ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "พญานาคจะมีเรื่องทะเลาะกันก็เพราะเรื่องกามนี้เป็นหลัก คดี ที่เกิดขึ้นมักจะเป็น เรื่องเหล่านี้ ผู้ปกครองต้องตัดสินเกี่ยวกับ เรื่องผัวๆ เมียๆ ตลอดเวลา"

    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    แท้จริงแล้วพญานาคก็คืออดีตมนุษย์ จึงต่างต้องวนเวียนตกเป็นทาสของกิเลสมาร อยู่ในทั้งสามเรื่องนี้เช่นเดียวกับมนุษย์ คือ เรื่องกิน กาม และเกียรติ

    เรื่องอาหารการกินของพญานาคใน กำเนิดโอปปาติกะ เกิดขึ้นจากบุญซึ่งตนเอง ทำไว้ในสมัยเป็นมนุษย์ ส่วนบริวารคือพวก ที่เกิดแบบสังเสทชะ เกิดในน้ำสกปรก ใน เหงื่อไคล ก็จะอาศัยอาหารการกินที่เกิด จากบุญของเจ้านายรวมกับบุญของตน รวมถึงการบริโภคสมบัติ ซึ่งแต่ละชิ้น ก็เกิดด้วยบุญ ใครจะแย่งชิงกัน หรือลักขโมย กันไม่ได้ เพราะบุญของผู้นั้นคุ้มครองสมบัติ ของตนเอาไว้ ปกครองกันแบบบุญญาธิปไตย

    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ในเรื่องของเกียรติหรือศักดิ์ศรีก็แย่งกัน ไม่ได้เช่นเดียวกัน มีการแบ่งพื้นที่เขตแดนใน การดูแลตามกำลังบุญของตน หรือตามแต่ เจ้าเมืองนั้นจะมอบหมายให้ตามกำลังบุญ ไม่ มีการรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงพื้นที่กัน ยกเว้น พวกกำเนิดต่ำกว่า คือกำเนิดแบบอัณฑชะและชลาพุชะ บางครั้งจะมีการแย่งชิงพื้นที่หรือ หากินข้ามเขตกันบ้างเป็นครั้งคราว

    เรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ ก็แบ่งกันตาม กำลังบุญ และตามกำเนิดสูงต่ำ จึงไม่มีการ ทะเลาะกันเรื่องตำแหน่งและเกียรติยศ ไม่ เหมือนมนุษย์ซึ่งยังแย่งชิงกัน ทั้งตำแหน่ง หน้าที่และการงาน
    ส่วนเรื่องกามนั้น พญานาคจะมีเรื่อง ทะเลาะกันก็เพราะเรื่องกามนี้ เป็นหลัก คดีที่เกิดขึ้นมักจะ เป็นเรื่องเหล่านี้ ผู้ปกครองต้อง ตัดสินเกี่ยวกับเรื่องผัวๆ เมียๆ ตลอดเวลา ดังเช่นคดีตัวอย่าง อีกคดีหนึ่ง เกิดขึ้นที่เมืองของ เจ้าแม่สองนาง

    เรื่องมีอยู่ว่า บริวารของ เจ้าแม่สองนาง ล้วนแต่เป็นหญิง ส่วนหนึ่งจะมีวิบากกรรมเรื่อง ไร้คู่ครอง อีกส่วนหนึ่งสามารถมีคู่ครองได้ แต่ เมื่อมีคู่ครองแล้วต้องย้ายไปอยู่กับคู่ครอง ซึ่ง อยู่อีกเมืองหนึ่ง ปล่อยให้อยู่ในเมืองเดียวกัน ไม่ได้ เพราะเมืองของเจ้าแม่สองนางนั้น มีแต่ ผู้หญิงล้วน ถ้ามีผู้ชายเข้ามาอยู่ ก็อาจจะเกิด ปัญหาเรื่องชู้สาวขึ้นมาได้ง่าย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ครั้งหนึ่งบริวารหนุ่มของสุวรรณมธุรนาคราชตนหนึ่ง มีนิสัยเจ้าชู้ นาคหนุ่มนั้นรู้ ดีว่าเมืองเจ้าแม่สองนาง เต็มไปด้วยนางนาค มาณวิกา สวยๆ สาวๆ แรกรุ่นดรุณีทั้งนั้น จึงหาเวลาว่างตอนออกจากเวรหน้าที่ของตน ออกไปว่ายน้ำนอกเมือง คอยหาโอกาสจีบ นางนาคของเมืองเจ้าแม่สองนาง ขณะที่เธอ ออกมาว่ายน้ำเล่น

    มีนางนาคตนหนึ่งออกมาว่ายน้ำเล่น ตามลำพัง ด้วยความคึกคะนองของนาคหนุ่ม ก็โผเข้าใส่ทันที เอาหางเกี่ยวกระหวัดรัดร่าง นาคสาว กระตุกเบาๆ เป็นเชิงทักทาย นาง นาคน้อยสะดุ้ง สั่นสะท้านไปทั้งตัว เมื่อถูก ลวนลามเธอตกใจร้องลั่น

    "จะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ อย่านะ อย่า ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ" ร้องไปดิ้นไป สะบัดตัวไปมา จนน้ำกระจาย เจ้านาคหนุ่มหัวเราะอย่างสบ อารมณ์ ในความไม่ประสีประสาของนาคสาว

    "โอ้ สาวน้อย แสนงาม อย่าดิ้นเลย ไม่ ได้ทำให้เจ็บสักหน่อย หยอกเล่นนิดเดียวน่านะ อย่าโกรธนะ รักกันนะ พี่รักเธอตั้งแต่แรกเห็น นะ" นาคหนุ่มค่อยๆ คลายรัดนาคสาว ยิ้ม อย่างประจบเอาใจ

    "สวยจัง น่ารักจัง ตัวนุ้มนุ่ม หอมด้วย" พูดพลางเบียดกระแซะเข้ามาหานาคสาว ผู้อ่อนต่อโลก

    "ไปว่ายน้ำเล่นทางโน้นดีกว่า" นาคสาว ว่ายน้ำตามไปอย่างเคลิบเคลิ้ม ในทีท่าและคารมของนาคหนุ่มรูปงาม เธอปักใจเชื่อว่า นาคหนุ่มนี้รักตนจริงๆ

    เมื่อถึงถ้ำใต้น้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ในที่ ลับหูลับตา นาคหนุ่มก็ใช้ความเจนจัดชั้นเชิง เจ้าชู้กับสาวนาค จนเธอไม่สามารถควบคุม อารมณ์และความต้องการของธรรมชาติใน ตัวตนได้

    สัมพันธ์สวาทอันลึกซึ้งที่เธอได้รับคือ ความประทับใจครั้งแรกในชีวิต แต่สำหรับ นาคหนุ่ม มันคือประสบการณ์ของลูกผู้ชาย นาค ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความสำเร็จ และความภาคภูมิใจในชั้นเชิงเจ้าชู้ของเขา ที่ สามารถทำให้นาคสาวตกลงปลงใจได้โดย ง่ายดาย
    หลังจากประสบความสำเร็จไปหนึ่งราย แล้วก็ติดใจ นาคหนุ่มจอมเจ้าชู้จึงมาเลียบๆ เคียงๆ เพื่อหาเหยื่อสาวนาคมาณวิการาย ใหม่ต่อไป

    จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็ได้มาพบกับนาค มาณวิกาสาวรายใหม่ ที่ออกมาว่ายน้ำเล่นนอก เมืองตามลำพัง เธอช่างสวยงามเป็นพิเศษ นาคหนุ่มเห็นแล้ว ไม่รีรอเลย ตรงเข้าไปจีบ โดยใช้วิธีการเดิม คำพูดเดิมๆ ที่เคยใช้ได้ผล มาแล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน สำเร็จโดยไม่ยากเลย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    นาคหนุ่มยิ่งหมกมุ่นมัวเมาในสัมผัสอัน ละมุนของนางนาคสาวยิ่งขึ้นไปอีก แอบมา เมียงมอง เพื่อหาเหยื่อรายอื่นๆ ต่อไป พอ ถึงรายที่สาม วิธีเดิมไม่ได้ผลเสียแล้ว ต้อง ใช้วิธีใหม่ โดยแผ่พังพานใหญ่ แสดงลีลา ให้ดูสง่างาม เข้มแข็ง พร้อมที่จะปกป้องเธอ ทุกเวลา
    นาคหนุ่มมาดักเจอนาคสาวทุกครั้ง ไม่ซ้ำรายกันเลย เพราะรู้กำหนดเวลาในการ เข้าเวรและออกเวรที่ไม่ตรงกันของนาคสาว ในเมืองเจ้าแม่สองนาง ส่วนตัวนาคหนุ่มที่มา ได้ตามเวลานัดหมายกับสาวนาคไว้ เพราะ อาศัยแลกเวรกับเพื่อนนาคหนุ่มด้วยกัน

    ในสังคมของนาคสาวมาณวิกานั้น เมื่อ อยู่รวมกันก็เหมือนมนุษย์อย่างนี้ แหละ จะคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ คุยไปคุยมา ก็วกมาคุยถึงนาคหนุ่ม อีกเมืองหนึ่ง ว่าได้ไปเจอหนุ่มนาค เมืองนั้นนะ รูปหล่อ พูดเพราะ พูด ว่ายังงั้น พูดว่ายังงี้นะ คุยไปคุยมา เอ๊ะ ทำไมถึงพูดเหมือนกัน คำเดียว กัน ประโยคเดียวกัน ลีลาแบบเดียว กัน เอ๊ะ มันยังไงกันนี่ ยังกับตัวตนเดียวกันยังไงยังงั้นเลย น่าสงสัย ก็ได้แต่สงสัยเท่านั้นไม่มี โอกาสพิสูจน์
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    วันหนึ่งมีการปรับเวรในการ รับหน้าที่ นาคสาวมาณวิกาสองนาง ที่เคยมีความสัมพันธ์กับนาคหนุ่ม เจ้าชู้ในช่วงต่างเวลากัน จึงได้มี โอกาสมาพักพร้อมกับนาคสาวอีก ตนหนึ่ง นาคสาวตนแรกนัดเวลาเจอ กับนาคหนุ่มอยู่ก่อนแล้ว ก็มาตามวันเวลาที่ นัดหมาย โดยไม่รู้ว่าอีกนางนาคหนึ่งก็ปรับ เวลาเปลี่ยนเวรมาหยุดในวันเดียวกันพอดี
    ด้วยอำนาจความรักและความคิดถึง นาคหนุ่มนั้น เธอจึงคิดว่าน่าจะออกไปเที่ยว นอกเมืองดู เผื่อว่าจะเจอสุดที่รักของตนบ้าง เมื่อออกไปนอกเมืองบาดาล ก็บังเอิญเจอ จริงๆ เจอนาคหนุ่มสุดที่รัก แต่ว่าตอนนี้ นาคหนุ่มสุดที่รักกำลังพลอดรักกับเพื่อน นาคสาวของเธอเองอยู่ในถ้ำใต้น้ำ ซึ่งเป็นที่ พลอดรักประจำของตน ภาพบาดตาบาดใจอย่างนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่การทรยศหักหลัง เสียแรงที่มาด้วยความคิดถึง ถ้างั้นก็เสียแรงเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ลุยให้สมแค้น หายคิดถึงไปเลย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    นาคมาณวิกาสาว พุ่งตัวเข้าชนร่างสองร่าง ที่กำลังรัดกันกลมเป็นเกลียว แรงฤทธิ์หึงนี่มันสุดๆ จริงๆ ร่างสองร่างหลุดกระเด็นออกจากกัน ยังไม่ทันตั้งตัว ก็โดน กัดซ้ำจมเขี้ยว นาคหนุ่มตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก สุดที่รักเก่ารายที่หนึ่ง กับสุดที่รักใหม่รายที่สอง กัดกันเป็นพัลวัน นาคสาวที่อยู่ ในบริเวณนั้นได้ยินเสียงก็เข้ามาห้าม จากหนึ่งเป็นสอง เป็นสาม มาเป็นหมู่เลย มาช่วยกันห้าม แต่ห้ามไม่ไหว

