความจริง เป็นความทุกข์และความพ้นทุกข์ ท่านไม่สามารถที่จะทำอย่างใดได้ มันไม่มีวิธีอื่นสำหรับท่านผู้ต้องการสอนสิ่งๆนี้ แต่โลกทั้งที่อยู่ภายในและรอบๆตัวเรานั้นมันไม่ได้มีเพียงด้านเดียว ไม่มีใครหรือสิ่งใดที่เป็นหรือตั้งอยู่ในสังสารวัฐและนิพพานทั้งหมด ไม่มีใครที่เป็นนักบุญหรือคนบาปทั้งหมด สิ่งๆนี้ดูเหมือนจะเป็นแบบนี้เพราะว่าเราตกอยู่ในอิทธิพลของสิ่งลวงตาที่เรียกว่าเวลา ซึ่งมันไม่มีอยู่จริง เวลาไม่มีอยู่จริง,โกวินฑะ ฉันได้รับรู้ถึงสิ่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และถ้าเวลาไม่มีอยู่จริง เส้นที่แบ่งระหว่างโลกและความเป็นอนันต์ ระหว่างความทุกข์และความสุข ระหว่างความดีและความชั่ว ก็เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น...."

    "...A truth can only be expressed and enveloped in words if it is one-sided. Everything that is thought and expressed in words is one-sided, only half the truth; it all lacks totality, completeness, unity. When the Illustrious Buddha taught about the world, he had to divide it into Sansara and Nirvana, into illusion and truth, into suffering and salvation. One cannot do otherwise, there is no other method for those who teach. But the world itself, being in and around us, is never one-sided. Never is a man or a deed wholly Sansara or Nirvana; never is a man wholly a saint or sinner. This only seems so because we suffer the illusion that time is something real. Time is not real, Govinda. I have realized this repeatly. And if time is not real, then the dividing line that seems to lie between this world and eternity, between suffering and bliss, between good and evil, is also an illusion..."
    ....................................................................................

    เพื่อให้บางท่านที่สนใจได้มีโอกาศทำความเข้าใจมากขึ้นในข้อความด้านบน ผมจึงขอยกความอีกตอนขึ้นมา ดังนี้ครับ

    "... เขา(โกวินฑะ) ไม่เห็นหน้าของสิทธารัตถะเพื่อนเขาอีกต่อไป เขาเห็นหน้าผู้อื่น หลากหลายหน้า เป็นลำดับที่ยาวและต่อเนื่องเป็นกระแสของหน้าตานั้น เป็นร้อยเป็นพัน ซึ่งได้มาแล้วก็จากไป บ้างเห็นพร้อมกันหลายหน้าตาในเวลาเดียวกัน บ้างค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปและสร้างขึ้นมาใหม่ แต่หน้าตาทั้งหมดนั้นยังคงเป็นสิทธารัตถะ เขาเห็นปลาที่ตายโดยที่อ้าปากทรมาณอย่างมากและตาที่มืดสนิทของมัน เขาเห็นหน้าของเด็กน้อยที่เพิ่งเกิดและกำลังจะร้องไห้ เขาเห็นหน้าของฆาตกรที่กำลังเสียบมีดเข้าไปในร่างกายของผู้ชายคนหนึ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็เห็นนักโทษกำลังนั่งคุกเข่าและถูกตัดคอโดยเพชรฆาต เขาเห็นร่างที่เปลือยเปล่าของชายหญิงที่กำลังร่วมรักกัน เขาเห็นศพที่แข็ง,เย็นไร้ซึ่งชีวิต เขาเห็นหัวของพวกสัตว์ หมูป่า, จระเข้, วัว, นก เขาเห็นพระกฤษณะและพระอัคนี เขาได้เห็นรูปแบบหน้าตาทั้งหลายเหล่านี้นับเป็นพันๆความสัมพันธ์ บ้างช่วยเหลือกัน บ้างรัก บ้างเกลียด บ้างทำลายล้างกัน และในที่สุดก็เกิดใหม่ แต่ละคนนั้นร้ายกาจ, เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาและเจ็บปวดทรมาณ แต่ที่แสดงไปทั้งหมดนั้นก็ไม่ถาวร พวกเขายังไม่ตาย พวกเขาเพียงแค่เปลี่ยนแปลงเท่านั้น พวกเขาได้เกิดใหม่และเปลี่ยนหน้าตาไป มีเพียงเวลาเท่านั้นที่อยู่ระหว่างหน้าแต่ละหน้า รูปแบบหน้าตาทั้งหลายนี้มีทั้งหยุด เคลื่อนไหว เพิ่มจำนวน เวียนว่ายและไหลแยกจากกันบ้าง เข้ารวมกันบ้าง เหนือหน้าตาเหล่านี้มีบางสิ่งบางอย่างที่บางและยาว ไม่มีอยู่จริง แต่ยังคงปรากฎอยู่ พุ่งออกไปคล้ายแก้วหรือน้ำแข็งบางๆ คล้ายๆผิวหนังหรือเปลือกที่ใสๆ คล้ายๆหน้ากากที่ทำจากน้ำ และภายใต้หน้ากากน้ำอันนั้นเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าของสิทธารัตถะ..."


    "...He no longer saw the face of his friend Siddhartha. Instead he saw other faces, many faces, a long series, a continuous stream of faces - hundreds, thousand, which all came and disappeared and yet all seemd to be there at the same time, which all continually changed and renewed themselves and which were yet all Siddhartha. He saw the face of fish, of a carp, with tremendous, painfully opened mouth, a dying fish with dimmed eyes. He saw the face of a newly born child, red and full of wrinkles, ready to cry. He saw the face of a murderer, saw him plunge a knife into the body of a man; at the same moment he saw criminal kneeling down, bound, and his head cut off by an executioner. He saw the naked bodies of men and women in the postures and transport of passionate of love. He saw corpes stretched out, still, cold, empty. He saw the heads of animals, boars, crocodiles, elephants, oxen, birds. He saw Krishna and Agni. He saw all these forms and faces in a thousand relationships to each other, all helping each other, loving, hating and destroying each other and become newly born. Each one was mortal, a passionate, painful example of all that is transitory. Yet none of them died, they only changed, were always reborn, continually had a new face: only time stood between one face and another. And all these forms and faces rested, flowed, reproduced, swam past and merged into each other, and over them all there was continually something thin, unreal and yet existing, stretched across like thin glass or ice, like a transparent skin, shell, form, or mask of water and this mask was Siddhartha's smiling face..."
    .....................................................................................

    หวังว่าเพื่อนๆคงพอจะได้อะไรจากข้อความข้างต้นนี้บ้างไม่มากก็น้อยในเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาโดยเฉพาะเรื่องความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และ ความว่างในสุญญตานะครับ
    หากมีสิ่งใดที่ผมแปลคลาดเคลื่อนไปจากต้นฉบับ ผมน้อมรับคำติเตียนจากทุกคนนะครับ
     
  8. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    ผมไม่ได้คิดว่าจะสามารถทำให้ใครเปลี่ยนแปลงแนวคิดได้นะครับ ผมเพียงเรียกร้องอย่างเดียวคือ ให้ทุกหลักสูตรที่ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ได้เขียนขึ้นเพื่อสอนเด็กๆ ขอให้ท่านได้ส่งให้ทาง มหาเถรสมาคม หรือคณะสงฆ์ที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นกลาง ได้ตรวจสอบก่อน ว่าควรจะเอาไปสอนให้เด็ก ๆ หรือไม่ เท่านั้นเองครับ

    ลองคิดดูสิครับ ว่าเด็กๆ เหล่านั้นโตขึ้นมาจะโชคร้ายแค่ไหน ถ้า ถูกวางแนวคิดผิดๆ มาตั้งแต่แรก