    ในที่สุดหัวหน้าบริวารต้องเข้ามาห้ามเอง ควบคุมตัวนาคสาวทั้งสอง พร้อมด้วยนาคหนุ่มตัวต้นเหตุไปสอบสวน จึงได้รู้ว่า สาเหตุมาจากความหึงหวง นาคหนุ่มเจ้าชู้เที่ยวหลอกเขาไปทั่ว บรรดานาคสาวมาณวิกาตัวอื่นๆ ที่เคยถูกหลอก และมีสัมพันธ์กับนาค หนุ่มนี้จำได้ จึงรุมด่าว่าต่างๆ นานา

    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เจ้าแม่สองนาง จึงตัดสินบริวารของตนว่า ให้นางนาคทั้งสองตัวที่ทำร้ายกัน โดนกักบริเวณ โดยตนหนึ่งให้ไปจำศีลอยู่ที่ถ้ำใต้น้ำ ส่วนอีกตนหนึ่งให้ไปจำศีลอยู่ที่โพรงดินใกล้ตลิ่งริมแม่น้ำโขง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ส่วนนาคหนุ่ม เจ้าแม่สองนางไม่สามารถตัดสินได้ เพราะอยู่ต่างเมือง จึงควบคุมตัว ไปส่งให้กับสุวรรณมธุรนาคราชตัดสิน

    สุวรรณมธุรนาคราช สืบสวนแล้ว เห็น ว่านาคหนุ่มนั้นทำความผิดร้ายแรง เนื่อง จากตั้งใจทำผิดศีลข้อ ๓ หลายครั้ง พร้อม ทั้งพิจารณาเห็นว่า บุญในตัวของนาคหนุ่ม หมดแล้ว เพราะหน้าตาผิวพรรณหมองคล้ำ ซึ่งเป็นอาการของการหมดบุญ

    จึงตัดสินให้ส่งตัวไปยมโลก โดยแจ้ง ไปที่หัวหน้าเขตที่เป็นกุมภัณฑ์ หัวหน้าเขต จึงแจ้งไปที่เจ้าหน้าที่ที่เป็นพญานาค ซึ่งช่วย ราชการพิเศษ เป็นกำลังเสริมในยมโลก มา รับตัวนาคหนุ่ม ไปลงโทษในยมโลกต่อไป โดยให้ไปปีนต้นงิ้ว ถูกอีกาปากเหล็กจิก ถูกสุนัขปากเหล็กกัด จนกระทั่งตายแล้วฟื้น ฟื้นแล้วกลับตายอีก ทนทรมานเช่นนี้ นานเป็นล้านๆ ปี นับตามเวลาในโลกมนุษย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2007
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "การตัดสินต้องพิจารณาจากจุตินิมิตของนาคตนนั้นด้วยว่ามี ลักษณะเศร้าหมองหรือไม่ ต้องประกอบไปด้วย

    ๑. ความผิด ๒. กำลังจะหมดบุญ มีจุตินิมิตเกิดขึ้น"
    การลงโทษของพญานาคในลุ่มแม่น้ำ โขงนั้น มีหลายวิธี ตามลำดับดังนี้

    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    วิธีที่ ๑ สำหรับโทษเบา ให้ไปรับเวร มากขึ้นเป็นพิเศษ เช่น ให้เพิ่มเวลาในการตรวจ เข้าเวรยาม หรือเพิ่มเวลาในการเข้ารับใช้ หัวหน้าเขต จึงมีเวลาพักน้อยลง

    ดังคดีตัวอย่างคือ ครั้งหนึ่งนาคบริวาร ตนหนึ่ง มัวแต่แสดงความรักกับภรรยานาค สาวที่วิมานของตน จนลืมเวลาเข้าเวร ไม่ได้ มาเข้าเวรตามหน้าที่ ที่ตนเองต้องรับผิดชอบ หัวหน้าบริวารจึงทำโทษ โดยการเพิ่มเวลา ในการเข้าเวรมากขึ้น

    อีกคดีหนึ่ง นางนาคมาณวิกาสาวสวย ตนหนึ่ง เพลิดเพลินในการรับประทานอาหาร มากเกินไป ด้วยความเมาในรสอาหาร จึง เผลอหลับติดต่อกันเป็นเวลานานหลายวัน ไม่ได้ไปเข้าเวร หัวหน้าบริวารจึงสั่งลงโทษ โดยการเพิ่มเวลาในการเข้าเวรมากขึ้น
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    วิธีที่ ๒ สำหรับโทษหนักขึ้นมาอีก ให้ไปเฝ้าสถานที่ หรือพระพุทธรูป หรือ สถูปโบราณ พญานาคที่ถูกทำโทษจะต้องทำ ตามอย่างเคร่งครัด และห้ามหนีโดยเด็ดขาด เพราะเป็นจารีตที่ถูกกำหนดขึ้น ของสังคม พญานาค

    ถ้านาคที่ถูกทำโทษไม่ทำตามจะต้องถูก ขับออกจากเมือง ส่วนผู้ปกครองจะมอบหมาย ให้หัวหน้าเขตหรือผู้ช่วยหัวหน้าเขตคอย ตรวจตราเป็นระยะๆ ระหว่างที่ถูกกักบริเวณ โดยจะให้เจ้าหน้าที่คอยส่งอาหารให้ จนกว่า จะพ้นโทษ วิธีการส่งอาหารคือ พญานาค ที่มีหน้าที่ส่งอาหารจะคอย เนรมิตอาหารให้กับพญานาค ที่กำลังถูกลงโทษนั้น


    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    วิธีที่ ๓ สำหรับผู้ที่มีโทษ หนักขึ้นไปอีก จะถูกลงโทษให้ เข้าไปจำศีล หรือกักบริเวณ ที่ให้ทำเช่นนี้ เพื่อให้สงบสติ อารมณ์และสำนึกผิด การที่ จำศีลเช่นนี้ ผู้ที่ถูกลงโทษจะ ถูกบังคับให้อดอาหาร ถ้าหาก สามารถสงบสติอารมณ์ได้ มี จิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน ก็สามารถ อยู่ได้จนครบกำหนด ลักษณะการอยู่เช่นนี้ ก็คล้ายๆ กับกบ หรือปลาจำศีลในฤดูแล้ง หลัก การคือการเคลื่อนไหวร่างกาย จะต้องลดน้อยลง เป็นผลให้ การเผาผลาญอาหารลดต่ำลง สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องกิน อะไรตลอดฤดูร้อน

    แต่ถ้าหากว่า ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ ของตนเองได้ ธาตุไฟก็จะแตกหรือตายเพราะอดอาหารในที่สุด การจำศีลเพื่อสำนึกผิดนี้ ต่างจากการจำศีลเพื่อเอาบุญ ของพญานาคราชโอฆินทรและบริวารที่ไปจำพรรษาที่แม่น้ำ โขง การจำศีลเพื่อเอาบุญนั้น นาคแต่ละตนสามารถกินอาหารได้ ถ้าต้องการกินและไม่ถูกกักบริเวณ
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ส่วนการจำศีลเพื่อให้ดวงแก้ว ดึงดูด มหาสมบัติเกิดขึ้นนั้น เป็นการจำศีลแบบ ระยะสั้น บางครั้ง ๑ วันบ้าง ๓ วัน บ้าง ๕ วันบ้าง ๗ วันบ้าง
    วิธีที่ ๔ เป็นการลงโทษที่ร้ายแรงที่สุด สำหรับนาคที่ทำความผิดมาก เช่น คดีนาค จอมเจ้าชู้ที่ผ่านมา การตัดสินต้องพิจารณา จากจุตินิมิตของนาคตนนั้นด้วยว่า มีลักษณะเศร้าหมองหรือไม่ ต้องประกอบไปด้วย





    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=187 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ๑. ความผิด ๒. กำลังจะหมดบุญ มีจุตินิมิต เกิดขึ้น
    ถ้าจุตินิมิตชัดเจนก็จะต้องถูกส่งตัวไป ยมโลก โดยจะแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่นาค ซึ่งไป ช่วยกิจการพิเศษที่ยมโลก ในสายนาคอีกทีหนึ่ง (เจ้าหน้าที่ยมโลกโดยทั่วๆ ไป มาจากกุมภัณฑ์ แต่บางครั้ง เจ้าหน้าที่สายกุมภัณฑ์ไม่สะดวก ต้องส่งเจ้าหน้าที่นาคไปช่วย ในกรณีพานาคไปลงโทษ) หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ยมโลกก็จะพาไปหาพญายมราช พญายมราชจะตัดสินบุญบาป ไปตามหลักเกณฑ์ของยมโลกต่อไป ซึ่งแน่นอนทั้งหมดนี้ย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจกฎแห่งกรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2007
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "พญานาคในลุ่มแม่น้ำโขง จะรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกแล้วเกิดปีติ จึงพ่นดวงไฟ หลากสีขึ้นมาเป็นพุทธบูชา"

    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    บั้งไฟพญานาค มีเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำ โขงเท่านั้น เพราะพญานาค ที่ลุ่มแม่น้ำโขงเป็น พวกมีสัมมาทิฏฐิ นับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เมื่อถึงวันออกพรรษา พญานาคในลุ่มแม่น้ำ โขง จะรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลก แล้วเกิดปีติ จึงพ่นดวงไฟหลากสี ขึ้นมาเป็นพุทธบูชา จากดวงใจที่ใสบริสุทธิ์กลั่นมาเป็นดวงไฟที่ สดสวยงดงาม ผ่านสายน้ำขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่มนุษย์ทั้งสองฝั่งน้ำโขง ต่างก็จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยไปพร้อมๆ กัน

    ส่วนพญานาคใต้แม่น้ำคงคา ใต้แม่น้ำ เนรัญชรา ซึ่งเป็นถิ่นเกิดของพระพุทธศาสนา ในยุคต้นๆ พญานาคเหล่านั้นก็เคยก็พ่นบั้งไฟ มาก่อนเหมือนกัน และพญานาคบางตนใน ครั้งนั้นยังตั้งความปรารถนาที่จะเป็น พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตด้วยแต่ในยุคหลัง พระพุทธศาสนาถูกรุก รานจากศาสนาอื่น มนุษย์ทั้งหลายจึงอพยพ ย้ายถิ่นฐานบ้าง เปลี่ยนศาสนาบ้าง กระแส กรรมต่างๆ จากมนุษย์ล้วนส่งผลถึงนาค อย่างเต็มที่มนุษย์ที่มีความเคารพบูชาเทพเจ้า มี ใจผูกพันในเทพเจ้าต่างๆ หวังจะยึดเอา เทพเจ้าเป็นที่พึ่งของตน แต่เทพเจ้าเหล่านั้น ไม่ได้เป็นเนื้อนาบุญที่แท้จริง ถึงใครจะทุ่มเท สักการะบูชามากมายเพียงใด เขาเหล่านั้น ก็ได้ความปีติเพียงเล็กน้อย บุญก็เกิดน้อย เมื่อมนุษย์เหล่านั้นละโลกแล้วจึงได้เกิดเป็น แค่ภุมเทวาในสายต่างๆ ซึ่งเป็นเทวดาชั้นต่ำ ระดับล่างประเภทเดียวกับพระภูมิเจ้าที่ และอาศัยอยู่ในแถบนั้น เมื่อเกิดเป็นภุมเทวาก็ยัง ติดนิสัยมิจฉาทิฏฐิ และความเชื่อแบบเดียว กับเมื่อครั้งที่ตนยังเป็นมนุษย์
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ดังนั้นความเป็นอยู่และการปกครองจึง เปลี่ยนแปลงไปตามความเชื่อของตน กลาย เป็นการปกครองประเภทศรัทธาธิปไตย คือ ถือเอาความเชื่อเป็นใหญ่ พวกเทวดาศรัทธา ธิปไตยเหล่านี้ก็พยายามบังคับให้เทวดาตน อื่น ๆ เชื่อตามตน บางพวกก็ตั้งป้อมเป็นศัตรู กับเทวดาที่ไม่ได้นับถือเช่นเดียวกับความเชื่อ ของตนอีกด้วย

    เทวดา คืออดีตมนุษย์ ตอนเป็นมนุษย์ หากมีความเชื่ออย่างไร เมื่อตายไปได้เป็น เทวดาก็ยังมีความเชื่อเช่นนั้นอยู่อีก เทวดาที่ นับถือเทพเบื้องบนคนละองค์ ก็ทะเลาะเบาะแว้งระรานกัน เพราะต่างมีความเชื่อว่าเทพ ที่ตัวนับถืออยู่สูงศักดิ์กว่า แต่ตัวเองก็ไม่เคย เห็น และไม่เคยเข้าถึง เทพที่ตนเองนับถือก็ ไม่เคยลงมาเยี่ยมทักทาย มันเป็นเพียงความ เชื่อเลื่อนลอยเท่านั้น

    แต่ความเชื่อเลื่อนลอยนั้น ถูกทึกทัก จากพวกมิจฉาทิฏฐิให้กลายมาเป็นความเชื่อ จริงจัง เทวดารวมถึงพญานาคที่นับถือพระพุทธศาสนา ในถิ่นนั้นก็พลอยถูกระราน ไปด้วยเมื่อเป็นมนุษย์พวก ที่ต่างความเชื่อก็ระรานกัน ครั้นตายไปเป็นเทวดา พวกที่มีความเชื่อต่าง กัน ก็ระรานกันต่อ เทวดาทั้งหลายที่นับถือ พุทธศาสนารวมถึงพญานาคที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ด้วย จึงจำใจต้องย้ายถิ่นอพยพหนีความรำคาญ แต่มิใช่เพราะความกลัว มาอยู่แถบแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นอาณาเขตนับถือพระพุทธศาสนา

    ปัจจุบัน พญานาคซึ่งถือกำเนิดแถบ แม่น้ำคงคา และแม่น้ำเนรัญชราต่างมิได้ถือ กำเนิดมาจากถิ่นที่มีชาวพุทธอยู่อาศัยอีกต่อไป จึงไม่ได้พ่นบั้งไฟเหมือนสมัยหลังพุทธกาล ยุคต้นๆ เพราะต่างมีความเชื่อในเทพเจ้าที่ เลื่อนลอย ไม่สามารถทำให้เกิดปีติ จึงไม่มี พลังพอที่จะกลั่นใจตนเองให้เกิดเป็นดวงไฟ สวยงามหลากสีได้

    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ปัญหาของเทวดาในเขตแม่น้ำคงคานั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่ตนยังเป็นมนุษย์ ถ้าใคร ต้องการจะแก้ไข ก็ต้องเข้าไปช่วยแก้ไขกันตั้ง แต่เขายังเป็นมนุษย์ โดยการบำเพ็ญตนเป็น กัลยาณมิตรนำธรรมะแผ่ขยายไปให้ถึงเขา ให้ เขามีสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นก่อน ให้หันมานับถือ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งก่อน

    ตลอดลำแม่น้ำโขงจะมีเมืองเล็กเมือง น้อย เมืองใหญ่ ของเหล่าพญานาคเกิดขึ้น เรื่อยๆ เป็นกลุ่มๆ ขยายจากโพนพิสัยไป อำเภอบึงกาฬ อำเภอรัตนวาปี อำเภอศรีเชียงใหม่ ซึ่งแต่ละกลุ่มล้วนนับถือพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น โดยมีเมืองของโอฆินทรนาคราช เป็นเมืองหลวง เมืองของเจ้าแม่สองนางเป็นเมืองบริวาร ปกครองโดยนางพญานาคี ที่ในอดีตเป็นธิดากษัตริย์ เมื่อฤดูเข้าพรรษามาถึง พญานาคทั้ง หลาย มีโอฆินทรนาคราชและสุวรรณมธุรนาคราชเป็นผู้นำ ได้พาบริวารออกจากวิมาน มาจำศีลที่ใต้แม่น้ำโขง บริเวณที่จำศีล บาง ส่วนก็เป็นโพรงดิน บางส่วนก็เป็นโพรงน้ำ บางส่วนก็เป็นถ้ำใต้น้ำ ต่างก็อยู่รวม ๆ กัน และจะสมาทานอุโบสถศีล ในช่วงเข้าพรรษา ถือพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัดไม่ยุ่งเกี่ยวกับ กามคุณเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2007
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=578 bgColor=#ed6855><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    "พญานาคบางตน ขณะจำศีลทนคิดถึงนางนาคมาณวิกาไม่ได้ ตบะแตกกลางคัน ต้องกลับวิมานก่อนกำหนดก็มี"
    การออกมาจำศีลของพญานาคนั้น ออกมาทั้งนาคเพศหญิง นาคเพศชาย แต่ โดยส่วนใหญ่ พญานาคเพศชายจะออกมา จำศีลมากกว่า และมักสามารถจะอยู่ได้ตลอด พรรษามากกว่า สาเหตุเพราะโดยปกตินาง นาคมาณวิกามีหน้าที่คอยร้องเพลง ร่ายรำ ระบำ ปรนนิบัติในวิมานของพญานาคเป็น ประจำ จึงติดนิสัยรักสวยรักงาม เต็มไปด้วย ราคะจริต ไม่ค่อยมีความอดทนที่จะอยู่รักษา ศีลให้ตลอดพรรษา

    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    นาคมาณวิกาส่วนมาก จะออกมาจำ พรรษาเฉพาะวันโกนกับวันพระเท่านั้น จึง ไม่มีกำลังพอที่จะพ่นบั้งไฟพญานาค (กำลัง ในที่นี้หมายถึงกำลังแห่งมหาปีติ) ทำให้บั้ง ไฟพญานาคที่ปรากฏในวันออกพรรษานั้น เป็นของพญานาคเพศชายพ่นขึ้นมาเป็นส่วน ใหญ่ ของพญานาคเพศหญิงก็มี แต่เป็นส่วน น้อย

    ในแต่ละปี พญานาคจะออกมาจำศีล จำนวนไม่เท่ากัน บางปีก็มาก บางปีก็น้อย ขึ้น อยู่กับว่า พญานาคทั้งหลายยังเพลิดเพลิน ในการบริโภคกามมากน้อยเพียงใด ยังสนุก สนานในการร้องรำทำเพลง หลงชื่นชมทิพยสมบัติของภพพญานาคขนาดไหน บางตน ขณะจำศีลทนคิดถึงนางนาคมาณวิกาไม่ได้ ตบะแตกกลางคันต้องกลับวิมานก่อนกำหนด ก็มี

    ขณะจำศีล พญานาคจะมีพุทธานุสติ เป็นอารมณ์ พวกที่เคยเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเทโวโรหณะ ก็จะระลึกถึงเหตุการณ์ ในวันนั้น แล้วจะบอกเล่าให้ผู้ที่มา ในภายหลัง ให้ระลึกถึงตามไปด้วย
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=right border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=188 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    โอฆินทรนาคราช กับสุวรรณมธุรนาคราช ทั้งบิดา และบุตรได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันเทโวโรหณะทั้งคู่ ตั้งแต่ปีนั้น เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อถึงฤดูเข้าพรรษา จึงเกิดกุศลศรัทธาแรงกล้า สามารถจำศีลได้ ตลอด ๓ เดือน ตั้งแต่วันเข้าพรรษา จนกระ ทั่งถึงวันออกพรรษา พญานาคจะยึดถือการ นับวันเวลาเข้าและออกพรรษาเอาตามปฏิทิน ของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นปฏิทิน เดียวกับที่เจ้าหน้าที่เขตของเทวดา ส่งบัญชี บุญไปให้ท้าวจตุโลกบาลตรวจสอบ และตรง กับวันออกพรรษาของลาว (วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ตามปฏิทินลาว คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ของปฏิทินไทย) ในวันนั้น พระ จันทร์จะกลมโตใสสว่างกว่าวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ของไทย

    พญานาคจะพร้อมใจกันกับบริวารพ่นบั้ง ไฟตอนกลางคืน ทั้งๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จลงจากดาวดึงส์ในตอนสายของวันออก พรรษา หรือขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ที่เป็น เช่นนี้เพราะ

    ประการที่ ๑ เทวดาและพญานาค ทั้งหลายจะยึดวันเวลาตามจันทรคติ จึงใช้ ดวงจันทร์ เป็นเครื่องกำหนดรู้

    ประการที่ ๒ ดวงจันทร์วันเพ็ญนั้น มีอิทธิพลต่อจิตใจของพญานาคมาก เมื่อ พญานาคได้เห็นดวงจันทร์เต็มดวง ก็จะทำให้ มีกำลังปีติมาก มากพอที่จะพ่นบั้งไฟพญานาคออกมา