    มันจะสุดโต่งเกินไปหรือเปล่า ถ้าสอนเขาว่า สิ่งที่วิทยาศาสตร์ หรือ สากล เขาพิสูจน์ไม่ได้ หรือไม่ยอมรับ มันไม่มีจริงๆ สิ่งนี้ควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นพื้นฐานของการไถลจากสิ่งที่ละเอี่ยดอ่อน สู่สิ่งที่หยาบขึ้น สู่โลกแห่งวัตถุเป็นใหญ่

    พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยปฏิเสธ แต่เรากลับปฏิเสธสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เก่งเกินพระพุทธเจ้ากันไปหมดแล้วหรือ มิหนำซ้ำ สิ่งที่ท่านางแนวทางไว้เพื่อการพิสูจน์หลักธรรมคำสอน เราก็บอกว่าสิ่งนั้นถูกดัดแปลงขึ้นมาใหม่ โดยที่เราไม่ได้รู้เลยว่าเขาทำอย่างนั้นจริงหรือเปล่า

    พระพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่การเปรียบเปรย เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติจริง ให้เห็นจริง ไม่ใช่เกิดจากการวิเคราะห์ แต่เห็นจริงด้วยสถานะของใจ

    คนที่ไม่เคยกินผลไม้ มานั่งวิเคราะห์ว่ามันน่าจะเปรี้ยว น่าจะหวาน น่าจะขม
    คนที่นั่นดูทีวีเจอคนที่ทนทุกข์ทรมาณ มานั่งวิเคราะห์ว่าเขาน่าจะเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ มันจะเข้าใจเขาจริงๆ สักแค่ไหน

    เรานั่งในห้องห้องนี้ ไม่เคยออกไปข้างนอก เราจะจินตนาการได้สักแค่ไหน มันก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่าข้างนอกมันมีอะไรได้หรอก ถ้าไม่เกิดออกไปดู

    ขอฝากไว้แค่นี้แหละครับ ไม่มีอะไรจะพูดกับท่านอีกแล้ว ผมเข้ามาที่นี่เพราะสงสารเด็กๆ เท่านั้น ไม่ได้อยากจะเอาชนะ อนาคตของเด็กคนหนึ่งๆ มันมีค่ามากสำหรับผม จะมีค่าเท่าเท่าไหร่สำหรับใครก็ตามแต่ ผมทำได้แค่นี้และก็คงผมพอแค่นี้

    สวัสดี
     
  9. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ขอตอบคุณ ชัยยุทธพล สักนิด

    การศึกษาต้องมีลำดับขั้น คือ จากพื้นฐานไปหาสูงสุด

    พื้นฐานของพุทธศาสนาก็คือ ศึกษาจากสิ่งที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้

    การศึกษาจากตำราก็ดี หรือจากคนอื่นก็ดี ก็ต้องอยู่ในหลักที่ว่า เราทุกคนต้องสัมผัสได้

    ซึ่งนี่จะเป็นการศึกษาที่ไม่มีทางผิดอย่างเด็ดขาด เพราะมีของจริงมาให้ศึกษา

    ถ้าเราศึกษาจากตำรา หรือจากคนอื่น โดยเราไม่สามารถสัมผัสได้ มันก็ยังเป็นแค่การคิดคำนวนเอา หรืออาจถึงขั้นการคิดเพ้อฝันเอา ซึ่งมันยังไม่ได้รับการพิสูจน์ด้วยจิตของเราเอง ซึ่งมันก็ยังอาจจะผิดพลาดได้

    ซึ่งสิ่งที่คุณพูดมาเกือบทั้งหมดนั้น ล้วนเข้าข่ายการคิดเพ้อฝันเอาทั้งสิ้น ดังนั้นมันจึงมีทั้ข้อโต้แย้งและคำถามต่อไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น เพราะเป็นการคิดเพ้อฝันเอา ดังนั้นอาตมาจึงยังไม่ขอตอบคำถามเหล่านั้น