    ประการที่ ๓ ในคืนเดือนเพ็ญเป็นคืน ที่มนุษย์และเทวดาสามารถรับกระแสบุญ จากพระนิพพานได้อย่างเต็มที่
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=188 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    หากสังเกตอย่างใกล้ชิดจะพบว่า บาง พื้นที่บริเวณกลางลำแม่น้ำโขง เมื่อก่อนเคย มีบั้งไฟบังเกิดขึ้นในวันออกพรรษา เป็นระยะ ทางต่อเนื่องกันยาวหลายกิโลเมตร แต่ภาย หลังหายไปบางส่วน ทั้งนี้เพราะพญานาครุ่น เก่าๆ ส่วนหนึ่งละโลกไปตามอายุขัย หรือบาง แห่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีบั้งไฟ แต่บัดนี้กลับมามี ก็เพราะได้มีพญานาครุ่นใหม่มาเกิดในบริเวณ นั้น และมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยตามนาค บริเวณอื่นๆ ส่วนบางแห่งเป็นเพียงสระน้ำ ใหญ่ก็มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้น เพราะใต้สระน้ำนั้นมีพญานาคไปจำศีลอยู่เป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม พญานาคที่สามารถพ่นบั้งไฟ ได้ จะเป็นเฉพาะพวกกำเนิดในโอปปาติกะกับ พวกสังเสทชะเท่านั้น และจะต้องเป็นพวกที่ จำศีลอย่างเคร่งครัดในช่วงเข้าพรรษาด้วย

    มนุษย์ที่มาคอยดูทั้งสองฝั่งก็มีผลต่อ การพ่นบั้งไฟพญานาคด้วย เพราะถ้าปีไหนมี มนุษย์ไปดื่มเหล้าเมายามาก และต่างพากันส่ง เสียงดังเป็นการรบกวน ก็จะทำให้พญานาค ขาดสมาธิในการกลั่นใจให้เกิดเป็นบั้งไฟ พญานาค ให้เป็นดวงไฟสวยๆ ผ่านท้องน้ำ ขึ้นไปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนท้องฟ้า ปีนั้นบั้งไฟก็จะเกิดขึ้นน้อย และเกิดไม่ตรง ตามเวลา ซึ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=right border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=188 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    แต่ถ้าปีไหนมนุษย์ไปรวมกันด้วยความ สงบ มีการสั่งสมบุญต่างๆ ตั้งแต่เช้าของวัน ออกพรรษา เช่น มีการใส่บาตร เจริญภาวนา รักษาศีลและพร้อมใจกันสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ประสานงานร่วมใจกันบูชาพระสัมมา สัมพุทธเจ้าระหว่างมนุษย์และพญานาค ปีนั้น พญานาคก็จะเกิดจิตปีติยินดี สมาธิจะตั้งมั่น เป็นพิเศษ และสามารถสร้างเหตุอัศจรรย์อื่นๆ ยิ่งกว่าบั้งไฟตามมาอีกด้วย

    บั้งไฟพญานาค ไม่ใช่ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติหรือสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น แต่ เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ เกิดด้วย แรงปีติ มหาปีติของพญานาค ซึ่งเจริญ พุทธานุสติบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นการร่วมชุมนุมกันเป็นมหาสมาคม เพื่อสร้างบุญใหญ่ประจำปีของเหล่าพญานาค ทั้งสองแผ่นดินนั่น
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "ความมีสิริมงคล อันเป็นเครื่องรองรับมหาโชคมหาลาภทั้งหลาย ให้แก่ตนเอง ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะไปยังแห่งหนใดก็จะได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่อง เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาตลอดไป"
    อานิสงส์อันยิ่งใหญ่ซึ่งเหล่ามนุษย์ได้ร่วมกับพญานาคบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขง คือ ความมีสิริ มงคล อันเป็นเครื่องรองรับมหาโชคมหาลาภ ทั้งหลายให้แก่ตนเอง ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะไปยังแห่งหนใดก็จะได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่อง เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาตลอดไป

    <TABLE id=Table_01 height=500 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผู้ที่มนุษย์และเทวดาปกปักรักษาก็จะเป็นทางมาแห่งทรัพย์สมบัติมหาศาล สามารถเข้าถึงฐานะแห่งความเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ และเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในได้โดยง่ายในภพนี้ เขาเหล่านั้นย่อมมีโอกาสที่จะศึกษาเรียนรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต แม้ลึกลับเพียงไหนก็สามารถ เข้าใจได้โดยง่าย เพราะเป็นผู้มีศรัทธา อันประกอบด้วยปัญญาอย่างลึกซึ้ง เป็นผลให้ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องดีงาม เมื่อถึงคราว ละโลกจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ และมีรัศมีกายสว่างไสวกว่าเทวดาเหล่าอื่นๆ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขณะเป็นมนุษย์ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติใดๆ ศัตรูหมู่ภัยย่อมครอบงำไม่ได้ จะแวดล้อมด้วย คนดี อุปสรรคต่างๆ ในชีวิตจะมลายหายสูญ ไปโดยง่าย จะปลอดภัยจากสัตว์ที่มีพิษร้าย ต่างๆ ที่สำคัญคือ ย่อมไม่มีภัยทางน้ำอันเกิด จากสัตว์ร้ายทั้งหลาย เพราะได้รับการคุ้มครอง จากพญานาคผู้เป็นเทพเจ้าแห่งลำน้ำ




    (บทความและเรื่องราวทั้งหมดนี้คัดลอกมาจากเว็บไซต์กัลยาณมิตร)
    http://kalyanamitra.org/news/information/index.php?option=com_content&task=view&id=23&Itemid=2
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ขอเชิญดาวโหลดมิวสิกวิดีโอ"เพลงเคยได้ยินบ้างไหม"(บั้งไฟพญานาค) ได้ฟรีที่นี่ครับ

    <TABLE id=Table_01 height=375 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​

    เพลง เคยได้ยินบ้างไหม
    http://video.aol.com/video-detail/-/768573009

    [​IMG] http://www.dmc.tv/mmdownload.php?file=/DMC_music/491014.wmv

    เพลงสื่อสำคัญ , เพลงบั้งไฟพญานาค(อังกฤษ) , เบื้องหลังของบทเพลง เคยได้ยินบ้างไหม


    ที่มา http://www.dmc.tv/programs/DMC_music/files/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2007
  7. เด็กวัดเก่า3

    เด็กวัดเก่า3 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +19
    ปลง ! ทุกวันได้แต่ทำใจ
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ฝนถล่มภาคใต้ของจีนอย่างหนักจากอิทธิพลพายุกรอซา

    [​IMG]

    ปักกิ่ง 7 ต.ค.
     
  9. badboy_cyber

    badboy_cyber รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +173
    น่ากลัวจัง แต่ปลงแล้วอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
    เราก็พยายามปรับตัวให้ได้และต่อสู้กับมันเหมือนบรรพบุรุษของเรา
    เมื่อ 1,000 กว่าปีก่อน ครับ
     
  10. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    วันนี้คุณ Bassate ได้บอกมาว่า ได้รับข้อมูลมา (เมื่อคืนนี้เอง) ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ขนาดรุนแรง ในที่ๆ ไม่เคยเกิดมาก่อน กับที่ๆ คนไม่คิดว่าจะเกิด คนจะตายเยอะเพราะไม่คิดว่าที่นี้จะเกิดได้ เวลาไม่ได้กำหนดแน่นอน แต่คิดว่าเร็วๆ นี้

    (คาบข่าวมาบอกอีกตามเคย)[​IMG]
     
  11. ปกรณ์

    ปกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +3,761
    ถ้ามีรายละเอียดมากกว่านี้ คงจะดีมาก ๆ เลยครับ เพราะต้องการใช้เป็นข้อมูลสำหรับการเตือนภัย กับกลุ่มที่คิดว่าพอจะเตือนได้ ถ้าเป็นไปได้ผมคงต้องความกรุณาล่ะครับ ขอทราบรายละเอียดที่ว่านี้ครับ ขอบพระคุณครับ
     
  12. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>ผู้ประกอบเนือง ๆ ซึ่งมรณสติ ย่อมได้อานิสงส์ดังนี้

    1. ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาทเป็นนิตย์
    2. ได้ความสำคัญในภพทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี
    3. ละความใคร่ในชีวิตได้
    4. เป็นผู้ติเตียนบาป
    5. ไม่ยากไปด้วยการสะสม
    6. ปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน
    7. ย่อมเสพคุ้นในอนิจจสัญญา แม้ทุกขสัญญา และอนัตตสัญญา ก็ย่อมปรากฏตามแนวอนิจจสัญญา
    8. ย่อมเป็นผู้ไม่กลัวไม่หลง เมื่อใกล้ตาย
    9. หากไม่ได้สำเร็จอมตธรรมในอัตตภาพนี้ เมื่อตายย่อมมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

    เพราะเหตุนั้น ผู้มีปัญญาพึงทำความไม่ประมาทในมรณสติ อันมีอานุภาพมากอย่างนี้ทุกเมื่อเทอญ

    จบธรรมโอสถในหัวข้อเรื่อง มรณสติ แต่เพียงนี้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : อาจารย์สุคนธ์ สุ่นศิริ
     
  13. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ต้องเชิญคุณ Bassate มาตอบแล้ว [​IMG]
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ฝนอุกกาบาต

    [​IMG]

    [​IMG]

    บทความจากคุณ chayutt

    เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.49 ที่ผ่านมานี้ ผม(chayutt)ได้ไปถวายเงินผ้าป่าสร้างพระ (รอบที่2) กับท่าน .ธรรมรังสี ที่วัดสระแก จ.อยุธยา ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ภัยภิบัติที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วนั้น(สึนามิ) ท่านเองก็ทราบมาก่อนเหมือนกัน และมันก็ได้เกิดขึ้นไปแล้วจริงๆ​

    แต่ที่ท่านบอกว่าท่านอกสั่นขวัญแขวนก็คือ ภัยภิบัติที่กำลังจะมาถึงในอนาคตนี้ต่างหากหละ ท่านบอกว่าท่านเห็นลูกไฟมากมายตกลงมาจากท้องฟ้า เป็นห่าลูกไฟห่าใหญ่ ท่านก็พาคนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้าไปหลบในถ้ำได้อย่างปลอดภัย ส่วนคนที่วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงเข้าป่าไปนั้น ก็ถูกลูกไฟตกใส่ เผาไหม้ร้องโอดโอยทั้งคนทั้งป่า ไหม้หมดเลย

    Chayutt<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_373938", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    [​IMG]
    ที่มา http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=57543
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2007
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    น้ำมันอาจขึ้นระดับ $100 ปีหน้า ปัจจัยดันราคายังไม่อ่อนตัวลง <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">8 ตุลาคม 2550 10:05 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="right" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="5">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="300"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top" width="300"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เอเอฟพี - ราคาน้ำมันโลกทะยานขึ้นกว่าสองเท่าตัวแล้ว จากที่เคยอยู่แถวๆ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในปี 2003 และบรรดานักวิเคราะห์บอกกันด้วยว่า พลังต่างๆ ซึ่งคอยดันให้มันขึ้นสูงนั้นยังไม่มีทีท่าจะอ่อนตัวลงเลย โดยมีความเป็นไปได้ที่น้ำมันจะเข้าสู่ระดับ 100 ดอลลาร์ในปีหน้า

    ราคาน้ำมันโลกยังคงเคลื่อนไหวอยู่แถบๆ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากไต่ขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้งในนครนิวยอร์ก และกรุงลอนดอน ภาวะซัปพลายตึงตัว, ความวิตกด้านภูมิรัฐศาสตร์, ความกังวลเรื่องพายุเคลื่อนเข้าสู่เขตผลิตน้ำมัน, ตลอดจนอัตราเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ยังแข็งแรง เหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้ราคา “ทองคำสีดำ” ลอยละลิ่วค้างฟ้า

    เจฟฟรี รูบิน นักเศรษฐศาสตร์แห่ง ซีไอบีซี เวิลด์ มาร์เกตส์ ถึงขั้นบอกว่า ปัจจัยเรื่องความสามารถทางเทคโนโลยีจะทำให้มีซัปพลายใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดเพิ่มสูงขึ้นอยู่เรื่อยๆ และเรื่องที่ว่าเมื่อราคาแพงขึ้นก็ย่อมกลายเป็นตัวจำกัดดีมานด์ความต้องการใช้น้ำมัน เหล่านี้เคยเป็นเหตุผลข้อโต้แย้งสำคัญ ทำให้ไม่คาดกันว่าน้ำมันจะขึ้นสู่ระดับ 100 ดอลลาร์ได้ ทว่าเวลานี้ ข้อโต้แย้งทั้ง 2 ประการนี้กำลังถูกมองเมินไปอย่างรวดเร็ว

    “ผ่านไปแล้วเรื่องที่พวกยักษ์ใหญ่น้ำมันออกมาแสดงความมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่า ความยอดเยี่ยมทางเทคนิคของพวกเขาจะสามารถนำเอาแหล่งน้ำมันดิบสำรองมหึมาที่ยังไม่ถูกค้นพบเลยให้ออกมาใช้กันได้ ตรงกันข้ามสิ่งที่พวกเราได้ยินกันจากสภาน้ำมันปิโตรเลียมแห่งชาติสหรัฐฯ ก็คือ คำเตือนที่ว่าน้ำมันกำลังจะหมดสิ้น และราคาจะต้องไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ”

    มีนักวิเคราะห์บางคนแสดงความเซอร์ไพรส์ ที่ราคายังทะยานเอาๆ ทั้งที่ตามภูมิปัญญาซึ่งเชื่อถือกันมานั้น เมื่อราคาแพง ดีมานด์ความต้องการใช้ก็ควรจะลดต่ำลง และกลับไปส่งผลให้ราคาขยับต่อไปไม่ไหว

    แต่ รูบิน อธิบายว่า การที่จีนและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ยังคงมีอัตราเติบโตอันแข็งแรงนั่นแหละ กลายเป็นตัวชดเชย ทำให้ดีมานด์ที่อาจชะลอลงไปของพวกชาติอุตสาหกรรมไม่ค่อยมีความหมาย

    เขาแจกแจงว่า อันที่จริงราคาซึ่งแพงขึ้น ทำให้พวกยุโรปตะวันตกที่เห็นพิษภัยของการปล่อยก๊าซคาร์บอน จะทำให้โลกร้อนอยู่แล้ว มีการลดการใช้น้ำมันลงมา ทว่า การลดลงดังกล่าวเป็นส่วนนิดเดียวในดีมานด์ของทั่วโลก โดยที่การใช้น้ำมันของโลกในปัจจุบัน ไม่ได้ถูกบงการจากพวกผู้บริโภคในบรรดาชาติอุตสาหกรรมอีกแล้ว หากแต่เป็นผู้บริโภคในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งต่างกำลังแปรเปลี่ยนสู่ระบบอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วยิ่ง

    ตามรายงานของซีไอบีซี จีนใช้น้ำมันเป็นกว่า 2 เท่าตัวของที่ตนเองผลิตได้อันอยู่ในระดับ 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ชาติกำลังพัฒนาโตเร็วอื่นๆ ในเอเชีย อย่างเช่น อินเดีย, มาเลเซีย และไทย ก็กำลังใช้น้ำมันพุ่งขึ้นมากเช่นกัน

    ทางด้าน เบน ทะโซคาโนส นักวิเคราะห์แห่งสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ ชี้เพิ่มเติมว่า เวลานี้ตลาดยังคงกังวลว่าจะเกิดวิกฤตทางการเมืองในชาติผู้ผลิตน้ำมันรายหลักๆ อย่างเช่น อิหร่าน

    “ถ้าเกิดมีวิกฤตทางการเมืองขึ้นมาจริงๆ อย่างเช่น ในอิหร่าน หรือซัปพลายน้ำมันเกิดสะดุดติดขัด ตลาดน้ำมันก็ย่อมอ่อนเปราะต่อการติดขัดนั้นหรือความกลัวว่าจะเกิดการติดขัดขึ้นมา” เขาบอก “ดังนั้น มันจึงเป็นไปได้ที่จะทะลุหลัก 100 ดอลลาร์ในปีหน้า”

    บาร์ต เมเลค แห่ง บีเอ็มโอ แคปิตอล มาร์เกตส์ ก็เห็นว่า แรงกดดันเรื่องราคายังไม่ได้ลดถอยลงเลย และตลาดจะยิ่งตึงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

    “แน่นอนเลยว่าเราสามารถขึ้นไปมากกว่า 90 ดอลลาร์ได้ในปีหน้า ตัวอย่างเช่น ถ้าหากเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่างขึ้นในตะวันออกกลาง”
     
  16. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917

    พญานาคจะพร้อมใจกันกับบริวารพ่นบั้ง ไฟตอนกลางคืน ทั้งๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จลงจากดาวดึงส์ในตอนสายของวันออก พรรษา หรือขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ที่เป็น เช่นนี้เพราะ

    ประการที่ ๑ เทวดาและพญานาค ทั้งหลายจะยึดวันเวลาตามจันทรคติ จึงใช้ ดวงจันทร์ เป็นเครื่องกำหนดรู้

    ประการที่ ๒ ดวงจันทร์วันเพ็ญนั้น มีอิทธิพลต่อจิตใจของพญานาคมาก เมื่อ พญานาคได้เห็นดวงจันทร์เต็มดวง ก็จะทำให้ มีกำลังปีติมาก มากพอที่จะพ่นบั้งไฟพญานาคออกมา

    ประการที่ ๓ ในคืนเดือนเพ็ญเป็นคืน ที่มนุษย์และเทวดาสามารถรับกระแสบุญ จากพระนิพพานได้อย่างเต็มที่
    <TABLE cellPadding=5 width=200 align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table_01 height=188 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    หากสังเกตอย่างใกล้ชิดจะพบว่า บาง พื้นที่บริเวณกลางลำแม่น้ำโขง เมื่อก่อนเคย มีบั้งไฟบังเกิดขึ้นในวันออกพรรษา เป็นระยะ ทางต่อเนื่องกันยาวหลายกิโลเมตร แต่ภาย หลังหายไปบางส่วน ทั้งนี้เพราะพญานาครุ่น เก่าๆ ส่วนหนึ่งละโลกไปตามอายุขัย หรือบาง แห่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีบั้งไฟ แต่บัดนี้กลับมามี ก็เพราะได้มีพญานาครุ่นใหม่มาเกิดในบริเวณ นั้น และมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยตามนาค บริเวณอื่นๆ ส่วนบางแห่งเป็นเพียงสระน้ำ ใหญ่ก็มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้น เพราะใต้สระน้ำนั้นมีพญานาคไปจำศีลอยู่เป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม พญานาคที่สามารถพ่นบั้งไฟ ได้ จะเป็นเฉพาะพวกกำเนิดในโอปปาติกะกับ พวกสังเสทชะเท่านั้น และจะต้องเป็นพวกที่ จำศีลอย่างเคร่งครัดในช่วงเข้าพรรษาด้วย


    จากความฝัน ครั้ง ที่แล้ว จนกลายมา การนั่งธรรมะ ที่ถ้ำเขาทะลุ....
    จากความคิดคนึง ถึง เหล่าพี่น้อง

    ฝากบอกปู่ ย่า ด้วยครับ มีโอกาส จะเข้านั่งธรรมะ อีกครั้ง ครับ ( คิดว่า เจ้าน้องนาง คงให้กลับมาสร้างบารมี ต่อ ..)

    เมื่อเช้าก่อนรุ่ง ระลึก ถึง เมื่องเก่า ที่มีการสร้างเป็นตึกใหญ่ ผมกำลังนั่งอยู่หน้าประตู สักพักมีงูใหญ่ กำลังยื่นลำตัวออกมาจากผนังกำแพง

    ในจิต มีการใช้ภาษา มคธ สักพักงู นั้น เลื้อยกลับเข้ากำแพง ขณะที่ งูเลื้อยกลับ กำแพงด้านนอก มีลักษณะ เหมือนมี moter เลื่อนปิด แต่กำแพง ด้านใน เปิดให้เห็นเป็นถ้ำ มีโพรงเข้าใด้

    ตื่นมา แผ่ เมตตา ให้ อาบน้ำ สวดมนต์ทำวัตรเช้า ..แฮะๆ น่าจะมี มิติ เปิด ให้ ชม ..

    อนุโมทนา ครับ ยาย

    <TABLE class=tborder id=post727664 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] 27-09-2007, 06:42 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #819 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>ยายผีป่า<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_727664", true); </SCRIPT>
    สมาชิก กิตติมศักดิ์
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 10:22 PM
    วันที่สมัคร: Nov 2005
    อายุ: 39 ปี
    ข้อความ: 3,141 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 1,309 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 22,269 ครั้ง ใน 2,890 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2558 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_727664 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->พาลูกแก้วเมียขวัญไปเยือนดินแดนท้าวมหานาโค(ที่โขงเจียม แดนของท่านล่ะค่ะ)

    ทวดยายเล่าให้ฟังว่า

    เศียรท่านใหญ่มากๆ บริวารเยอะจริงๆ

    ใหญ่ขนาดว่าอยู่สี่ประเทศอินโดจีนนี่ล่ะค่ะ นี่แค่เศียรนะคะ แล้วถ้ารวมขนดจรดหางจะแค่ไหน


    ตะกี๊คุยกับน้องใบตองว่า ต่อไปแม่จะเรียกหนูว่าแม่นางปุ๊ชินะลูก

    อยากทราบว่าแม่นางปุ๊ชิคือใคร เกี่ยวข้องอะไรกับยายผีป่าและเมืองระหิงสา ที่ล่มไปเม่อสองพันกว่าปีที่แล้ว