    อาตมาจะขอเข้าสู่แก่นหรือหัวใจซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหลาย ถ้าเข้าถึงแก่นนี้ได้ ปัญหาทั้งหลายนั้นก็จะหมดสิ้นไปเอง ซึ่งเรื่องนั้นก็คือ เรื่อง "ทุกสิ่ง(ไม่เว้นสิ่งใด) เป็น อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร หรือไม่ใช่ตัวตนที่เป็นอมตะ อย่างเช่น ไม่มีจิตหรือวิญญาณที่เป็นอมตะ ที่จะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ เป็นต้น)"


    และจุดที่จะนำไปสู่เรื่อง อนัตตานี้ก็คือ ความเข้าใจว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น" ถ้ายอมรับจุดนี้ ก็จะเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตาได้ทันที แต่ถ้าไม่ยอมรับ ก็จะไม่มีทางเข้าใจได้ว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา

    แต่คุณก็ยังไม่ตอบมาตรงๆเลยว่า ยอมรับหรือไม่? เอาแต่อธิบายเลี่ยงไป

    สรุปว่า เราต้องมาเริ่มต้นกันที่พื้นฐานของทุกสิ่ง คือมาค้นหากันว่า จะมีอะไรบ้างที่เป็นอัตตา โดยอาศัยการสังเกตุจากสิ่งที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้ ถ้าพบว่ามีสิ่งที่เป็นอัตตา เราก็จะยอมรับว่ามีสิ่งที่เป็นอัตตา แต่ถ้าไม่พบ เราก็ไม่ยอมรับว่าจะมีสิ่งใดเป็นอัตตา เมื่อเรื่องนี้กระจ่างแล้ว จึงค่อยมาสนทนากันในเรื่องปลีกย่อยหรือรายละเออียดกันอีกที แต่ถ้าไม่กระจ่างก็คงพูดกันคนละเรื่องแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2010
  10. 111222333

    111222333 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +601
    ว่าจะไม่เข้ามาแล้วเชียว อดไม่ได้

    ท่านเป็นพระที่ถืออัตตาที่สุดเลย รู้ตัวไหม?
     
  11. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    นี่แสดงว่า คุณ ชัยยุทธพล คงไม่เคยศึกษาหลักกาลามสูตรและเรื่องอจินไตยมาก่อนเลย เป็นแน่ จึงได้เป็นเช่นนี้

    อีกทั้งก็ไม่เห็นจะบอกเลยว่า ยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น"

    เพระไม่ว่าคุณจะ "ยอมรับ" หรือ "ไม่ยอมรับ" ความเห็นหรือความเชื่อของคุณ(เรื่องมีวิญญาณออกจากร่างกายที่ตายแล้วได้)มันก็จะผิดหมด

    ตอบมาก่อนว่ายอมรับหรือไม่ยอมรับ แล้วค่อยมาสนทนากันใหม่...
     
  12. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,633
    เข้าใจว่าเขาเขียนแบบอนุมานเอาเอง แบบคิดเอง เออเอง นักวิชาการบางคนอาจจะสรุปเขียนเนื้อหาวิชาการแบบ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ก็แสดงว่าไม่มี แสดงว่าไม่มีความเข้าใจหลักการสูงสุดของพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งและรู้จริง ต่างชาติเขาค้นคว้าเรื่องจิตวิญญาณ โดยเขามาบวชเป็นพระในไทยแล้วศึกษาค้นคว้าปฏิบัติธรรมสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน จนรู้และเข้าใจ จนยอมรับในหลักการของพระพุทธศาสนา ปัจจุบันก็เป็นอาจารย์อยู่มหาวิทยาลัยในเนเธอร์แลนด์
     
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    คุณ marine24 ก็คงยังไม่เคยศึกษาหลักกาลามสูตรและหลักอจินไตยมาก่อนเป็นแน่

    ลองไปศึกษามาให้เข้าใจก่อน แล้วช่วยตอบคำถามที่นี้มาทีว่า...

    ยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยเท่านั้น?

    แล้วค่อยมาสนทนากันใหม่
     
  14. พรหมรักษ์

    พรหมรักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +26
    ยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยเท่านั้น?

    ข้าพเจ้าขอตอบว่าใช่ ข้าพเจ้ายอมรับในข้อนี้...
    (เป็นคำตอบของข้าพเจ้าเอง)..แล้วไงต่อ..
     
  15. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่ครับ ลองศึกษาจากมิลินทปัญหาดูจะช่วยให้เข้าใจได้มากขึ้น

    -------------------------------------------------------
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    พระเจ้ามิลินท์ ตรัสถามว่า ดูก่อน พระนาคเสน สิ่งที่เกิดแต่กรรม แต่เหตุ แต่ฤดูมีให้เห็น ให้คิด ให้เข้าใจได้.แต่ สิ่งที่ไม่เกิดแต่กรรม แต่เหตุ แต่ฤดู อย่างหนึ่งอย่างใด มีบ้างหรือไม่.?

    พระนาคเสน ทูลตอบว่า ขอถวายพระพร มี.....ได้แก่ อากาศ ๑ นิพพาน ๑

    ม. กล่าวถึงอากาศ ข้าพเจ้าเห็นด้วย แต่พระนิพพานนั้น ไม่น่าจะเป็นอย่างที่พระคุณเจ้าว่าเพราะพระพุทธพจน์มีอยู่ชัดเจน ว่าพระนิพพาน มี "มรรค" เป็นเหตุให้เกิด หรือ "มรรค" เป็นเหตุกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หรือพระคุณเจ้ากำลังกล่าวตู่พระพุทธพจน์ เมื่อไม่รู้ ก็จงบอกว่าไม่รู้.!

    น. ขอถวายพระพร พระพุทธพจน์ มีอยู่เช่นนั้นจริง แต่หาได้หมายความว่า พระนิพพานเกิดแต่เหตุ คือ "มรรค" ไม่ "มรรค" นั้น...ทำพระนิพพานให้แจ้ง.แต่ ไม่อาจแสดง "เหตุ-ที่อาศัยเกิด" แห่งพระนิพพานได้ เพราะ พระนิพพาน เป็นอสังขตธรรม คือ ธรรมอันไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือรู้ไม่ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย.จะพึงรู้พึงเห็นได้ ก็เฉพาะแต่พระอรหันต์ ผู้มีจิตบริสุทธิ์ สงบ และ ละเอียด เท่านั้น.

    ม. ธรรมดา สิ่งต่าง ๆ ย่อมมีที่ตั้งเช่น นา เป็นที่ตั้งแห่งข้าวเปลือก ดอกไม้ เป็นที่ตั้งแห่งกลิ่น. หากพระนิพพาน ไม่มีที่ตั้ง..........พระนิพพาน ก็เป็นอันไม่มี.! ผู้ที่พยายามกระทำพระนิพพานให้แจ้ง...ก็ไร้ประโยชน์เปล่า.?

    น.ขอถวายพระพร พระนิพพาน มีอยู่จริง แต่ หาที่ตั้งแห่งพระนิพพาน ไม่มี.! อุปมาดังไฟ....ปกติ ไม่ปรากฏที่ตั้งแต่เมื่อบุคคลเอาไม้มาสีกัน...ไฟก็เกิดขึ้นได้. พระนิพพาน ก็เช่นเดียวกัน คือ ไม่ปรากฏที่ตั้งแต่เมื่อบุคคลมีความเพียร บำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้แกล้วกล้าแล้ว พระนิพพาน ก็เกิดมีขึ้นได้ เช่นไฟนั้น.

    ม.พระคุณเจ้าว่าอย่างนี้....ชอบแล้ว.

    (นิพพานปัฏฐานปัญหา)
    ข้อความบางตอนจาก....มิลินทปัญหา : ปัญญาพระนาคเสน
    ---------------------------------------------------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2010
  16. พรหมรักษ์

    พรหมรักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +26
    เรียนท่าน ถิ่นธรรม "ธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่"
    ข้อนี้ข้าพเจ้าเองก็เชื่อและยอมรับ
    แต่ธรรมข้อนี้(อากาศ นิพพาน)อยู่นอกเหนือจาก"ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา"
    ในคำถามของท่าน เตชปญโญ
    แต่ธรรมที่ท่าน ถิ่นธรรมกล่าวมานั้นเป็นสิ่งที่"ไม่มีเกิดไม่มีดับ"
    อยู่นอกเหนือเหตุ-ผล
    ฉะนั้น สิ่งที่ข้าพเจ้าตอบไปคือเฉพาะ"ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา"เท่านั้น..นับถือ
     
  17. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    น่าเป้นห่วงอนาคตของพระศาสนา
    แค่เริ่มต้นก็ถูกสอนให้เข้าใจผิด
    แล้วถ้ามีคนมาถามเค้า แล้วเค้าก็จะถ่ายทอดแบบผิดๆให้กันต่อไปเรื่อยๆ
    อย่างนี้ดีไหม
    การจะบอกว่าตามลำดับขั้นนั้น หมายถึงเริ่มที่ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ทาน ศีล ภาวนา
    เริ่มที่ความเข้าใจเบื้องต้นว่า พระพุทธองค์เป็นใคร ทำไมท่านถึงละทิ้งลาภสักการะ เพื่ออะไร มีสาวกที่สำคัญเป็นใคร อย่างไร
    ทำไมพระพุทธศาสนาจึงเจริญรุ่งเรือง ทำไมจึงเสื่อม
    สอนไปสิขั้นหยาบทำไมต้องนับถือศีล5 และศีล5คืออะไร
    ทำไมต้องมีพระ พระต่างจากฆราวาสตรงไหนอย่างไร
    นี่คือความหยาบไปสู่ละเอียด จากตื้นไปสู่ลึก
    ไม่ใช่สอนจากผิดไปถูก
    ถ้าเริ่มต้นที่บวกเลขผิดแล้วจะเอาไปเข้าสูตรคำนวนรายวิชาอื่นๆท่านจะบอกว่าสอนให้เขาทำถูกได้หรือ
    เหมือนการติดกระดุมถ้าเม็ดแรกผิด เม็ดสุดท้ายท่านว่ามันจะถูกได้หรือ
    แล้วท่านที่เรียบเรียงตำราน่ะมาอ้างว่าคนนั้นไม่รู้ยังงั้น ไม่รู้ยังงี้
    ตัวท่านเองรู้อะไรบ้าง มากน้อยแค่ไหน รึเจตนาของท่านไม่บริสุทธิ์ต่อพระพุทธศาสนา
    ถ้าหากท่านเป็นอริยบุคคล ผมก็คงล่วงเกินไป แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่ใช่
    นี่ไม่ใช่การตำหนิ หรือประจาร เพราะท่านประจารตัวเองมานานแล้ว
    แต่ข้าพเจ้าเพียงเตือนสติ ชี้ให้เห็นบางมุมที่ท่านอาจจะลืมดู หรือไม่ได้พิจารณา
    อาจจะพิจารณาแต่ไม่ละเอียดถี่ถ้วนเท่าที่ควร
    จริงอยู่การจะสอนเด็กเล็กๆที่ไม่ประสาอะไรเลยให้เข้าใจนิพพาน ไตรลักษณ์ อภิธรรมมันเป็นไปไม่ได้
    แต่ท่านคงลืมไปว่าพระัพุทธองค์ทรงเคยแสดงธรรมแก่พระยสะ
    คงไม่ต้องบอกว่าธรรมเทศนาในครั้งนั้นมีชื่อว่าอะไร
    แต่ถ้าท่านไม่เข้าใจก็คงบอกได้เลยว่าหากไม่เข้าใจ
    ท่านจะสอนให้คนไม่รู้ได้เข้าใจในสิ่งที่ท่านไม่เข้าใจได้อย่างไร
    ขอให้ใช้สติ ปัญญา เพื่ออนาคตของพระศาสนา และผู้จะมาสืบทอด
    ไม่ใช่เอาอัตตา อหังการ์ มมังการ์ มาเทใส่กัน เรื่องแค่นี้ท่านยังทำไม่ได้ท่านจะบวชไปเพื่ออะไร
    หรือท่านจะบอกว่าท่านเป็นหนอน ปลวกที่คอยแทะตำราให้มันผุพัง
    แล้วทำให้ผู้อื่นที่สนใจมาหยิบจับศึกษาไขว้เขวไปเพียงเพราะกิเลสของท่าน
    ผลของกรรมที่ทำให้บุคคลเข้าใจพระศาสนาผิดไปนั้นมีผลเทียบเท่าสังฆเพส
    ขอย้ำไม่ได้ดูถูกหรือประจาร
    แต่ถ้าท่านอ่านแล้วเกิดโทสะหรือไม่พอใจ
    ขอให้เข้าใจด้วยว่านั่นแหละคือ ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา
    อย่าทำตนเหนือคนอื่นเพียงเพราะตนโกนหัวนุ่งผ้าเหลือง
    อย่าเหลิงเพราะมีคนกราบใหว้ให้ความเคารพ
    ดูให้ดีโอปนะยิโกคือน้อมเข้ามาใส่ตน
    สอนตนก่อน ก่อนจะสอนผู้อื่น
    เอาละ ขออภัยที่ทำให้อ่านกันยืดยาว
    แค่ตามอ่านมานานแล้วก็คิดว่าถึงเวลาเสียทีที่จะออกมาแสดงความคิดเห็น
    ก็เท่านั้น
    ขอให้ทุกท่านโชคดี
    ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
    และขออนุโมทนาในอโหสิกรรมที่ไม่ถือโทษกับข้าพเจ้า
    สาธุ
     