    โปรดรอติดตามสคริปพิเศษค่ะ

    จะทำขาย หาเงินทำบุญให้ท่านดีไหมนี่

    เอ...หรือว่าจะเขียนลงในนิตยสารพลังจิต.คอมดีคะ

    หรือว่าเก็บไว้เป็นความลับ รู้กันเฉพาะไม่กี่คน

    (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ น่าจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ไม่มีความลับใดๆ ในโลกที่คนจะปกปิดไว้ได้ )
    <!-- / message --><!-- sig -->
    ____________________________________________________________
    ขอเชิญจองแหวนพญานาคเรือนเงิน ขนดสื่อกายสิทธิ์ฯ-โครตเหล็กไหลกายสิทธิ์บรมจักรพรรดิ์พลังเสาร์ ๕ และมงคลวัตถุต่างๆ จากยายผีป่า ได้ที่ห้อง มาบูชาวัตถุมงคลจากยายผีป่า ได้ทั้งของมงคลและกุศลด้วยจ๊ะ
    ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐมเป็นพระประธาน ณ ศาลาสำนักสงฆ์ถ้ำทะลุ
    เออ!...ตามมาทำไม..ถ้าไม่รักยายผีป่า?!!
    กระทู้ทะลุโลก ตามหาคุณยายที่รักคะ

    รับสมัครสมาชิกรายปีนิตยสารพลังจิต.คอมชำระเงินภายใน ๑๕ ตุลาคม ปีนี้ จะได้รับของมงคลพิเศษจากยายผีป่าค่ะ
    [​IMG]
    <!-- / sig --></TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] </TD><TD class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right><!-- controls --><TABLE id=table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left><!-- Start Post Groan Hack --> <!-- End Post Groan Hack --></TD><TD><!-- Start Post Thank You Hack -->[​IMG] <!-- End Post Thank You Hack -->[​IMG] <!-- / controls --></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- post 727664 popup menu -->



    คิดว่า คงไม่มี อะไร ที่น่าเป็น ห่วงสถานการณ์ หลายๆด้าน ...แต่ อะไร ที่ไม่แน่นอน คือความ ไม่แน่นอน ....

    ช่วงนี้ มีแต่ เหล่า นาคราช ท่านมาในมิติ นิมิต ที่ยินดี ต่อ การแสดง เนื่องในโอกาส ออกพรรษา ...แต่ ในขณะเดียวกัน

    จะมีอะไร แอบบแฝง มาด้วยหรือไม่ ...เหล่า ...มนุษย์ เดินดิน อย่าประมาท ...

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Falkman [​IMG]
    วันนี้คุณ Bassate ได้บอกมาว่า ได้รับข้อมูลมา (เมื่อคืนนี้เอง) ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ขนาดรุนแรง ในที่ๆ ไม่เคยเกิดมาก่อน กับที่ๆ คนไม่คิดว่าจะเกิด คนจะตายเยอะเพราะไม่คิดว่าที่นี้จะเกิดได้ เวลาไม่ได้กำหนดแน่นอน แต่คิดว่าเร็วๆ นี้

    (คาบข่าวมาบอกอีกตามเคย)[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    เมื่อ ท่าน ไม่เชื่อ ก็ อย่า ลบหลู่ เน้อ....
     
  17. dekart

    dekart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +203
    เสียวจัง.............
    ทำความดีไปเรื่อยๆ และกัน...............
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ขอบคุณธรรมเที่ยง ****

    เดินทางตรง ... ตรงสัจจะธรรม .... ทำสัจจะประจำ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ยมกปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง

    [​IMG]

    ๑.ทรงแสดงปาฏิหาริย์เหาะให้เห็น หมู่พระญาติก็สิ้นทิฐิมานะ ถวายบังคมพร้อมกัน


    [​IMG]

    ตลอดเวลา ๖ ปีกว่า คือ นับแต่เสด็จออกบวช ตรัสรู้ และประกาศพระศาสนาในแคว้นมคธ จนมีพระสาวกและคนนับถือมาก พระพุทธเจ้ายังมิได้เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ เมืองประสูติของพระองค์เลย ภาพที่เห็นนี้จึงเป็นตอนพระพุทธเจ้าเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรก เพื่อโปรดพระประยูรญาติตามคำทูลอาราธนาของพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา

    ด้วยพระทัยปรารถนาที่จะได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงอยู่ในฐานะหนึ่ง คือ พระราชโอรส เมื่อทรงทราบว่าขณะนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จประทับ เพื่อประกาศพระศาสนาอยู่ในแคว้นมคธ พระเจ้าสุทโทธนะจึงส่งคณะทูตไปทูลอาราธนา

    คณะทูตแต่ละคณะที่พระเจ้าสุทโธทนะส่งไปเพื่อทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า มีหัวหน้าและบริวาร ซึ่งปฐมสมโพธิบอกว่า มีจำนวนหนึ่งพันคน รวมทั้งหมด ๑๐ คณะ ด้วยกัน คณะที่ ๑ ถึง ๙ ตามลำดับ ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรม แล้วสำเร็จอรหันต์ ยังมิได้กลับมาทูลรายงานให้พระเจ้าสุทโธทนะได้ทราบ พระเจ้าสุทโธทนะจึงส่งคณะอำมาตย์ เป็นคณะทูตที่ ๑๐ ไปอีก คณะทูตที่ ๑๐ นี้ มี "กาฬุทายี" เป็นหัวหน้า ซึ่งเป็นผู้ที่คุ้นเคยและเป็นสหชาติ คือ เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า ก่อนออกเดินทางไปทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า กาฬุทายีทูลลาบวช เมื่อบวชแล้วจะทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์ให้จงได้ พระเจ้าสุทโธทนะทรงอนุมัติ

    ภายหลังกาฬุทายีได้ไปถึงสำนักพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจนสำเร็จอรหันต์ และได้ขอบวชเป็นพระสาวกพร้อมกับบริวารที่ติดตามไปแล้ว ได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ ขณะนั้นเป็นหน้าแล้ง ย่างเข้าหน้าฝน

    พระพุทธเจ้าทรงรับคำทูลอาราธนาแล้ว พร้อมด้วยพระสาวก ที่ตำนานปฐมสมโพธิบอกว่าจำนวน ๒ หมื่นรูป เสด็จออกเดินทางเป็นเวลาสองเดือน จึงถึงกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เสด็จเข้าประทับในอารามของเจ้าศากยะผู้หนึ่ง ซึ่งชื่อว่า "นิโครธ" ซึ่งพวกเจ้าศากยะพระญาติจัดถวายให้เป็นที่ประทับ อารามในที่นี้ไม่ใช่วัด แต่เป็นสวน เป็นอุทยานอยู่นอกเมือง พวกพระประยูรญาติรวมทั้งพระเจ้าสุทโธทนะด้วย ได้พากันมารับเสด็จและเฝ้าพระพุทธเจ้าที่อารามแห่งนี้

    [​IMG]

    เจ้าศากยะ พระญาติวงศ์ของพระพุทธเจ้าที่เป็นชั้นผู้ใหญ่ ต่างถือองค์ว่าเป็นพระญาติผู้ใหญ่ มีพระชนม์สูงกว่าพระพุทธเจ้า ซึ่งขณะนั้นเพียง ๓๖ ปีกว่า ๆ เมื่อมารับเสด็จและเฝ้าพระพุทธเจ้าที่นิโครธาราม จึงไม่ถวายอภิวาทบังคม คือ ไม่ไหว้พระพุทธเจ้า แต่ส่งเจ้าชายเจ้าหญิงศากยะเยาว์วัยกว่าพระพุทธเจ้าออกไปอยู่แถวหน้า ให้ไหว้พระพุทธเจ้าแทน ส่วนพวกตนอยู่แถวหลัง ไม่ยอมไหว้

    ตำนานปฐมสมโพธิว่า ด้วยเหตุดังกล่าวพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ในอากาศ แล้วโปรยละอองธุลีพระบาทลงเหนือศีรษะของเจ้าศากยะ พระเจ้าสุทโธทนะ ซึ่งเสด็จมารับเสด็จและเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงเห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น จึงทรงประนมพระหัตถ์อภิวาทพระพุทธเจ้า ฝ่ายพระประยูรญาติทั้งปวงในที่นั้น ก็ต่างหายทิฐิมานะ แล้วถวายอภิวาทพระพุทธเจ้าพร้อมกันทั่วทุกองค์

    ปฐมสมโพธิว่า "ในทันใดนั้นเอง มหาเมฆใหญ่ได้ตั้งเค้าขึ้นมา แล้วหลั่งสายฝนลงมาห่าใหญ่ ฝนนั้นเรียกว่า "โบกขรพรรษ" มีสีแดง ผู้ใดปรารถนาหรือประสงค์ให้เปียก ย่อมเปียก ไม่ปรารถนาให้เปียก ก็ไม่เปียก โดยเม็ดฝนจะกลิ้งหล่นจากกาย เหมือนหยาดน้ำกลิ้งจากใบบัว"

    ๒.ทรงสำแดงยมกปาฏิหาริย์ข่มพวกเดียรถีย์ ที่ต้นมะม่วงคัณฑามพฤกษ์


    [​IMG]

    ภาพที่เห็นนั้น เป็นตอนพระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ แคว้นโกศล ในวันเพ็ญกลางเดือนแปด ก่อนวันเข้าพรรษาหนึ่งวัน

    ปาฏิหาริย์ คือ การแสดงให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์ ซึ่งสามัญชนหรือคนที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อนแสดงไม่ได้ มีตั้งแต่อย่างต่ำ เล่นกล หรือที่เรียกว่า แสดงปาหี่ ขึ้นไปจนถึงเดินบนน้ำ ดำดิน ลุยไฟ กลืนกินตะปู ที่พวกฤาษีแสดง ตลอดถึงการเหาะเหินเดินอากาศที่ผู้มีฤทธิ์แสดง ปุถุชนแสดงได้ พระอรหันต์ผู้ได้ฌานได้ฤทธิ์ก็แสดงได้

    ยมก แปลว่า คู่ หรือ สอง ยมกปาฏิหาริย์ คือ การแสดงคู่ น้ำคู่กับไฟ คือ เวลาแสดง ท่อน้ำใหญ่พุ่งออกจากพระกายเบื้องบนของพระพุทธเจ้า เปลวไฟพุ่งเป็นลำออกจากพระกายเบื้องล่าง เป็นต้น

    ยมกปาฏิหาริย์แสดงได้แต่ผู้เดียว คือ ผู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนพระอรหันตสาวก และเดียรถีย์ ฤาษีชีไพร แสดงได้แต่ปาฏิหาริย์ธรรมดา เช่น เดินบนน้ำ ดำดิน เป็นต้น

    สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ครั้งนี้ คือ ที่โคนต้นมะม่วง หรือ คัณฑามพฤกษ์ ในเมืองสาวัตถี มูลเหตุที่ทรงแสดงคือ เพราะ พวกเดียรถีย์นักบวชนอกศาสนาพุทธ ท้าพระพุทธเจ้าแข่งแสดงปาฏิหาริย์ ว่า ใครจะเก่งกว่ากัน พวกเดียรถีย์ทราบว่า พระพุทธเจ้าจะแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่โคนต้นมะม่วง จึงให้สาวกและชาวบ้านที่นับถือพวกตน จัดการโค่นต้นมะม่วงเสียสิ้น ทราบว่าบ้านใคร สวนใครมีต้นมะม่วง ก็ใช้อิทธิพลทางการเงินซื้อ แล้วโค่นทำลายหมด แม้หน่อมะม่วงที่เกิดในวันนั้นก็ทำลายไม่เหลือ

    แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่โคนต้นมะม่วงจนได้ โดยมีผู้นำผลมะม่วงสุกมาถวาย ทรงฉันเสร็จแล้ว รับสั่งให้คนปลูกเมล็ดลงดิน แล้วพระองค์ทรงใช้น้ำที่ล้างพระหัตถ์รด ปรากฎว่าหน่อมะม่วงโตพรวดพราด แตกกิ่งก้านสูงถึง ๕๐ ศอก ผลที่สุดพวกเดียรถีย์พ่ายแพ้ไป



    [​IMG]

    ภายหลังทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์เสร็จสิ้น จนพวกเดียรถีย์ที่มาท้าแข่งพ่ายแพ้ไปแล้ว พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธดำริถึงจารีตธรรมเนียมของบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อนว่า


    เมื่อทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว เสด็จทรงจำพรรษา ณ ที่ใด ก็ทรงทราบได้ด้วยพุทธญาณว่า ทรงจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ปฐมสมโพธิลำดับการเสด็จจำพรรษาของพระพุทธเจ้าไว้ว่า ในพรรษาที่ ๗ (นับแต่ตรัสรู้เป็นต้นมา) ได้เสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ตามนิยายท้องเรื่องทั้งจากปฐมสมโพธิ และข้อเขียนโดยนักเขียนทางศาสนาพุทธอื่น ๆ ยุคหลังพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ที่เรียกกันว่า "อรรถกถา" กล่าวตรงกันว่า เหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็เพราะทรงต้องการจะ แสดงธรรมโปรดพุทธมารดา คือ พระนางสิริมหามายา ซึ่งเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว เสด็จบังเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต

    พระพุทธเจ้าเสด็จประทับจำพรรษา ที่โคนต้นปาริฉัตร ต้นไม้สวรรค์ มีผู้แปลกันว่า ได้แก่ ต้นทองหลาง ผิดถูกอย่างไรไม่ทราบ ภายใต้ต้นไม้สวรรค์นี้มีแท่นแผ่นหิน ปูลาดดั้วยผ้ากัมพลสีแดง เรียกว่า "บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์"

    พระอินทร์จอมเทพได้ทรงทราบว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาทรงจำพรรษาที่นี้ ก็ทรงป่าวประกาศหมู่เทพยดาในสรวงสวรรค์ให้มาร่วมชุมนุม เพื่อฟังธรรมพระพุทธเจ้า ปฐมสมโพธิว่า เสียงป่าวประกาศของพระอินทร์นั้น ดังปกแผ่ทั่วไปในสกลเทพยธานีทั้งหมื่นโยชน์ เทพเจ้าทั้งปวงได้สดับ ก็บังเกิดโสมนัสพิศวง ต่างองค์ร้องเรียกซึ่งกันและกัน ต่อ ๆ กันไป จนถึงหมื่นจักรวาล

    แม้พระนางสิริมหามายาพุทธมารดา ซึ่งทรงอยู่ในเพศเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต ก็ได้เสด็จมาฟังธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงแสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดาตลอดพรรษา พุทธมารดาได้สดับแล้ว ทรงบรรลุโสดาปัตติผลในที่สุด ส่วนเทพนอกนั้นอีกจำนวนมาก ได้บรรลุมรรคผลตามสมควรแก่อุปนิสัยแห่งตน

    [​IMG]

    ภาพที่เห็นนั้น เป็นตอนพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก คือ จากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อภายหลังเสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดังกล่าว เพื่อแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาแล้ว วันที่เสด็จลง คือ วันออกพรรษา เมืองที่เสด็จลง คือ เมือง สังกัสสะนคร เสด็จลงตรงประตูเมือง พระบาทแรกที่ทรงเหยียบพื้นโลกนั้น ต่อมาได้กลายเป็นสถานที่ระลึก เรียกว่า "อจลเจดีย์" เรียกอย่างไทยเราก็ว่า "รอยพระพุทธบาท" ตามตำนานว่า ที่นี่ เป็นที่แห่งหนึ่งที่มีรอยพระพุทธบาท ปรากฎอยู่

    ก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จลง เทพเจ้า คือ พระอินทร์ ได้เนรมิตบันได ๓ บันได เป็นที่เสด็จลง คือ บันไดทอง บันไดเงินและ บันไดแก้วมณี บันไดทองสำหรับหมู่เทพเจ้าลง อยู่ด้านขวา บันได้เงินอยู่ด้านซ้ายสำหรับท้าวมหาพรหม และบันไดแก้วมณี อยู่ตรงกลาง สำหรับพระพุทธเจ้า หัวบันไดแต่ละอันพาดที่เขาสิเนรุ เชิงบันไดทอดลงยังประตูเมืองสังกัสสะนคร

    หมู่คนทางเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าอย่างที่เห็นในภาพ จึง คือ หมู่เทพที่ตามส่งเสด็จ เบื้องซ้ายผู้ถือฉัตรกั้นถวายพระพุทธเจ้า คือ ท่านท้าวมหาพรหม ผู้อุ้มบาตรนำเสด็จพระพุทธเจ้า คือ พระอินทร์ ผู้ถือพิณบรรเลงถัดมา คือ ปัญจสิงขรคนธรรพณ์เทพบุตร ถัดมาเบื้องขวา คือ มาตุลีเทพบุตร ซึ่งถือพานดอกไม้ทิพย์โปรยปรายนำทางเสด็จพุทธดำเนิน

    คนผู้นับถือศาสนาพุทธในเมืองไทย ถือกันว่า วันออกพรรษาเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง จึงนิยมทำบุญตักบาตรกันในวันนี้ เพราะถือว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกการตักบาตรนี้ว่า "ตักบาตรเทโว" ย่อมาจาก "เทโวโรหณะ" แปลว่า ตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก นั่นเอง


    ๓.ทรงเปิดโลก บันดาลให้ เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรก แลเห็นซึ่งกันและกัน


    [​IMG]

    ในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์นั้น พระองค์ได้แสดงปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่ง คือ ขณะที่พระองค์ประทับยืนอยู่ที่บันไดแก้ว ทรงทอดพระเนตรไปทางทิศเบื้องบน เทวโลก และ พรหมโลก ก็เปิดมองเห็นโล่ง เมื่อทรงทอดพระเนตรไปในทิศเบื้องต่ำ นิรยโลกทั้งหลายก็เปิดโล่ง ในครั้งนั้น สวรรค์ มนุษย์ และสัตว์นรก ต่างก็เห็นซึ่งกันและกันทั่วจักรวาล

    ภาพนี้อยู่ในเหตุการณ์ตอนเดียวกับวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกเหตุการณ์ตอนนี้ว่า "พระพุทธเจ้าทรงเปิดโลก" โลกที่ทรงเปิดในเหตุการณ์คราวนี้มี ๓ โลก คือ เทวโลก มนุษยโลก และ ยมโลก

    เทวโลก หมายถึง ตั้งแต่พรหมโลกลงมาจนถึงสวรรค์ทุกชั้น มนุษยโลก ก็คือ โลกมนุษย์ และ ยมโลก ซึ่งอยู่ทางเบื้องต่ำ คือ นรกทุกขุม จนกระทั่งถึง อเวจีมหานรก

    พระพุทธเจ้าขณะเสด็จลงจากสวรรค์ ทอดพระเนตรดูเบื้องบนโลกทั้งมวล ตั้งแต่มนุษย์ก็สว่างโล่งขึ้นไปถึงเทวโลก เมื่อทรงเหลียวไปรอบทิศรอบด้านสากลจักรวาล ก็โล่งถึงกันหมด และเมื่อทอดพระเนตรลงเบื้องล่าง ความสว่างก็เปิดโล่งลงไปถึงนรกทุกขุม

    ผู้อาศัยอยู่ในสามโลกต่างมองเห็นกัน มนุษย์ก็เห็นเทวดา เทวดาก็เห็นมนุษย์ มนุษย์และเทวดาเห็นสัตว์นรก สัตว์นรกเห็นเทวดาและมนุษย์ แล้วต่างเหลียวมองดูพระพุทธเจ้าผู้เสด็จลงจากสวรรค์ ด้วยพระเกียรติอันยิ่งใหญ่

    คัมภีร์ธรรมบทที่พระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้แต่งบอกว่า "วันนี้คนทั้งสามโลกได้เห็นแล้ว ที่ไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีเลยสักคน" ปฐมสมโพธิพรรณนาไว้ยิ่งกว่านี้เสียอีก คือว่า

    "ครั้งนั้นเทพยดามนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน กำหนดที่สุดมดดำมดแดง ซึ่งได้เห็นองค์พระชินสีห์ แลสัตว์คนใดคนหนึ่งซึ่งจะมิได้ปรารถนาพุทธภูมินั้นมิได้มีเป็นอันขาด"


    ที่มา http://www.intania82.com/index.php?showtopic=642&st=49

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2007
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "ปรียนันท์ธรรมสถาน"
    ที่รำลึกถึงเหตุการณ์มหัศจรรย์ในวันที่พระพุทธเจ้าทรง"เปิดโลก"

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ข้อความจากคุณคณานันท์

    ขออนุญาตเพื่อนๆพี่ๆน้อง พุทธภูมิทุกๆท่าน เล่าเรื่อง และประวัติความเป็นมาของ "ปรียนันท์ธรรมสถาน" เอาไว้ให้ทราบด้วยครับ

    เริ่มต้นเลย นั้น ขอเริ่มจากงานของกลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ ได้รวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือส่วนรวมในการทำงานเรื่องภัยพิบัติเมื่อประมาณ ปลายปีที่แล้วมา พวกเรามีการรวมกลุ่มและนัดหมายให้มี การรวมกลุ่มในภูมิภาคต่างๆกันเช่นภาคเหนือ ภาคอีสานตอนบน เป็นต้น

    ในการออกทริปหนึ่งพวกเราได้ไปดูสถานที่ๆจังหวัดชัยนาท ซึ่งคุณลุงชัยมงคลได้จัดเตรียมเอาไว้เพื่อจัดทำระบบเศรษฐกิจพอเพียงจำนวน 150 กว่าไร่ เพื่อเตรียมเป้นแหล่งเสบีงในยามเกิดภัยพิบัติ รวมทั้งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและเป็นที่ปลอดภัยในกรณีที่จุดอื่นๆรับคนเอาไว้ได้ไม่หมด

    ในทริปนั้นเราได้รู้จักกันกับพี่คลิกซึ่งเป็น พุทธภูมิผู้ทรงปฏิปทา ทรงพรหมวิหารสี่ทุกลมหายใจ ปลดปล่อยจิตวิญญานที่ตกค้างอยู่ในทุกๆสถานที่ที่พี่ท่านได้พบ ได้สัมผัสด้วยจิต