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เมื่อยอมรับว่าทุกสิ่ง ต้องเกิดมาจากเหตุปัจจัย ก็ต้องยอมรับว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยนี้ ไม่ใช่ตัวตน(ไม่ใช่อัตตา)

    ขอตอบคุณพรหมรักษ์ว่า..

    คำว่า อัตตา หรือ ตัวตน ก็หมายถึง ตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร หรือเป็นอมตะ ที่เป็นตัวตนของตนเองโดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆปรุงแต่งขึ้นมา

    คำว่า ไม่ใช่ตัวตนก็หมายถึง ไม่ใช่ตัวตนทื่เป็นตัวตนของตนเองโดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆปรุงแต่งขึ้นมาดังนั้นมันจึงไม่เที่ยงแท้ถาวร(อนิจจัง) ต้องทนอยู่(ทุกขัง)

    สิ่งที่ควรพิจารณาที่สุดก้คือ จิต หรือวิญญาณของเราเอง ว่ามันก็เป็น อนัตตา คือมันต้องอาศัยร่างกายเพื่อเกิดขึ้นมา ถ้าไม่มีร่างกายที่ยังเป็นๆ มันก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ และมันก็มีลักษณะ ไม่เที่ยง และต้องทนอยู่ด้วย

    นี่คือการกล่าวอย่างสรุป ถ้าต้องการจะศึกษาอย่างละเอียด ก็ศึกษาได้จากหนังสือ ฉันคืออะไร? จากเว็บนี้ www.whatami.net
     
  19. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    น่าสังเวชใจ กับนักอยากบวช

    จิตมิอาจสัมผัสได้ในสิ่งหยาบ กลับมาอธิบายสิ่งละเอียด
     
  20. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    รีบไปหาพระอุปัชฌาย์ แล้วให้ท่านสึกให้ ก่อนที่จะไปกันใหญ่
    มันกู่ไม่กลับแล้ว เป็นบุตรเทวทัตไปแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...