    พี่คลิกเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กๆ กับ พี่คลื่อนพลเจ้าของร้านอาหารปรียนันท์(ร้านซุ้มบอลเดิม) และได้พาให้พวกเรามาได้รู้จักกันกับพี่เคลื่อนพล พี่ไก่ (ภรรยาพี่เคลื่อนพล) ที่บ้านหลังร้านปรียนันท์

    รวมทั้งพี่คลิกได้แนะนำให้พี่เคลื่อนพลเจ้าของบ้านได้ทราบในงาน ในวัตถุประสงค์ของกลุ่มพวกเรา ซึ่งทางเจ้าของสถานที่ก็ได้ปราวรณาให้ใช้สถานที่ในการทำงาน ในการประชุม ในการปฏิบัติธรรมที่บ้านพักนั้นได้ ซึ่งพวกเราก็ได้ซาบซึ้งในน้ำใจของทุกๆท่านที่นั้นอยู่เสมอ

    พี่คลิกเองก็เคยปรารถกับผมว่าต่อไปสถานที่นี้ จะกลายเป็นสถานปฏิบัติธรรมมีคนมากันมากมาย ซึ่งผมมีนิสัยยังไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ต้องพิสูจน์ก่อน เพราะตอนนั้น ยังไม่มีใครมากัน มากนัก ทางพี่ไก่เจ้าของบ้านก็ยังไม่ได้มโนมยิทธิ ได้ฝึกโยเรมา เราก็ต้องดูกำลังใจของเจ้าของสถานที่ประกอบไปด้วย

    ต่อมา ทางกลุ่มพวกเราก็ได้เดินทางมาที่ "ร้านปรียนันท์"กันบ่อยขึ้น ได้อาศัยพักแรมเวลามาทำบุญที่วัดท่าซุงบ้าง เวลาไปทริปทางเชียงใหม่บ้าง

    จนกระทั่งพวกเราได้จัดทริป ทริปหนึ่งชื่อ"ทริปถึกๆ" อันเป็นการฝึกดำรงชีวิตในป่า โดยพวกเราฝึกเดินเขาที่มีอยู่ สี่ห้าลูกหลังร้านอาหารซุ้มบอลนั่นเอง

    ก็ปรากฏว่า เมื่อขึ้นไปถึงภูเขาลูกแรก เราพบร่องรอยของสิ่งก่อสร้างโบราณที่อยู่ในรูปของเจดีย์ที่ก่อด้วยหิน อยู่บนยอดเขา เมื่อถ่ายรูปก็ปรากฏดวงแสงแปลกๆ อยู่ในรูป ดูด้วยมโนมยิทธิกัน ก็พบว่าเป็นเจดีย์โบราณที่พังทะลายลง และถูกชาวบ้านขุดรื้อเอาของออกไปจนหมด

    ในทริปเดียวกันนี้เอง เราเดินขึ้นเขาไปอีกหลายๆลูก ก็พบร่องรอยของเจดีย์ในทุกๆเขา จนถึงเขาลูกสุดท้าย ก็พบว่ามีป้ายจารึก ว่าบริเวณแห่งนี้ มีพระเจดีย์อยู่ทั้งหมดเก้าองค์ด้วยกัน ก็เลยได้เข้าใจว่า เราจัดทริปมาเดินมาลำบากกันทำไม

    พี่คลิกได้กล่าวให้ฟังว่า คนเราบางครั้งก็เดินย้อนรอยอดีต รอยกรรมของตน เคยมาสร้าง เคยมาอยู่ เคยมาอธิฐานก้จึงต้องกลับมา ซึ่งนี่เป็นเหตุให้พวกเราที่เป้นชาวพุทธภูมิต้องกลับมารวมกัน ณ ที่แห่งนี้อีกครั้ง

    จากที่ได้ดูด้วยมโนมยิทธิ บริเวณเขาแห่งนี้ ดั้งเดิมเป็นจุดพักทัพในการทำศึกสงครามแต่ครั้งเก่าก่อน พระเจดีย์ในชุดนี้เป็น พระเจดีย์ที่พวกเราเคยร่วมกันสร้างเพื่อบรรเทากรรมที่ได้ฆ่าฟันข้าศึกในยามศึกสงคราม บางจุดก็เป็นที่เก็บอัฐฐิของพวกเราเองก็มี การมาพบ มาทราบ ก็เพื่อมาปลดปล่อย มาถวายบุญในเพื่อนๆพวกเราที่ได้เฝ้า อยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้หลุดพ้นไปยังที่สุขคติภูมิ ทุกอย่างจึงมีเหตุมีปัจจัยของมัน ไม่ใช่มาเดินป่ากันเล่นๆ สนุกๆ

    ครั้นลงมาจากเขาแล้วจึงได้ทราบว่า บริเวณนี้ พระเจ้าตากสินมหาราชท่านทรงเคยมาพักทัพที่นี้ ตำบลนี้จริงๆ ซึ่งก็ยิ่งทำให้พวกเรามั่นใจยิ่งขึ้นว่าที่รู้ที่ทราบนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง

    ต่อมาเมื่อประมาณสิงหาคม ที่ผ่านมา พี่ไก่ก็มาบอกกับพวกเราว่า พี่ได้ซื้อที่บนที่ลาดเชิงเขาเอาไว้ให้พวกเราทุกๆคนได้ใช้เป็นสถานที่ที่พวกเราฆราวาสได้ใช้ปฏิบัติธรรมกัน โดยพี่ไก่ได้มอบให้เป็นสิทธิของส่วนรวม ซึ่งต่อมาพวกเราก็ได้ขอชื่อจากพระท่าน และได้ชื่อว่า

    "ปรียนันท์ธรรมสถาน" เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ท่านผู้บริจาคเป็นกำลังใจในการทำความดี

    หลังการซื้อที่ดินแปลงนี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว งานต่างๆถูกสั่ง ถูกเร่งให้เร็วขึ้นเป็นอย่างมาก รวมทั้งเป็นงานที่ต้องรองรับคนหมู่มากด้วย งานสำคัญๆก็คืองานการสร้างศาลา

    โดยเฉพาะงานสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิ์ ปิดทองประดับเพชร ซึ่งงานนี้ครั้งแรกหนักใจเนื่องจากกลุ่มพวกเราไม่ได้มั่งมีอะไรมาก แต่พระท่านสั่งให้สร้างอย่างดีที่สุด ซึ่งเราก็เชื่อ และปรากฏว่า ไม่ช้าก็มีผู้มาช่วยเป็นเจ้าภาพ ปิดงานจนสำเร็จเรียบร้อยลงไปได้ โดยเพียงแต่รอให้ช่างเขาทำจนสำเร็จในช่วงปลายปีนี้

    จนไม่ช้า ก็ได้มาทราบข่าวการนัดหมายมหาสโมสรสันนิบาตพุทธภูมิ ที่คุณเหน่งเป็นผุ้ริเริ่มจัดขึ้นก็จึงได้ทราบว่าทำไมพระท่านจึงได้เร่งงานการเตรียมสถานที่ต่างๆที่ปรียนันท์เอาไว้มากขนาดนี้

    สำหรับความเกี่ยวพันที่สถานที่แห่งนี้ เชื่อมต่อกับงานพุทธภูมิสันนิบาตและเหตุการสมัยพุทธกาลนั้น มีดังต่อไปนี้

    "เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา(24 กย.) ผมเองได้นั่งสมาธิในมโนมยิทธิ และได้กราบถามพระท่าน ท่านก็ได้ถามผมว่า

    "สงสัยไหมว่าทำไม การจัดงานพุทธภูมิ จึงเลื่อนมาเป็นที่ปรียนันท์ "ผมก็ตอบท่านว่า "จริงครับ เหมือนราวกับว่าเหตุการณ์ต่างๆ มันพาไปของมันเองครับ"

    พระท่านก็ถามว่า "แล้วเคยสงสัยไหมว่า ทำไมจังหวัดนครสวรรค์จึงชื่อนครสวรรค์"จากนั้นท่านก้ทำภาพให้ดู ไอ้เราจึงได้ถึงบางอ้อ

    เรื่องมีอยู่ว่า ในวันที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเสด็จลงมาจากดาวดึงส์เทวโลกนั้น มิติของสวรรค์เคลื่อนลงมาในอาณาบริเวณกว้างใหญ่ในเขตที่ปัจจุบัน เป็นรอยต่อของ จ.อุทัยธานีและ จ.นครสวรรค์

    จุดที่พระพุทธเจ้าท่านได้เสด็จลงมาสัมผัสพื้นโลกนั้นก็ปรากฏเป็นรอยพระพุทธบาทบนเขาสังกัสรัตนคิรี ดังที่ทุกๆท่านได้ทราบกัน และเหตุที่ท่านเสด็จลง ณ จุดนี้ ก็เพราะ บนเขาลูกนี้ เป็นจุดศูนย์กลางของโลกซึ่งมีหลักฐานยืนยันโดยการคำนวนทางวิทยาศาสตร์ และทางทหารเรือได้มาปักหมุดทำเขตยืนยันเอาไว้ และการที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงปฏิหาริย์เปิดโลก ณ จุดศูนย์กลางของโลก ทรงเปิดสามโลกให้ปรากฏเห็นแก่กันหมดนั้น ควรแก่การทั้งปวงแล้ว

    การเปิดโลกสามไตรภูมิของพระพุทธองค์นั้น

    เมื่อครั้นปรากฏแก่ดวงจิตของสาวกภูมิก็ปรากฏการเห็นธรรม เห็นการเวียนว่ายตายเกิดในสามภพภูมิวนเวียนไม่มีที่สุด ก็ปรากฏนิพพิทาญาณ เบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดมุ่งหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารไปในที่สุด

    เมื่อปรากฏกับดวงจิตของท่านผุ้มีเชื้อเป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรก็ เห็นทุกข์ของหมู่สรรพสัตว์อันหาประมาณมิได้ เกิดดวงจิตอันเป็นกุศลเอ็นดูแก่หมู่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย มุ่งหวังที่จะรื้อขนสรรพสัตว์ผู้อยู่ในทะเลทุกข์เข้าถึงฝั่งพระนิพพานในที่สุด และต่างตั้งจิตอธิฐานปรารถนาซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณกันเป็นจำนวนหาประมาณไม่ได้ แม้มด ปลวก สัตว์ก็ต่างตั้งจิตไว้เพื่อพุทธภูมิเช่นกัน

    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

    หมายเหตุ

    หากท่านที่มีจิตศรัทธาจะร่วมทำบุญสร้าง "ปรียนันท์ธรรมสถาน" ขอเชิญร่วมทำบุญได้โดยการโอนเงินเข้า โครงการจัดสร้างปรียนันท์ธรรมสถาน บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาลาดกระบัง ชื่อบัญชีจินดา จตุวงษ์ เลขที่บัญชี 264-1-28141-2

    และบัญชี เพื่อกองทุนพลังจิตพิชิตภัยพิบัติคุณ คณานันท์ ทวีโภค เลขที่บัญชี 151-0-91868-1 ธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาคลองสาน

    <!-- / sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...